“เนชั่นโพล” รอบ 2 เผยผลสำรวจเลือกตั้ง
2566 กลุ่มเสรีนิยมแลนด์สไลด์ ชนะถล่มทลาย เพื่อไทย-ก้าวไกล นำ
“เนชั่นโพล” สำรวจการเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรปี
พ.ศ. 2566
ครั้งที่ 2 ด้วยการลงพื้นที่สำรวจ
เป็นรูปแบบการสำรวจที่น่าเชื่อถือที่สุด ของประวัติศาสตร์การสำรวจหรือทำโพล
และผลโพลเป็นประโยชน์ให้กับพรรคการเมืองต่างๆ ในการปรับยุทธศาสตร์
ช่วงเวลาที่เหลืออีกไม่กี่สิบวันก่อนการเลือกตั้ง ในวันอาทิตย์ที่ 14 พ.ค. 2566
“เนชั่นโพล ครั้งที่ 2”
ณ วันที่ 4 พ.ค. 2566 ภายหลังจากตรวจสอบจำนวนตัวอย่างมากกว่าเป้าหมายที่วางไว้
จำนวน 115,399 ตัวอย่าง แบ่งเป็น กทม.จำนวน 35,969 ตัวอย่าง และภูมิภาค 79,430 ตัวอย่าง
การสำรวจในต่างจังหวัด
367 เขต ทีมลงพื้นที่สำรวจระหว่าง 24 เม.ย. - 3 พ.ค. และการสำรวจใน กทม. 33 เขต
ทีมลงพื้นที่สำรวจระหว่าง 28 เม.ย. - 3 พ.ค. มีค่าความคลาดเคลื่อน (error) ดังนี้ กทม.33
เขต = 3%, เขตเมืองสำคัญต่างจังหวัด 8 เขต = 5%, เขตเลือกตั้ง 359 เขต
= 7%
ผลสำรวจเนชั่นโพล
ครั้งที่ 2
พบว่า จำนวนเขตเลือกตั้งที่พรรคเพื่อไทย
และพรรคก้าวไกลมีคะแนนนำรวมกันอยู่ที่ 326 เขต
สรุปประเด็นสำคัญจากผลเนชั่นโพล
400 เขต 18 ประการ ดังนี้
1.
นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จากพรรคก้าวไกล ก้าวขึ้นมานำ น.ส. แพรทองธาร
ชินวัตร ของพรรคเพื่อไทย ในสัดส่วนของแคนดิเดต (candidate)
ที่คนอยากให้เป็นนายกรัฐมนตรีทั่วประเทศ
ซึ่งใช้เวลาเพียงสองสัปดาห์เท่านั้น จากที่เคยตามหลังอยู่ถึง 17% จากการสำรวจเนชั่นโพลรอบแรก
2.
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จากพรรครวมไทยสร้างชาติ
ยังเป็นอันดับหนึ่งในภาคใต้ 11 จังหวัดที่คนอยากให้เป็นนายกรัฐมนตรี
รองลงมาคือ นายพิธาจากพรรคก้าวไกล ขณะที่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้
(ปัตตานี ยะลา นราธิวาส) นายวันมูฮัมหมัดนอร์มะทา
พรรคประชาชาติคือคนที่ประชาชนในพื้นที่นี้อยากให้เป็นนายกรัฐมนตรีมากที่สุด
3. จำนวนเขตที่พรรคนั้น ๆ มีคะแนนนำ
(ยังไม่ได้หมายถึงผู้ชนะเด็ดขาดในแต่ละเขต) จากทั้งหมด 400 เขต
- เพื่อไทย 247 เขต
- ก้าวไกล 79 เขต
- ไม่แน่ใจ/ยังไม่ตัดสินใจ 18 เขต
- ประชาธิปัตย์ 15 เขต
- ภูมิใจไทย 12 เขต
- ประชาชาติ 12 เขต
- รวมไทยสร้างชาติ 7 เขต
- พลังประชารัฐ 5 เขต
- ชาติไทยพัฒนา 4 เขต
- ชาติพัฒนากล้า 1 เขต
แต่เนื่องจากมีค่าความคลาดเคลื่อน
(error) รายเขต ดังนี้ กทม.33 เขต = 3%, เขตเมืองสำคัญต่างจังหวัด 8 เขต = 5%, เขตเลือกตั้ง 359 เขต = 7%
จึงทำให้พรรคต่าง ๆ ข้างต้นอาจมีจำนวนตัวเลข ส.ส.เขตเปลี่ยนไปจากค่าคลาดเคลื่อน (error)
ของแต่ละเขต โดยมีแง่มุมที่น่าสนใจดังนี้
พรรคฝั่งเสรีนิยมที่เป็นตัวแปร
ได้แก่
เพื่อไทย
มีโอกาสลงมาในระดับ 228 เขต
ก้าวไกล
มีโอกาสลงมาในระดับ 52 เขต
หมายเหตุ
: หมายถึงเขตที่สูสีกัน เพื่อไทย หรือก้าวไกลตกเป็นอันดับ 2 ในเขตเหล่านั้นทุกเขต
พรรคฝั่งอนุรักษ์นิยมที่เป็นตัวแปร
หากรวมคำตอบส่วน “ไม่แน่ใจ/ยังไม่ตัดสินใจ” ที่มาเป็นอันดับ 1
ของเขตนั้น ๆ ที่อาจมีเพิ่มได้ถึง 23 เขต(นับค่า error)
เข้าไปในแต่ละพรรคด้วยแล้วดังนี้
-
ประชาธิปัตย์ มีโอกาสขยับขึ้นระหว่าง 19 ถึง 42
เขต
-
รวมไทยสร้างชาติ มีโอกาสขยับขึ้นระหว่าง 13 ถึง 36
เขต
-
ภูมิใจไทย มีโอกาสขยับขึ้นระหว่าง 16 ถึง 39
เขต
-
พลังประชารัฐ มีโอกาสขยับขึ้นระหว่าง 6 ถึง 29
เขต
-
พรรคชาติไทยพัฒนา มีโอกาสขยับขึ้นระหว่าง 4 ถึง 27
เขต
หมายเหตุ
: หมายถึงว่าพรรคนั้น ๆ ต้องช่วงชิงเขตที่ “ไม่แน่ใจ/ยังไม่ตัดสินใจ”
มาเป็นของตนให้ได้
ที่สำคัญคือ
หากวิเคราะห์เพิ่มเติมลงลึกในรายเขตเลือกตั้ง
พบว่ามีเขตที่คะแนนไล่เลี่ยกันระหว่างอันดับ 1 อันดับ 2 หรืออันดับ
3 ที่ผลการเลือกตั้งสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีนัยสำคัญเมื่อรวมค่าความคลาดเคลื่อน
(error) แล้วถึง 65 เขต จาก 400
เขต โอกาสจึงยังเปิดกว้างสำหรับพรรคต่าง ๆ โดยเฉพาะฝั่งอนุรักษ์นิยม
4.
พรรคก้าวไกลคือ “ตัวตึงการเลือกตั้งระบบเขต” ในครั้งนี้อย่างแท้จริง
จากผลสำรวจโพลรอบนี้ถือเป็นการผงาดขึ้นมาในระบบเขตของพรรคก้าวไกลในทุกภูมิภาค
พบว่าพรรคก้าวไกลสามารถเจาะเขตของพรรคเพื่อไทยในภาคเหนือและภาคอีสานได้หลายเขต
เจาะเขตภาคใต้ของพรรคประชาธิปัตย์และรวมไทยสร้างชาติได้บางเขต
5.
การเมืองบนฐานวัฒนธรรมยังมีบทบาทนำในพื้นที่พิเศษกลุ่ม 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
เนื่องจากพบว่าพรรคประชาชาติสามารถขยายผลในการครองเขตเลือกตั้งเกือบทุกพื้นที่
6.
เกิดปรากฏการณ์ “ทฤษฎีเสาไฟฟ้าหัก และเสาโทรเลขเสียบแทน”
แม้ว่าเสาโทรเลขเคยเตี้ยกว่าเสาไฟฟ้าก็ตาม แต่เมื่อเสาไฟฟ้าหักลง
ในเชิงเปรียบเทียบเสาโทรเลขจึงดูสูงกว่า ซึ่งในภาคใต้ 11
จังหวัด พบว่า เขตที่พรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยแซงพรรคฝั่งอนุรักษ์นิยมนั้น
(ส่วนใหญ่เป็นพรรคก้าวไกล) จะเป็นเขตที่ฝั่งอนุรักษ์นิยมตัดกันเองจำนวนมาก
โดยเฉพาะการตัดฐานเสียงกันระหว่างพรรคประชาธิปัตย์และพรรครวมไทยสร้างชาติ
อาจกล่าวได้ว่าแนวโน้มจากผลโพลพบว่าพรรคขั้วอนุรักษ์นิยมเดิมแม้จะมีความนิยมสูงมากในพื้นที่
แต่เมื่อแข่งกันเองจึงตัดฐานเสียงกันและกัน ทำให้สัดส่วนฐานเสียงแตกกันกระเจิง
พรรคก้าวไกลที่มีความนิยมเพิ่มขึ้นมาจึงพลิกแซงนำในหลายเขต
แต่ถ้าหากนับรวมฐานเสียงฝั่งอนุรักษ์นิยมรวมกันทั้งหมด
ยังมีมากกว่าฝั่งเสรีนิยมรวมกัน ประมาณสองเท่าตัวในพื้นที่ 11
จังหวัดภาคใต้
7.
การสำรวจเนชั่นโพลครั้งที่ 2 นี้
พบปรากฏการณ์บ้านใหญ่ฝั่งอนุรักษ์นิยมกุมขมับทั่วไทย ประสบภาวะล่มสลาย
มีเพียงบางแห่งที่ฝ่ากระแสมาได้ อาทิ พะเยายกจังหวัด สุพรรณบุรี เป็นต้น
8.
เมืองหลวงพรรคการเมืองสำคัญถูกตีแตกทุกแห่ง อาทิ
บุรีรัมย์ของภูมิใจไทย เชียงใหม่ของเพื่อไทย สงขลาของประชาธิปัตย์
สุพรรณบุรีของชาติไทยพัฒนา เป็นต้น
ซึ่งแสดงถึงความเป็นเจ้าของพื้นที่หนึ่งเดียวในจังหวัดนั้น ๆ
ที่ครอบครองมายาวนานเริ่มสั่นคลอน
9.
พื้นที่ 33 เขตในกรุงเทพมหานคร
มีเพียงสองพรรคที่ครอบครองการนำในพื้นที่ ได้แก่ เพื่อไทยและก้าวไกล
โดยพรรคเพื่อไทยมีสัดส่วนในการเป็นพรรคนำของเขต มากกว่าก้าวไกล
และยังมีเขตที่ยังเปลี่ยนแปลงผลได้อีกอย่างน้อย 4 เขต
10.
กลุ่มคนที่ไม่ตัดสินใจเลือก
ส.ส.ระบบเขตเลือกตั้งลดลงอย่างมากในการสำรวจโพลรอบสองเมื่อเทียบกับการเก็บข้อมูลเนชั่นโพลรอบแรก
โดยลดลงเหลือ 8.65% จากเดิมราว ๆ 32 % เป็นไปตามทฤษฎีการเลือกตั้งที่ยิ่งใกล้วันเลือกตั้ง
ผู้ลงคะแนนจะยิ่งมีความชัดเจนในการตัดสินใจ แต่ในแง่ความมั่นคงในการตัดสินใจเลือก
ยังมีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้จนถึงวันลงคะแนนจริง
11.
นับเป็นการวางยุทธศาสตร์ที่ผิดพลาดของฝั่งอนุรักษ์นิยมที่ไม่สามารถสมานสามัคคีทางยุทธศาสตร์เลือกตั้งตั้งแต่แรกเริ่ม
แต่มุ่งแข่งขันกันเองจนทำให้ภาพรวมจำนวน ส.ส.ระบบเขตได้รับผลกระทบอย่างหนัก
ปรากฏชัดเจนจากการที่ภาคใต้ 11 จังหวัด
คะแนนตัดกันเองระหว่าง ปชป. รทสช. พปชร. หลายเขต
12.
จากทิศทางเนชั่นโพลทั้งรอบหนึ่งและรอบสอง
ไม่มีปาฏิหาริย์ให้กับพรรคอื่น พรรคเพื่อไทยนำโด่งชนะเลือกตั้งแบบถล่มทลายในวันที่
14 พฤษภาคมนี้ แม้ว่าพรรคก้าวไกลจะมาแรงในช่วงท้ายก็ตาม
13.
มีหลายเขตจำนวนมากในต่างจังหวัดที่คะแนนอันดับหนึ่งและสองหรือสามห่างกันไม่เกิน
7% ตามค่าความคลาดเคลื่อน (error) ในการสำรวจโพลรอบนี้
นั่นหมายความถึงช่วงโค้งสุดท้ายในอีก 11 วันที่เหลือ
สามารถพลิกผันได้ทุกเมื่อในเขตเหล่านี้
14.
ข้อสังเกตจากทีมลงพื้นที่
พบว่ามีคนจำนวนมากให้ข้อมูลในระดับที่มีนัยสำคัญว่ายังมีเวลาอีกหลายวันกว่าจะถึงวันเลือกตั้ง
จึงรอดูก่อนว่าใครให้มากกว่า ดังนั้นปัจจัยธนกิจการเมือง (money politics) ยังปรากฏอยู่ในการเลือกตั้งครั้งนี้และอาจเป็นตัวแปรหนึ่งในการเปลี่ยนเกมชิงความได้เปรียบช่วงโค้งสุดท้าย
15.
วันสิ้นสุดในการสำรวจโพลจนถึงวันเลือกตั้งมีช่วงเวลามากถึง 11 วัน ซึ่งเป็นระยะเวลายาวนานเพียงพอที่พรรคการเมืองต่าง ๆ
จะวางยุทธศาสตร์แก้เกมส์เพื่อดึงคะแนนเสียงสู่พรรคตนและเปลี่ยนผลคะแนนได้
จึงขึ้นกับว่าพรรคใดจะทำได้ดีกว่ากันในช่วงสัปดาห์สุดท้าย
และเมื่อสังเกตจากกระแสพรรคก้าวไกลช่วงก่อนสงกรานต์และหลังสงกรานต์ยังสามารถเปลี่ยนจากหลังมือเป็นหน้ามือ
โดยใช้เวลาเพียงไม่ถึงสองสัปดาห์ ดังนั้น
ช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งจึงมีช่วงเวลายาวนานเพียงพอในการปรับกลยุทธ์งัดทีเด็ดในการหาเสียงของพรรคต่าง
ๆ
16.
แนวโน้มฐานเสียงข้ามขั้วเริ่มมีบ้างแล้วจากการสำรวจโพลรอบสอง
ซึ่งอาจซ้ำรอยปรากฏการณ์ “ชัชชาติแลนด์สไลด์” เมื่อปีที่แล้ว
เพียงแต่ไม่ได้ตกอยู่กับพรรคใดพรรคหนึ่งเด็ดขาด
แต่เป็นลักษณะขั้วใหญ่แทนคือปรากฏการณ์เสรีนิยมแลนด์สไลด์
17.
ถ้าทิศทางและปัจจัยเงื่อนไขยังเป็นไปตามเนชั่นโพลรอบสองนี้
ไม่มีปัจจัยพิเศษอย่างอื่นแทรกแซงในช่วงที่เหลือ อาจจะได้เห็นพรรคก้าวไกลได้
ส.ส.เขตยกจังหวัดเกิดขึ้นครั้งแรก
18.สรุปแนวโน้มจากเนชั่นโพลรอบสอง
-
แนวโน้มเป็นความพ่ายแพ้ของฝ่ายอนุรักษ์นิยมโดยสิ้นเชิง
-
ขั้วฝ่ายเสรีนิยมก้อนใหญ่มีฐานเสียงที่เติบโตขึ้นจากเดิมในช่วงโค้งสุดท้าย
-
รัฐบาลหน้า ฝั่งเสรีนิยมมีโอกาสตั้งรัฐบาลรวมกันเกิน 300 เสียง
(ถ้าสามารถรวมกันได้จริง)
ที่มา
: ฐานเศรษฐกิจ
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #เนชั่นโพล #เลือกตั้ง66