ปชน.ขนทัพใหญ่ผู้ช่วยหาเสียง เลือกตั้งซ่อมเขต 1 ปลุกพลังชาวพิษณุโลก เลือกการเมืองตรงไปตรงมา ส่ง “ณฐชนน ชนะบูรณาศักดิ์” เข้าสภา สานฝันอนาคตใหม่-ก้าวไกลสู่รัฐบาล ปชน. ปี 2570
วันที่ 13 กันยายน 2567 ที่ลานกลางเมือง อ.เมือง จ.พิษณุโลก พรรคประชาชน เปิดเวทีปราศรัยในช่วงโค้งสุดท้ายของการหาเสียงเลือกตั้ง สส.พิษณุโลก เขต 1 แทนตำแหน่งที่ว่างลง ซึ่งทางพรรคประชาชนได้ส่ง ณฐชนน ชนะบูรณาศักดิ์ ลงสมัครรับเลือกตั้งในครั้งนี้
โดยเวทีในวันนี้มีผู้ช่วยหาเสียงพรรคประชาชน ทั้งอดีตแกนนำพรรคอนาคตใหม่และพรรคก้าวไกล ไม่ว่าจะเป็น ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ, พิธา ลิ้มเจริญรัตน์, ชัยธวัช ตุลาธน, พรรณิการ์ วานิช, ปดิพัทธ์ สันติภาดา, ปิยบุตร แสงกนกกุล ร่วมเวทีอย่างครบครัน ท่ามกลางบรรยากาศที่เป็นไปอย่างคึกคัก โดยมีประชาชนและผู้สนับสนุนที่ให้ความสนใจเข้าร่วมรับฟังการปราศรัยอย่างแน่นขนัด
โดยในส่วนของ ปดิพัทธ์ สันติภาดา อดีต สส.พิษณุโลก เขต 1 และอดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ระบุว่าตั้งแต่ชนะการเลือกตั้งในปี 2562 ตนได้พยายามสร้างวัฒนธรรมใหม่ของการเมืองไทยที่จังหวัดพิษณุโลก ไม่ต้องนั่งรถคันใหญ่ ไม่ต้องมีคนติดตามเยอะแยะ ขี่มอเตอร์ไซค์ไปตลาด นั่งร้านก๋วยเตี๋ยว เพราะตนเป็นคนธรรมดามาเพื่อรับใช้ประชาชน มาจนวันที่ตนได้ดำรงตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วยคำสัญญาว่าจะทำอะไรหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสภาโปร่งใส สภาที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งตนก็ทำสำเร็จได้ ดังนั้น ไม่ว่าตนจะอยู๋ในตำแหน่งยาวหรือสั้น แต่ก็ได้ทำให้คนพิษณุโลกภูมิใจแล้ว
แต่สิ่งที่ทำให้เสียใจที่สุดคือตอนที่ต้องนั่งอยู่บนบัลลังก์ มีคนถามกระทู้สด แล้วได้เห็นคนที่มาตอบกระทู้เป็นคนที่ตัวเองเคยเลือกมาก่อนหน้านี้ทั้งนั้น ทำให้รู้สึกผิดหวัง ตอนเป็นฝ่ายค้านด้วยกันรู้สึกว่าสุดยอดแต่ตอนเป็นรัฐมนตรีกลับตอบกระทู้ได้น่าผิดหวัง แม้ตนต้องรักษาความเป็นกลางแต่ก็อดคิดในใจไม่ได้ว่าที่ผ่านมาตัวเองเลือกใครไป เมื่อตนกลับมาที่พิษณุโลกแล้วก็ยิ่งเศร้าหนักกว่าเก่า เจอพี่น้องเสื้อแดงก็ถามว่าที่ผ่านมาพวกเราเจ็บไปเพื่อใคร มาเจอพี่น้องเสื้อเหลืองก็ถามว่า 10 กว่าปีก่อนไปอดหลับอดนอนไล่มันทำไม เสีย 20 ปีไปกับการต่อต้านเผด็จการ สู้กับรัฐประหาร สู้กับรัฐธรรมนูญ 2560 แล้วทำไมวันนี้มาตบหน้าประชาชน ทำราวกับเลือดเนื้อ คดีความ และอิสรภาพของประชาชน มีเพียงเพื่อให้คุณขึ้นสู่อำนาจอย่างนั้นหรือ
ปดิพัทธ์กล่าวต่อไป ว่าภารกิจในการเลือกตั้งซ่อมเกิดขึ้นทันทีตั้งแต่วันที่ตนถูกตัดสิทธิ ทุกคนในพรรคประชาชนไม่มีความลังเลเลยที่จะไว้ใจให้ณฐชนน ณฐชนนอยู่กับตนมาตั้งแต่วันที่เป็นพรรคอนาคตใหม่ ร่วมสุขทุกข์กับประชาชน รักษาอุดมการณ์อย่างมั่นคง อยู่มาตั้งแต่วันที่พรรคอนาคตใหม่ยังไม่มีโอกาสชนะ ถ้าณฐชนนได้เป็น สส. ของชาวพิษณุโลก จะเป็น สส. ที่ดีกว่าปดิพัทธ์แน่นอน เพราะเป็นคนพิษณุโลกมากกว่าตน เกิด เรียน เปิดร้านขายของ และแต่งงานกับคนที่นี่ รู้ทุกซอกทุกมุมของบ้านเกิด รู้ว่าจะเข้าไปจัดการปัญหาอย่างไร
ณฐชนนยังเป็นคนที่เข้าถึงคนทุกกลุ่ม คุยได้กับคนทุกรุ่น สุดท้ายชาวพิษณุโลกเขต 1 จะได้ สส. ที่ไม่ทำสิ่งผิดพลาดเหมือนปดิพัทธ์ทำ เพราะอยู่ด้วยกันมา 4 ปีเรียนรู้มาด้วยกัน ตอนนี้ณฐชนนพร้อมแล้ว เข้าสภาไปตั้งกระทู้ถามได้ทันที ว่าผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลกก่อนเกษียณจะเอาอย่างไรกับเรื่องขยะ พร้อมเสนอญัตติทันทีถึงผังเมืองที่ล้มเหลวของพิษณุโลก และพร้อมเป็นอีกหนึ่งมือทันทีในการยกมือผ่านให้กฎหมายสุราก้าวหน้า
ปดิพัทธ์ยังกล่าวต่อไป ว่าการเลือกตั้งรอบนี้ใครก็บอกว่าพรรคประชาชนเป็นต่อ แต่ความจริงคือสูสีมาก เพราะไม่มีทั้งการเลือกตั้งล่วงหน้า คนมาใช้สิทธิอาจจะลดลงถึง 30% เป็นฝ่ายค้านกับรัฐบาลสถานะอำนาจก็ต่างกัน จึงต้องฝากทุกคนด้วย ในคูหาทุกคนเป็นอิสระ ตัดสินใจกาเองได้โดยไม่ต้องสนใคร ซื่อสัตย์กับตัวเอง ตัดสินใจด้วยตัวเองว่าจะส่งต่อการเมืองแบบที่ปดิพัทธ์ทำไปสู่ณฐชนนและพรรคประชาชนหรือไม่
ด้านธนาธร ได้ขึ้นปราศรัยถึง 3 เหตุผลที่ต้องเลือกณฐชนน ระบุว่าประการแรก เพื่อเป็นการยืนยันว่าเราจะเคียงข้างกับปดิพัทธ์ในวันที่เขาถูกบดขยี้ เพื่อบอกศาลรัฐธรรมนูญว่าเราจะลุกขึ้นยืน ไม่ยอมแพ้ และจะเลือกคนที่ยืนอยู่บนเส้นทางนี้กลับมาเป็น สส.พิษณุโลก เขต 1 อีกครั้ง
ในสมัยพรรคอนาคตใหม่ ปดิพัทธ์เป็นหนึ่งในคนที่เดินเข้ามาเป็นผู้สมัคร สส.พรรคอนาคตใหม่ คุยกันไม่กี่นาทีก็ได้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่อยากเห็นประเทศไทยเจริญก้าวหน้า แล้วปดิพัทธ์ก็ได้กลายมาเป็น สส. ตัวอย่างจริงๆ ในปี 2562 ปดิพัทธ์ได้รับความไว้วางใจมา 3.5 หมื่นคะแนน ปี 2566 ได้รับเพิ่มเป็น 4 หมื่นคะแนน ผู้คนไว้วางใจเขามากขึ้นตามกาลเวลา ปดิพัทธ์เป็น สส. เมื่ออายุ 38 ปี พอพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบ 2563 ปดิพัทธ์ก็ได้รับความไว้วางใจเพื่อนในพรรคให้เป็นกรรมการบริหารพรรค หลังการเลือกตั้ง 2566 ก็ได้เป็นรองประธานสภาคนที่ 1 ด้วยอายุ 43 ปี
ธนาธรกล่าวต่อไป ว่างานที่ปดิพัทธ์ทำหลายงานอาจจะไม่มีใครเห็น อย่างเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมามีการผ่าน พ.ร.บ.การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน เป็นครั้งแรกที่เปิดให้ประชาชนร่วมลงชื่อเสนอกฎหมายได้ผ่านช่องทางออนไลน์ กฎหมายฉบับนี้จุดเริ่มต้นมาจากกรรมาธิการพัฒนาการเมือง ซึ่งประธานในวันนั้นก็คือปดิพัทธ์ นี่คือคุณูปการที่เขามอบให้สังคมไทย ทำให้คนมีส่วนร่วมทางการเมืองได้ง่ายขึ้น
นี่คือคนที่ตนภูมิใจที่ได้เป็นเพื่อนร่วมงาน ทุกครั้งที่เราคุยกันมีแต่เรื่องความก้าวหน้าของประเทศไทยและผลประโยชน์ของประชาชน ถ้าไม่ถูกตัดสิทธิตนเชื่อเหลือเกินว่าในปี 2570 ถ้าไม่เป็นประธานสภาก็ได้เป็นรัฐมนตรีของคนพิษณุโลกแน่นอน แต่เสียดายที่คนคนนี้ถูกตัดสิทธิทางการเมืองอย่างไม่เป็นธรรมเสียก่อน
ธนาธรกล่าวต่อไปถึงเหตุผลประการที่ 2 โดยระบุว่าณฐชนนเป็นลูกหลานคนพิษณุโลก เกิด เรียน ทำงานที่นี่ เป็นนักศึกษานิติศาสตร์ที่สนใจการเมือง ได้รับการจุดประกายจากปิยบุตร แสงกนกกุล อาสามาช่วยงานพรรคอนาคตใหม่พร้อมกับทำธุรกิจที่บ้าน ได้รับการยอมรับจากแวดวงธุรกิจให้เป็นประธานผู้ประกอบการรุ่นใหม่ของสภาหอการค้า (YEC) พิษณุโลก แล้วยังเป็นประธานนักอุตสาหกรรมรุ่นใหม่ (Young FTI) พิษณุโลกด้วย
ณฐชนนเป็นคนที่มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เกลียดความเหลื่อมล้ำในสังคม ในยามว่างก็จะไปแสวงหาช่วยเหลือเด็กยากจนให้มีโอกาสทางการศึกษา หาทุนการศึกษาให้จนทำให้เด็กยากจนหลายคนกลับเข้าสู่ระบบการศึกษาได้ มีโอกาสในชีวิตเดินตามความฝันอีกครั้ง
ธนาธรกล่าวต่อไป ว่าที่ผ่านมาณฐชนนเป็นผู้ช่วยปดิพัทธ์ ทำงานเคียงข้างมาตั้งแต่แรก มีความเข้าใจในงานสภาเป็นอย่างดี เข้าไปทำงานได้ทันทีอย่างไม่มีรอยต่อ หลายคนบอกว่าคณิตศาสตร์ในสภาจบไปแล้ว 1 เสียงที่เพิ่มมาไม่มีความหมาย แต่นี่ไม่เป็นความจริง เมื่อ 2 ปีก่อนกฎหมายสุราก้าวหน้าที่เสนอโดยพรรคอนาคตใหม่และพรรคก้าวไกลผ่านวาระ 1-2 แต่มาตายที่วาระ 3 แพ้เพียง 2 คะแนน ไม่เช่นนั้น 2 ปีที่แล้วการผูกขาดในการผลิตสุราในประเทศไทยหมดไปแล้ว
ดังนั้น 1 เสียงจึงมีความหมาย เพราะยังมีกฎหมายที่มีความหมายต่อสังคมที่รอให้สภาลงมติอยู่อีกเป็นจำนวนมาก สุราก้าวหน้าจะกลับสู่สภาอีกครั้งในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า และหลังจากนั้นจะมี พ.ร.บ.ยกเลิกการเกณฑ์ทหาร, พ.ร.บ.แข่งขันการค้า, พ.ร.บ.เปิดเผยข้อมูลข่าวสาร เหล่านี้คือ พ.ร.บ.ที่มีความหมายต่ออนาคตของประเทศ ดังนั้น 1 เสียงก็มีความหมาย
ธนาธรกล่าวต่อไป ว่าเหตุผลสุดท้าย วันที่ 15 กันยายนนี้จะเป็นการเลือกตั้งสนามระดับชาติครั้งแรกของพรรคประชาชน ซึ่งเป็นการเดินทางของผู้คนที่มีความฝันต่อเนื่องมาจากอนาคตใหม่และก้าวไกล ทั้งหมดคือสามเหลี่ยมหัวกลับ ที่หมายความถึงการพลิกกลับโครงสร้างสังคม ที่ปกติจะมีอภิสิทธิ์ชนเป็นส่วนน้อยอยู่บนยอดและประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศอยู่อย่างยากลำบากที่ข้างล่าง นี่ไม่ใช่สังคมที่เราอยากส่งต่อให้ลูกหลาน แต่เรายืนยันว่าประชาชนคนส่วนใหญ่ต้องอยู่ข้างบนและผู้มีอำนาจต้องอยู่ข้างล่างรับใช้ประชาชน
ไม่ว่าพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบ พรรคก้าวไกลถูกยุบ มาเป็นพรรคประชาชนในวันนี้ก็ยังยืนยันในสัญลักษณ์เดิม ตั้งแต่ตั้งพรรคมาเรายืนยันว่าปัญหาที่เราเห็น ไม่ว่าจะเป็นขยะ น้ำประปา ที่ดินทำกิน การศึกษา ปัญหาเหล่านี้แก้ไม่ได้ถ้าไม่จัดการโครงสร้างที่บิดเบี้ยวผิดเพี้ยน สิ่งที่เราพูดคือการแก้ปัญหาที่ยากๆ แต่จำเป็น ไม่ว่าจะเป็นการกระจายอำนาจ ปฏิรูปกองทัพ ทลายทุนผูกขาด ฯลฯ นั่นคือความหมายของสามเหลี่ยมหัวกลับ และแน่นอนว่าการกลับด้านสามเหลี่ยมหมายถึงการสูญเสียผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของอภิสิทธิ์ชน และนั่นคือเหตุผลที่อนาคตใหม่และก้าวไกลถูกบดขยี้
ธนาธรกล่าวต่อไป ว่านี่คือการเลือกตั้งครั้งแรกของพรรคประชาชน เราอยากให้ประวัติศาสตร์จารึกไว้ว่าพรรคประชาชนได้รับชัยชนะจากความไว้วางใจที่คนพิษณุโลกที่มอบให้กับเรา เพื่อบอกว่าคุณบดขยี้เราไม่ได้ คุณทำลายความฝันเราไม่ได้ และเราจะพาประเทศไทยไปสู่ความเจริญก้าวหน้า
เหลืออีก 1 วัน ตนขอให้ทุกคนช่วยกันออกแรงอย่างเต็มที่ช่วยพวกเรา ประคับประคองความฝันของพวกเรา พยุงให้กำลังใจปดิพัทธ์ ส่งสัญญาณหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผลักดันณฐชนนให้เป็น สส. ทำงานแทนท่าน หล่อเลี้ยงความฝันของเราไปสู่ปี 2570 ที่พรรคประชาชนจะทำในสิ่งที่อนาคตใหม่และก้าวไกลทำไม่ได้ คือการเป็นพรรคอันดับ 1 ของประเทศเกิน 250 เสียง และเป็นรัฐบาล
“นี่เป็นคำสัญญา สนับสนุนเรา เป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กให้กับเรา ประคับประคองเราไปถึงจุดนั้นให้ได้ เมื่อเป็นรัฐบาลเราจะใช้อำนาจที่ประชาชนมอบให้สร้างสังคมไทยที่ดีกว่านี้ให้ลูกหลานของเรา เริ่มที่นี่ พิษณุโลก เขต 1 วันนี้ ออกแรงร่วมกันให้วันที่ 15 เป็นศักราชใหม่ของประชาชน” ธนาธรกล่าว
ด้านณฐชนนกล่าวว่า การยืนอยู่ตรงนี้ของตนเป็นหลักฐานที่ดีที่สุดว่าไม่มีใครในพวกเราท้อถอย ทุกคนอยู่ที่นี่พร้อมสู้ต่อ ไม่มีอีกแล้วความกังวลลังเล พิษณุโลกส้มแล้วส้มเลย เราเดินทางกันมาไกลไม่ใช่เพื่อตำแหน่งของตน แต่เพื่อสร้างความฝันเล็กๆ ของทุกคนที่อยากเห็น “การเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต” 15 กันยากาเบอร์ 1 ตอกย้ำร่วมกันว่าพรรคประชาชนคือพรรคที่คนพิษณุโลกต้องการ
ในส่วนของพิธา ได้ขึ้นปราศรัยเป็นลำดับสุดท้ายก่อนปิดเวที โดยระบุว่าเมื่อครั้งที่ตนเป็น สส. จังหวัดแรกๆ ที่สอนให้ตนรู้ว่าเมื่อประสบอุทกภัยต้องแก้ปัญหาอย่างไรก็คือ จ.พิษณุโลก ที่ครึ่งจังหวัดท่วมซ้ำซาก อีกครึ่งจังหวัดแล้งซ้ำซาก ตนได้รับความรู้จากการลงพื้นที่กับปดิพัทธ์บ่อยๆ ทำให้ทราบว่าการบริหารจัดการอุทกภัยต้องทำอย่างไร ก่อนท่วมต้องมีการพยากรณ์และระบบแจ้งเตือนให้อพยพที่แม่นยำ ระหว่างท่วมต้องระดมทรัพยากรไปที่การทำศูนย์อพยพให้เป็นระบบ การจัดการสัตว์พิษ และระบบสาธารณสุข หลังท่วมคือเรื่องการเยียวยาประชาชนและเกษตรกร ซึ่งในโอกาสนี้ตนขอฝากกำลังใจให้ประชาชนชาวเชียงราย เชียงใหม่ทุกคนที่กำลังประสบภัย รวมถึงรัฐบาลที่กำลังดูแลประชาชนอยู่ในเวลานี้ด้วย
พิธากล่าวต่อไป ว่าวันนี้ตนมีเรื่องต้องสื่อสารกับประชาชนหลายกลุ่ม โดยกลุ่มแรกที่อยากพูดถึงก็คือชาวพิษณุโลก 35,000 คะแนนที่ไม่ได้มาเลือกตั้งครั้งก่อน หรือเกือบ 25% ของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ทั้งที่อาจไม่สามารถมาได้ หรืออาจเบื่อการเมือง ซึ่งตนอยากสื่อสารว่าขออย่าเพิ่งเบื่อการเมือง สิ่งที่พวกเขาพยายามทำคือการบอกว่าคะแนนของประชาชนไม่มีความหมาย ทำให้รู้สึกว่าพลังของประชาชนเล็กน้อยเหลือเกิน 1 เสียงไม่มีประโยชน์อะไร แต่ตนอยากบอกว่าทุกเสียงของชาวพิษณุโลกมีความหมาย วันที่ 15 กันยายน คูหาเปิดตั้งแต่ 8 โมงเช้า คนที่ไม่ได้ไปใช้สิทธิในครั้งก่อนตนต้องขอร้องให้ออกมาใช้สิทธิกันให้มาก เพราะพรรคประชาชนมีแต่ประชาชนเท่านั้น
กลุ่มที่สอง คือผู้ที่ไม่ได้เลือกพรรคก้าวไกลเมื่อการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว แต่เลือกพรรคที่ได้มาเป็นอันดับสองในเขต 1 พิษณุโลก พรรคประชาชนพร้อมรับฟังทุกคน ท่านอาจมีความคิดที่ไม่อยากเห็นการทุจริต อยากเห็นการปฏิรูประบบราชการ ระบบเศรษฐกิจ ท่านอาจเป็นครอบครัวใหญ่ เป็นนายทุนใหญ่ของพิษณุโลก ตนอยากขอโอกาสนี้ ถ้าท่านอยากเห็นการเมืองแบบสถาบันที่ไม่ใช่การเมืองแบบผลประโยชน์ ต้องการความโปร่งใส ประสิทธิภาพ นี่สิ่งที่พรรคประชาชนพยายามทำ ถ้าอยากให้โอกาสพวกเราก็ขอเรียนเชิญด้วยความถ่อมตัว
พิธากล่าวต่อไป ว่ากลุ่มที่สาม คือเพื่อนพี่น้องเสื้อแดงที่ครั้งก่อนยังคงเลือกพรรคที่ได้อันดับสามในเขต 1 พิษณุโลกกว่า 18,000 คะแนน ท่านเรียกร้องมาตลอดว่าไม่อยากได้สองมาตรฐาน การรัฐประหาร และอำนาจนอกระบบ ก็ขอให้พรรคประชาชนมีโอกาสได้รับใช้ท่าน ทำให้ประชาธิปไตยเต็มใบในพิษณุโลก ถ้ารู้สึกอกหัก มึน ผิดหวัง ขอมาสักครึ่งหนึ่งก็ได้ ถ้าอยากได้พรรคการเมืองที่ตรงไปตรงมาไม่ตระบัตสัตย์ ให้ประชาธิปไตยเต็มใบ มีการเมืองที่เป็นสถาบันการเมือง ไม่ทุจริต ไม่สองมาตรฐาน สู้กับการรัฐประหาร ก็ฝากเข้าคูหากาเบอร์ 1 ด้วย
และกลุ่มสุดท้าย คือ 40,000 คะแนนที่มอบให้ปดิพัทธิ์ในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว ตนอยากสื่อสารว่าเรามาไกลเกินกว่าจะแพ้แล้ว และในนาทีนี้ไม่มีใครที่เหมาะสมที่จะสืบทอดต่อจากปดิพัทธ์ไปมากกว่าณฐชนนอีกแล้ว ถ้าเห็นด้วยกับวิธีคิดแบบพรรคประชาชน พร้อมยอมรับในสิ่งที่ตนขอร้องและขอความไว้วางใจ ไม่ว่าคราวที่แล้วจะเลือกพรรคก้าวไกล พรรคอันดับสอง พรรคอันดับสาม หรืออาจจะไม่ได้มาใช้สิทธิ นี่คือโอกาสของทุกคนแล้ว
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #เลือกตั้งซ่อมพิษณุโลก