“มาริษ”
ขึ้นโพเดียมประชุมสุดยอดเพื่ออนาคต ประกาศปฏิรูปยูเอ็น มุ่งคำนึงประเทศกำลังพัฒนา
เอาชนะอาชญากรรมข้ามชาติ ชูบทบาทเยาวชนขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง
ยกเศรษฐกิจพอเพียงสอดคล้องความยั่งยืน
เมื่อวันที่
23 กันยายน 2567 ตามเวลาท้องถิ่นในนครนิวยอร์ก
สหรัฐอเมริกา นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ขึ้นกล่าวถ้อยแถลงของไทย
ในการประชุมสุดยอดเพื่ออนาคต (Summit of the Future)
นายมาริษ
กล่าวว่า ปัจจุบันมนุษยชาติยืนอยู่บนจุดเปลี่ยน
ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการกระทำของเราเอง
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมทำให้โลกใกล้ชิดกันมากขึ้น
แต่ข้อมูลที่ผิดพลาดและข้อมูลบิดเบือน กลับทำให้เราห่างเหินกันมากขึ้น
แม้เศรษฐกิจโลกและความมั่งคั่งของโลกกำลังขยายตัว
แต่ความไม่เท่าเทียมและความอยุติธรรมยังคงมีอยู่
ภัยคุกคามต่อสันติภาพและสิ่งแวดล้อมมีอยู่ทุกหนแห่ง อย่างไรก็ตาม
แนวคิดในการแก้ไขปัญหาก็มีอยู่เช่นกัน
การประชุมสุดยอดแห่งอนาคตครั้งนี้
มอบความหวังให้เราได้กำหนดเส้นทางของเราไปสู่อนาคตที่ดีกว่า การประชุมครั้งนี้
ทำให้เรามีโอกาสที่จะสร้างอนาคต ซึ่งไม่ใช่แค่อนาคตที่เราต้องการเท่านั้น
แต่ยังรวมถึงอนาคตที่มนุษยชาติต้องการอีกด้วย อนาคตแบบไหนที่ผมกำลังพูดถึง ?
ประการแรก
คือ อนาคตที่ทุกคนสามารถได้รับการปกป้อง ซึ่งการปกป้องนั้น
เริ่มต้นจากการตอบรับข้อเรียกร้องใน “คำมั่นเพื่ออนาคต” (Pact of the Future) เพื่อการเปลี่ยนแปลงเบื้องต้นสำหรับแนวทางที่เราดำเนินการเพื่อการเติบโตต่อไป
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของประเทศไทย
ซึ่งเป็นแนวทางการพัฒนาที่ขับเคลื่อนโดยท้องถิ่น
มีคนและโลกเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา
ให้ความสำคัญกับการใช้ทรัพยากรของโลกอย่างยั่งยืน สอนให้เราใช้ชีวิตอย่างกลมกลืนและสมดุลกับธรรมชาติ
เพราะหากไม่มีความยั่งยืนก็จะไม่มีอนาคต
นายมาริษ
กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม การพัฒนาอย่างยั่งยืนไม่สามารถเกิดขึ้นได้
ท่ามกลางการเลือกปฏิบัติและการแบ่งแยก หรือผ่านการทำลายล้างในความขัดแย้ง ดังนั้น
ประเทศไทยมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ ในการปฏิรูปองค์การสหประชาชาติ
รวมถึงคณะมนตรีความมั่นคง เพื่อให้องค์การสหประชาชาติ
สามารถเป็นตัวแทนผลประโยชน์ของทุกประเทศได้อย่างแท้จริง
และคณะมนตรีจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในการรักษาสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ
นอกจากนี้
เรายังต้องเอาชนะความท้าทายของยาเสพติดและอาชญากรรมข้ามชาติ
รวมถึงอาชญากรรมทางไซเบอร์ เราจะทำงานร่วมกับพันธมิตรทุกฝ่าย
เพื่อเสริมสร้างบทบาทขององค์การสหประชาชาติ
ในฐานะที่เป็นจุดยึดของสันติภาพและความยั่งยืน
โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศกำลังพัฒนา
ประการที่สอง
คือ อนาคตที่ทุกคนสามารถเจริญรุ่งเรืองได้ หัวใจสำคัญของความเจริญรุ่งเรือง คือ
การเข้าถึงทรัพยากรอย่างเท่าเทียมกัน การศึกษาที่มีคุณภาพ การดูแลสุขภาพ
และโอกาสในการจ้างงานต้องพร้อมสำหรับทุกคน
ซึ่งรวมถึงการลดช่องว่างทางเพศและการลดช่องว่างทางดิจิทัล
เพื่อให้แน่ใจว่าเทคโนโลยี มีส่วนสนับสนุนความเจริญรุ่งเรืองอย่างครอบคลุม ดังนั้น
ประเทศไทยจึงสนับสนุนการเรียกร้องของคำมั่นด้านดิจิทัลระดับโลก (Global Digital
Compact) ที่จะลดช่องว่างด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี
และนวัตกรรมระหว่างประเทศและภายในประเทศ
นอกจากนี้
ประเทศไทยตระหนักดีว่า
สิทธิมนุษยชนเป็นรากฐานในการสร้างอนาคตที่รุ่งเรืองสำหรับทุกคน ด้วยเหตุนี้
เราจึงเสนอชื่อเพื่อเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ สำหรับวาระปี 2025-2027
เรามุ่งมั่นที่จะทำให้แน่ใจว่าทุกคนสามารถเข้าถึงสิ่งพื้นฐานที่จำเป็นเพื่อความรุ่งเรืองและยกระดับคุณภาพชีวิตได้อย่างเท่าเทียมกัน
เมื่อเรามองไปยังอนาคต เราต้องมั่นใจว่าจะไม่มีใครหรือประเทศใดถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
เพราะไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนที่แข็งแรงหรือเปราะบาง เราก็ต้องก้าวไปด้วยกัน
ประการที่สาม
คือ อนาคตที่สดใสสำหรับทุกคน เริ่มต้นด้วยการตระหนักถึงบทบาทของเยาวชน
ซึ่งเป็นผู้แบกรับการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง
เราต้องให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของพวกเขา ส่งเสริมเสียงของพวกเขา
และลงทุนในศักยภาพของพวกเขา ด้วยเหตุนี้ ประเทศไทยจึงภูมิใจที่มีตัวแทนเยาวชนเป็นส่วนหนึ่งในคณะผู้แทนของเราในการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ
เพื่อให้พวกเขาสามารถมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการกำหนดอนาคตที่พวกเขาวาดหวังไว้สำหรับตัวเอง
เพราะท้ายที่สุดแล้ว อนาคตนั้นก็เป็นของพวกเขาเอง
กระนั้นก็ดี
ความมุ่งมั่นของเราต่ออนาคตที่สดใส ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ปัจจุบันเท่านั้น
ประเทศไทยยินดีกับ “ปฏิญญาว่าด้วยอนุชนรุ่นหลัง” (Declaration on Future Generations) เพราะปฏิญญานี้เตือนว่า เราต้องรับผิดชอบต่อคนที่กำลังจะเกิดมา
ซึ่งถูกกำหนดให้สืบทอดโลกใบนี้ต่อไปอย่างไร
การกระทำของเราในวันนี้จะหล่อหลอมการดำรงชีวิตของพวกเขา ดังนั้น
เราจึงต้องสร้างอนาคตที่เต็มไปด้วยโอกาสเหนืออุปสรรค มีคำสัญญาอยู่เหนืออันตราย
มีความหวังเหนือความยากลำบาก เพื่อคนรุ่นต่อ ๆ ไป
นายมาริษ
กล่าวว่า อนาคตทั้งสามมิตินี้ จะบรรลุได้ด้วยเจตจำนงทางการเมืองเท่านั้น
เพื่อเปลี่ยนวิสัยทัศน์นี้ให้เป็นจริง เราต้องมีความสามัคคีและความมุ่งมั่น
ประเทศไทยสนับสนุนข้อตกลงเพื่ออนาคตและข้อเสนอในการฟื้นฟูระบบพหุภาคีและสถาบันระดับโลก
เพื่อแก้ไขปัญหาการไร้ซึ่งความไว้วางใจในระดับโลก
และเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น
ความสำเร็จของการประชุมสุดยอดแห่งอนาคต
ไม่เพียงขึ้นอยู่กับความสามารถในการหาทางออกในระบบพหุภาคีเท่านั้น
แต่ยังขึ้นอยู่กับเจตจำนงทางการเมืองของประเทศสมาชิก ที่จะร่วมมือกันและผลักดันให้ก้าวหน้าไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เพราะความร่วมมือในกรอบพหุภาคีไม่ใช่สิ่งฟุ่มเฟือย แต่เป็นสิ่งจำเป็น
“ขอให้การประชุมสุดยอดครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางของเราสู่อนาคตที่ทุกคนสามารถได้รับการปกป้อง
อนาคตที่ทุกคนสามารถเจริญรุ่งเรือง
และอนาคตที่คำสัญญาของเราสำหรับวันพรุ่งนี้ที่ดีกว่าจะกลายเป็นจริง
ด้วยความพยายามร่วมกันและเจตจำนงทางการเมืองของเรา ขอให้เราสามัคคีและทำงานร่วมกันเพื่อรับมือกับความท้าทายของวันนี้
และมอบวันพรุ่งนี้ที่ดีกว่าให้กับทุกคน” นายมาริษ กล่าวในที่สุด
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ประชุมสุดยอดเพื่ออนาคต