วันศุกร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2567

“จุลพงศ์” แถลง ผิดหวังต่อวิสัยทัศน์นโยบายการต่างประเทศของรัฐบาล

 


“จุลพงศ์” แถลง ผิดหวังต่อวิสัยทัศน์นโยบายการต่างประเทศของรัฐบาล


วันศุกร์ที่ 20 กันยายน 2567 เวลา 10.00 นาฬิกา ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารรัฐสภา นายจุลพงศ์ อยู่เกษ สส.พรรคประชาชน แถลงข่าวเกี่ยวกับวิสัยทัศน์นโยบายการต่างประเทศของรัฐบาล ทั้งนี้ ตามที่ตนได้ฟังและติดตามข่าวการแถลงวิสัยทัศน์นโยบายการต่างประเทศของ รมว.การต่างประเทศนั้น ในฐานะที่ตนเป็นรองประธานคณะ กมธ.การต่างประเทศ คนที่หนึ่ง ขอแสดงความเห็นส่วนตัวที่ผิดหวังต่อคำแถลงของรัฐมนตรี เพราะ 10 กว่าเรื่องที่แถลงนั้น ควรจะเป็นพันธกิจมากกว่าเป็นวิสัยทัศน์ เพราะพันธกิจเป็นเรื่องของฝ่ายปฏิบัติงานหรือข้าราชการประจำที่ต้องทำอยู่แล้ว โดยสิ่งที่ตนเรียกว่าพันธกิจใน 10 กว่าเรื่องที่รัฐมนตรีแถลงนั้น ตนขอยกมาแสดงความเห็น 4 เรื่อง ดังนี้


1. รัฐมนตรีขึ้นต้นการแสดงวิสัยทัศน์ว่า ประเทศไทยได้รับการยอมรับทั้งการเมืองและเศรษฐกิจมากขึ้นจากผลงานของรัฐบาลชุดที่แล้ว จึงขอให้รัฐมนตรีพิสูจน์งานแรกว่านานาชาติยอมรับการเมืองของไทยมากขึ้นหรือไม่ คือผลการเสนอตัวแทนของประเทศไทยเข้าชิงตำแหน่งในคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติที่กำลังจะมีการลงคะแนนจากชาติสมาชิกในปลายเดือน ต.ค. นี้ ตนทราบมาว่าประเทศไทยกำลังจะหมดหวังในตำแหน่งนี้ เพราะการทำงานอย่างหนักของรัฐบาลของประเทศที่ส่งตัวแทนเข้าแข่งขันกับประเทศไทย นอกจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกากำลังจะออกรายงานประจำปีด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทยใหม่ ซึ่งตนทราบมาว่า รายงานด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทยฉบับใหม่นั้นยังไม่ดีกว่าปีก่อน เพราะเรายังมีปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนหลายเรื่อง เช่น ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันในวงราชการที่รุนแรง เป็นต้น อีกทั้งการไม่ประกาศให้ชัดเจนของรัฐบาลชุดนี้ ถึงนโยบายการจัดตั้งระเบียงสิทธิมนุษยชนตามแนวชายแดนไทย – เมียนมา ที่ริเริ่มในสมัยของอดีตรมว.การต่างประเทศ คนก่อน ทำให้ไม่มีความชัดเจนในด้านการดำเนินนโยบายด้านสิทธิมนุษยชนของไทยในมุมมองของนานาชาติ


2. รัฐมนตรีได้แถลงนโยบายการทูตเชิงเศรษฐกิจเชิงรุก ซึ่งตนได้ยินเรื่องการพัฒนาพื้นที่ร่วมกับประเทศมาเลเซีย แต่ตนไม่เห็นว่ารัฐมนตรีได้กล่าวถึงการพัฒนาพื้นที่ทรัพยากรธรรมชาติในอ่าวไทย อย่างไรก็ตาม หากจะมีการเจรจากับกัมพูชาในเรื่องนี้ ตนหวังว่ารัฐมนตรีจะคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนคนไทยเป็นสำคัญ


3. การที่รัฐมนตรีกล่าวว่าการบริหารจัดการแม่น้ำโขงและปัญหาการเอ่อล้นของน้ำทำให้น้ำท่วมฝั่งไทยนั้น ตนเห็นว่า ไทยยังมีแม่น้ำกั้นเขตแดนกับเมียนมาคือแม่น้ำสาย การที่น้ำท่วมที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย อย่างรุนแรงในปีนี้ เกิดจากการไหลบ่าของแม่น้ำ 3 สาย คือ แม่น้ำสาย แม่น้ำรวกที่มาบรรจบกับแม่น้ำโขง เราไม่มีระบบเตือนภัยล่วงหน้า และไม่มีข้อมูลว่าน้ำส่วนของแม่น้ำสายที่กั้นพรมแดนไทย-เมียนมา ที่มีต้นน้ำอยู่ในประเทศเมียนมานั้น จะมีการปนเปื้อนสารพิษจากการทำเหมืองแร่ในเขตประเทศเมียนมาหรือไม่ เพราะเขตพื้นที่เหนือขึ้นไปจากประเทศไทยอยู่ในเขตปกครองของชนกลุ่มน้อยที่ไม่มีกองกำลังทหารรัฐบาลเมียนมาอยู่แล้ว ซึ่งการใช้การพูดคุยกับรัฐบาลทหารเมียนมาจะไม่เกิดประโยชน์เลย


4. วีซ่าร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านอีก 3 - 4 ประเทศรอบ ๆ ประเทศไทย ซึ่งพันธกิจนี้ขัดกับการให้วีซ่าฟรีแก่หลายประเทศที่รัฐบาลไทยประกาศไปแล้ว ในเมื่อนักท่องเที่ยวจากกว่า 10 ประเทศ มาประเทศไทย โดยไม่ต้องมีวีซ่าแล้ว เหตุใดเขาต้องการวีซ่าเพื่อเข้าได้อีก 3 - 4 ประเทศ และปัญหาอีกประการหนึ่งคือ มาตรฐานที่แตกต่างกันของการออกวีซ่าของแต่ละประเทศที่เราจะทำวีซ่าร่วมกัน โดยบางประเทศต้องการเงินตราต่างประเทศ จึงอาจมีการผ่อนปรนการออกวีซ่ามากกว่าประเทศไทย และจะทำให้นักท่องเที่ยวที่ไม่มีคุณภาพไหลทะลักเข้ามาประเทศไทยมากขึ้น และอีกประการหนึ่งคือ เหตุใดในคำแถลงของรัฐมนตรีจึงไม่มีเรื่องวีซ่าฟรีกับสหภาพยุโรปหรือวีซ่าเซงเก้น ทั้งที่เป็นเรื่องที่รัฐบาลชุดก่อนได้พูดไว้บ่อยครั้งและรัฐมนตรีกล่าวว่า จะสานต่อนโยบายของรัฐบาลชุดก่อน ดังนั้น ตนจึงรู้สึกผิดหวังต่อวิสัยทัศน์นโยบายการต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ขอให้รัฐมนตรีมีความกล้าที่จะกำหนดวิสัยทัศน์การต่างประเทศของไทยให้โดดเด่นในระยะเวลา 3 ปี ต่อจากนี้ เพื่อให้ประเทศไทยมีเสียงดังบนเวทีโลก และหากเป็นเช่นนั้นได้ก็จะทำให้พันธกิจต่าง ๆ ที่ได้แถลงไว้ประสบความสำเร็จ


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน