ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง
“ป้าวันทนา” คดีตะโกนไล่ประยุทธ์ ระบุตำรวจละเมิดเสรีภาพการแสดงความเห็นของประชาชน
วันนี้
(5 กันยายน 2567) ที่เว็บไซต์ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
รายงานว่า ศาลแขวงราชบุรีนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ภาค 7 ในคดีของ
วันทนา โอทอง ประชาชนวัย 63 ปี ในจังหวัดราชบุรี จากเหตุยืนรอขบวน
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขณะนั้นเป็นนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ในอำเภอบ้านโป่ง
จังหวัดราชบุรี และตะโกนวิพากษ์วิจารณ์การทำงาน เมื่อวันที่ 13 มี.ค. 2566
ก่อนหน้า
ก่อนหน้านี้ ศาลแขวงราชบุรีได้พิพากษา ลงโทษจำคุก วันทนา เต็มอัตรา 6 เดือน 10
วัน ปรับ 1,000 บาท ไม่รอลงอาญา ใน 3 ข้อหาตามคำฟ้อง ได้แก่ ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าพนักงาน, ส่งเสียงหรือกระทำความอื้ออึงโดยไม่มีเหตุอันสมควร
และต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงาน ก่อนศาลให้ประกันตัวระหว่างอุทธรณ์
โดยในวันนี้
(5 ก.ย. 2567) ศาลแขวงราชบุรีได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค
7 โดยมีใจความสำคัญดังนี้
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับตั้งแต่ปี
2475 เป็นต้นมาได้บัญญัติรับรองและคุ้มครองเสรีภาพในการชุมนุมไว้
หากการชุมนุมนั้นเป็นการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ
โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 34
วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
การพูด เขียน พิมพ์ และโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น
การจำกัดเสรีภาพดังกล่าวจะกระทำมิได้เว้นแต่อาศัยอำนาจตามบทบัญญัติที่กฎหมายตราขึ้นเฉพาะ
เพื่อรักษาความมั่นคงแห่งรัฐ เพื่อคุ้มครองสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอื่น
และเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
หรือเพื่อป้องกันสุขภาพของประชาชน
นอกจากนี้
ประเทศไทยยังมีพันธกรณีระหว่างประเทศตามกติกาสากลระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง
(ICCPR) ที่ประเทศไทยเคยให้สัตยาบันไว้ เมื่อปี 2539 ในข้อ 19
รับรองเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชนและสื่อมวลชน
รวมถึงการเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ทำให้ความเป็นมนุษย์สมบูรณ์
อีกทั้งการรองรับและคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงออกเป็นสิ่งที่บ่งชี้ว่าประเทศไทยให้ความเคารพต่อคุณค่าในหลักการประชาธิปไตยที่ยอมรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเห็นต่อการบริหารรัฐกิจ
และการวิพากษ์วิจารณ์บุคคลสาธารณะ
ซึ่งผู้ที่ได้รับอาณัติจากประชาชนจะต้องอดทนต่อการตั้งคำถามและการตรวจสอบอย่างเข้มข้นจากประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย
ดังนั้น
การฟ้องร้องดำเนินคดีประชาชนที่แสดงความเห็นต่างหรือสื่อมวลชนเพื่อปิดกั้นการแสดงออกโดยชอบด้วยกฎหมาย
จึงไม่เป็นที่ยอมรับในสังคมประชาธิปไตยที่เคารพหลักนิติรัฐและนิติธรรม
ทั้งนี้
รัฐสามารถจํากัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นโดยอาศัยบทบัญญัติของกฎหมายเฉพาะในกรณีมีความจําเป็นต่อการเคารพในสิทธิหรือชื่อเสียงของบุคคลอื่น
หรือการรักษาความมั่นคงของชาติ หรือความสงบเรียบร้อย หรือการสาธารณสุข
หรือศีลธรรมอันดีของประชาชนเท่านั้น แต่จะต้องไม่มีผลร้ายถึงขนาดไม่ให้แสดงความคิดเห็นอันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน
บทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ตราขึ้นนี้จะต้องผ่านมาตรฐานที่เข้มข้นสูงสุด
มีความชัดเจนแน่นอนเพียงพอที่บุคคลจะสามารถรู้ได้ว่า จะต้องปฏิบัติตามอย่างไร
และกฎหมายจะต้องไม่เปิดช่องให้เจ้าหน้าที่ใช้ดุลพินิจในการจํากัดเสรีภาพและดำเนินคดีต่อผู้ใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกได้อย่างไม่มีข้อจํากัด
รัฐมีหน้าที่ในการแสดงให้เห็นว่า
การจํากัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกมีฐานทางกฎหมายอย่างไรและสอดคล้องอย่างไรต่อหลักความจําเป็นและหลักความได้สัดส่วน
ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏจากพยานหลักฐานของโจทก์ว่า
จําเลยวางแผนกระทำการในสิ่งที่ผิดกฎหมาย และไม่ปรากฏว่าจําเลยมีอาวุธ
หรือเครื่องขยายเสียง จึงต้องถือว่าจําเลยมาชุมนุมด้วยความสงบและปราศจากอาวุธ
อันเป็นสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชนตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด
แม้จำเลยจะแสดงออกว่าไม่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น
เหมือนผู้ชุมนุมคนอื่น ๆ แต่การกระทำของจำเลยก็ยังเป็น ‘ผู้ชุมนุม’
ตามนิยามในมาตรา 4
ของ พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะฯ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงมีหน้าที่รักษาความปลอดภัยหรืออํานวยความสะดวกแก่จําเลยในสถานที่ชุมนุมตามมาตรา
19 หากจําเลยร้องด่านายกฯ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ต้องรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความผิดของจําเลยตามกฎหมายเป็นอีกส่วนหนึ่ง
การกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กระทำต่อจำเลย
โดยใช้มือปิดปาก และนำตัวจำเลยออกมาจากพื้นที่ดังกล่าว
ย่อมเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของจำเลยตามรัฐธรรมนูญ
ทั้งจำเป็นเพียงหญิงอายุ 62
ปี ที่ไม่ยอมไปยืนในจุดที่พนักงานตำรวจกำหนดไว้
โดยไม่ปรากฏว่าจ๋าเลยจะก่อความไม่สงบหรือความรุนแรงให้เกิดขึ้น
เมื่อเปรียบเทียบการกระทำกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของจำเลยไม่ให้แสดงความคิดเห็นดังกล่าว
ซึ่งมีผลทำให้หลักการใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชนตามรัฐธรรมนูญต้องเสียไป
และไม่ได้สัดส่วนกัน ประกอบกับการปฏิบัติต่อจําเลยซึ่งเป็นหญิงผู้สูงอายุ
จะต้องเพิ่มความระมัดระวังและปฏิบัติให้มีความเหมาะสมแก่สถานภาพ โดยคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนที่ไม่ทำให้เสียภาพพจน์ในการปฏิบัติการ
ตามคู่มือการปฏิบัติการดูแลการชุมนุมสาธารณะของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ดังนั้น แม้จำเลยจะดิ้นขัดขืน
ก็เพื่อปกป้องการใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกของตนและเพื่อให้หลุดพ้นจากการปฏิบัติที่เกินขอบเขตอำนาจตามกฎหมาย
ถือไม่ได้ว่าจําเลยมีเจตนาต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานโดยใช้กําลังประทุษร้าย การกระทำของจําเลยไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 วรรคสอง
นอกจากนี้
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า การกระทำของจําเลยเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงความเห็นตามรัฐธรรมนูญ
การจํากัดสิทธิเสรีภาพในการชุมนุมจะต้องสอดคล้องกับหลักความจําเป็น หมายความว่า
มาตรการที่รัฐเลือกใช้นั้นจะต้องเป็นมาตรการที่กระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนให้น้อยที่สุด
นอกจากนั้นยังต้องสอดคล้องกับหลักความได้สัดส่วนด้วย ซึ่งหมายความว่า
การจํากัดสิทธิเสรีภาพเช่นว่านั้น จะต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะอย่างแท้จริง
หากปรากฏว่าสาธารณะได้ประโยชน์น้อย
เมื่อเปรียบเทียบกับสิทธิและเสรีภาพของประชาชนที่เสียไป ต้องถือว่าการใช้อำนาจนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย
แม้ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า
เจ้าพนักงานตำรวจออกคำสั่งห้ามจําเลยยืนที่บริเวณหน้าแผงเหล็กกั้น
แต่จําเลยไม่ปฏิบัติก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาพฤติการณ์ขณะเกิดเหตุ
จําเลยซึ่งเป็นหญิงผู้สูงอายุยืนอยู่โดยปราศจากอาวุธใด ๆ
ทั้งไม่ปรากฏว่าจะเกิดเหตุร้ายแรงต่อประชาชนที่บริเวณดังกล่าว การที่เจ้าพนักงานตำรวจมีคําสั่งห้ามจําเลยยืนบริเวณจุดเกิดเหตุ
จึงเกินความจําเป็นและไม่ได้สัดส่วนกับการใช้สิทธิเสรีภาพของจําเลย
ส่วนที่จําเลยส่งเสียง
ทำให้เกิดเสียงหรือกระทำความอื้ออึง ก็ไม่ปรากฏว่าจําเลยใช้เครื่องขยายเสียงจนทำให้ประชาชนตกใจหรือเดือดร้อน
คงมีเพียงเสียงร้องจากปากของจ๋าเลยที่มีอยู่เพื่อปกป้องสิทธิเสรีภาพของจําเลยตามรัฐธรรมนูญเท่านั้น การกระทำของจําเลยจึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 368 และมาตรา 370
และถึงแม้ความผิดฐานส่งเสียงอื้ออึงโดยไม่มีเหตุอันสมควร
เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาปรับ 1,000 บาท
จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง แต่เมื่อการกระทำของจําเลยไม่เป็นความผิดฐานดังกล่าวเสียแล้ว
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 มีอำนาจยกฟ้องในฐานดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 185 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 215 เนื่องจากเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกัน
ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามา
ศาลอุทธรณ์ภาค 7
ไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
ขอบคุณข้อมูลจาก
: ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน