คนเสื้อแดงและคปช.53
จัดงานรำลึก #13ปีเมษาพฤษภา53 ทำบุญ/วางหรีด
เชิญพรรคการเมืองแสดงนโยบายแนวทางปฏิบัติต่อ 8 ข้อเรียกร้อง
วันที่
10 เมษายน 2566 ที่ อนุสรณ์สถาน14ตุลา (แยกคอกวัว) ถนนราชดำเนินกลาง คนเสื้อแดงและคณะประชาชนทวงความยุติธรรม
2553 (คปช.53) ร่วมกันจัดงานรำลึก “13ปีเมษาพฤษภา53” นำโดย อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ,
นพ.เหวง โตจิราการ, ญาติวีรชนผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ เมษา-พฤษภา’53
โดยพิธีสงฆ์เริ่มในเวลา
15.00 น. จากนั้นเป็นการวางพวงหรีด/ดอกไม้ของอดีตแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ
(นปช.) อาทิ วีระกานต์ มุสิกพงศ์อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ, นพ.เหวง โตจิราการ, ก่อแก้ว
พิกุลทอง, ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, วรชัย เหมะ นอกจากนี้ยังมีพวงหรีดของญาติวีรชน,
คณะประชาชนทวงความยุติธรรม 2553 (คปช.53), UDD news – ยูดีดีนิวส์, พรรคเพื่อไทย,
พรรคก้าวไกล, พรรคเสรีรวมไทย, พรรคประชาชาติ, พรรคเส้นด้าย, พรรคไทยสร้างไทย, จาตุรนต์
ฉายแสง, UDD JAPAN TV24 ASIA UPDATE, คณะประชาชนเพื่ออิสรภาพ
(คปอ.), คณะราษฎรยกเลิก 112 (ครย.112),
ทะลุฟ้า, พรรคจุฬาของทุกคน, องค์การบริหารสโมสรนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,
เสรีเทยพลัส, กลุ่มแดง 50 เขต กทม. และ WeVolunteer
อ.ธิดา
กล่าวต่อว่า อยากจะบอกว่าตลอดมาเราจัดงานยิ่งใหญ่ ไม่ได้จัดงานอย่างเดียว
ไม่ได้มารำลึกแล้วมาพูด
เรามีกิจกรรมในการทวงความยุติธรรมที่เห็นเป็นรูปธรรมคือคดีความคืบหน้า คดีที่เราฟ้องร้องผู้ฆ่า
ผู้สั่งฆ่า การปราบปรามประชาชน มีการดำเนินคดีกับเขาในช่วงปี 54
เขาก็ดำเนินคดีกับเรา แต่มันก็เกิดขึ้นมาเป็นลำดับ
เราไม่ได้จัดงานรำลึกเพื่อสดุดีวีรชนอย่างเดียว
และในเวลานี้เราไม่ได้หยุดนิ่งแม้จะมีความจำกัดในหลายด้าน แต่เราพยายามที่จะมีรูปธรรมในการทวงความยุติธรรม
แม้บรรยากาศจะยากลำบากมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังปี 57 อีกไม่กี่วันครบ
9 ปีของการยึดอำนาจจากประชาชน
ตั้งแต่วันที่ยึดอำนาจ การทวงความยุติธรรมคดีความต่าง ๆ ถูกแช่แข็งและถูกเบี่ยงเบน ในชั้นต้นไม่ได้ทำสำนวนไต่สวนชันสูตรพลิกศพ 62 คดี ที่ทำสำนวนไต่สวนชันสูตรพลิกศพ 33 คดี ศาลบอกว่า 17 ราย เป็นการตายที่เกิดจากกระสุนจากเจ้าหน้าที่รัฐ อีก 15 ราย บอกว่าไม่รู้กระสุนมาจากไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการรัฐประหาร การตายที่เดียวกัน เวลาเดียวกัน แต่ผลการไต่สวนออกมาต่างกัน และในที่สุดมีการฟ้องร้อง แต่เอาผิดนักการเมือง เอาผิดทหารไม่ได้ กระทั่งเราไปดิ้นรนในปี 55 อ.ธิดาไปศาลอาญาระหว่างประเทศ จนกระทั่งอัยการเดินทางมาที่นี่ เพราะเราบอกเขาว่ามันเป็นการตายซ้ำแล้วซ้ำอีกในแผ่นดินนี้ คนสั่งฆ่า คนฆ่า ยังลอยนวลพ้นผิดทุกยุคทุกสมัย รัฐประหารก็พ้นผิด ปราบปรามประชาชนก็พ้นผิด คนที่ถูกดำเนินคดีกลายเป็นประชาชนมือเปล่า
ดังนั้น
ดิฉันอยากจะบอกว่าเรามีข้อมูลว่าคนตายทั้งหมดมีการไต่สวนชันสูตรอย่างไร ตายที่ไหน
ตายเมื่อไหร่ มาเอาที่ยูดีดีนิวส์ได้
และขณะนี้เราได้ส่งมอบข้อมูลให้แก่หัวหน้าพรรคการเมืองฝ่ายค้าน เราดำเนินการไปที่ ผบ.ตร.
ไปเรียกร้องว่าคุณอยู่ยังไง 13 ปี คุณไม่ไต่สวนชันสูตรพลิกศพ
กระทั่งศพทหาร อย่างเช่น พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล DSI เราก็ไป
เขาก็ไม่มีคำตอบ กลายเป็นว่า 300 กว่าคดีที่เกี่ยวข้อง
เขาฟ้องประชาชนเป็นร้อย ๆ คดี แต่ไม่มีสักคดีที่ DSI ฟ้อง
เราเดินไปหลายที่แล้ว
เราจึงมีวันนี้ และเราต้องขอบคุณ เพราะว่าเราได้เดินไปที่รัฐสภา
ไปพบฝ่ายค้านในรัฐสภา
วาระนี้เป็นวาระพิเศษก่อนที่จะมีการเลือกตั้งสำหรับประชาธิปไตยที่ไม่ใช่แม้แต่ครึ่งใบ
ประชาธิปไตยที่เขาจะบอกคนละครึ่งก็ไม่ใช่ แต่อย่างไรก็ตามมันก็มีความคืบหน้าระดับหนึ่ง
เราก็ต้องขอขอบคุณพรรคการเมืองทั้งหลายที่ให้การต้อนรับและให้เกียรติ
ซึ่งเรามีข้อเสนอ 8 ข้อ 3 ข้อแรกเป็นข้อเสนอที่เกี่ยวข้องกับคนเสื้อแดง
ก็คือติดตามเพื่อให้คดีเดินไปได้,
ให้ทหารกับนักการเมืองที่ทำคดีอาญาต่อประชาชนพลเรือนให้ขึ้นศาลพลเรือนเหมือนประชาชนทั่วไป
ไม่ต้องมีอภิสิทธิ์แบบทหารขึ้นศาลทหาร
หรือนักการเมืองสั่งฆ่าประชาชนก็ไปขึ้นศาลนักการเมือง
ป.ป.ช.บอกนักการเมืองทำตามหน้าที่ นี่ยกตัวอย่าง
ดังนั้น
วันที่ 10 ธ.ค. 65
เราจึงจำเป็นต้องตั้งคณะประชาชนทวงความยุติธรรมดังที่พวกเรารู้อยู่แล้ว เพราะพวกเราส่วนหนึ่งต้องทำหน้าที่ในพรรคการเมือง
แต่อ.ธิดาอยู่ขาประชาชนมาตลอด ไม่เคยคิดจะไปอยู่ขานักการเมือง อยู่ขานอกเวทีรัฐสภา
อยู่กับพี่น้องประชาชนและพร้อมที่จะสนับสนุนเวทีรัฐสภา
เพื่อที่จะให้เกิดการทวงอำนาจคืนสำหรับประชาชนขึ้นมาได้
นั่นก็คือมีระบอบประชาธิปไตยจริง เพราะเราจะทวงความยุติธรรม มันไม่มีทางเป็นไปได้
และมันจะไม่มีทางถูกต้องว่าจะเป็นความยุติธรรมของประชาชนถ้าระบอบการเมืองไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย
สิ่งที่คู่กับการทวงความยุติธรรมคือเราต้องทวงอำนาจประชาชนคืนมา
และนี่คือสิ่งที่เราได้ประมวลในอีก
5 ข้อที่นำเสนอต่อพรรคการเมือง ไม่ใช่แต่คดีของคนเสื้อแดงอย่างเดียว
เพราะความยุติธรรมมันเป็นของผู้ปกครองและมันเป็นของระบอบ
ถ้าเป็นความยุติธรรมของผู้ที่ถูกกระทำ ของผู้ถูกปกครอง
ผู้ถูกปกครองต้องมีอำนาจจริง มิฉะนั้นคุณก็จะได้ความอยุติธรรม
และดังที่หลายคนพูดว่าเมื่อมีความอยุติธรรมเกิดขึ้น
การทวงและการต่อสู้เพื่อให้ได้รับความยุติธรรมมันจึงเป็นหน้าที่ของพวกเราที่ไม่เลิกจนกระทั่งบัดนี้
อ.ธิดา
กล่าวช่วงท้ายว่า เราในนามประชาชนนอกเวทีรัฐสภา
เราจะให้ประชาชนได้รับฟังทัศนะของพรรคการเมือง เพื่อเป็นขวัญ
เป็นกำลังใจของนักต่อสู้ว่าเขาจะต่อสู้นอกเวทีรัฐสภาอย่างไม่เดียวดาย
และเพื่อเป็นสิ่งที่บอกกับผู้ที่ต่อสู้ในเวทีรัฐสภาว่าประชาชนก็จะเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กให้พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยด้วยเช่นกัน
เราไม่ขออะไรมากไปกว่าให้เอาอำนาจประชาชนคืนมา
แล้วเมื่อนั้นความยุติธรรมของประชาชนก็จะเกิดขึ้น ตราบใดอำนาจประชาชนยังไม่ได้คืนมา
มันไม่มีทางที่ความยุติธรรมจะเกิดขึ้นได้
และหวังว่าประชาชนได้ฟังสิ่งที่พรรคการเมืองพูดในวันนี้ก็จะได้ไปพิจารณา
และอาจจะมีคำถามส่งต่อไปยังพรรคการเมือง เพราะประชาชนต้องติดตาม
คนเรานั้นอย่าเชื่อแต่ที่คำพูด แต่ต้องดูการกระทำและต้องตรวจสอบ ตรวจสอบนักต่อสู้
ตรวจสอบนักการเมือง ตรวจสอบพรรคการเมือง
ว่าคุณเป็นพรรคการเมืองและนักการเมืองที่บอกว่าอยู่ฝ่ายประชาธิปไตย จริงแท้แค่ไหน?
เราพร้อมที่จะสนับสนุนพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย
ในส่วนของคนเสื้อแดงดิฉันเชื่อว่ามีหัวใจแบบเดียวกัน เพราะนิยามของคนเสื้อแดง
คือผู้รักประชาธิปไตยและรักความยุติธรรม ถ้าคุณรักประชาธิปไตยและรักความยุติธรรม
คุณก็คือคนเสื้อแดง แต่ถ้าคุณเป็นคนที่เคยใส่เสื้อแดง แล้วคุณเลิกรักประชาธิปไตย
ไปรักคนที่มันสืบทอดอำนาจ อย่างนั้นคุณไม่ใช่คนเสื้อแดงจริงอีกต่อไป
นพ.เหวง
โตจิราการ กล่าวว่า พวกเรา คปช.53
จะแบกรับภารกิจของวีรชนในการทวงความยุติธรรมจนความยุติธรรมจะปรากฎเป็นจริง
และเพื่อให้ภารกิจของฝ่ายประชาธิปไตยได้รับชัยชนะ
ขอพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยและประชาชนผู้รักประชาธิปไตย “ไม่ทะเลาะกัน”
เพราะหากทะเลาะกันพวกเผด็จการจะดีใจ
นอกจากนี้
นพ.เหวง ฝากพรรคการเมืองกรุณานำ 8 ข้อเสนอและข้อเรียกร้องของคปช.53 ไปทำให้สำเร็จ และส่วนตัวของฝากพรรคการเมือง โดยข้อแรก ขอให้พรรคการเมือง
“หยุดรัฐประหาร” ให้ได้
โดยทำเรื่องยื่นไปที่ประชุมใหญ่ผู้พิพากษาศาลฎีกาเพื่อให้พิจารณาทบทวนคำพิพากษาฎีกาที่บอกว่ายึดอำนาจชนะเป็นรัฎฐาธิปัตย์
เล่นงานเขาไม่ได้ เพราะคณะรัฐประหารที่ทำการสำเร็จก็เป็นกบฎเหมือนกัน
ข้อที่สอง
เมื่อได้เป็นรัฐบาล ขอพรรคการเมืองยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช. อีกครั้งเพื่อเอาอภิสิทธิ์-สุเทพ
และศอฉ. มาลงโทษตามกฎหมาย เนื่องจากมีข้อมูลใหม่ อาทิ คำพิพากษาศาลฎีกาว่าเราไม่ใช่ชายชุดดำ
คดีที่เผาสถานที่ต่าง ๆ ก็ยกฟ้องหมดแล้ว และหาก ป.ป.ช. ไม่เอาเรื่อง
ขอให้พรรคการเมืองประกาศรับรองเขตอำนาจศาล ICC เฉพาะกรณีเมษา-พฤษภา53 ทันที!
สุดท้ายฝากให้ตั้งคณะกรรมการมาแก้ไขรัฐธรรมนูญ
2560 เพื่อให้ประชาชนเลือก สสร. ขึ้นมายกร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง
แล้วก็ไปทำประชามติ เพราะประชาชนไม่เอา ส.ว.แต่งตั้ง / ประชาชนไม่เอาองค์กรอิสระที่แต่งตั้งโดยคณะรัฐประหาร
/ ประชาชนไม่เอาศาลรัฐธรรมนูญที่มาจากคณะรัฐประหาร / สภากลาโหมต้องมีประธานสภาผู้แทนราษฎร, รองประธานสภาผู้แทนราษฎร,
หัวหน้าฝ่ายรัฐบาล, หัวหน้าฝ่ายค้าน เข้าไปนั่งในสภากลาโหม เพื่อการปฏิรูปกองทัพ / เสนอให้ยกเลิก กอ.รมน. / ต้องแก้ไขกฎอัยการศึก
สุดท้าย
นพ.เหวง หวังเป็นอย่างยิ่งว่าพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยทุกพรรค
จะฟังเสียงของประชาชน
ทางด้าน นายจาตุรนต์ ฉายแสง กล่าวว่า เรารำลึกเหตุการณ์ทางการเมืองต่าง ๆ ก็มักจะเอาวันสิ้นสุดที่มีข้อยุติของเหตุการณ์ มีเหตุการณ์เมษาพฤษภา53 นี้ น่าเกือบจะเป็นเหตุการณ์เดียวที่รำลึก 2 วัน คือวันที่ 10 เมษา แล้วก็วันที่ 17-19 พฤษภา ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการชุมนุม แล้วก็จะด้วยการทำร้ายประชาชน ทำให้ข้อเรียกร้องไม่ประสบความสำเร็จ
10 เมษา 53 มีความสำคัญก็คือมันเป็นวันที่เป็นจุดหักเหของเหตุการณ์การชุมนุมของนปช.
คนเสื้อแดง ที่เรียกร้องประชาธิปไตย แล้วต่อมาก็เรียกร้องให้รัฐบาลที่ตั้งในค่ายทหารคืนอำนาจให้ประชาชน
ให้ประชาชนพิสูจน์ว่าประชาชนในประเทศไทยนี้ต้องการให้ใครเป็นรัฐบาลกันแน่
ซึ่งเป็นการชุมนุมต่อเนื่องมาจากการเคลื่อนไหวต่าง ๆ แต่วันที่ 10 เมษา เป็นจุดหักเหก็เพราะว่าในวันนั้นรัฐบาลและผู้มีอำนาจของรัฐบาลได้ตัดสินใจสั่งการให้ยึดพื้นที่ถนนราชดำเนิน
ไม่มีความจำเป็นอะไรเลยที่จะยึดพื้นที่ถนนราชดำเนิน
ไม่ใช่ว่าประชาชนกำลังยึดสนามบินอยู่ หรือยึดทำเนียบรัฐบาลอยู่
ทีอย่างนั้นไม่เข้าไปยึดพื้นที่คืน!
การดำเนินคดี
การพยายามเอาผิดกับผู้มีอำนาจ กับรัฐบาลที่ทำมาในอดีตนั้น
มีการกระทำผิดต่างกรรมต่างวาระจำนวนมาก
ซึ่งถ้าจะทำทีละเรื่องก็จะได้ผู้กระทำเยอะแยะไปหมด
อาจจะรวมไปแล้วก็เหลือผู้สั่งการแค่คนสองคนเท่านั้น แต่เฉพาะเหตุการณ์วันที่ 10 เมษา
นี้เหตุการณ์เดียวก็สามารถเป็นเหตุการณ์ที่พิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนว่ารัฐบาลและผู้มีอำนาจในขณะนี้ได้กระทำผิด
คือทำให้เกิดการสังหารประชาชนจนเสียชีวิตและบาดเจ็บ
ปัญหาต่อมามีว่าแล้วทำไมจึงไม่สามารถเอาผู้กระทำผิดมาลงโทษได้
มีการไปฟ้องต่อศาล ศาลส่งไปเป็นทอด ๆ จนถึงศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง
แต่วินิจฉัยว่าตามระบบกฎหมายประเทศนี้ เมื่อผู้ต้องหา/จำเลย
เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นรองนายกรัฐมนตรี ศาลไม่รับคำฟ้องของอัยการ
ต้องเป็นเรื่องที่ดำเนินการโดย ป.ป.ช. เรื่องนี้ก็ยุติที่ศาลไปแบบนี้
พอหันมาที่
ป.ป.ช. ก็วินิจฉัยตัดสินว่าคดีเป็นที่ยุติ ไม่ดำเนินคดีผู้ต้องหาแม้แต่รายเดียว
เพราะ ป.ป.ช. นี้เป็น ป.ป.ช. ที่มีการแต่งตั้งในยุคที่ คสช. อยู่ในอำนาจ
การแต่งตั้ง ป.ป.ช. จึงเป็นการแต่งตั้งที่เกิดจากการแทรกแซงของ คสช. และรัฐบาล
คสช. ประธาน ป.ป.ช.
ที่ตั้งกันขึ้นมาคนแรกในช่วงนั้นก็คือคนสนิทนั่งหน้าห้องของรองหัวหน้าคสช.
เพราะฉะนั้นความยุติธรรมมันจึงไม่เกิดขึ้น มันไม่ใช่เพียงระบบยุติธรรมที่ล้มเหลวเท่านั้น
แต่มันเป็นการล้มเหลวของระบบยุติธรรมที่เกิดจากการแทรกแซงครอบงำของคณะรัฐประหาร
เรื่องทั้งหมดนี้จึงเป็นเรื่องการต่อสู้ของประชาชน
การใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชน แต่กลับมาถูกรัฐที่ไม่เป็นประชาธิปไตยเข้าปราบปราม
และรัฐนี้ ผู้ที่ปราบปรามนี้
ต่อมาก็มาเป็นใหญ่เป็นโตจนกระทั้งมาร่วมกันทำรัฐประหาร
มามีอำนาจเข้ามาล้มคดีที่จะเอาผิดพวกเขา
ทั้งหมดนี้มันจึงเป็นปัญหาของความไม่เป็นประชาธิปไตย ความเป็นเผด็จการของประเทศนี้
ถ้าจะไม่ให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต ถ้าจะให้สิทธิเสรีภาพของประชาชนได้รับการคุ้มครอง
ถ้าจะให้ประชาชนได้รับความยุติธรรม
มีทางเดียวคือจะต้องทำให้ประเทศนี้เป็นประชาธิปไตยให้ได้ครับ
ความยุติธรรมจะไม่มีทางเกิดขึ้นในระบบการปกครองที่ไม่เป็นประชาธิปไตย
ความยุติธรรมได้ถูกทำลายไปจากการปกครองแบบเผด็จการ ส่วนปัญหาเรื่องการจะทวงความยุติธรรม
จะรื้อฟื้นคดีขึ้น ผมเองก็เอาใจช่วยเต็มที่ ผมคิดว่าก็ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องยาก
ส่วนเรื่องการจะเรียกร้องให้เกิดความยุติธรรม
โดยให้องค์กรระหว่างประเทศเข้ามาเนื่องจากเห็นว่ามันไม่มีทางเกิดความยุติธรรมในประเทศนี้แล้ว
โดยส่วนตัวแล้วมีความหวัง มีความปรารถนาอยากจะเห็นรัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตย
รัฐบาลของฝ่ายประชาชน ดำเนินการเรื่องนี้เพื่อให้เกิดความยุติธรรมในที่สุด
เรารำลึกเหตุการณ์เมษาพฤษภา53 ไม่ให้การรำลึกนั้นเสียเปล่า คือต้องสืบทอดเจตนารมณ์ของพวกเขา
จริง ๆ แล้วไม่มีอะไรซับซ้อน ต้องการให้บ้านเมืองนี้เป็นประชาธิปไตยครับ
เพราะฉะนั้น เรามาร่วมกันทำให้บ้านเมืองนี้เป็นประชาธิปไตย นายจาตุรนต์
กล่าวในที่สุด
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ กล่าวว่า เป็นครั้งแรกที่การรำลึก 10เมษา
มันเกิดขึ้นในช่วงโค้งสำคัญของการเลือกตั้งใหญ่ ถึงกระนั้นก็เป็นนิมิตหมายที่ดี
เพราะว่าการเลือกตั้งครั้งนี้น่าจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ประชาชนคนส่วนใหญ่ของประเทศจะการลงคะแนนในคูหาเลือกตั้ง
เอาชนะรัฐบาลสืบทอดอำนาจเผด็จการและผลักดันผู้นำจากรัฐทหารออกจากอำนาจด้วยวิธีสันติ
วันนี้ผมมาในนามของ “คนเสื้อแดง” ผมเพียงแต่อยากบอกว่างานรำลึก 10เมษา53 ปีนี้
มันอธิบายสัจธรรมของชีวิตมนุษย์ได้เป็นอย่างดีว่า ทุกสรรพสิ่งในโลกไม่มีใด ๆ
ไม่เปลี่ยนแปลง มนุษย์ทุ่มเทสรรพกำลัง ทุ่มเทงบประมาณ ทุ่มเทวิทยาการต่าง ๆ
เพื่อศึกษาทุกเรื่องที่ปรากฎทั้งบนดิน ใต้ดิน ในอวกาศ ใต้น้ำ
และพบว่าไม่มีอะไรที่ไม่เปลี่ยนแปลง ประสาอะไรเลยกับขบวนการต่อสู้ที่ถูกเรียกว่า
“คนเสื้อแดง” มันก็มีความเปลี่ยนแปลง มีพัฒนาการมาเป็นลำดับ
มาจนวันที่เรายืนอยู่ด้วยกันตรงนี้ แล้วเราหลับตาแล้วอธิบายตัวเองไม่ได้ว่าเรามากันถึงวันนี้ได้อย่างไร
วันที่หลายคนหากันไม่เจอ ทั้งในชีวิตจริงและในโลกแห่งความคิด
วันที่มือที่เคยจับเคยกอดคอเคียงกัน
กลับกลายเป็นมือที่ไม่สามารถจะควานหามิตรภาพวันเก่า ๆ กันไปได้
ผมคิดว่านี่มันไม่ใช้ความรู้สึกของใครคนใดคนหนึ่ง
แต่ความรู้สึกเหล่านี้มันวิ่งแล่นอยู่ในความคิดอยู่ในใจของแทบจะทุกคนในขบวนการ
ขอได้โปรดเข้าใจว่าทุกคนต่างมีทางเลือกทางเดินของตัวเอง ทุกคนต่างมีวิถีของตัวเอง
อย่างไรก็ตามถ้าเราเชื่อมั่นว่าสิ่งที่เราทำมาเมื่อ 13
ปีที่แล้วมันถูกต้อง ชอบธรรม ก็ขอให้รักษาจิตวิญญาณการต่อสู้นั้นไว้กับชีวิตของเราตลอดไป
สำหรับคนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้น เรื่องราวนี้มันสำคัญ
สำคัญถึงขั้นที่มีผู้คนจำนวนร้อยตายเพื่อมันได้ก็แล้วกัน
สำคัญพอที่คนจำนวนไม่น้อยมอบจิตวิญญาณให้กับความเป็นคนเสื้อแดง
ภาคภูมิใจกับความเป็นคนเสื้อแดง และไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
ไอ้คนที่เป็นเสื้อแดงไม่มีวันเปลี่ยนแปลง มันก็จะแดงอยู่อย่างนั้น
ผมอยากจะเรียนพี่น้องว่า
สำหรับผมเรื่องที่ทำอะไรแล้วมันจะเป็นคุณูปการสำหรับการต่อสู้
ผมไม่เคยเอามาพูดต่อหน้าที่สาธารณะเลยครับ เพราะถ้าเอามาพูดมันไม่ใช่ผม
ผมบอกได้แต่เพียงว่าสิ่งที่ผมทำอยู่นี้มันเป็นหน้าที่ แต่ความเป็นคนเสื้อแดงมันเป็นชีวิต
เมื่อผมมีหน้าที่ผมจะทุ่มเทสุดกำลังเพื่อให้หน้าที่ที่ผมทำอยู่บรรลุเป้าหมาย
แต่จะอย่างไรก็ตามสิ่งที่มันเป็นชีวิตมันสำคัญยิ่งกว่า มันมีความหมายมากกว่า
และตราบจนสิ้นชีวิต ความเป็นคนเสื้อแดงจะยังอยู่และเป็นหน้าที่ที่จะทวงถามความยุติธรรมให้กับพี่น้องที่สูญเสียต่อไป
ผมคิดว่าถ้ามีรัฐบาลจากการเลือกตั้งของฝ่ายประชาธิปไตยขึ้นมา
สิ่งที่จะต้องเดินหน้าต่อทำได้ทันทีก็คือทุกชีวิตที่ยังไม่ได้มีการไต่สวนสาเหตุการตายโดยศาลจะต้องถูกหยิบขึ้นมาและพิจารณาในชั้นศาลทุกกรณีทุกรายไป
จะต้องมีคณะผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายศึกษาช่องทางที่จะแสวงหาความยุติธรรมจากกลไกในประเทศ
ถ้าทำได้ต้องทำทันที ถ้าทำไม่ได้จะแสวงหาความยุติธรรมจากกลไกระหว่างประเทศใด ๆ
ต้องทำทันทีเช่นเดียวกัน ผมอยากเห็นสิ่งนี้ และผมสื่อสารสิ่งนี้กับผู้คนหลาย ๆ คน
และผมบอกได้ว่าในทางหลักการไม่มีใครปฏิเสธต่อความจริงนี้
เพียงแต่ว่าในทางความเป็นจริง ในกระบวนการ ในขั้นตอนมันก็มีลำดับ
มันมีวิธีการของมัน
สุดท้าย
ผมเรียนว่าตั้งแต่ปี 53 มา ทุกคืนวันที่ 10 เมษายน ผมไม่เคยหลับลงง่าย ๆ
จริง ๆ บางที บางปีถ้าอยู่คนเดียว มันก็คิดอ่านรำพึงรำพันกับตัวเองไปสารพัด
บางปีก็อยู่ในช่วงสถานการณ์มีเพื่อนมิตรมีพี่น้องก็นั่งพูดคุยกันดึกดื่นค่อนรุ่งเพื่อจะให้มันหลับลงได้
ผมอยู่ตรงนี้ตั้งแต่หัวค่ำยันเช้า
ผมอยู่เพื่อให้พี่น้องผมไปแย่งศพของคนที่ถูกยิงตายเพราะผมกลัวว่าเขาจะเอาศพไปทำลาย
เพื่อนพี่น้องผมถูกไล่ยิงตามซอกตามซอยหนีตายกันหัวซุกหัวซุน ผมอยู่ครับ
เสื้อแดงตัวนั้นของผมมันเปียกไปหมด มันไม่ใช่เปียกเหงื่อแต่มันเปียกน้ำตาประชาชน
เปียกน้ำตาพี่น้องที่วิ่งมากอด มาร้อง อยู่หลังเวที ผมเคยพูดหลายหนว่าชีวิตคน ๆ
หนึ่ง อย่างน้องที่สุดก็สำหรับผม มันไม่มีอะไรหนาวเท่าหนาวน้ำตาประชาชนอีกแล้ว
เวลาเขามาร้องไห้กับอก เวลาเขามากรีดร้องกับอกแล้วผมตอบไม่ได้ว่าใครอยู่ที่ไหน
ใครเจ็บ ใครตาย ถ้าตายแล้วศพอยู่ตรงไหน อยู่ยังไง
มันคือสิ่งที่มันวิ่งอยู่ในชีวิตผมมาตลอด
ผมก็เลยไม่รู้ว่าจะต้องแสดงออกอย่างไรว่าเรื่องนี้มันคือชีวิตผม
ผมก็เลยตั้งชื่อลูกผมนี่แหละครับ
ตั้งชื่อลูกสาวผมซึ่งเกิดในท่ามกลางสถานการณ์ที่ผมถูกล้อมอยู่ที่ราชประสงค์และติดคุก
9 เดือนกว่าถึงจะได้มาเจอมาอุ้มกัน
ผมตั้งชื่อเด็กผู้หญิงคนนั้นว่าเด็กหญิงชาดอาภรณ์ แปลว่าเสื้อแดง
เพราะผมต้องการจะบอกว่าในชีวิตผมสิ่งที่มีค่าที่สุดที่ผมทำขึ้นมาได้ก็คือชีวิตลูกสองคน
และลูกหนึ่งคนที่เกิดในช่วงเวลานั้นเธอชื่อเสื้อแดง
เหมือนกับสิ่งที่มีคุณค่าที่สุดสำหรับชีวิตผม คือการเป็นคนเสื้อแดง
ผมเป็นเด็กบ้านนอก
ผมอยากเป็นผู้แทนราษฎร ผมสมัครเป็นผู้แทนตั้งแต่อายุ 25 ผมไม่เคยคิดเรื่องออกมาต่อสู้มาเป็นแกนนำม็อบใด
ๆ ผมไม่เคยคิด ผมไม่เคยเกิดมากับอุดมการณ์ยิ่งใหญ่ใด ๆ
ผมไม่เคยเติบโตมากับโลกที่บอกว่ามาเพื่อความเปลี่ยนแปลงอะไรใด ๆ ไม่ครับ
ผมเป็นเด็กเกเรอยู่นครศรีธรรมราช แต่ผมชอบการเมือง ผมอยากเป็นผู้แทน
ผมอยากเป็นเท่านี้ แต่มาถึงวันนี้ ผมจะได้เป็นผู้แทนหรือเปล่า
จะเป็นรัฐมนตรีอีกหรือเปล่า จะกลับมามีตำแหน่งทางการเมืองอีกหรือเปล่า
เป็นเรื่องเล็กที่สุด เพราะผมเป็นคนเสื้อแดง
ผมว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดแล้วในชีวิตผม ผมไม่มีญาติวงวารว่านเครือใด ๆ ในบัญชีผู้สมัครของพรรคการเมืองที่ผมกำลังทำหน้าที่อยู่
ไม่ว่าระบบเขต ไม่ว่าระบบบัญชีรายชื่อ
ผมทำหน้าที่เพราะผมเชื่อว่าผมน่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้บรรลุเป้าหมายได้
แล้วผมไม่แคร์ว่าใครจะมองยังไง เพราะผมเดินมาท่ามกลางคำดูถูกเหยียดหยาม
ผมเดินมาท่ามกลางคำเยาะเย้ยถากถาง ผมเดินมาท่ามกลางการถูกด้อยค่าจากผู้คนต่าง ๆ
มากมายอยู่แล้วว่าไอ้นี่ม็อบรับจ้าง ไอ้นี่สภาโจ๊ก ไอ้นี่นักพูดตามคำสั่ง
ไอ้นี่นักพูดล้างสมองคนเพราะตัวมันถูกล้างสมองมาอีกที
แต่ผมยืนยันว่าตลอดมาตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ผมไม่เคยพินอบพิเทาต่อผู้มีอำนาจใด ๆ
ไม่เคยเจรจาเกี๊ยเซี๊ยะกับฝ่ายอำนาจใด ๆ ทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะในสถานการณ์ไหนก็ตามในชีวิต ผมไม่เคยติดต่อขอพบขอเจรจากับผู้มีอำนาจคนไหน
ผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่แค่ไหนเข้าไปพบผมในเรือนจำ
เจรจาอย่างไรผมไม่เคยก้มหัวและขายวิญญาณให้
ผมคือผมอย่างที่ผมเป็น
ผมคือไอ้เต้น ผมคืนคนเสื้อแดง!!! และผมจะไม่มีทางเป็นอย่างอื่น
แต่จะเป็นคนเสื้อแดงคนหนึ่งที่ร่วมตามหาความยุติธรรมกับเพื่อนเสื้อแดงทุกคนอย่างถึงที่สุด
และจะยังคงกวนตีนเผด็จการเหมือนเดิม! ยังคงสามารถจะลุกขึ้นและสบตาตัวเองในกระจก
จากนั้นเป็นเวทีเสนอนโยบายและแนวทางปฏิบัติของพรรคการเมืองใน
8 ข้อเรียกร้องจาก คปช.53 ซึ่งประกอบด้วย
พรรคประชาชาติ, พรรคเสรีรวมไทย, พรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย