“พริษฐ์” ย้ำคำถามประชามติควร “เปิดกว้าง”
ไม่ยัดไส้เงื่อนไข-มัดมือชกประชาชน ขอ ครม.ทบทวนคำถามประชามติ
เพื่อเพิ่มแนวร่วมและโอกาสในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้สำเร็จ
วันที่
25 ธันวาคม 2566 จากกรณีที่คณะกรรมการศึกษาแนวทางในการทำประชามติฯ
ของรัฐบาลได้ออกมาแถลงข่าว
และสรุปว่าจะเสนอให้คณะรัฐมนตรีเดินหน้าในการจัดทำประชามติเรื่องรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
โดยประชามติครั้งแรก (จากทั้งหมด 3 ครั้ง) จะเป็นการถาม 1
คำถามว่า
“ท่านเห็นชอบหรือไม่ ที่จะมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยไม่แก้ไขหมวด 1
บททั่วไป หมวด 2 พระมหากษัตริย์”
พริษฐ์
วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้ความเห็นต่อกรณีดังกล่าวว่า
แม้การแถลงวันนี้ทำให้เราเห็นความชัดเจนมากขึ้นเรื่องขั้นตอนและกรอบเวลาที่รัฐบาลจะดำเนินการ
แต่คำถามที่คณะกรรมการออกแบบมาสำหรับการทำประชามติครั้งแรก
เป็นคำถามที่น่ากังวลและมีความเสี่ยงจะกระทบต่อความเป็นไปได้ในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ในมุมมองของพริษฐ์และพรรคก้าวไกล
คำถามหลักในประชามติควรเป็นคำถามที่ถามถึงทิศทางภาพรวมและเปิดกว้างที่สุด
เพื่อทำให้ประชาชนที่แม้เห็นต่างกันในรายละเอียด
แต่เห็นตรงกันว่าควรมีจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ สามารถเห็นร่วมกันได้มากที่สุด
แต่คำถามที่คณะกรรมการเคาะมาในวันนี้กลับเป็นคำถามที่ไม่เปิดกว้าง
แต่ไป “ยัดไส้”
เงื่อนไขหรือรายละเอียดปลีกย่อยที่ทำให้ประชาชนบางคนอาจเห็นด้วยกับบางส่วนของคำถาม
แต่ไม่เห็นด้วยกับอีกบางส่วนของคำถาม
ซึ่งเสี่ยงจะนำไปสู่การกีดกันแนวร่วมบางส่วนออกจากกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
เช่น
หากประชาชนเห็นด้วยกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
แต่ไม่เห็นด้วยกับการล็อกเนื้อหาในหมวด 1 และหมวด 2 ประชาชนที่มีความคิดดังกล่าวจะมีความลำบากใจในการตัดสินใจว่าจะลงคะแนนว่า
“เห็นชอบ” หรือ “ไม่เห็นชอบ”
กล่าวคือ
ถ้าลงว่า “ไม่เห็นชอบ”
ก็เท่ากับว่าคะแนนของเขาจะถูกรวมกับฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ซึ่งจะเพิ่มโอกาสที่ประชามติจะ “ไม่ผ่าน”
และนำไปสู่การปิดประตูสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่ถ้าลงว่า “เห็นชอบ”
ก็เท่ากับว่าเขาถูก “มัดมือชก” ไปกับเงื่อนไขเรื่องการล็อกเนื้อหาในหมวด 1 และ
หมวด 2 ที่ตัวเขาเองไม่ได้เห็นด้วย
หากรัฐบาลยังคงต้องการให้มีเงื่อนไขเรื่องการล็อกเนื้อหาในหมวด
1 และหมวด 2 ก็ควรแยกประเด็นดังกล่าวออกมาถามเป็นคำถามรอง
แทนที่จะไป “ยัดไส้” อยู่ในคำถามหลัก เช่น
คำถามหลัก:
“ท่านเห็นชอบหรือไม่ ที่จะมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่”
คำถามรอง:
“ท่านเห็นชอบหรือไม่ ว่าในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ไม่ควรมีการแก้ไขหมวด 1 บททั่วไป
หมวด 2 พระมหากษัตริย์”
พริษฐ์กล่าวต่อไปว่า
ความจริงแล้ว ข้อกังวลที่เรามีต่อคำถามประชามติของคณะกรรมการฯ
เป็นข้อกังวลที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับว่าแต่ละคนมีจุดยืนอย่างไรเกี่ยวกับการแก้ไข
หมวด 1 และ หมวด 2 แต่เป็นข้อกังวลที่ยึดอยู่บนหลักการว่า
คำถามหลักในประชามติควรเปิดกว้าง และไม่ยัดไส้เงื่อนไขหรือมัดมือชกประชาชน
ไม่ว่าจะในเรื่องใด ๆ ก็ตาม
ดังนั้น
หาก ครม.อยากเห็นการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่สำเร็จ
พริษฐ์จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ครม.จะพิจารณาถึงข้อกังวลดังกล่าว
และทบทวนคำถามประชามติให้เป็นคำถามที่มีลักษณะที่เปิดกว้าง
และสามารถสร้างความเห็นร่วมให้ได้มากที่สุดในหมู่ประชาชนที่อยากเห็นประเทศเรามีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ทั้งนี้
ในแง่ของการล็อกไม่ให้มีการแก้ไขหมวด 1 และหมวด 2 ในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ พริษฐ์ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า มีส่วนมาจาก
“ความกังวลโดยไม่จำเป็น” ของรัฐบาล ด้วยเหตุผล 3 ประการ คือ
1)
การแก้ไขเนื้อหาในหมวด 1 และหมวด 2 ไม่สามารถกระทบหรือนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองได้แน่นอน
เพราะมาตรา 255 ได้กำหนดชัดว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญในหมวดหรือมาตราใด
ๆ ก็ตาม
จะต้องไม่เปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
และไม่เปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ
2)
การแก้ไขเนื้อหาในหมวด 1 และหมวด 2 เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยปกติเมื่อมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
โดยเนื้อหาในหมวด 1 และ หมวด 2 ก็มีการปรับปรุงแก้ไขมาโดยตลอด
จากรัฐธรรมนูญ 2540 มาสู่รัฐธรรมนูญ 2550 และรัฐธรรมนูญ 2560
3)
การแก้ไขเนื้อหาในหมวด 1 และหมวด 2 เป็นสิ่งที่แม้กระทั่งรัฐธรรมนูญ 2560 ฉบับปัจจุบันก็อนุญาตให้ทำได้และไม่ได้ห้ามไว้
เพียงแต่มาตรา 256 (8) กำหนดว่าต้องมีการจัดทำประชามติ หากร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในหมวด 1 หรือ หมวด 2 ผ่านความเห็นชอบ 3 วาระของรัฐสภา
ยิ่งไปกว่านั้น
การล็อกไม่ให้มีการแก้ไข หมวด 1 และ หมวด 2 ยังอาจ
“สร้างปัญหาใหม่โดยไม่จำเป็น” 2 ประการ คือ
1)
ปัญหาเชิงกฎหมาย
เนื่องจากเนื้อหาของรัฐธรรมนูญในแต่ละหมวดมีความสัมพันธ์กัน
การยกร่างเกือบทุกหมวดโดยล็อกไม่ให้แก้ไขข้อความใด ๆ เลยใน 2 หมวดอาจนำไปสู่ปัญหาเชิงปฏิบัติในการเขียนกฎหมายได้ เช่น
หากสมมติในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มีการยกเลิกการมีอยู่ของวุฒิสภา มาตรา 12
ในหมวด 2 ที่ปัจจุบันเขียนว่า
“องคมนตรีต้องไม่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่น…”
ก็ควรจะมีการตัดคำว่า “สมาชิกวุฒิสภา”
ออกเพื่อให้สอดคล้องกับหมวดอื่นของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
แต่การแก้ข้อความลักษณะนี้จะทำไม่ได้หากมีการล็อกเนื้อหาในหมวด 1 และ หมวด 2 ไว้
2)
ปัญหาเชิงการเมือง
หากประชาชนบางกลุ่มอยากปรับปรุงเนื้อหาบางส่วนในหมวด 1 และหมวด
2 โดยที่การแก้ไขดังกล่าวไม่เป็นการกระทบรูปแบบการปกครองหรือรูปแบบรัฐ
การไปล็อกไม่ให้เขาแม้กระทั่งได้เสนอความเห็นด้วยเหตุและผลอย่างมีวุฒิภาวะในพื้นที่ที่ควรปลอดภัยอย่าง
สสร. อาจทำให้การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ณ ปัจจุบันมีความท้าทายมากขึ้น
และเพิ่มความเสี่ยงที่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะไม่สามารถสะท้อนฉันทามติใหม่ของประชาชนทุกคนทุกชุดความคิดในสังคมเราได้อย่างแท้จริง
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ก้าวไกล #ประชามติ #รัฐธรรมนูญฉบับใหม่