วันอังคารที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2567

“อ.ธิดา” ยกย่อง “ทนายอานนท์” เป็นบุคคลที่เชื่อมประวัติศาสตร์ยุคคนเสื้อแดงกับเยาวชนรุ่นใหม่ เป็นบุคคลที่อยู่ในใจประชาชน




“อ.ธิดา” ยกย่อง “ทนายอานนท์” เป็นบุคคลที่เชื่อมประวัติศาสตร์ยุคคนเสื้อแดงกับเยาวชนรุ่นใหม่ เป็นบุคคลที่อยู่ในใจประชาชน


ถอดเทปจากรายการ THAIRATH NEWSROOM

เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2567

ดำเนินรายการโดย : พงศ์เกษม สัตยาประเสริฐ (กาย)

ลิ้งค์ยูทูป : https://www.youtube.com/watch?v=fe3V3Kcar_Q


“ทนายอานนท์” ในความทรงจำที่ต่อสู้กันมาเขาเป็นทนายตั้งแต่เป็นเสื้อแดงใช่มั้ยครับอาจารย์ เป็นทนายที่มีอุดมการณ์ อาจารย์มีอะไรอยากจะแชร์กับคุณผู้ชมที่ติดตามอยู่ด้วย


คือ “อานนท์” เป็นผู้ที่เหมือนกับเชื่อมต่อประวัติศาสตร์การต่อสู้ของในยุคคนเสื้อแดงกับคนรุ่นใหม่ เพราะว่าอานนท์เป็นคนเสื้อแดง แต่เป็นลักษณะหนุ่มหน่อย ไม่ใช่คนรุ่นก่อน แล้วเขาก็มาเป็นทนายในคดีก่อการร้ายนะ ก็คือหลังจากการถูกปราบ คือเราเข้าใจว่าในช่วงชุมนุม “อานนท์” ก็เป็นคนเสื้อแดง ก็เข้าร่วมเป็นผู้ชุมนุม หลังจากถูกปราบแล้วก็มีการจับกุมคุมขัง ในขณะนั้นแกนนำต้องถูกคุมขัง คือคนที่ถูกจับกุมคุมขังคดีทั้งหมดประมาณ 4 พันกว่า แล้วก็ลด ๆ ๆ ไปจนกระทั่งเหลือคนที่ไม่ได้ประกันตัวก็เหลือ 40 คนในตอนนั้น คือตอนนั้นอาจารย์เป็นประธานนปช.ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 2553 จนถึง 15 มี.ค. 2557


ในช่วงนั้นเวลาแกนนำที่ถูกฟ้องข้อหาก่อการร้าย คือเขาเอาให้หนักเลยคือก่อการร้าย ซึ่งแรงกว่าภาคใต้นะ อันนั้นเขาเรียกว่าผู้ก่อความไม่สงบ นี่ก่อการร้ายเลย กะเอาให้ตายเลย แล้วก็เอาการ์ดต่าง ๆ ที่ไม่รู้จักจับมารวมกันหมด นอกจากทนายของกลุ่มแกนนำแล้ว ก็มีทนายของมวลชนต่าง ๆ “อานนท์” ก็เป็นทนายคนหนึ่งที่ร่วมอยู่ในคดีก่อการร้าย


ดังนั้นถ้าพูดในเชิงประวัติศาสตร์ของการต่อสู้คือ “อานนท์” เขามีจิตใจเช่นนี้มาก่อนหน้านี้แล้ว คือหลายคนอาจจะมาได้ยินชื่อเขาในช่วงที่มีการเคลื่อนไหวของรุ่นเยาวชนปี 2563 แต่ในความเป็นจริงนั้นอย่างที่บอกว่าเขาเริ่มมาก่อน แล้วในช่วงระหว่างหลังปี 2553 คดี 112 มันเริ่มมีตั้งแต่ในยุคเสื้อแดง ตอนที่คดีของ “อากง” ทนายอานนท์ก็มาช่วยอีกคนหนึ่งนอกจากคุณพูนสุข เพราะฉะนั้นก็แสดงว่ามันเป็นความปรารถนาของเขาเองที่จะเข้ามาร่วมในการทวงความยุติธรรมสำหรับคนที่ถูกคุมขังมาตั้งแต่ครั้งคนเสื้อแดง จนกระทั่งมาจนถึงคนรุ่นใหม่ เพราะตั้งแต่คดีอากง ซึ่งเป็นคดีที่คลาสสิคมาก ๆ มันเรียกว่ามันยิ่งน่าร้องไห้มากกว่า เพียงแต่ว่านั่นเป็นคนแก่ซึ่งไม่รู้อะไรเลย ใช้อะไรสื่อสารก็ไม่เป็นแล้วโดนไป 20 ปี ปรากฏว่าแกเสียชีวิต ทั้ง ๆ ที่แกเป็นมะเร็ง แกไม่ได้รับโอกาสในการดูแลอย่างดีเลยจนกระทั่งท้องมาร มาลงตับ แล้วก็ในที่สุดไม่ได้รับการดูแลอย่างดี อย่างมากเขาก็ให้ยาขับปัสสาวะ ประมาณอย่างนั้น จนในที่สุดก็เสียชีวิต แล้วก็เกิดคำพูดคลาสสิคของภรรยาเขาบอกว่า “กลับบ้านเถอะ เขาปล่อยเองแล้ว” หมายความว่า ภรรยาพูดถึงอากง อันนี้ก็เป็นชาวบ้าน


เพราะฉะนั้นในยุคของคนเสื้อแดง คดี 112 ก็มีเยอะแล้ว มาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ “อานนท์” ตัวดิฉันเองก็รู้สึกว่าเขาได้มีความตั้งใจด้วยตัวเขาเอง ไม่ใช่ว่าเพราะกระแสของคนรุ่นใหม่แล้วเขามาร่วมนะ คือเขาสู้อยู่ก่อนแล้ว คือบางครั้งแน่นอนอาจจะมีบางคนบอกว่า “ตามกระแสหรือเปล่า?” แต่คิดว่าอย่างอานนท์นี้ไม่ใช่ เพราะเขาเริ่มจากผู้ชุมนุม แล้วเป็นทนาย แล้วมาร่วมตั้งแต่คดีก่อการร้ายและ 112 เขาเลือกทางเดินของเขามายาวนานแล้ว ไม่ใช่ว่าพอเยาวชนกระแสสูงแล้วก็เลยมาร่วมด้วย ไม่ใช่อย่างนั้น


เราถือว่า “อานนท์” ก็เป็นบุคคลที่เชื่อมระหว่างยุคของการต่อสู้ของชาวบ้านกับรุ่นเยาวชนคนรุ่นใหม่ แล้วเขาอยู่ในสถานะที่เรียกว่าเมื่อถูกปราบแล้วเขาก็เข้ามาร่วมแถวหน้าเลย ในความรู้สึกตัวเองก็ชื่นชม เมื่อวันก่อนที่ไปงานชมรมโดมรวมใจก็ได้พบภรรยาและลูกเขา คือมันก็ขมขื่น แต่ว่าดูเหมือนเขาก็ยอมรับสภาพที่มันเกิดขึ้น แต่ว่าด้วยจิตใจที่เขากล้าต่อสู้กล้าเสียสละ


ทีนี้มาฟังติดใจนิดหนึ่งที่ของคุณสรยุทธ คือคำว่า “บุคคลแห่งปี” แกนึกว่าเป็นคนในข่าว คือถ้ามีข่าวดังมากแล้วเป็นบุคคลแห่งปี แต่ในทัศนะอาจารย์นะ คนที่โหวตให้ “อานนท์” เป็นบุคคลแห่งปีเขาไม่ได้คิดอย่างนั้นนะ เป็นบุคคลที่ทรงคุณค่า เขาถึงโหวต แต่ว่าในแนวคิดของข่าวซึ่งฟังจากที่คุณสรยุทธพูดประมาณว่า เขาแปลกใจว่าช่วงหนึ่งคุณอานนท์ข่าวก็ไม่มี แต่กลายเป็นถูกเสนอชื่อ แปลว่าคนที่โหวตเขาไม่ได้โหวตเพราะว่าจะต้องมีข่าวดัง แต่เป็นบุคคลที่เขายกย่อง มันอาจจะตีความต่างกันนะ มันไม่ใช่บุคคลที่มีข่าวถูกพูดถึงมาก แต่เป็นบุคคลที่เขายกย่อง


เพราะฉะนั้นฝากไปถึงคุณสรยุทธด้วยว่า ที่คุณสรยุทธบอกว่าจะเอาไปพิจารณา จริง ๆ มันเป็นเรื่องที่ประชาชนโหวตนะ ไม่เห็นต้องพิจารณาเลย ในความคิดของดอาจารย์นะว่า ไม่ใช่เป็นบุคคลในข่าว แต่เป็นบุคคลในใจของประชาชน


จุดสำคัญคือเขาเชื่อมประวัติศาสตร์ เขาตั้งใจที่จะมามีส่วนร่วมตั้งแต่แรก ๆ ที่เขายังเรียนไม่จบ เป็นคนเสื้อแดง แล้วจนกระทั่งมาเป็นทนายคนเสื้อแดง ก็เป็นทนายเล็ก ๆ คนหนึ่ง จนกระทั่งมาเป็นทนายของคดี 112 ของอากงด้วย อย่างนี้แปลว่าเขามีเส้นทางที่เขาตั้งใจเดินอยู่แล้ว แต่ว่าพอมาถึงจุดนี้ ส่วนหนึ่งอยากจะพูดถึงคนรุ่นใหม่และโดยเฉพาะ “อานนท์” ที่ถูกคดีมากนั้น ส่วนหนึ่งเป็นความเสียสละของเขานะ เพราะว่าเรื่องราวของคนเสื้อแดงมันคงจะไปตรึงหัวใจเขาว่าประชาชนถูกฆ่า ประชาชนถูกจัดการ มันกลายเป็นว่าคนรุ่นใหม่อาจจะมองว่าแฟลชม็อบก็ตาม ก็กลายเป็นว่าจำนวนคดีมันมากไง คือถ้าต่อสู้ยืดเยื้อรวมกันมันก็เป็นคดีเดียว แต่มาเดี๋ยวนี้แต่ละคน ของอานนท์ก็ 20 กว่าคดี 25 คดี และเป็น 112 อยู่ 10 กว่าคดี


จำนวน 25 คดีก็คือ มีการชุมนุมหลายรอบ อยากจะบอกว่ายุทธวิธีที่เซฟประชาชน มันกลายเป็นว่าแกนนำของคนรุ่นใหม่ถูกกระทำโดยที่ใช้ภาษาว่า “นิติสงคราม” ก็คือถูกคดีมาก แต่ว่าในยุคของรุ่นคนเสื้อแดง ปี 2553 ก็ 2553 คือเหมาไปเลย มันก็ยืดเยื้อไปเลย แต่ประชาชนบาดเจ็บล้มตาย อาจารย์จำได้ว่า “อานนท์” เขาเคยพูดว่าเขาจะไม่ลืมสิ่งที่เกิดขึ้นในปี 2552-2553 ในช่วงที่มีการชุมนุมถ้าเราจำได้ ครั้งแรกรู้สึกว่าไปทำเนียบ เขาก็ตัดสินใจว่าจะอยู่ต่อหรือเปล่า? แต่ภาพที่ประชาชนถูกจัดการในปี 2552-2553 ทำให้เขาตัดสินใจเลิก!!! นั่นคือ 1 คดี แล้วพอมาจัดกิจกรรมหลังจากนั้นคดีมันก็มากขึ้น


อยากจะบอกว่าคนรุ่นใหม่หวังจะเซฟมวลชน ไม่ต้องการชุมนุมยืดเยื้อ แต่ว่าตัวเองถูกกระทำด้วยคดีเป็นจำนวนมาก ตัวอาจารย์เองก็อยากยกย่องสรรเสริญ เพราะว่าจากปากของ “อานนท์” ก็รู้ว่าเขาคิดไม่อยากให้มันเกิดเหมือนปี 2553 เขาก็เลยยุติการชุมนุม



การต่อสู้ของผู้ต้องขังในคดีการเมืองเปรียบเทียบกับตอนสมัยช่วง 2552-2553 มันมีความแตกต่างกันอย่างไร?


ประการแรกเลย รุ่นหลังเป็นการนำโดยส่วนใหญ่ก็เป็นปัญญาชน “อานนท์” ต้องถือว่าเป็นปัญญาชนแล้ว อาจารย์ว่าความแตกต่างมีสูงมาก ขบวนการของการต่อสู้ของคนรุ่นหลังจะเป็นปัญญาชน คนรุ่นแรกส่วนใหญ่ขบวนการนำจะเรียกว่ามีปัญญาชนอยู่มันน้อยมาก กำลังหลักเป็นชาวบ้าน เป็นมวลชนในชนบท แม้กระทั่งแกนนำต่าง ๆ อาจารย์ก็เลยทำโรงเรียนผู้ปฏิบัติงานการเมืองทั่วประเทศเลย แล้วก็รู้สึกภาคภูมิใจมากที่เราสามารถทำให้ชาวบ้านเป็นต้นไม้หรือเป็นดินที่มันเจริญงอกงาม ถ้าเอาไมค์ไปถามเขาสามารถพูดได้หมดเลย มีความแตกต่างว่าส่วนใหญ่เป็นชาวบ้าน


อีกอันหนึ่งก็คือ ข้อที่ดีกับข้อที่เสียแล้วแต่ท่านผู้ชมจะพิจารณา ในการชุมนุมในอดีตมันใกล้ชิดกับพรรคการเมืองมาก คนอาจจะพูดได้ว่าถูกครอบงำในส่วนสำคัญ มันกลายเป็นว่าขบวนการประชาชนในครั้งนั้น “เสื้อแดง” ถูกด้อยค่าในสายตาปัญญาชน NGO แม้กระทั่งต่างประเทศ ประมาณเหมือนกับว่าอยู่ในอาณัติของพรรคการเมือง ภาพลักษณ์ในสังคมภายนอกและแม้กระทั่งปัญญาชนมันจะไม่ดีเท่าไร ประกอบกับการเกิดขึ้นของขบวนการช่วงนั้นมันมีเกิดเหลือง มีเกิดแดง เพราะมันมีต่อต้านรัฐประหาร


แต่ที่น่าเศร้าก็คือปัญญาชนยุคก่อนไม่เหมือนกับปัญญาชนยุคหลัง ปัญญาชนยุคก่อนกลับยอมรับการทำรัฐประหาร รู้สึกว่าถ้าอยู่กับทุนสามานย์มันจะแย่กว่า จึงยอมรับการทำรัฐประหาร แต่อาจารย์เป็นคนที่ไม่ว่าฝ่ายการเมืองจะเป็นคนอย่างไร คุณใช้กฎหมาย แต่ไม่สามารถยอมรับการทำรัฐประหารได้ ฉะนั้น เฉพาะปัญญาชนที่ไม่ยอมรับการทำรัฐประหารได้ แล้วมาร่วมกับขบวนประชาชนนี้มันจึงมีน้อยมาก นี่เป็นเรื่องที่น่าเศร้า ถ้าตอนนั้นปัญญาชนไทยเหมือนกับปัญญาชนเยาวชนรุ่นหลังตอนนี้นะ โอ๊ะ!!! ประเทศไทยเปลี่ยนไปมากเลย เพราะว่ามวลชนพื้นฐานมีการตื่นตัวมาก


ดังนั้นมันก็มีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน แต่เอาความแตกต่างว่ามันสัมพันธ์กับพรรคการเมือง ก็ทำให้มีปัญหาว่าบางครั้งอาจจะถูกมองว่าใครใช้ใครเป็นเครื่องมือ และเนื่องจากมันเป็นแนวร่วม มันก็ต้องมี “แสวงจุดร่วมสงวนจุดต่าง” อย่างอาจารย์ก็มีความคิดเห็นแตกต่างกันมาก แกนนำก็มาจากสายการเมือง พอมาจากสายการเมืองเขาก็ต้องไปตามวิถีทางการเมือง ขบวนการมันก็จะคล้าย ๆ กับว่า อาจจะเชื่อมโยงกับพรรคการเมืองมากเกินไป แต่ว่าภายในก็มีการต่อสู้กันมาก


เพราะฉะนั้น ขบวนการของเยาวชนรุ่นหลังที่ทำมันเป็นอิสระมากกว่า ในทัศนะของอาจารย์นะ ก็คือว่า อาจารย์ก็เคยเตือนนะว่าถ้าใครจะมาเป็นแกนนำ ถ้าคุณจะไปพรรคการเมืองก็ไปเลย อย่าให้เหมือนกับในอดีตที่ว่า 2 ขา แต่ส่วนใหญ่เป็นขาเดียว อาจารย์ก็ยืนขาเดียวคืออยู่ขบวนการประชาชน แต่ที่เราบอก 2 ขาก็คือหมายความว่าวิถีทางรัฐสภาคุณมีสิทธิ์จะไปสนับสนุนได้ ความแตกต่างกันก็คือว่า ของเยาวชนรุ่นใหม่มันตัดขาดจากพรรคการเมือง แม้จะมีคนบอกว่าอาจจะไปเกี่ยวข้องกับพรรคอนาคตใหม่-ก้าวไกลก็ตาม แต่ภาพที่ออกมามันดูมีความเป็นอิสระ


ก็จะฝากเอาไว้ว่า อันนี้สำคัญมาก อย่าให้เกียรติภูมิของนักต่อสู้ถูกทำลายว่าตัวเองกลายเป็นเครื่องมือของพรรคการเมือง อาจารย์ก็จะบอกมาตลอดว่าอาจารย์มาตั้งแต่ 2516 ไม่รู้พรรคการเมืองพวกนี้อยู่ที่ไหน? คุณจะให้ฉันไปเดินตามหรือปฏิบัติตาม มันเป็นไปไม่ได้!!! แล้วหลายอย่าง ฉันจะบอกให้ว่าฉันรู้ดีกว่าพวกคุณแหละ...เออ!!! เพราะพวกคุณไม่เชื่อฉัน คุณถึงเจออย่างนี้ ตอนนี้ก็พูดประมาณนี้ แต่หมายความว่ามันมีรายละเอียดของมัน เพราะฉะนั้นมีความแตกต่างที่ว่า ข้อดีเป็นอิสระมากกว่าขบวนการ แต่มันไม่ใช่ว่าไม่มีด้านบวกเสียเลยที่เกี่ยวข้องกับพรรค เรายอมรับว่าขบวนการของคนเสื้อแดงก็ถูกขยายด้วยการสนับสนุนของพรรคมากเหมือนกัน ก็เหมือนกับเสื้อเหลืองตอนนั้นก็ได้รับการสนับสนุนจากพรรคประชาธิปัตย์ และรวมทั้งกปปส.ด้วย


หมายความว่า การชุมนุมในอดีตมันจะสัมพันธ์กับพรรคการเมือง เหลือง-แดง หรือ กปปส. ซึ่งมันไม่ดี มันคล้าย ๆ กับว่าขบวนการประชาชน อุดมการณ์มันไม่ได้ถูกให้เปล่งแสง กลายไปเป็นว่าเป็นผลประโยชน์ของพรรคการเมือง แต่ความจริงสำหรับคนเสื้อแดง เนื่องจากเราชูการต่อต้านรัฐประหารเป็นหลัก และเราทำโรงเรียนการเมืองมาตลอด ดังนั้นมันก็มีการต่อสู้ จนกระทั่งโหวตเตอร์ของคนเสื้อแดงก็จะเห็นความประหลาดมากเลย ไม่ได้เป็นไปแบบที่หลายคนคิด


กลับมาพูดเรื่องความแตกต่างอีกอย่างก็คือว่า แกนนำเมื่อกี้ที่พูดไปรอบหนึ่งแล้ว แกนนำของเยาวชน โดยเฉพาะ “อานนท์” เห็นปัญหาของการที่ว่าเมื่อไปชุมนุมแล้วถ้าชุมนุมยืดเยื้อมันจะถูกปราบ แล้วก็มีการสูญเสีย เพราะว่าลักษณะของเผด็จการจารีตนิยมในประเทศไทยมันสืบทอดมาจากสงครามเย็น ตั้งแต่ถีบลงเขา เผาลงถัง เผาทั้งเป็นนะ โหดเหี้ยมมาก 6ตุลา19 เป็นการฆ่าปัญญาชนในมหาวิทยาลัย แต่ว่าก่อน 6ตุลา19 ฆ่าประชาชนในชนบทจนกระทั่งเข้าป่า ถ้าเราศึกษาความโหดเหี้ยมอำมหิต มันมีเหตุผลของมันเพราะเป็นระบอบแบบนั้น สมัยก่อนบางคนถูกฆ่า 7 ชั่วโคตรเลย แค่สงสัยกาคาบข่าวเขาก็ประหารแล้ว ลักษณะจารีตนิยมอันนี้มันก็จะตกทอดมา


ทีนี้ย้อนมาถึงว่าชุมนุมของคนรุ่นใหม่ มันคล้าย ๆ กับว่าพวกแกนนำเหมือนกับกลายเป็นต้องถูกพลีชีพ เพราะว่าเมื่อไม่ได้ทำการต่อสู้ยืดเยื้อ ประชาชนไม่เสียหาย แต่แกนนำโดนคดียับเยินมากมาย คุณออกไปครั้งหนึ่งคุณก็โดนแล้ว 1 คดี ไม่ใช่ 1 คดีด้วย 3-4 คดีใช่มั้ย ตั้งแต่ ฉุกเฉิน, 116, 112 เต็มไปหมด แล้วก็มีความแตกต่างอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า ในรุ่นเสื้อแดงนั้นถือการต่อต้านรัฐประหารเป็นหลัก และคืนอำนาจให้กับประชาชน เราไม่มีประเด็นการปฏิรูปสถาบัน อันนี้เป็นความแตกต่าง คือหมายความว่าของเยาวชนเขาไปอีกขั้นหนึ่ง เขาเลยไป


เพราะว่าในช่วงนั้น และมันยิ่งเป็นเรื่องปัญหาหนักหน่วงที่อยู่ในช่วงเวลาของการทำรัฐประหาร มันจะมีความแตกต่างกันทั้งแกนนำ ทั้งการนำ ทั้งมวลชนที่สนับสนุน แต่สิ่งหนึ่งก็คือว่าเมื่อกลุ่มเยาวชนมาทำการชุมนุม เป็นแกนนำ คนเสื้อแดงจำนวนหนึ่งมาสนับสนุน บางคนที่ไปให้สัมภาษณ์ในคลับเฮ้าส์ เขาบอกเขาฟังในคลับเฮ้าส์ว่าท่านผู้นำในพรรคเพื่อไทยไม่เห็นดีเห็นงามกับเรื่องของเยาวชน เขาก็เป็นเดือดเป็นแค้น เขาเป็นชาวบ้านนะ นี่เป็นชาวบ้านนะ แปลว่าเขาได้รับจิตวิญญาณของการต่อสู้และเขาเรียนรู้


เพราะฉะนั้นมันก็มีความแตกต่างตั้งแต่ข้อเรียกร้องด้วย ข้อเรียกร้องของคนเสื้อแดงเน้นไปในเรื่อง “รัฐประหาร-ยุบสภา-คืนอำนาจให้กับประชาชน” อยู่ตรงนั้น มวลชนก็เป็นชาวบ้าน แกนนำส่วนใหญ่ก็เป็นชาวบ้านแต่ว่ามีสายการเมืองเยอะ ก็ให้ท่านผู้ชมพิจารณา แต่ในความคิดของอาจารย์นะ มันเป็นช่วงเวลาของประวัติศาสตร์ มันสืบทอด ไม่มีอะไรเสียเปล่า คนเสื้อแดงก็ยังอยู่จำนวนหนึ่งแม้จะแก่แล้ว แล้วเขาก็มาสนับสนุนคนรุ่นใหม่ด้วย แล้วคนรุ่นใหม่ก็ไปเรียนรู้ข้อเสียของประวัติศาสตร์การต่อสู้ของคนเสื้อแดง


ดังนั้น ช่วงเวลาต่อไปนี้เป็นเวลาที่สำคัญว่าเราจะเดินหน้าต่อไปอย่างไรที่จะทำให้ขบวนการต่อสู้ของประชาชนนั้นสูงเด่น ไม่ถูกครอบงำโดยพรรคการเมือง ถูกเหยียดหยาม แล้วก็สามารถเดินต่อไปได้โดยที่ไม่มีการสูญเสีย ไม่ว่าจะเป็นประชาชนหรือไม่ว่าจะเป็นแกนนำ



อาจารย์มีความเห็นอย่างไรที่มีข้อโต้แย้งว่าประวัติศาสตร์การต่อสู้ของคนเสื้อแดงมันถูกช่วงชิงไปโดยกลุ่มที่ไม่ได้สนับสนุนพรรคเพื่อไทย ยกตัวอย่างหมายถึงว่า มันกลายเป็นว่าถูกชิงไปแล้วสำหรับคนที่เชียร์พรรคประชาชนในปัจจุบัน ทั้ง ๆ ที่เพื่อไทยกับเสื้อแดงสู้มาด้วยกัน


อาจารย์ว่าพูดผิด!!! พรรคเพื่อไทย “แย่ง” คนเสื้อแดงไป พรรคเพื่อไทยกับคนเสื้อแดงไม่ใช่เป็นอันเดียวกัน และพรรคเพื่อไทยแย่งสีเสื้อแดงไปว่าเป็นสีของตัวเอง ทั้ง ๆ ที่คุณทักษิณก็เคยบอกให้ถอดเสื้อแดงในปี 2554 เต็ม ๆ เลยหลายเวที จนอาจารย์ไปขอ บอกว่าไม่ต้องแจกเสื้อ แต่เขาไม่ถอดเสื้อแดง เอาเสื้อแดงตัวเก่าปี 2553 มาใส่ แล้วเขาแก้แค้นด้วยการโหวต ดังนั้นก็ชนะอย่างถล่มทลาย จะไปบอกให้คนเสื้อแดงถอดเสื้อแดง มันไม่ได้!!! ปี 2553 แผลมันยังสด เพราะฉะนั้นที่บอกว่า “แย่ง” การต่อสู้ของประชาชนและจิตใจที่มีอุดมการณ์ ใครแย่งไม่ได้ มันอยู่ที่ว่าคุณมีอุดมการณ์หรือเปล่าล่ะ ถ้าคุณมีอุดมการณ์และคุณทำอย่างมีอุดมการณ์ คุณก็จะได้รับความภักดี คนก็จะเดินตามคุณ


แต่ถ้าคุณไม่ใช่! เขาก็ไปที่อื่น แล้วใครแย่งใคร ในทัศนะอาจารย์ คำถามนี้เป็นคำถามที่ไม่ถูก ก็คือว่า คุณนึกว่าคนเสื้อแดงที่เขาเป็นนักต่อสู้เป็นคนอยู่ในคอกของพรรคเหรอ? ไม่ใช่แน่นอน!!! เขาคิดเองได้ว่าอะไรที่สอดคล้องกับอุดมการณ์เขา เขาไม่ใช่เป็นพวกแฟนคลับ ตอนนี้ช่วงนี้มีคนพูดอะไร ดาราเกาหลี หรือนางเอกจีน ไม่ใช่ทั้งนั้นแหละ ไม่ใช่ว่าเขาแฟนคลับดาราเกาหลี และดาราเกาหลีไปแย่งจากนางเอกจีน ไม่ใช่!!!


มันเป็นเรื่องของอุดมการณ์และการต่อสู้ ถ้าเขาเลือกว่าฝ่ายไหนที่มันสอดคล้องกับความคิดของเขา เขาก็เลือกอันนั้น


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #อานนท์นำภา #คนเสื้อแดง