วันศุกร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2567

‘ชัยธวัช’ นำทีมพรรคร่วมฝ่ายค้านเปิดเวทีแลกเปลี่ยนรับฟังความเห็นประชาชน หน่วยงานราชการ และภาคประชาสังคม จ.เชียงใหม่ ประเด็นฝุ่นพิษ PM2.5 - เตรียมลงพื้นที่ดูหน้างานจริง

 


ชัยธวัช’ นำทีมพรรคร่วมฝ่ายค้านเปิดเวทีแลกเปลี่ยนรับฟังความเห็นประชาชน หน่วยงานราชการ และภาคประชาสังคม จ.เชียงใหม่ ประเด็นฝุ่นพิษ PM2.5 - เตรียมลงพื้นที่ดูหน้างานจริง

 

ชัยธวัช ตุลาธน ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร จัดโครงการผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรพบประชาชน ครั้งที่ 1 ในวันศุกร์ที่ 1 มีนาคม 2567 เวลา 08.00-15.00 น. ณ ห้องดวงตะวันแกรนด์บอลรูม โรงแรมดวงตะวัน เชียงใหม่ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากนักวิชาการ นักศึกษาและประชาชนทั่วไป เกี่ยวกับปัญหาอันเนื่องมาจากฝุ่น PM2.5 และมลพิษทางอากาศ ซึ่งจะนำไปสู่การผลักดันการแก้ไขทั้งในด้านนโยบาย ด้านกฎหมาย และการดำเนินการตามกระบวนการนิติบัญญัติต่อไป การจัดเวทีเสวนาในครั้งนี้เริ่มด้วยการกล่าวเปิดสัมมนาและปาฐกถาพิเศษของผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรต่อผู้เข้าร่วมสัมมนา

 

โดยชัยธวัชกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “ฝุ่นเศรษฐกิจ พิษการเมือง : เศรษฐกิจการเมืองเรื่องฝุ่นควัน” โดยเกริ่นว่าคนไทยเริ่มสูดฝุ่นพิษ PM2.5 มาแล้วประมาณ 20 ปี แต่รัฐบาลไทยเพิ่งประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติเมื่อปี 2562 โดยปัญหาฝุ่นควันสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจมหาศาล ต้นทุนที่สำคัญที่สุดคือ ‘ต้นทุนด้านสุขภาพ’ ที่มีตัวเลขผู้เสียชีวิตประมาณปีละ 30,000 ราย มากกว่าผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนน, ยาเสพติดและฆาตกรรมรวมกัน โดยภาคเหนือมีผู้สูบบุหรี่น้อยกว่าภาคอื่น แต่ประชาชนกลับมีความเสี่ยงจากโรคมะเร็งปอด ปอดอุดตัน หอบหืด สูงกว่าภูมิภาคอื่นๆ

 

ย้อนกลับไปเมื่อการประกาศวาระฝุ่นแห่งชาติในปี 2562 พบว่ามีการตั้งตัวชี้วัดไว้ 3 ตัว แต่ล้มเหลวทุกตัวชี้วัดในตลอด 4 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้นบ้างในบางปี แต่ปีต่อมาก็กลับมาแย่กว่าเดิม

 

อีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญ เมื่อย้อนดูสถิติจุดความร้อนในประเทศเพื่อนบ้านรอบไทย ก็พบตัวเลขสูงอย่างมีนัยะสำคัญเช่นกัน ดังนั้นการแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษในประเทศไทยไม่สามารถจัดการแค่ในประเทศไทยได้อย่างเดียวแน่นอน

 

สำหรับปัญหาและความท้าทายเรื่องการแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษ PM2.5 พบว่า

 

1. ระบบราชการรวมศูนย์แบบแยกส่วน: การบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการไม่เป็นจริง ต่างคนต่างกระทรวงต่างทำ อำนาจและงบประมาณกระจุก ไม่กระจาย ท้องถิ่นขาดเงิน จัดสรรงบประมาณไม่มีประสิทธิภาพ ไม่ตรงเป้า กฎระเบียบเป็นอุปสรรค

 

2. ประสิทธิภาพของภาครัฐ: พบว่ามีการสั่งการ ตั้งเป้าหมาย แต่ไม่มีแผนรูปธรรมชัดเจนและต่อเนื่อง จัดการปัญหาภัยพิบัติแบบตามฤดูกาล ตั้งคณะกรรมการเดือนตุลาคม สลายตัวเดือนพฤษภาคม โดยไม่มีระบบจัดการปัญหาเชิงโครงสร้าง กระบวนการนิติบัญญัติออกกฎหมายล่าช้า เช่นกฎหมายอากาศสะอาด กฎหมายว่าด้วยการรายงานการปล่อยและการเคลื่อนย้ายสารพิษ (PRTR)

 

3. การจัดการทุนใหญ่ ที่ส่งผลทางตรงหรือทางอ้อมต่อต้นตอฝุ่นพิษข้ามแดน: ต้องมีมาตรการทางการค้า การทูต และข้อผูกพันในเชิงกฎหมาย และขยายความรับผิดชอบไปยังเอกชนรายใหญ่ทั้งผลผลิตอ้อยและข้าวโพด ไม่ใช่แค่การข้อความร่วมมือ

 

4. ปัญหาการมองว่าประชาชนเป็นตัวปัญหาแล้วโยนภาระให้ชาวบ้าน : โดยภาครัฐจะต้องมีการสร้างกระบวนการการมีส่วนร่วมของคนในพื้นที่ และต้องสร้างแรงจูงใจและทางเลือกใหม่ทางเศรษฐกิจด้วย

 

หลังจากนั้นเป็นการเปิดเวทีเสวนา โดยวิทยากรในครั้งนี้ประกอบด้วย ศนิวาร บัวบาน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล, ภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงใหม่ พรรคก้าวไกล, กัณวีร์ สืบแสง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อพรรคเป็นธรรม, กฤดิทัช แสงธนโยธิน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หัวหน้าพรรคใหม่, ศาสตราจารย์ ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์, ปริเยศ อังกูรกิตติ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและประชาสัมพันธ์ พรรคไทยสร้างไทย และ ดร.ฐิติวุฒิ อรุณศิโรจน์ ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคครูไทยเพื่อประชาชน โดยมีเดชรัต สุขกำเนิดเป็นผู้ดำเนินรายการ โดยให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาแลกเปลี่ยนแสดงความคิดเห็น พร้อมกับวิทยากรนำเสนอข้อมูลและข้อเสนอแนะสลับกันไปตลอดช่วงการสัมมนา

 

หลังจากนั้น เวลา 15.00 น. ผู้นำฝ่ายค้านฯ ทีมวิทยากรและทีมงานจะลงพื้นที่ ณ ศูนย์ปฏิบัติการไฟป่าเชียงใหม่ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้สถานการณ์ไฟป่า ปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะจากทางเจ้าหน้าที่ เพื่อร่วมกันหาทางแก้ไขปัญหาต่อไป

 

สำหรับการเสวนาครั้งนี้ เป็นการรับฟังความคิดเห็นจากนักวิชาการ นักศึกษาและประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก ตามโครงการผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรพบประชาชนปี 2567 ซึ่งครั้งต่อไปจะเป็นการลงพื้นที่รับฟังความเดือดร้อนของประชาชนในภาคใต้

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์