วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2567

“ณัฐพงษ์” กระทุ้งรัฐบาลออก 10 มาตรการเร่งด่วนหลังน้ำลด อัดฉีดเงินเยียวยาให้ผู้ประสบภัย-ธุรกิจฟื้นตัวโดยเร็ว พร้อมแนะมาตรการเชิงรุกปรับปรุงระบบเตือนภัย เตรียมรับมือพายุลูกใหม่ที่กำลังพัดเข้าไทย

 


ณัฐพงษ์” กระทุ้งรัฐบาลออก 10 มาตรการเร่งด่วนหลังน้ำลด อัดฉีดเงินเยียวยาให้ผู้ประสบภัย-ธุรกิจฟื้นตัวโดยเร็ว พร้อมแนะมาตรการเชิงรุกปรับปรุงระบบเตือนภัย เตรียมรับมือพายุลูกใหม่ที่กำลังพัดเข้าไทย

 

วันที่ 19 กันยายน 2567 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชน ตั้งกระทู้ถามสดนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการรับมือสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในหลายจังหวัดทั่วประเทศ รวมถึงมาตรการฟื้นฟูเยียวยาหลังน้ำลด โดยนายกรัฐมนตรีมอบหมายให้ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย มาเป็นผู้ตอบกระทู้แทน

 

ณัฐพงษ์เริ่มต้นกระทู้ถามสดโดยกล่าวว่า เมื่อวันที่ 14-15 กันยายนที่ผ่านมา ตนและ สส.พรรคประชาชนได้ลงพื้นที่ไปยังอำเภอเมืองและอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำท่วม ให้กำลังใจพี่น้องประชาชนผู้ประสบภัย และขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมมือกันฟื้นฟูเยียวยาหลังน้ำลด รวมถึงยังได้รับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะที่ต้องการส่งไปถึงรัฐบาล ซึ่งประเด็นหลักที่พบคือ น้ำท่วมคือภัยที่ส่งผลกระทบทั้งต่อชีวิตและการเงิน เพราะนอกจากบ้านเรือนจะเสียหาย ส่งผลให้ชีวิตประจำวันยากลำบากแล้ว การค้าขายและธุรกิจก็พังเสียหายยับเยินไปด้วย ในขณะที่รายจ่ายและหนี้สินยังคงเดินหน้าทุกวัน นี่คือสิ่งที่ประชาชนผู้ประสบภัยกำลังทุกข์ทรมานอย่างยิ่ง แม้ว่าน้ำจะลดลงไปแล้ว

 

ณัฐพงษ์มองว่า การรับมือภัยพิบัติน้ำท่วมประกอบไปด้วย 2 ช่วง โดยช่วงแรก “ก่อนภัยมา” สิ่งที่ต้องทำคือการลดความเสี่ยงให้เหลือน้อยที่สุด ป้องกันความสูญเสียให้มากที่สุด ส่วนช่วงที่สอง “หลังภัยมา” สิ่งที่ต้องทำคือการช่วยเหลือ-เยียวยาให้เร็วและทั่วถึงที่สุด รวมถึงการซ่อมแซม-ฟื้นฟูให้วิถีชีวิตกลับมาเป็นปกติสุขโดยเร็วที่สุด

 

โจทย์ข้างต้นสามารถแปลงเป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องบริหารจัดการได้ 3 ข้อคือ 1. “ลดความเสี่ยง” ด้วยการบริหารจัดการน้ำฝน น้ำท่า และน้ำที่ข้ามพรมแดนมาจากต่างประเทศ 2. “ลดความสูญเสีย” ด้วยระบบการแจ้งเตือนภัย ซึ่งรัฐบาลต้องเตรียมความพร้อมทั้งด้านการบูรณาการข้อมูลและวางระบบเทคโนโลยีการแจ้งเตือนภัย 3. “ช่วยเหลือ เยียวยา ซ่อมแซม ฟื้นฟู” ด้วยการบริหารสถานการณ์ภัยพิบัติและการออกมาตรการช่วยเหลือต่างๆ จากรัฐ

 

อย่างไรก็ตาม ณัฐพงษ์กล่าวว่า จากสถานการณ์เฉพาะหน้าหลังน้ำลด สิ่งที่ประชาชนผู้ประสบภัยต้องการให้รัฐบาลจัดการมากที่สุดในขณะนี้ คือการช่วยเหลือเยียวยาและซ่อมแซมฟื้นฟู โดยมี 10 มาตรการที่รัฐบาลควรทำเร่งด่วน ซึ่งบางมาตรการรัฐบาลได้ดำเนินการไปบ้างแล้ว แต่ยังมีปัญหาอยู่หลายจุดที่ตนขอให้ข้อเสนอแนะ ดังนี้

 

1. การจัดตั้งศูนย์กลางประสานความช่วยเหลือ ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลได้ดำเนินการตั้ง “ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศปช.)” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีรองนายกรัฐมนตรีภูมิธรรม เวชยชัย เป็นประธาน

 

2. การยกเว้นค่าน้ำ-ค่าไฟในเดือนกันยายน และลดราคา 30% ในเดือนตุลาคม ซึ่งต้องตั้งคำถามว่าเพียงพอหรือไม่ น้อยไปหรือไม่ รวมถึงระบบน้ำประปาที่บริหารโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) รัฐบาลจะตั้งงบประมาณชดเชยค่าน้ำประปาให้กับ อปท. ด้วยหรือไม่

 

3. เงินเยียวยาน้ำท่วม ซึ่งปัจจุบันมีขั้นตอนที่ยุ่งยากเกินไป เพราะกำหนดเงื่อนไขว่าต้องมีหนังสือรับรองผู้ประสบภัยจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ต้องผ่านประชาคมหมู่บ้าน และต้องผ่านคณะกรรมการภัยพิบัติระดับอำเภอและจังหวัด อีกทั้งระยะเวลาดำเนินการยังกำหนดไว้ยาวนานถึง 90 วัน ตนขอเสนอว่า รัฐบาลสามารถใช้ภาพถ่ายดาวเทียมจากสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) มาซ้อนทับกับข้อมูลพิกัดที่อยู่บนแผนที่โลก (Geocoding) เพื่อให้เงินชดเชยผู้ประสบภัยโดยอัตโนมัติผ่านแอปพลิเคชันทางรัฐได้เลยทันที

 

4. เงินซ่อมแซมบ้าน ซึ่งรัฐบาลจะจ่ายให้หลังละ 2.3 แสนบาทหากมีความเสียหายเกิน 70% ซึ่งก็เกิดคำถามว่า 70% นั้นวัดจากอะไร มีรายละเอียดอะไรบ้างก็ไม่ชัดเจน ตนขอเสนอว่า รัฐบาลควรให้เงินซ่อมแซม 10,000 บาททันทีสำหรับบ้านทุกหลังที่ประสบภัย จากนั้นเมื่อสำรวจและประเมินความเสียหายเสร็จสิ้นก็ค่อยจ่ายส่วนต่างที่เหลือตามมา

 

5. การพักชำระหนี้ ซึ่งปัจจุบันธนาคารรัฐจะพักชำระหนี้ให้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย ส่วนธนาคารเอกชนพักชำระหนี้เฉพาะเงินต้นเท่านั้น ตนขอเสนอว่า รัฐบาลควรเจรจาให้ธนาคารเอกชนพักชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยเช่นเดียวกับธนาคารรัฐ

 

6. เงินเยียวยาพื้นที่เกษตรกรรม โดยเฉพาะข้าวที่ปัจจุบันรัฐบาลชดเชยไร่ละ 1,340 บาท ซึ่งเกษตรกรสะท้อนว่าไม่เพียงพอ เพราะต้นทุนที่เสียหายจริงสูงกว่าที่รัฐบาลประเมินถึง 4 เท่า ตนขอเสนอว่า รัฐบาลควรเพิ่มอัตราเยียวยาพื้นที่เกษตรกรรมตามต้นทุนการผลิตจริง

 

7. งบประมาณซ่อมแซมถนนและทรัพย์สินราชการ รัฐบาลอนุมัติงบกลาง 5.3 พันล้านบาทให้เฉพาะกรมชลประทาน กรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบทเท่านั้น ตนขอเสนอว่า รัฐบาลควรอนุมัติงบประมาณให้ อปท. เพิ่มเติมด้วย เพื่อซ่อมแซมถนน ไฟส่องสว่าง โรงเรียน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) และอื่นๆ

 

8. การอุดหนุนงบประมาณเพิ่มเติมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปัจจุบันยังไม่มีมาตรการ ตนขอเสนอให้รัฐบาลอุดหนุนงบประมาณเพิ่มเติม เพื่อให้ อปท. มีกำลังในการออกนโยบายฟื้นฟูเยียวยาประชาชนอย่างเต็มที่มากขึ้น

 

9. การกระตุ้นการท่องเที่ยว ปัจจุบันยังไม่มีมาตรการ โดยเดิมรัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวเมืองรอง ลดหย่อนภาษีได้ 15,000 บาท ตนขอเสนอให้รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว “เมืองน้ำลด” ลดหย่อนภาษีได้เพิ่มเติมอีก 15,000 บาท รวมเป็น 30,000 บาท

 

10. การให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) แก่ผู้ประกอบการ ปัจจุบันยังไม่มีมาตรการ ตนขอเสนอว่ารัฐบาลควรให้สินเชื่อดอกเบี้ย 0% เพื่อให้ประชาชนนำมาเร่งฟื้นฟูกิจการธุรกิจร้านค้าโดยเร็ว

 

ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่า นอกจากมาตรการเร่งด่วนเฉพาะหน้าแล้ว จากสถานการณ์ปัจจุบันที่กำลังจะมีพายุลูกใหม่พัดเข้าประเทศไทยในช่วงปลายสัปดาห์นี้ ทำให้ภาคเหนือและภาคอีสานมีความเสี่ยงที่จะเกิดน้ำท่วมซ้ำอีกระลอก ดังนั้น โจทย์สำคัญของการรับมือภัยพิบัติในระยะกลางและระยะยาว คือการลดความเสี่ยงและป้องกันความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นให้ได้มากที่สุด

 

โดยในส่วนของการลดความเสี่ยง สิ่งที่รัฐบาลต้องทำคือแผนที่เสี่ยงภัยและระบบคาดการณ์น้ำท่วม ซึ่งจะทำได้ก็ต่อเมื่อมีการเปิดเผยข้อมูลด้านน้ำทั้งระบบ ไม่ว่าจะน้ำฝนหรือน้ำท่า โดยต้องมีการติดตั้งและบำรุงรักษาระบบชลมาตรหรือเครื่องมือวัดระดับน้ำที่ครอบคลุมและทั่วถึง ส่วนน้ำจากต่างประเทศ เช่น น้ำที่ปล่อยมาจากเขื่อนจิ่งหงในประเทศจีน รัฐบาลต้องหารือในระดับพหุภาคีระหว่างประเทศเพื่อบูรณาการข้อมูลน้ำร่วมกัน

 

นอกจากนี้ รัฐบาลควรมีนโยบายจัดทำข้อมูลพิกัดที่อยู่บนแผนที่โลก (Geocoding) เพื่อให้หน่วยงานต่างๆ ลงพื้นที่เข้าไปช่วยเหลือและเยียวยาประชาชนได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และถูกต้อง โดยในหลายประเทศ เช่น แคนาดา สหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร ได้มีการเปิดเผยข้อมูลพิกัดที่อยู่บนแผนที่โลกเป็นสาธารณะแล้ว รัฐบาลไทยจึงควรสั่งการหน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่มีข้อมูลนี้อยู่ ทั้งการไฟฟ้า การประปา และไปรษณีย์ไทย ให้เปิดเผยเป็นข้อมูลเปิด (Open Data) ตามมาตรฐานสากล

 

ส่วนการป้องกันความสูญเสีย สิ่งที่ต้องทำคือระบบแจ้งเตือนภัยและแผนเผชิญเหตุ แต่ระบบแจ้งเตือนภัยผ่านโทรศัพท์มือถือ (Cell Braodcast) ที่รัฐบาลให้ข่าวเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้วว่าขอเวลา 1 ปีจะใช้งานได้ ปัจจุบันก็ยังใช้งานไม่ได้จริง เลื่อนแล้วเลื่อนอีก ขณะที่หอเตือนภัยในพื้นที่ต่างๆ ก็แทบไม่เคยมีการใช้งาน ไม่มีการทดสอบความพร้อมของอุปกรณ์ เห็นได้จากเหตุการณ์น้ำท่วมที่อำเภอแม่สายที่ไม่มีการแจ้งเตือนผ่านหอเตือนภัยแต่อย่างใด รวมถึงแผนเผชิญเหตุซึ่งมีอยู่แล้วในทุกจังหวัด แต่กลับไม่เคยถูกซักซ้อม เจ้าหน้าที่และประชาชนไม่รู้วิธีปฏิบัติ อุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ ก็ไม่พร้อม เมื่อเป็นเช่นนี้ หากเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมอีกในอนาคต ประชาชนก็จะยังคงตกอยู่ในความเสี่ยงอันตรายเช่นเดิม

 

จากแผนเผชิญเหตุที่มีอยู่แล้วทั้งประเทศ ตอนนี้มีคำสั่งจากท่านนายกฯ หรือมีแนวนโยบายที่ชัดเจนจากรัฐบาลหรือยัง ที่จะหยิบแผนเผชิญเหตุเหล่านี้มาซักซ้อม เพื่อให้ทั้งคนและเครื่องมือมีความพร้อมก่อนที่พายุลูกใหม่จะเข้ามา จนอาจเกิดเหตุภัยพิบัติอื่นๆ อีกในอนาคต” ณัฐพงษ์กล่าว


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน