วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

ธิดา ถาวรเศรษฐ : 13 ปี การต่อสู้ของ นปช. (1)




การปรากฏตัวของการต่อสู้ของประชาชนในปี 2549 เป็นการปรากฏตัวของผู้ไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร จึงมีหลากหลายกลุ่ม หลายวัย หลายอาชีพ ทั้งปัญญาชน ชนชั้นกลาง มวลชนพื้นฐาน คนจนเมือง ไม่ใช่เกิดจากเฉพาะฝ่ายการเมืองที่รักทักษิณ ตรงข้ามในตอนต้นกลุ่มคนรักทักษิณยังไม่ปรากฏ มีกลุ่มคนต่อต้านรัฐประหารเป็นหลัก และแม้แต่ฝ่ายที่มาจากพรรคไทยรักไทยคือ คุณวีระกานต์ มุสิกพงศ์ พร้อมคุณณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และคุณจตุพร พรหมพันธุ์ ก็ออกมาต่อต้านรัฐประหารเป็นหลัก ไม่ใช่รักหรือเกลียดคุณทักษิณ นี่เป็นประเด็นสำคัญอันแรกที่ฝ่ายรักประชาธิปไตยด้วยกันก็ยังรับเอาวาทกรรมของฝ่ายตรงข้ามมาเป็นวาทกรรมของตนเองด้วย

ชื่อ “แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ” มันบ่งชี้ชัดอยู่แล้วว่า นปก. เกิดมาเพื่อวัตถุประสงค์อะไร จึงเกิดแนวร่วมต่อต้านรัฐประหารหลวม ๆ ตั้งแต่ต้น จากสนามหลวงในปี 2549, 2550, 2551 ถึง 2552 กลุ่มต่าง ๆ ที่มาร่วมกันก็มีทั้งมาร่วมในฐานะองค์กรแนวร่วมที่มีรูปการ มีหลักนโยบาย มีแนวทางยุทธศาสตร์ และมีทั้งที่ร่วมด้วยและแยกจากไป เพราะไม่เห็นด้วยกับแนวทางและการนำของ นปช. ที่แข็งแรงและเป็นเอกภาพกว่าเดิม

เราจำเป็นต้องพูดให้ชัดเจนว่า การปรับปรุงองค์กรมาจากการสรุปบทเรียนจากความสับสนไม่เป็นเอกภาพในการนำและนโยบาย เราพยายามปิดจุดอ่อนโดยในหลักนโยบายพูดชัยเจนในข้อแรก คือ เป้าหมายของ นปช. ในเรื่องการเมือง คือต้องการระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และหนทางการต่อสู้ใช้ “สันติวิธี” หมายความว่า เราขีดเส้นใต้ชัดเจน ไม่มีการใช้อาวุธ ไม่มีเรื่องล้มเจ้า และนี่คือหลักการที่เรามีมติร่วมกัน ถ้าเป็นการนำ นปช. ต้องอยู่ภายใต้หลักการนี้  เราได้เปิดโรงเรียน นปช. ทั่วประเทศ ย้ำแนวนโยบาย ยุทธศาสตร์ 2 ขา ทั้งเวทีรัฐสภาและขบวนการประชาชน ทำความเข้าใจกับมวลชนและแกนนำท้องถิ่นต่าง ๆ ใครไม่ชอบนโยบาย เขาก็เป็นแดงอิสระ ไม่ขึ้นกับ นปช. ไม่เกี่ยวกับ นปช. นั่นเอง

หลักการข้อนี้ต้องมาย้ำเพื่อตอบโต้การกล่าวหา นปช. มีกองกำลังอาวุธ การก่อการร้าย ชายชุดดำ หรือแนวคิด แก้ว 3 ประการ ของคนบางส่วน ว่าไม่ใช่แนวทาง ไม่ใช่หนทางต่อสู้ของ นปช. เพราะนี่ไม่ใช่การปฏิวัติเพื่อเปลี่ยนระบอบ เรายังมุ่งสู่ระบอบประชาธิปไตย พรรคการเมืองที่เป็นมิตรร่วมกันต่อสู้ก็ไม่ใช่พรรคปฏิวัติของชนชั้นกรรมาชีพ แต่เป็นพรรคการเมืองในระบบทุนนิยม (โลกาภิวัตน์) เพื่อระบอบเสรีประชาธิปไตย แก้ว 3 ประการ เป็นเรื่องของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เป็นขบวนการปฏิวัติที่ต่อสู้ด้วยอาวุธ มีแนวร่วมประชาชาติประชาธิปไตย (ต่อสู้กองทัพญี่ปุ่น) และมีกองทัพปลดแอกประชาชนจีน ไม่ใช่ นปช. ซึ่งมียุทธศาสตร์ 2 ขา ทั้งเวทีรัฐสภาและขบวนการประชาชนเพื่อประชาธิปไตย การปรับขบวนในปลายปี 2552 และเปิดโรงเรียน นปช. จนถึง 12 มีนาคม สร้างความเข้มแข็งในการนำพาประชาชนจำนวนมากในการต่อสู้ปี 2553 ซึ่งนำมาสู่โศกนาฏกรรมครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย การนำด้วยหลักการ แนวทางนโยบาย ที่ปรับมาแล้ว แต่เมื่อเผชิญการต่อต้านครั้งใหญ่จากเครือข่ายอำมาตยาธิปไตย ซึ่งมีทั้งพรรคการเมืองอนุรักษ์นิยม หน่วยงานความมั่นคง กองทัพ และข้าราชการอดีตข้าราชการระดับสูง ล้วนเป็นตัวแทนชนชั้นนำ จารีตนิยม อำนาจนิยม ทำสงครามครั้งใหญ่เพื่อจัดการกับผู้เรียกร้องระบอบประชาธิปไตยจริง ไม่ใช่แบบปลอม ๆ แบบไทย ๆ ซึ่งจริง ๆ คืออำมาตยาธิปไตย  จนในที่สุดพบว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และศอฉ. ใช้การทหารเพื่อเอาชนะประชาชน ไม่ใช้การเจรจาเพื่อยุติการประท้วง คนไม่มีอาวุธมากี่หมื่นกี่แสนคน พบคนมีอาวุธ (ร่วม 67,000) พลซุ่มยิง และใช้ยุทธการการรบในเมืองเต็มรูปแบบ แน่นอนว่าประชาชนต้องเป็นฝ่ายสูญเสีย จนทำให้แกนนำต้องยอมยุติการชุมนุม เพราะทนดูการตาย บาดเจ็บ ของพี่น้องประชาชนไม่ได้ เราใช้วิธีการประชาชนในระบอบประชาธิปไตย แต่รัฐบาลใช้วิธีการทหารจัดการประชาชน เหมือนปฏิบัติการต่อฝูงสัตว์ที่เลือกยิงได้ตามชอบใจโดยไม่มีเหตุผล

สุดท้ายเพื่อทำให้การสังหารประชาชนดูชอบธรรม วาทกรรมควายแดง, ล้มเจ้า, ชายชุดดำ, เผาบ้านเผาเมือง ก็เกิดขึ้นโดยปฏิบัติการ IO เต็มรูปแบบ เพื่อให้คนที่ไม่รู้ข้อมูลเชื่อตามที่รัฐโฆษณา

ความจริงจากการไต่สวนการตายจำนวนหลายสิบศพ ถ้าใครติดตามจะพบผลไต่สวนเป็นคำวินิจฉัยคำสั่งศาลพูดชัดเจนว่า ไม่พบการต่อสู้ใด ๆ จากประชาชน อาวุธที่ไปงมจากสระวัดปทุมวนารามก็ไม่น่าเชื่อว่าเป็นของประชาชน (แปลว่าไปสร้างเรื่องเท็จป้ายสีคนเสื้อแดง) ไม่พบร่องรอยการต่อสู้และกระสุนจากประชาชน สำหรับอาวุธปืนทหารที่ส่งมาให้ตรวจ ศาลก็บอกว่าน่าเชื่อว่าไปเปลี่ยนมาหมดแล้ว (ไม่ให้ตรงกับชนิดกระสุนในบาดแผล) ไม่มีเขม่าดินปืนในทุกศพ ตรวจภาพเคลื่อนไหวทหารที่ยืนซุ่มยิงและที่ยิงจากรางรถไฟฟ้า ไม่มีการหลบกระสุน ไม่มีรอยกระสุนใด ๆ  จนบัดนี้การกล่าวหาชายชุดดำก็ยกฟ้องไปส่วนใหญ่ มีบางคนก็มีข้อหาพกอาวุธปืนในที่สาธารณะเท่านั้น การเผาเซ็นทรัลเวิลด์ก็ชัดเจนว่าไม่เกี่ยวกับ นปช. หรือ ผู้ชุมนุมเสื้อแดง ยกฟ้องไปหมด (แล้วใครเผา มือที่สาม ที่สี่ หรือ?)  แม้แต่ตลาดหลักทรัพย์บริษัทประกันต้องจ่าย เพราะศาลเห็นว่าไม่ได้มาจากผู้ชุมนุม ไม่ได้มาจากการก่อการร้าย

ความจริงเหล่านี้ คนที่ติดตามข่าวคราวเพื่อความจริงความยุติธรรมย่อมทราบได้ แต่ปรากฏว่าคนที่ยืนอยู่กับระบอบอำมาตยาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข สาวกขนานแท้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหรือพลพรรค กปปส. หรือ สลิ่มในวงกรทั้งหลาย ไม่สนใจความจริงที่จะทำให้พวกเขาหมดความชอบธรรมในกรณีทุ่งสังหาร ยุทธการราชประสงค์และราชดำเนิน

ก็จะเอาความเชื่อตามที่รับฟังมาจากผู้นำความคิดของพวกเขา ไม่ต้องหาข้อมูลอะไรอีกแล้ว ตามนั้นแหละ ว่าพวกนี้สมควรตาย เพราะเป็นพวกติดอาวุธ มีกำลังอาวุธ ล้มเจ้า เผาบ้านเผาเมือง

คนมาเป็นแสน อยู่กัน 2 เดือน ถ้ามีกองกำลังอาวุธจริง ติดอาวุธจริง และคิดจะเผาบ้านเผาเมืองจริง ถามว่า...กองทัพไทยจะเอาอยู่ไหม? ใช่...คงตายเป็นหมื่นเป็นแสน เพราะเราไม่ต้องเช่นนั้น เราเลือกหนทางที่ไม่ต้องการสูญเสีย แต่เพราะเราสู้กับนักการเมืองที่ไม่มีสปิริตของพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ผู้นำรัฐบาลที่เห็นประชาชนไม่ใช่คนไทยเหมือนกัน กองทัพและองค์กรอิสระที่ไม่ยึดหลักการระบอบประชาธิปไตย ไม่ยืนอยู่ข้างประชาชน

ผลลัพธ์จึงเป็นเช่นนี้!!!

เราต้องเผชิญกับสถานการณ์ร้ายสุด ๆ สังหารประชาชนปี 52, 53 ทดสอบแกนนำ ทดสอบองค์กร ทดสอบขบวนการประชาชน ว่าจะยืนหยัดได้อย่างไร และส่งไม้ต่อให้กับคนรุ่นใหม่อย่างไร ให้ขบวนการประชาธิปไตยยังแข็งแรงเติบใหญ่ต่อไป

ส่วนแกนนำยังต้องพบคดีความอีกมากมายทั้งแพ่งและอาญา ขณะที่ผู้นำมวลชนฝ่ายระบอบอำมาตยาธิปไตยและพรรคการเมือง ยังดูเหมือนว่าจะเผชิญชะตากรรมไม่หนักหนา (เพราะเป็นคนของคนดีมีอำนาจหรือไม่?)

มีคนนินทาว่า “สู้แล้วรวย” “สู้แล้วได้เป็นรัฐมนตรี” นี่ก็น่าจะเป็นวาทกรรมที่ฝ่ายปฏิปักษ์ประชาธิปไตยใช้ทำลายขบวนการนำของฝ่ายประชาธิปไตย...หรือเปล่า? ต้องระมัดระวังว่าในฝ่ายประชาธิปไตยด้วยกันจะนำวาทกรรมนี้มาขยายให้เกิดปัญหาในขบวนตามความประสงค์ของฝ่ายตรงข้าม...หรือเปล่า?

รวยแค่ไหนไม่รู้ ได้เป็นรัฐมนตรีก็เป็นเพียงคนเดียว ดูแล้วก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไร และที่ชัด ๆ แน่ ๆ คือ คำพิพากษาซึ่งกำลังเรียงมาอาจจะทยอยเข้าคุกตามลำดับ  นี่ไม่ใช่เรื่องเคราะห์กรรมส่วนตัวของใคร แต่เป็นเคราะห์กรรมของประเทศไทย

คนรุ่นใหม่ก็ต้องทวงถามความยุติธรรมและทำความจริงให้ปรากฏ ต่อยอดการต่อสู้ของขบวนการประชาชนและ นปช. ต่อไปอีกเหมือนที่เราได้สืบทอดเจตนารมณ์ของนักต่อสู้รุ่นเก่าที่ผ่านมายาวนานร่วมหลายสิบปีมาแล้ว

22 พ.ค. 63

ยังมีต่อ....