ศาลอาญาเลื่อนอ่านคำพิพากษาคดี
32 พันธมิตรฯ บุกสนามบินดอนเมือง เป็นวันที่ 17 ม.ค.ปีหน้า เหตุ “จำลอง-พิภพ”
กับพวก ป่วย!
เวลา
09.00 น วันที่ 18 ธันวาคม 2566 เวลา 09.00 น. ที่ห้องพิจารณา 704 ศาลอาญา
ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษาคดีกลุ่มพันธมิตรฯ
บุกสนามบินดอนเมืองหมายเลขดำอ. 973/2556
ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา9 เป็นโจทก์ฟ้อง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯกับพวกรวม 28 คน
ร่วมกันเป็นจำเลยในความผิด ฐานเป็นกบฎ ก่อการร้ายฯ
กรณีเมื่อระหว่างวันที่
24 พฤศจิกายน -3 ธันวาคม 2551
พวกจำเลยได้ร่วมกันโฆษณาชักชวนให้ประชาชนมาร่วมกันชุมนุมใหญ่โดยกระจายไปตามพื้นที่ต่างๆ
และปิดล้อมอาคารวีไอพี.ท่าอากาศยานดอนเมือง ซึ่งอยู่ในความครอบครองของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
ผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นของบริษัทท่าอากาศยานไทยจำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ผู้เสียหายที่
2 และทำลายทรัพย์สินเสียหายเป็นเงิน 627,080 บาท
แล้วนำจานรับสัญญาณของพวกจำเลยไปติดตั้งใกล้เครื่องรับสัญญาณเรดาร์ ของ บริษัท
วิทยุการบินฯ ผู้เสียหายที่ 3
และทำการปิดกั้นสะพานกลับรถของกรมทางหลวงผู้เสียหายที่ 4 ตรวจค้นตัวเจ้าหน้าที่ของบริษัท การบินไทยฯ
ผู้เสียหายที่ 5
ปิดกั้นการบริการสื่อสารบริษัท ไปรษณีย์ไทยฯ ผู้เสียหายที่ 6
และร่วมกันขู่เข็ญใช้กำลังประทุษร้ายบุคคลและทรัพย์สิน เพื่อกดดันให้นายสมชาย
วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ขณะนั้นลาออก
เหตุเกิดที่แขวง-เขตดอนเมือง
กทม.
โจทก์จึงขอให้ศาลพิพากษาลงโทษพวกจำเลยตามความผิดด้วย
พวกจำเลยให้การปฏิเสธ
โดยในวันนี้จำเลยเดินทางมาศาล
อาทิเช่น นายสนธิ ลิ้มทองกุล, นายสุริยะใส กตะศิลา, นายรัชต์ชยุตม์
หรืออมร ศิริโยธิน, นายพิชิต ไชยมงคล, น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก, นายสันธนะ ประยูรรัตน์ เเละจำเลยคนอื่น ๆ ทยอยเดินทางมาศาล
โดยในช่วงเวลา
09.50 น. ยังไม่ปรากฎว่าพล.ต.จำลอง ศรีเมือง, นายประพันธุ์ คูณมี ซึ่งเป็น
สว.และจำเลยอีกบางคนมาถึงศาล
นายสันธนะกล่าวก่อนขึ้นห้องพิจารณาคดีว่า
ไม่ได้มีความกังวลใจแต่อย่างใด
เพราะสิ่งที่ตนกับจำเลยคนอื่นได้ทำในเหตุการณ์ครั้งนี้นั้น
ถือว่าเปลี่ยนประวัติศาสตร์ทางการเมืองออกไปอย่างสิ้นเชิง และก่อนหน้านี้ตนก็มีโอกาสได้พูดคุยกับจำเลยคนอื่น
ๆ ซึ่งแต่ละคนก็ไม่ได้มีความกังวลใจเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ไม่ว่าศาลจะมีคำพิพากษาออกมาอย่างไร
ตนก็พร้อมน้อมรับคำตัดสินของศาล เพราะตนเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม
โดยนอกจากกลุ่มจำเลยแล้ว
ยังมีกลุ่มแฟนคลับกลุ่มพันธมิตร ตามมาให้กำลังใจจำเลยแต่ละคน โดยแฟนคลับกลุ่มนี้นำมาโดย
"ป้าป้าลักษณ์" หรือ น.ส. สุวลักษณ์ จันทรัตน์
โดยเมื่อถึงเวลานัดทนายจำเลยยื่นคำร้องต่อศาลว่าพล.ต.จำลอง
ศรีเมือง จำเลยที่ 1,
นายพิภพ ธงไชย จำเลยที่ 3, นายเทิดภูมิ
หรือเกิดภูมิไท ใจดี จำเลยที่ 15, พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ
จำเลยที่ 28 ป่วย ไม่สามารถมาศาลได้ในวันนี้โดยเฉพาะจำเลยที่ 3 นายพิภพ
มีอาการป่วยระยะสุดท้าย
โดยทุกคนมีใบรับรองเเพทย์มายืนยัน ส่วนนายประพันธุ์ คูณมีจำเลยที่ 14
ติดพิธีประดับเครื่องราชฯ
ศาลพิจารณาแล้วกรณีมีเหตุจำเป็นจึงอนุญาตให้เลื่อนนัดอ่านคำพิพากษาเป็นวันที่
17 ม.ค. 2567เวลา 09.00 น.
สำหรับรายชื่อจำเลยทั้ง
32 รายประกอบด้วย
1.
พล.ต.จำลอง ศรีเมือง
2.
นายสนธิ ลิ้มทองกุล
3.
นายพิภพ ธงไชย
4.
นายสมศักดิ์ โกศัยสุข
5.
นายสุริยะใส กตะศิลา
6.
นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ (เสียชีวิต)
7.
นายศิริชัย ไม้งาม
8.
นายสำราญ รอดเพชร
9.
นางมาลีรัตน์ แก้วก่า
10.
นายสาวิทย์ แก้วหวาน
11.
นายสันธนะ ประยูรรัตน์
12.
นายชนะ ผาสุกสกุล
13.
นายรัชต์ชยุตม์ หรืออมรเทพ หรืออมร ศิริโยธินภักดี หรืออมรรัตนานนท์
14.
นายประพันธุ์ คูณมี (วุฒิสมาชิก)
15.
นายเทิดภูมิ หรือเกิดภูมิไท ใจดี
16.
น.ส.อัญชะลี หรือปอง ไพรีรัก
17.
นายพิชิต ไชยมงคล
18.
นายบรรจง นะแส
19.
นายสุมิตร นวลมณี
20.
นายพิเชฏฐ พัฒนโชติ
21.
นายสมบูรณ์ ทองบุราณ
22.
นายอธิวัฒน์ บุญชาติ
23.
นายจำรูญ ณ ระนอง
24.
นายแสงธรรม หรืออาร์ท ชุนชฎาธาร
25.
นายไทกร พลสุวรรณ
26.
นายสุชาติ ศรีสังข์
27.
นายอำนาจ พละมี
28.
พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ
29.
นายกิตติชัย หรือจอร์ส ใสสะอาด
30.
นายเกรียงศักดิ์ หลิวจันทร์พัฒนา
31.
บ.เอเอสทีวี (ประเทศไทย)จำกัด
32.
เรือตรี แซมดิน เลิศบุศย์ (ร.น.)
ภายหลังนายสมศักดิ์
กล่าวว่า ศาลเลื่อนไปพิพากษาวันที่ 17 ม.ค.2567
เพราะว่าพล.ต.จำลอง, นายพิภพ, พล.ต.อ.ประทิน,
นายเทิดภูมิ เจ็บป่วย และนายประพันธ์ ไปรับเครื่องราชฯ
ซึ่งไม่มีผลเปลี่ยนแปลงคำพิพากษา เป็นเหตุผลตามปกติ
แต่ว่าคดีร้ายแรงต้องอ่านคำพิพากษาต่อหน้าจำเลย
คาดว่าในนัดหน้าคงจะพร้อมอ่านคำพิพากษาได้
น.ส.อัญชะลี
กล่าวว่า วันนี้ศาลกำชับทนายความและจำเลยว่าในวันที่ 17
ม.ค.หากจำเลยรายใดเจ็บป่วยจริง ๆ ก็ให้ยื่นเอกสารหลักฐานต่อศาล เช่นพล.ต.อ.ประทิน
และ พล.ต.จำลองป่วยโรคชรา, นายพิภพ ป่วยเป็นมะเร็งขั้นที่ 3,
นายเทิดภูมิต้องฟอกไต
เพื่อจะมีคำสั่งและทำให้สามารถอ่านคำพิพากษาลับหลังได้
คาดว่าจะใช้เวลาอ่านคำพิพากษาประมาณ 1 ชั่วโมง
ซึ่งคดีนี้เป็นคำพิพากษาศาลชั้นต้นและพวกเราก็พร้อมที่จะเดินเข้าคุก
เมื่อถามว่ารู้สึกมีความกังวลกับคำพิพากษาคดีนี้บ้างหรือไม่
น.ส.อัญชะลี กล่าวว่า ตนเองไม่มีความกังวลใด ๆ เลย เพราะเราเชื่อในสิ่งที่ทำ
ทำในสิ่งที่เชื่อแล้วทำอยู่ในกรอบของกฎหมาย
เรามาศาลทุกครั้งตั้งแต่อัยการยื่นฟ้องเมื่อปี 2556
หากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเป็นอย่างหนึ่งอย่างใด เราก็น้อมรับคำพิพากษา
ซึ่งจำเลยแต่ละคนมีความพร้อมไม่เท่ากัน บางคนใช้หลักทรัพย์ส่วนตัวประกันตัว
บางคนใช้กองทุนประกันตัว
รวมทั้งทนายความได้เตรียมความพร้อมเรื่องหลักทรัพย์ไว้แล้วจำนวนหนึ่ง
เพื่อใช้ยื่นประกันตัวชั้นอุทธรณ์
“พวกเราทำตามกฎหมายทุกประการ
ภายใต้คำว่าอารยะขัดขืนดังนั้นพวกเราจึงยืนหยัดที่จะเดินเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมโดยไม่ย่อท้อเลย
และไม่เคยคุยกันเลยสักคนเดียวว่าเราจะต้องกลัวหรือไม่กลัว
เราเพียงแต่มาทำหน้าที่เมื่อศาลนัด แล้วก็หาวัตถุพยานพิสูจน์หลักฐาน เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
เราเชื่อมั่นในความยุติธรรม สิ่งที่เราไม่เชื่อเลย คือว่าเราเดินหน้าตั้งแต่ปี 2551 มาจนถึงปีนี้ก็วนกลับมา
อันนี้เป็นสิ่งที่เราแทบไม่เชื่อดังนั้นเราจึงเชื่อว่ากรณีของพันธมิตรฯ
ที่เกิดขึ้นในเดือนธันวาคม และอ่านคำพิพากษาเดือนมกราคม เรามั่นว่า ชั้น 14 ต้องได้ยินและชั้น 14
ต้องฟังในสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ และจะเป็นกรณีศึกษาของคนในสังคมนี้
ที่คนไทยลุกขึ้นมาต่อสู้กับอำนาจเผด็จการตามกฎหมาย รัฐธรรมนูญกำหนด”
นายสมศักดิ์
กล่าวว่า ไม่มีความกังวลใดๆ เพราะว่า สิ่งที่ทำมาก็เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ
ประชาชน รัฐธรรมนูญปี 2550 ก็บัญญัติไว้ชัดเจนว่าเมื่อมีการโกง การทุจริตของรัฐบาล หรือ
การมาของรัฐบาลโดยไม่ชอบประชาชนมีสิทธิชุมนุมได้โดยสันติวิธีแล้วเราก็ทำภายใต้กรอบของกฎหมาย
แต่ว่าผลของการพิจารณาคดีเป็นอำนาจของศาล เราเคารพถ้าพิพากษาให้ติดคุก
หรือประหารชีวิตก็น้อมรับและปฏิบัติตาม ที่สำคัญจะเกิดบทเรียนยิ่งใหญ่ต่อสังคมไทย
คนผิดที่เรามาต่อต้านตามหน้าที่ ตามกฎหมายไม่ยอมติดคุก
แต่หากว่าคนที่มาปกป้องผลประโยชน์ของประเทศไทยด้วยความสุจริตติดคุก
อันนี้เป็นบทเรียนอันยิ่งใหญ่คิดว่าจะทำให้เกิดการพัฒนาเปลี่ยนแปลงสังคม
ยืนยันว่าเราเคารพศาล และยินดีปฏิบัติตามคำพิพากษาอย่างไม่มีเงื่อนไข
ด้านนายสุริยะใส กล่าวสั้น ๆ ว่า ตนไม่มีความเห็นใด ๆ เพราะว่าตนเองโดนคดีทั้งแพ่งและอาญา
หนักที่สุดแล้ว จึงรู้สึกเฉย ๆ และก็สู้ต่อไปแค่นั้น
สู้ในกระบวนการยุติธรรมทุกช่องทาง
ด้านนายพิชิต
กล่าวว่า พวกเรากลุ่มพันธมิตรฯสู้กันมาตั้งแต่ปี 2549
เราเคารพในกระบวนการยุติธรรมและเคารพในสิ่งที่เราทำ เราไม่เคยหนีศาล
ไม่เคยหนีกระบวนการยุติธรรมวันนี้เรามาเพื่อพิสูจน์ว่าเราเคารพในกระบวนการยุติธรรมดังนั้นปี
2549 เราสู้กับระบอบทักษิณซึ่งโดนคดีทุจริตคอรัปชั่น
อยากให้มองพวกเราเป็นตัวอย่าง พวกเราพร้อมเดินหน้าและยึดมั่นในกระบวนการยุติธรรม เมื่อถามว่ามีความคิดเห็นอย่างไร
หากรัฐบาลหรือพรรคการเมืองจะผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับทุกฝ่าย
น.ส.อัญชะลี กล่าวว่า
กรอบกฎหมายนิรโทษกรรมคุยกันมาหลายปีแล้ว ในส่วนของคดีที่เกี่ยวกับการทุจริต
คดีอาญา และมาตรา 112 เราไม่เห็นด้วย ให้เอาออกไปได้เลย ส่วนเรื่องเหตุการณ์บ้านเมือง การเมือง
อันนี้มาตั้งโต๊ะแล้วคุยกัน แต่ก็มีคนพยายามเสนอร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมเหมารวม
ยกเข่ง ซึ่งไม่ใช่บาดแผลที่จะทายาแดงแล้วหายไป แต่มันคือบาดแผลของแผ่นดิน
ถ้านักการเมืองโกงภาษีประชาชน โกงชาติก็ต้องผิด
น.ส.อัญชะลี
กล่าวต่อว่า นิรโทษกรรมถ้าจะต้องมี
ต้องขึ้นโต๊ะเจรจากันทุกฝ่ายอย่างเป็นทางการและโปร่งใส จะมาทำแบบเงื่อนงำลับๆล่อๆ
ไม่ได้เลย ต้องคุยกันอย่างโปร่งใส ถ่ายทอดสด
คุยกันแบบผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเพื่อให้เด็กดู ให้ประชาชนได้เห็นว่า
เมื่อไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา มีประชาชนกลุ่มหนึ่งลุกขึ้นมาไล่นักการเมือง
พันธมิตรฯรุ่น 1,
พันธมิตรฯ รุ่น 2, กปปส. ไม่ใช่มาแค่คนสองคน
แต่มาเป็นแสนคน ซึ่งออกมาด้วยใจ ที่พรรคการเมืองใดๆ ก็ระดมคนจำนวนมากเท่านี้ไม่ได้
ที่สำคัญจะต้องฟังเสียงของประชาชนด้วย ต้องทำประชามติ ที่ผ่านมาโต๊ะเจรจาปรองดองล้มเหลวกี่ครั้งแล้ว
เพราะต่างฝ่ายต่างก็มีเงื่อนไข ทำให้โต๊ะการเจรจาล้มครั้งแล้วครั้งเล่า
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พธม #คดีบุกสนามบิน #กบฎ #ก่อการร้าย