ศศินันท์ อภิปราย จุดยืน “พรรคประชาชน” รักษาตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้าน-ไม่ส่งคนชิงรองประธานสภา ยกผลงาน “หมออ๋อง” เปิดพื้นที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วม-ตรวจสอบอย่างก้าวกระโดด ขอรองประธานสภาคนต่อไปสานต่อ
วันที่ 11 กันยายน 2567 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีการเลือกรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 และรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 แทนตำแหน่งที่ว่างลง พรรคประชาชนได้มอบหมายให้ ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สส.กรุงเทพฯ เขต 11 พรรคประชาชน เป็นตัวแทนพรรคในการอภิปรายและแสดงจุดยืนของพรรคประชาชนต่อการเลือกรองประธานสภาผู้แทนราษฎรทั้งสองตำแหน่ง
ศศินันท์เริ่มต้นการอภิปราย โดยระบุว่าสมาชิกทุกคนเป็นผู้แทนของประชาชนผู้ทรงอำนาจสูงสุดในประเทศนี้ รัฐสภาเป็นอีกอำนาจที่ถ่วงดุลการทำงานฝ่ายบริหารและตุลาการ สิ่งที่สภาฯ มีคือการได้รับการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน แต่ตลอด 20 ปีที่ผ่านมาสภาถูกท้าทายด้วยอำนาจที่ไม่ได้มาจากประชาชนครั้งแล้วครั้งเล่า
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาเราสูญเสียประมุขฝ่ายบริหาร ผู้นำฝ่ายค้าน รองประธานสภาคนที่ 1 และยังสูญเสียผู้แทนราษฎรจากอดีตพรรคก้าวไกลอีกหลายท่าน ทุกตำแหน่งปฏิเสธไม่ได้ว่ามาจากศักดิ์และสิทธิที่ประชาชนมอบให้ แต่เรากลับถูกแทรกแซงด้วยอำนาจที่ไม่ได้มาจากประชาชน แสดงให้เห็นว่าอำนาจของประชาชนถูกพรากและทำลายง่ายเหลือเกิน
ศศินันท์กล่าวต่อไปว่านี่จึงเป็นช่วงเวลาสำคัญของสมาชิกสภาทุกคนในฐานะผู้แทนราษฎรที่มาจากประชาชน ไม่ว่ามาจากพรรคใด ต้องช่วยทำให้สภาแห่งนี้เข้มแข็ง รักษาอำนาจของประชาชนไว้ ตลอดจนทำให้เป็นที่แก้ไขปัญหาของประเทศและประชาชน เพื่อเรียกคืนความเชื่อมั่นของประชาชนกลับมายังสภาของเรา
1 ปีที่ผ่านมาภายใต้การทำงานของ ปดิพัทธ์ สันติภาดา อดีตรองประธานสภาคนที่ 1 สภาของเรามีการเปลี่ยนแปลงไปมาก มีการเปิดลานประชาชนเพื่อเฉลิมฉลองวันรัฐธรรมนูญครั้งแรกในรอบ 66 ปี, เป็นครั้งแรกที่การเปิดให้ประชาชนกลุ่มชาติพันธุ์เข้ามาถกเถียงในกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับพวกเขา, มีการเปิดพื้นที่ให้ประชาชนมารับฟังการอภิปรายงบประมาณ, มีการจัดทำแฟ้มผลงาน สส. ให้ทุกคนเข้ามาตรวจสอบว่า สส. ทำอะไรไปแล้วบ้าง, มีการทำฐานข้อมูลให้โปร่งใส ประชาชนทุกคนสามารถเข้ามาตรวจสอบสถานะความคืบหน้าของกฎหมายได้อย่างถูกต้องครบถ้วน และมีการเตรียมฟ้องเรียกความเสียหายจากการส่งมอบรัฐสภาที่ล่าช้าและไม่ตรงสเปก ซึ่งตนหวังว่ารองประธานสภาคนใหม่จะติดตามเรื่องนี้ต่อไป
นอกจากนี้ สภายังได้ประหยัดงบประมาณไปถึง 350 ล้านบาท จากการตัดโครงการที่ซ้ำซ้อนและไม่เกิดประโยชน์ออกไป และเมื่อหลายสัปดาห์ก่อนมีการเปิดพื้นที่ให้ประชาชน ทั้งภาคธุรกิจ ภาครัฐ และภาคประชาชน เข้ามามีส่วนร่วมพัฒนาและตรวจสอบการทำงานของสภาผ่านโครงการ Open Parliament Hackathon และยังมีการทำ MOU สองฉบับ กับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในการเอา AI มาใช้ในการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และกับศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ NECTEC ในการนำเอา AI มาทำงานให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ
ศศินันท์กล่าวต่อไป ว่านี่คือผลงานจากแค่ 1 ปีกว่า ที่อดีตรองประธานสภาคนที่ 1 ปดิพัทธ์ ได้ทำงานเอาไว้ให้สมกับที่ประชาชนได้เลือกมา และที่เพื่อนสมาชิกในห้องนี้ได้ให้ความไว้ใจให้ขึ้นไปทำงานบนบัลลังก์ แต่นอกจากสิ่งที่ปดิพัทธ์ได้เสนอเอาไว้ วันนี้พรรคประชาชนยังมีข้อเสนอในการทำให้สภาเป็นสภาที่ก้าวหน้าที่สุดในอาเซียน โดยการนำเอาตัวชี้วัดของสหภาพรัฐสภา (IPU) 6 ข้อ มาเป็นตัวชี้วัดตรวจสอบการทำงานของสภา รวมถึงทำให้สภาเป็นที่รองรับทุกความแตกต่างหลากหลาย และเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับประชาชนทุกคน
โดยมีทั้งหมด 5 ข้อเสนอ ประกอบด้วย :
1) การสร้าง zero-waste parliament อย่างเป็นระบบ
2) จัดให้มีพื้นที่สูบบุหรี่อย่างทั่วถึง
3) สร้าง all-gender restroom และ all-people access ในสภา
4) ให้มี childcare center ให้ทั้งเจ้าหน้าที่สภาและผู้ที่ต้องทำงานที่สภา
5) การสร้างพื้นที่สาธารณะที่ประชาชนทุกคนเข้าถึงได้ง่าย
ศศินันท์ระบุต่อไปว่ารัฐสภาที่เข้าถึงประชาชนไม่ใช่สภาที่มีเพียงแต่ระฆังแขวนอยู่ข้างหน้า แต่ต้องเป็นการที่เราเปิดเผยข้อมูลทุกอย่างในสภาได้อย่างมีระบบ มีความโปร่งใส และตรวจสอบได้ ประชาชนต้องเข้าถึงง่ายจริง โดยสภาต้องรองรับความแตกต่างหลากหลายและเป็นพื้นที่ปลอดภัยของประชาชนและทุกคนในสภาด้วย สิ่งเหล่านี้จะทำให้สภาของเราเป็นที่สง่างามและเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง
“ตอนนี้ชัดเจนแล้วว่าพรรคประชาชนจะรักษาตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านเอาไว้ และด้วยข้อจำกัดทางกฎหมาย วันนี้จึงไม่อาจเสนอชื่อรองประธานสภาเข้าชิงได้ ดิฉันจึงอยากฝากไปถึงว่าที่รองประธานสภา ขอให้มีการสานต่อวิสัยทัศน์ของอดีตรองประธานสภา ปดิพัทธ์ สันติภาดา ในการทำให้สภานี้เป็นสภาที่โปร่งใส มีประสิทธิภาพ และเป็นของประชาชน รวมถึงข้อเสนอเพิ่มเติมที่พรรคประชาชนได้เสนอเข้าไป เพื่อให้สภาแห่งนี้เป็นสภาที่ก้าวหน้า รองรับความแตกต่างหลากหลาย และเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้ประชาชนทุกคนต่อไป” ศศินันท์กล่าว