“ศศินันท์” ตั้งคำถามระเบียบ “คุมขังนอกเรือนจำ” ของกรมราชทัณฑ์
กังวลคณะพิจารณาส่วนใหญ่เป็นข้าราชการ จะเกิดการตรวจสอบถ่วงดุลได้อย่างไร
ย้ำไทยมีปัญหานักโทษล้นคุก จะมั่นใจได้อย่างไรว่าจะถูกบังคับใช้อย่างเท่าเทียมกัน
จากกรณีเมื่อวันที่
8 ธันวาคม 2566 กรมราชทัณฑ์ได้ออกระเบียบว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง
พ.ศ. 2566 ซึ่งให้อำนาจกรมราชทัณฑ์ในการกำหนดสถานที่คุมขังอื่น
ๆ นอกเหนือจากเรือนจำได้ ทำให้สังคมเกิดกระแสการตั้งคำถามและเชื่อมโยงไปถึงการเอื้อประโยชน์ให้กับนายทักษิณ
ชินวัตร
ที่ยังคงนอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจนับตั้งแต่วันที่กลับมาถึงประเทศไทย
ต่อกรณีดังกล่าว
วันนี้ (13
ธันวาคม 2566) ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์
สส.กรุงเทพฯ เขต 11 พรรคก้าวไกล แสดงความเห็นว่า
ตนได้เห็นและได้อ่านระเบียบฉบับนี้อย่างถี่ถ้วนทุกบรรทัด
และกังวลใจอย่างยิ่งต่อวิธีการสรรหา “คณะทำงานพิจารณาการคุมขังในสถานที่คุมขัง”
ว่าเหมาะสมหรือไม่ที่สัดส่วนคณะทำงานกว่าร้อยละ 80 นั้นเป็นข้าราชการ
ขณะที่สัดส่วนจากบุคคลภายนอกก็ยังเป็นบุคคลที่อธิบดีกรมราชทัณฑ์แต่งตั้ง
โดยมีรองอธิบดีนั่งหัวโต๊ะเป็นประธานคณะทำงาน
ศศินันท์กล่าวต่อไปว่า
ตนทราบดีถึงปัญหานักโทษล้นเรือนจำ และเห็นเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องเร่งแก้ไข
แต่สิ่งที่สังคมตั้งคำถาม
คงไม่พ้นเรื่องการจะบังคับใช้อย่างไรให้เกิดความเท่าเทียมกัน
โดยเฉพาะนักโทษคดีการเมือง นักการเมือง นักกิจกรรม ผู้มีอำนาจ และคนรวยมีเส้นสาย
ก็คงไม่พ้นการถูกจับตามอง
ที่ผ่านมาสังคมได้เรียนรู้หลายต่อหลายครั้งว่ากระบวนการยุติธรรมในประเทศเรานั้นยังไม่ผลิดอกออกผลเท่าที่ควร
ทำให้ประชาชนหลายคนทั้งที่เป็นประชาชนทั่วไปและที่เป็นญาติผู้ต้องขังกังวลเรื่องการมีสิทธิ์เข้าถึงระเบียบฉบับนี้
ว่าต่อให้ผู้ต้องขังจะเป็นนักโทษชั้นดีและเข้าเกณฑ์ระเบียบกรมราชทัณฑ์
แต่หากไม่มีเงินและอำนาจก็อาจจะไม่ได้รับการพิจารณาอย่างเท่าเทียม
“เราต้องยอมรับว่าความยุติธรรมในประเทศเรานั้นล่าช้า
แต่กับบางคนมันก็มาถึงก่อนเสมอ นั่นเป็นข้อบ่งชี้ว่าในสายตาของประชาชน
กระบวนการยุติธรรมในประเทศเรายังคงอ่อนแอ
ดิฉันจึงยิ่งมีความกังวลต่อสัดส่วนของคณะทำงาน
เมื่อกรมราชทัณฑ์เองก็มีอำนาจในการชี้ขาดตามระเบียบคุ้มครองอยู่แล้ว
การที่ให้คณะทำงานเกือบทั้งหมดเป็นสัดส่วนข้าราชการจะทำให้เกิดกระบวนการตรวจสอบถ่วงดุลได้อย่างไร
หากเกิดกรณีที่ไม่เป็นธรรม” ศศินันท์กล่าว