วันอาทิตย์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2566

“พริษฐ์” แถลงข้อเสนอ “1+2” คำถามประชามติ รธน.ใหม่ เน้น 1 คำถามหลักเปิดกว้าง 2 คำถามพ่วงลงรายละเอียดที่มา-ขอบเขตอำนาจ สสร. เชื่อเป็นคำถามที่ทุกฝ่ายยอมรับ-มีส่วนร่วมได้มากที่สุด หวังเป็นก้าวแรกคลี่คลายความเห็นต่างสู่ข้อสรุปร่วมกระบวนการจัดทำ รธน.

 


พริษฐ์” แถลงข้อเสนอ “1+2” คำถามประชามติ รธน.ใหม่ เน้น 1 คำถามหลักเปิดกว้าง 2 คำถามพ่วงลงรายละเอียดที่มา-ขอบเขตอำนาจ สสร. เชื่อเป็นคำถามที่ทุกฝ่ายยอมรับ-มีส่วนร่วมได้มากที่สุด หวังเป็นก้าวแรกคลี่คลายความเห็นต่างสู่ข้อสรุปร่วมกระบวนการจัดทำ รธน.

 

วันที่ 10 ธันวาคม 2566 ที่อาคารอนาคตใหม่ พริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อและโฆษกพรรคก้าวไกล แถลงข่าวในหัวข้อ “ก้าวแรกรัฐธรรมนูญประชาชน ประชามติต้อง 1+2 คำถาม” สรุปข้อเสนอของพรรคก้าวไกลต่อนโยบายและกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เนื่องในโอกาสวันรัฐธรรมนูญ 10 ธันวาคม

 

พริษฐ์ระบุว่า เนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมีปัญหาในเรื่องความชอบธรรมทางประชาธิปไตย ทั้งในส่วนที่มา กระบวนการ และเนื้อหา พรรคก้าวไกลจึงเห็นว่าประเทศไทยควรจะต้องมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับ แต่หากจะแก้ไขปัญหาได้ รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องไม่ใหม่แค่โดยชื่อ แต่ควรเป็นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มีอีก 3 องค์ประกอบด้วยกัน กล่าวคือ (1) เกิดขึ้นได้จริงโดยเร็วที่สุด (2) มีความชอบธรรมทางประชาธิปไตย และ (3) มีกระบวนการในการได้มาที่โอบรับจุดยืนที่แตกต่างของทุกฝ่าย

 

พริษฐ์กล่าวต่อไปว่า หากจะเดินตามกติกาของรัฐธรรมนูญ 2560 และคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่าการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) จะต้องจัดประชามติอย่างน้อย 2 ครั้ง กล่าวคือ

 

(1) “ประชามติ B” คือการจัดประชามติ ที่เกิดจากการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 2560 ในมาตรา 256 และหมวด 15/1 เพื่อให้มีกลไก สสร. ขึ้นมา ซึ่งจะต้องมีการทำประชามติหลังจากผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา เนื่องจากเป็นการแก้ไขเกี่ยวกับกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ (ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 256(8))

 

(2) “ประชามติ C” คือการจัดทำประชามติ หลังจาก สสร. ยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จแล้ว เพื่อให้ประชาชนได้พิจารณาเนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ (ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ 4/2564)

 

แต่ในส่วนของ “ประชามติ A” ที่บางฝ่ายเสนอให้จัดเพิ่มขึ้นมาก่อนมีการเสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 2560 ในมาตรา 256 และหมวด 15/1 เข้าสู่สภาฯ หลายฝ่ายยังมองต่างกันว่าจำเป็นต้องจัดหรือไม่

 

พริษฐ์กล่าวว่าในมุมกฎหมาย พรรคก้าวไกลเห็นว่าประชามติ A ไม่มีความจำเป็น และหากยึดตามรัฐธรรมนูญและคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ การทำประชามติ 2 ครั้ง (B และ C) ก็น่าจะเพียงพอแล้ว แต่ในมุมการเมือง พรรคก้าวไกลเห็นว่าการจัดทำประชามติ A นั้นอาจมีประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาความเห็นต่างใน 2 ด้าน

 

(1) ทำให้ “ความเห็นต่างทางกฎหมาย” (ในการตีความคำวินิจฉัยศาล รธน. 4/2564 ว่าจะต้องจัดทำประชามติ A หรือไม่) ไม่เป็นอุปสรรคเหมือนปี 2563-64 ที่สมาชิกรัฐสภาบางส่วนไม่ยอมลงคะแนนเห็นชอบกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่อง สสร. โดยให้เหตุผลว่าเป็นเพราะไม่มีการจัดทำประชามติ A มาก่อน

 

(2) ทำให้ “ความเห็นต่างทางการเมือง” (เช่น เรื่องที่มาและขอบเขตอำนาจของ สสร.) ไม่เป็นอุปสรรคต่อการที่รัฐสภาจะมีฉันทามติร่วมกันในการให้ความเห็นชอบร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่อง สสร. เพราะตนเชื่อว่าทุกฝ่ายจะพร้อมเดินหน้าสนับสนุนร่างที่มีเนื้อหาที่สอดคล้องกับผลของประชามติที่ประชาชนไปออกเสียง

 

ในเมื่อข้อเสนอเดิมของพรรคก้าวไกลเกี่ยวกับคำถามประชามติ A (1 คำถามว่า “ท่านเห็นชอบหรือไม่ว่าประเทศไทยควรมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับแทนที่รัฐธรรมนูญ 2560 โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน?”) ถูกสภาผู้แทนราษฎรปัดตกเมื่อ 25 ต.ค. 2566 พรรคก้าวไกลจึงได้พัฒนาข้อเสนอใหม่เกี่ยวกับคำถามประชามติ A ที่เราได้ยื่นต่อคณะกรรมการศึกษาฯ ของรัฐบาลเมื่อเดือนที่แล้ว

 

พรรคก้าวไกลเสนอว่า การจัดทำประชามติ A (หากจะมีขึ้น) ควรเป็นการถามคำถามทั้งหมด 1+2 คำถาม เพื่อวัตถุประสงค์ในการแก้ไขปัญหาความเห็นต่าง

 

1 คำถามหลัก

 

Q1. “ท่านเห็นชอบหรือไม่ว่าควรมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.)?” (โดยไม่เป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และไม่เป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ)

 

เหตุผล: คำถามหลักควรมีลักษณะเปิดกว้างที่สุด เพื่อสร้างความเห็นร่วมได้มากที่สุด และเป็นคำถามที่ถามถึงทิศทางภาพรวมโดยไม่มีเงื่อนไขหรือรายละเอียดปลีกย่อยที่จะทำให้ประชาชนอาจจะเห็นด้วยกับบางส่วนของคำถามหรือไม่เห็นด้วยกับบางส่วนของคำถาม หรือกีดกันใครออกจากกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

 

2 คำถามรอง

 

Q2.1. “ท่านเห็นชอบหรือไม่ว่า สสร. ควรจะมาจากการเลือกตั้งของประชาชนทั้งหมด?”

 

Q2.2. “ท่านเห็นชอบหรือไม่ว่า สสร. ควรมีอำนาจพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทุกหมวด?” (ตราบใดที่ไม่เป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และไม่เป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ)

 

เหตุผล: คำถามรอง ควรมีลักษณะเฉพาะเจาะจงไปในประเด็นสำคัญที่แต่ละฝ่ายทางการเมืองยังมีความเห็นต่างกันอยู่ เพื่อให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินและหาข้อสรุปด้วยตนเอง โดยที่ทุกฝ่ายในรัฐสภาพร้อมยอมรับและเดินหน้าต่อร่วมกันตามผลประชามติ

 

แน่นอนว่าในส่วนของพรรคก้าวไกล เรามีจุดยืนและคำตอบที่ชัดเจนต่อ 1+2 คำถาม

 

(1) คำถามหลัก: เราเห็นชอบให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดย สสร.

 

(2.1.) คำถามรอง 1: เราเห็นชอบว่า สสร. ควรมาจากการเลือกตั้งของประชาชนทั้งหมด โดยเรามองว่าข้อกังวลจากบางฝ่ายว่า สสร. เลือกตั้งทั้งหมด จะทำให้ สสร. ขาดพื้นที่สำหรับ “ผู้เชี่ยวชาญ” หรือ “กลุ่มความหลากหลาย” เป็นข้อกังวลที่คลี่คลายได้ผ่านการออกแบบระบบเลือกตั้ง โดยยังคงยึดหลักว่า สสร. มาจากการเลือกตั้งของประชาชนทั้งหมด (ปัจจุบัน มีหลายข้อเสนอที่กำลังถูกพัฒนาโดยคณะอนุกรรมาธิการของคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมืองฯ ซึ่งจะเผยแพร่ต่อสาธารณะในเดือนนี้ เช่น การใช้ประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง และเปิดให้สมัครเป็นทีมโดยใช้ระบบบัญชีรายชื่อ / การแบ่ง สสร. ออกเป็นหลายประเภท-หลายบัตรเลือกตั้ง แต่ทุกประเภทยังมาจากการเลือกตั้งทั้งหมด)

 

(2.2.) คำถามรอง 2: เราเห็นชอบว่า สสร. ควรมีอำนาจพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทุกหมวด โดยเรายืนยันว่าการให้ สสร. มีอำนาจพิจารณาเนื้อหาในหมวด 1-2 จะไม่กระทบรูปแบบการปกครองหรือรูปแบบรัฐตามที่บางฝ่ายกังวล เนื่องจากมาตรา 255 ของรัฐธรรมนูญ 2560 กำหนดไว้ชัดว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญใด ๆ จะต้องไม่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองหรือรูปแบบรัฐ รวมถึงการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ผ่านมา (2540 2550 2560) ก็มีการปรับปรุงเนื้อหาในหมวด 1-2 มาโดยตลอด โดยไม่กระทบรูปแบบการปกครองหรือรูปแบบของรัฐ

 

แม้ประชาชนแต่ละคนหรือฝ่ายการเมืองกลุ่มต่าง ๆ อาจมีจุดยืนหรือ “คำตอบ” ต่อ 1+2 คำถาม ที่ต่างจากเรา แต่เราอยากเชิญชวนทุกคนทุกกลุ่มมาเห็นร่วมกับเราว่า “คำถาม” ประชามติที่ตอบโจทย์ที่สุดสำหรับประชามติ A คือ 1+2 คำถามที่เราเสนอ เพราะการตั้งคำถามดังกล่าวจะ (1) มีความชอบธรรมทางประชาธิปไตยเนื่องจากเป็นการให้อำนาจประชาชนตัดสินใจเกี่ยวกับประเด็นสำคัญโดยตรง (2) โอบรับจุดยืนของทุกฝ่าย เนื่องจากไม่ว่าใครจะมีความเห็นอย่างไร ทุกคนสามารถมีตัวเลือกคำตอบในการลงคะแนนหรือออกความเห็นในแต่ละคำถามได้ และ (3) มีส่วนสำคัญในการแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่าง และเพิ่มโอกาสในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้เกิดขึ้นจริงได้

 

เมื่อเราถามคำถามหลักที่กว้าง นั่นหมายความว่าไม่ว่าท่านจะเห็นในรายละเอียดต่างกันอย่างไร แต่หากท่านเห็นตรงกันในภาพรวมว่าควรมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ก็สารถมาลงคะแนนเห็นชอบร่วมกันได้ ขณะที่คำถามรองที่เฉพาะเจาะจง ถ้าเราไม่ถามตั้งแต่ประชามติ A ความเห็นต่างที่ยังมีอยู่ในประเด็นดังกล่าวก็จะยังคงไม่มีข้อสรุป และจะทำให้รัฐสภาหาข้อสรุปได้ยากด้วยเงื่อนไขมาตรา 256 ที่บอกว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญใด ๆ เรื่องรายละเอียดของ สสร. นั้นจะต้องได้ฉันทามติในระดับหนึ่งจากทุกฝ่าย” พริษฐ์กล่าว

 

พริษฐ์ยังกล่าวต่อไปว่าในช่วงบ่ายวันนี้ พรรคก้าวไกลจะมีการเปิดตัวเว็บไซต์ให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมแสดงความเห็นต่อทั้ง 1+2 คำถาม เป็นสนามซ้อมประชามติให้ประชาชนทดลองตอบ สร้างความเข้าใจกับคำถามประชามติ และหากประชาชนเห็นตรงกันกับพรรคก้าวไกล ว่าคำถามแบบนี้จะเป็นวิธีการที่ดีที่สุดที่จะแก้ปัญหาความเห็นต่างที่ยังมีอยู่ในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้มีความชอบธรรมทางประชาธิปไตยได้ ตนก็อยากเชิญทุกคนให้ช่วยกันจับตาและส่งเสียงให้ข้อเสนอดังกล่าวได้รับการสนับสนุนให้ไปถึงรัฐบาลก่อนที่ ครม. จะมีมติเกี่ยวกับการจัดประชามติและคำถามประชามติหลังปีใหม่

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ก้าวไกล #ประชามติ #รัฐธรรมนูญ #วันรัฐธรรมนูญ