วันพฤหัสบดีที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2567

"จักรภพ เพ็ญแข" ถึงไทยตร.คุมตัวเข้ากองปราบฯตามหมายจับคดีครอบครองอาวุธปืน - อั้งยี่ เมื่อปี 60 เจ้าตัวให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา โดยได้ประกันตัวคดีละ 2 แสนบาท

 


"จักรภพ เพ็ญแข" ถึงไทยตร.คุมตัวเข้ากองปราบฯ ตามหมายจับคดีครอบครองอาวุธปืน - อั้งยี่ เมื่อปี 60 เจ้าตัวให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา โดยได้ประกันตัวคดีละ 2 แสนบาท 


วันนี้ (28 มี.ค. 67) ตามที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบ ได้นำกำลังมารอรับตัว นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เดินทางกลับประเทศไทย โดยหมายกำหนดจะออกทางประตู 9 ชั้น 2 ของสนามบินสุวรรณภูมิ เวลาประมาณ 08.00 น. (ไฟลต์บินลง 07.35 น.)


โดยพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามคุมตัวนายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มายังกองบังคับการปราบปราม เพื่อสอบปากคำ ในคดีตามหมายจับของศาลอาญา ที่ลงวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ.2560 ในข้อหาร่วมกันมีอาวุธ เครื่องกระสุนปืนและวัตถุระเบิด ที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย และเป็นอั้งยี่ หลังพบความเชื่อมโยงกับอาวุธสงครามจำนวนมากซุกในบ่อน้ำพื้นที่ อ.บางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งจากการตรวจสอบอาวุธที่ยึดได้พบมีความเชื่อมโยงกับเหตุการณ์คดีทางการเมือง เมื่อปี 2557 เช่น ชิ้นส่วน หรือซีเรียลนัมเบอร์ของอาวุธ


โดยนายจักรภพ เพ็ญแข ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ซึ่งหลังสอบปากคำแล้วเสร็จ พนักงานสอบสวนอนุญาตให้ประกันในชั้นสอบสวน โดยกำหนดหลักทรัพย์เป็นเงิน 200,000 บาทต่อคดี โดยไม่มีเงื่อนไข โดยจะต้องมารายงานตัวกับพนักงานสอบสวนครั้งต่อไปในวันที่ 22 และ 23 เมษายนนี้


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังการประกันตัวนายจักรภพ ได้ลงมาทำความเคารพพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ตั้งอยู่บริเวณโถงชั้นล่างกองบังคับการปราบปราม 


จากนั้นได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน โดยเปิดเผยว่า ตนเองได้ออกจากประเทศไทยไปเมื่อปี 2552 เป็นเวลา 15 ปี จึงตัดสินใจกลับมาสู้คดีที่ยังเหลืออีก 2 คดี และเข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวน ซึ่งขอชื่นชมที่พนักงานสอบสวนได้มีการอธิบายขั้นตอนต่าง ๆ อย่างครบถ้วน ซึ่งทำให้มั่นใจว่าจะสามารถสู้คดีได้อย่างมั่นใจ แต่ก็ขึ้นอยู่กับกระบวนการยุติธรรม


เวลา 15 ปีที่ผ่านมา ตนเองคิดถึงเมืองไทยทุกวัน พ่อแม่ก็เสียชีวิตระหว่างที่ตนเองหลบหนีอยู่ต่างประเทศ ที่ระหกระเหินลี้ภัยไปอยู่ 5 ประเทศ เป็นประเทศที่เข้าใจและเห็นใจในการต่อสู้ของตนเอง แต่ก็อยู่อย่างมีมารยาทไม่ให้ประเทศนั้นอึดอัด หรือได้รับความเดือดร้อนในภายหลัง แต่ก็ติดตามข่าวสารประเทศไทยอยู่ตลอดเวลา ลำบากกายไม่เท่าไหร่แต่มีความลำบากใจมากกว่า เวลาผ่านไปทำให้ตนเองคิดอะไรได้เยอะ รู้สึกเสียดายเวลาที่จะรับใช้ประเทศชาติ จากนี้ไปจะตั้งใจว่าจะทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ รับใช้ประเทศไทยไม่ว่าจะเป็นบทบาทใดก็ตาม จะไม่มาสร้างความวุ่นวายอะไรอีก การทำการเมืองก็เป็นวิถีทางหนึ่งที่ตนเองสามรรถช่วจทำประโยชน์ได้ ซึ่งการกลับมาครั้งนี้ทำให้เห็นว่าประเทศไทยเปลี่ยนไปมาก การเมืองภาพใหญ่ในระบอบประชาธิปไตยเป็นไปในแนวทางที่ดีขึ้น ซึ่งการที่พรรคเพื่อไทยเป็นแกนรัฐบาล ทำให้เพิ่มความมั่นใจว่าบรรยากาศต่าง ๆ เป็นไปในทางที่ดีขึ้น


ส่วนกระแสข่าวที่มีการดีลกันจึงทำให้ได้กลับประเทศไทยนั้น ยอมรับว่ามีการพูดคุย แต่ไม่ได้เป็นการเจรจาเพื่อแลกกับอะไรบางอย่าง มีการพูดคุยว่าถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะหาจุดร่วมเพื่อทำอะไรให้ดีขึ้น


อีกทั้งยังยอมรับว่าก่อนตัดสินใจกลับประเทศไทยมีการพูดคุยกับนายทักษิณ ชิณวัตร แต่ไม่ถึงขั้นปรึกษา ซึ่งนายทักษิณได้บอกกับตนเองว่า อะไรหลายหลายอย่างในประเทศไทย เปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น


อีกสิ่งหนึ่งที่ตนเองอยากทำคือ เสนอตัวกลางช่วยเหลือบุคคลที่ลี้ภัยทางการเมือง โดยดูจากความยากง่ายของคดี ช่วยเหลือผู้ที่มีคดีง่ายก่อน ส่วนกรณีของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรนั้น ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ไปสำหรับตนเอง


สิ่งแรกที่ทำก็คือ จะไปกราบร่างคุณแม่ที่ยังไม่ได้ฌาปนกิจ ซึ่งเก็บร่างไว้ที่ วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน และ ไปกราบคุณพ่อที่ฌาปนกิจไปแล้วที่บ้านน้องสาว จากนั้นจะไปสักการะศาลหลักเมืองต่อ


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ผู้ลี้ภัยการเมือง