‘เพื่อไทย’ รับคณะทูตอียู 15 ประเทศ ขายนโยบายเขตธุรกิจใหม่
หวังสานต่อ FTA สร้างรายได้-การลงทุนจากนานาประเทศ
วันที่
3 พฤษภาคม 2566 ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) แกนนำพรรคเพื่อไทย นำโดย นายเศรษฐา ทวีสิน
แคนดิเดต นายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย, นายพรหมินทร์ เลิศสุริยเดช
คณะทำงานด้านนโยบายเศรษฐกิจ, นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง
ที่ปรึกษาคณะทำงานด้านนโยบายเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย, นายนพดล
ปัทมะ คณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมืองพรรคเพื่อไทย, นายปานปรีย์
พหิทธานุกร ที่ปรึกษาคณะทำงานด้านนโยบายเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย, นางนลินี ทวีสิน ประธานคณะนโยบายต่างประเทศพรรคเพื่อไทย, นายจักรพงษ์ แสงมณี นายทะเบียนพรรคเพื่อไทย, นายพลนชชา
จักรเพชร คณะทำงานนโยบายต่างประเทศ พรรคเพื่อไทย และน.ส.ชยิกา วงศ์นภาจันทร์
เลขานุการคณะทำงานนโยบายต่างประเทศ พรรคเพื่อไทย
ให้การต้อนรับคณะทูตานุทูตและผู้แทนจากสหภาพยุโรป รวม 15 ประเทศ
เพื่อพบปะแลกเปลี่ยน
และหารือเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการร่วมมือที่จะส่งเสริมความสัมพันธ์ไทย-สหภาพยุโรปทั้งในมิติเศรษฐกิจ
การเมือง และสังคม ในอนาคตให้แน่นแฟ้นและเป็นไปทางทิศทางที่ดีมากยิ่งขึ้น
โดย
นายเศรษฐา กล่าวว่า ขอขอบคุณคณะทูตานุทูตจากสหภาพยุโรป รวม 15 ประเทศ
และผู้แทนจากสหภาพยุโรปที่ให้เกียรติมาร่วมพูดคุยกับพรรคเพื่อไทยในวันนี้
สหภาพยุโรปถือเป็นหนึ่งในคู่ค้าที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับต้นๆของไทย ในปี 2562
โดยมูลค่าการค้าระหว่างไทย-สหภาพยุโรปสูงถึง 1.35 ล้านล้านบาท
ทั้งนี้สภาพยุโรปยังเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 3
และการลงทุนในไทยยังสูงเป็นอันดับ 2 อีกด้วย นอกจากนี้ ไทย-สหภาพยุโรปยังได้มีความร่วมมือทางการเมือง
และสังคมระหว่างกันอย่างเข้มข้น ตั้งแต่ด้านสิทธิมนุษยชน ด้านสิ่งแวดล้อม
ไปจนถึงความมั่นคงระดับภูมิภาค
จึงอยากขอขอบคุณสหภาพยุโรปในฐานะผู้สนับสนุนประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน ทั้งนี้เป็นที่น่าเสียดายว่าที่ผ่านมาความร่วมมือในด้านต่าง
ๆ อาจจะไม่มีความก้าวหน้ามากนัก ดังนั้นหากพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลจะสานต่อการเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรีไทย-สหภาพยุโรปที่รัฐบาลเพื่อไทยได้ริเริ่มไว้
เพื่อประโยชน์ทางการค้าการลงทุนของทั้งสองฝ่าย และยังหวังอีกด้วยว่าจะทำงานคู่ขนานกันไปเพื่อเพิ่มผลิตภาพแรงงาน
เพื่อดึงดูดแรงงานที่มีทักษะขั้นสูงด้วยการเติมเต็มช่องว่างระหว่างคนกับความก้าวหน้าของเทคโนโลยี
“อย่างไรก็ตาม
พรรคเพื่อไทยของเรามีนโยบายเขตธุรกิจใหม่ (New Business Zone) ภายใต้สโลแกน
“ดึงเงินนอก ปลุกเงินใน เปลี่ยนเงินที่หลับไหล เป็นเงินที่สร้างเงิน”
ผ่านกฎหมายธุรกิจชุดใหม่ สิทธิประโยชน์ใหม่ เพื่อสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจใหม่
ซึ่งจะอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจให้นักลงทุนต่างชาติ
ผลักดันให้ประเทศไทยน่าลงทุนมากยิ่งขึ้น
โดยนโยบายนี้จะเน้นเป้าหมายสำคัญสองประการคือ 1) เพิ่มการลงทุนในอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยี
และ 2) ส่งเสริมธุรกิจขนาดกลางขนาดย่อม (SME) นโยบายเขตธุรกิจใหม่จะลดอุปสรรคในข้อกฎหมายที่เอื้อต่อการการลงทุนและจะตรากฎหมายพิเศษขึ้นให้ครอบคลุมประเด็นเรื่องแรงงาน
ที่ดิน และวีซ่า เพื่อสร้างธุรกิจ SME ให้เกิดความได้เปรียบในการแข่งขัน
และเชื่อมต่อเม็ดเงินลงทุนให้กับธุรกิจ SME ทั้งนี้ภาษีนำเข้า
ภาษีรายได้ส่วนบุคคล ภาษีนิติบุคคล และภาษีที่ดิน จะได้รับการงดเว้นในโซนนี้
โดยเขตธุรกิจใหม่ยังมีระบบนิเวศทางธุรกิจที่ครบถ้วนทั้งระบบสาธารณูปโภค
โครงสร้างพื้นฐานใหม่ ระบบการศึกษา การผลิตคนทำงานใหม่ และระบบธนาคารใหม่
เพื่อผลักดันให้ภาคเอกชนมีขีดความสามารถทางการแข่งขันที่สูงขึ้น
โดยเขตธุรกิจใหม่จะนำร่องใน 4 จังหวัดได้แก่ เชียงใหม่ ขอนแก่น กรุงเทพฯ
และหาดใหญ่ ซึ่งหวังว่านโยบายนี้จะได้รับความสนใจจากนานาประเทศ
จนสามารถเพิ่มการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศได้มากขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ” นายเศรษฐา
กล่าว
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #เพื่อไทย #เลือกตั้ง66