วันพุธที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2567

“รอมฎอน” เรียกร้องหน.พรรคเพื่อไทยแสดงความรับผิดชอบทางการเมือง โน้มน้าว “พิศาล” ขึ้นศาลคดีตากใบ 15 ต.ค. ก่อนหมดอายุความ ชี้ประธานสภาฯ เข้าใจคลาดเคลื่อน รัฐธรรมนูญไม่คุ้มครอง สส. ที่เป็น “จำเลย” ในคดีอาญา

 


“รอมฎอน” เรียกร้องหน.พรรคเพื่อไทยแสดงความรับผิดชอบทางการเมือง โน้มน้าว “พิศาล” ขึ้นศาลคดีตากใบ 15 ต.ค. ก่อนหมดอายุความ ชี้ประธานสภาฯ เข้าใจคลาดเคลื่อน รัฐธรรมนูญไม่คุ้มครอง สส. ที่เป็น “จำเลย” ในคดีอาญา 


วันที่ 17 กันยายน 2567 รอมฎอน ปันจอร์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ให้ความเห็นถึงกรณีที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรให้สัมภาษณ์ว่าขณะนี้ยังไม่ได้รับหนังสือเรียกตัวพลเอกพิศาล วัฒนวงษ์คีรี สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นจำเลยที่ 1 ในคดีตากใบ ให้ไปขึ้นศาลจังหวัดนราธิวาส พร้อมระบุว่ากฎหมายให้การคุ้มครองสมาชิก จึงต้องขึ้นอยู่กับที่ประชุมสภาฯ ว่าจะอนุญาตให้ส่งตัวหรือไม่


โดยรอมฎอนกล่าวว่า หากพิจารณาจากบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 125 โดยเฉพาะวรรคสุดท้ายที่ระบุถึงกรณีที่มีการฟ้อง สส.ในคดีอาญา ความในมาตรานี้เปิดให้ศาลจะพิจารณาคดีนั้นในระหว่างสมัยประชุมก็ได้ โดยระบุเงื่อนไขว่าต้องไม่เป็นการขัดขวางต่อการที่สมาชิกคนนั้นจะมาประชุมสภาฯ ด้วยเหตุนี้ กรณีของพลเอกพิศาลจึงไม่จำเป็นต้องขอมติที่ประชุมสภาฯ เพื่ออนุญาตให้เดินทางไปเบิกตัวที่ศาลแต่อย่างใด 


โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นัดของศาลครั้งต่อไปกำหนดเป็นวันอังคารที่ 15 ตุลาคม 2567 ซึ่งเป็นวันที่โดยปกติแล้วจะไม่มีการนัดประชุมสภาผู้แทนราษฎรหรือการประชุมร่วมกันของรัฐสภา การไปปรากฎตัวที่ศาลเพื่อเบิกคำให้การในวันนั้นก็ไม่น่าจะถือว่าเป็นการขัดขวางการประชุมสภาฯ แต่อย่างใด


“หากนับจากวันนัดศาลครั้งถัดไป อายุความในคดีตากใบซึ่งถือเป็นคดีอาญาแผ่นดินก็จะเหลืออีกเพียงแค่ 10 วัน การเดินทางไปศาลของพลเอกพิศาลจึงขึ้นอยู่กับสปิริตและความรับผิดชอบของตัวท่านเอง อย่างน้อยๆ ท่านก็ควรให้ความร่วมมือกับกระบวนการยุติธรรมเพื่อพิสูจน์ตัวเอง จะเป็นการดีมากกว่าปล่อยให้คดีสำคัญนี้ขาดอายุความไป เพราะข้อกล่าวหาเหล่านี้จะติดตัวท่านไปตลอด และไม่ได้รับการพิสูจน์อีกต่อไป”


รอมฎอนกล่าวต่อไปว่า ตนเคยนำประเด็นการตีความกฎหมายรัฐธรรมนูญนี้หารือกับประธานสภาผู้แทนราษฎรในการประชุมสภาฯ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากทราบว่าญาติของผู้เสียหายในเหตุการณ์ตากใบทำหนังสือถึงประธานสภาฯ ในวันนั้นมีการอภิปรายกันถึงแนวทางและขั้นตอนของสภาฯ ในกรณีที่มีสมาชิกตกเป็นจำเลย แต่มีความคิดเห็นที่แตกต่างและยังสับสนกันอยู่ เป็นไปได้ว่าแนวปฏิบัติที่เคยทำกันมาอยู่ในกรอบของรัฐธรรมนูญฉบับก่อนๆ ในขณะที่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันระบุชัดเจนว่าในกรณีที่สมาชิกเป็น “ผู้ต้องหาในชั้นสอบสวน” นั้นต้องได้รับมติเห็นชอบจากสภาฯ แตกต่างจากกรณีนี้ที่สถานะคือตกเป็น “จำเลย” ในคดีที่ศาลประทับรับฟ้องแล้ว ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของนายกมลศักดิ์ ลีวาเมาะ สส.นราธิวาส พรรคประชาชาติ ประธานคณะกรรมาธิการการกฎหมายฯ สภาผู้แทนราษฎร ที่ลุกขึ้นอภิปรายในเวลานั้น


อย่างไรก็ดี ตนได้ทำหนังสือหารือกับสำนักกฎหมายสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้ทำความเห็นในกรณีนี้เป็นการเฉพาะเรียบร้อยแล้ว พร้อมทั้งระบุเงื่อนไขในกรณีนี้ว่าอายุความจะสิ้นสุดลงในวันที่ 25 ตุลาคม 2567 และวันปิดสมัยประชุมอยู่ที่วันที่ 30 ตุลาคม 2567 หรือห้าวันหลังจากนั้น ในขณะเดียวกัน ศาลนราธิวาสได้กำหนดวันนัดพิจารณาคดีครั้งต่อไปในวันอังคารที่ 15 ตุลาคม 2567 ด้วย


รอมฎอนกล่าวด้วยว่า นอกจากการตัดสินใจไปศาลตามนัดจะเป็นการตัดสินใจของพลเอกพิศาลแล้ว คดีสำคัญที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อมั่นของประชาชนต่ออำนาจรัฐเช่นนี้คงไม่อาจหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบทางการเมืองจากพรรคเพื่อไทยและคณะผู้บริหารของพรรคเพื่อไทยไปได้ เนื่องจากจำเลยเป็นสมาชิกแบบบัญชีรายชื่อของพรรค 


ตนจึงขอเรียกร้องให้พรรคเพื่อไทยให้คำแนะนำและโน้มน้าวใจให้จำเลยที่ 1 เดินทางไปที่ศาลตามวันนัด เพราะนอกจากอายุความกำลังจะสิ้นสุดแล้ว ยังเป็นการยืนยันให้ประชาชนได้เห็นเป็นประจักษ์ว่าประเทศของเรายังคงปกครองด้วยหลักนิติธรรม และประชาชนยังคงสามารถให้ความเชื่อมั่นต่อกระบวนการยุติธรรมได้ อีกทั้งยังเป็นหนทางในการต่อสู้คดีและพิสูจน์ความจริงของจำเลยด้วยเช่นกัน


“ท่านนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย หรือแม้แต่พรรคการเมืองอื่น ๆ ที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาล จะประกาศแนวทางการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อจากนี้ได้อย่างไร หากอายุความของคดีตากใบต้องสิ้นสุดลงเพราะ สส.ของพรรครัฐบาลไปเบิกคำให้การไม่ทันเวลา ทั้งๆ ที่ศาลท่านประทับรับฟ้องแล้ว หลังจากนี้ประชาชนจะเชื่อมั่นต่ออำนาจรัฐและแนวทางของรัฐบาลที่กำลังจะดำเนินต่อไปได้อย่างไร” รอมฎอนทิ้งท้าย


สำหรับความคืบหน้าคดีตากใบล่าสุด ทางสำนักโฆษกสำนักอัยการสูงสุดได้นัดสื่อมวลชนเพื่อรับฟังการแถลงข่าวกรณีอัยการสูงสุดมีคำสั่งคดีตากใบในวันพรุ่งนี้ (18 กันยายน 2567) เวลา 10:00 น. ณ สำนักงานอัยการสูงสุด ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ถนนแจ้งวัฒนะ โดยคดีดังกล่าวทางตำรวจภูธรภาค 9 ได้รื้อฟื้นและทำสำนวนขึ้นมาใหม่ ก่อนจะส่งให้อัยการพร้อมความเห็นควรสั่งไม่ฟ้องเมื่อวันที่ 25 เมษายนที่ผ่านมา โดยเป็นคนละสำนวนกับคดีข้างต้นที่ราษฎรฟ้องและศาลนราธิวาสได้ประทับรับฟ้องไปก่อนหน้านี้ 


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #คดีตากใบ