‘ประเสริฐ’ ตอบกระทู้ ‘สว.’
ย้ำเดินหน้าปราบมิจฉาชีพออนไลน์เด็ดขาด เร่งสร้างความปลอดภัยคนไทย
พร้อมจับมือพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ เร่งป้องกันและปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์
วันที่
11 มีนาคม 2567 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
(ดีอี) ได้ชี้แจงในการตอบกระทู้การประชุมสมาชิกวุฒิสภากรณีพลตรี โอสถ ภาวิไล ส.ว. ได้ถามถึงการป้องกันและปราบปรามแก๊ง Call
Center ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น
จำนวนผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนและมูลค่าความเสียหายว่า กระทรวงดีอี
ตระหนักถึงปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่หลอกลวงประชาชน โดยกลุ่มมิจฉาชีพ
ได้มีการสร้างเรื่องหลอกลวงหลายรูปแบบอย่างต่อเนื่อง
จึงได้มีการสั่งการบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สมาคมธนาคารไทย (TBA)
สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.)
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน กลต.)
กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง
กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.)
และผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ในการร่วมกันร่างและออกกฎหมายสำคัญที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหานี้
คือ พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566
เพื่อใช้เป็นมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีโดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาการฉ้อโกงและหลอกลวงออนไลน์
นายประเสริฐ
กล่าวว่า กฎหมายฉบับนี้จะมีบทลงโทษผู้กระทำความผิดและผู้ที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
กรณีของผู้เปิดบัญชีหรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีเงินฝาก
นำไปใช้ในการกระทำความผิด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี
หรือปรับไม่เกินสามแสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ หรือเป็นธุระจัดหา
โฆษณาให้มีการซื้อขายบัญชีเงินฝาก ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 2 - 5 ปี หรือปรับตั้งแต่สองแสนบาทถึงห้าแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
รวมทั้งยังมีโทษสำหรับผู้ที่เป็นธุระจัดหาเพื่อให้มีการซื้อ
หรือขายหมายเลขโทรศัพท์สำหรับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 2
- 5 ปี หรือปรับตั้งแต่สองแสนบาทถึงห้าแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
นอกจากนี้
กระทรวงดีอียังได้มีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการ ต่อต้านอาชญากรรมออนไลน์ (Anti-Online-Scam
Operation Center : AOC) โทร 1441 เป็น One
Stop Service ในการปราบปรามเชิงรุกและรับมือกับปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ โดยศูนย์จะดำเนินงานในลักษณะ Task Force
Command Center เพื่อปราบปรามเชิงรุกและรับมือกับปัญหาอาชญากรรมออนไลน์
การหลอกลวงทางการเงินที่ทำให้ประชาชนเกิดความเสียหาย
เป็นจำนวนมากและส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ
รวมทั้งมีช่องทางการให้ประชาชนสามารถรับคำปรึกษาปัญหาทางคดีได้
ตลอดจนการประชาสัมพันธ์เพื่อให้ประชาชน ได้ทราบถึงวิธีการหลอกลวงที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงอยู่ตลอดเวลา
ทั้งในช่องทางเว็บไซต์ของกระทรวงและช่องทางของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทย
รวมถึงช่องทางโซเชียลมีเดียที่ อาทิ เฟซบุ๊ก ไลน์ อินสตาแกรม TikTok ทวิตเตอร์ เพื่อให้ประชาชนเกิดความตระหนักและมีภูมิคุ้มกันถึงภัยต่าง ๆ
อยู่ตลอดเวลา
นายประเสริฐ
กล่าวว่า กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
ได้ขยายขอบเขตการทำงานให้ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งการประสานความร่วมมือระหว่างประเทศ
โดยมีการลงนามความร่วมมือระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งราชอาณาจักรไทย
และกระทรวงการไปรษณีย์ และโทรคมนาคมแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาในการปราบปรามแก๊ง Call Center และ Hybrid Scam รวมทั้งมีการจัดตั้งคณะทำงานแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ ประกอบด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคณะทำงานนี้
มีปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นประธาน ล่าสุดได้มีการหารือการแก้ไขปัญหาในการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านดิจิทัล
ครั้งที่ 4 (The 4th ASEAN Digital Ministers’ Meeting: The 4th ADGMIN) เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ และจะมีการหารือกันอีกครั้ง
ระหว่างเดือนมีนาคมร่วมกับคณะทำงานฝ่ายกัมพูชา
ในการประชุมผู้นำเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านดิจิทัลและผู้นำสภาหน่วยงานกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมแห่งอาเซียน
ครั้งที่ 1 ณ ประเทศกัมพูชา
ซึ่งเป็นการสานต่อความร่วมมือด้านดิจิทัลในมิติต่างๆ
โดยเฉพาะการจัดการภัยออนไลน์โดยเฉพาะอย่างยิ่งแก๊ง Call Center และ Hybrid Scam ซึ่งเป็นปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติระดับโลก
และประเทศไทยมีบทบาทสำคัญ
ในการยกระดับความร่วมมือและการดำเนินงานของอาเซียนในการจัดการและรับมือกับปัญหา
การหลอกลวงผ่านสื่อออนไลน์
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #กระทรวงดีอี #ตอบกระทู้สว