ก้าวไกลรุมสับค่าแรง
400 เฉพาะกิจการโรงแรม - เฉพาะ 10 พื้นที่ “เซีย” ให้ฉายา
“ปรับค่าจ้างแบบศรีธนญชัย” เรียกร้องทบทวน ให้เป็นธรรม-เท่าเทียมทั่วประเทศ
วันที่
29 มีนาคม 2567 สส.พรรคก้าวไกล นำโดย เซีย จำปาทอง
สส.บัญชีรายชื่อ และ สหัสวัต คุ้มคง สส.ชลบุรี เขต 7 แถลงข่าวไม่เห็นด้วยต่อมติที่ประชุมคณะกรรมการค่าจ้าง
เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2567 ที่พิจารณาปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็น
400 บาทต่อวัน
ใช้สำหรับนายจ้างและลูกจ้างที่ทำงานในสถานประกอบการประเภทกิจการโรงแรมระดับ 4
ดาวขึ้นไป และมีลูกจ้างตั้งแต่ 50 คนขึ้นไป
นำร่องในเขตพื้นที่ 10 จังหวัด
โดยเกือบทั้งหมดเป็นการปรับขึ้นเฉพาะบางเขตตำบล
ยกเว้นภูเก็ตที่ปรับขึ้นทั้งจังหวัด ทั้งนี้จะนำเข้าที่ประชุม ครม.
พิจารณามีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 13 เมษายน
เซียกล่าวว่า
คนทำงานทุกคนต้องกินต้องใช้เหมือนๆ กัน
ตนเข้าใจหัวอกของผู้ใช้แรงงานดีว่าการเพิ่มค่าตอบแทนในแต่ละวัน
จะทำให้พวกเขามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ดังนั้นเห็นด้วยกับการขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำให้แก่พี่น้องแรงงานทุกอุตสาหกรรมและต้องเท่ากันทั่วประเทศ
แต่ไม่เห็นด้วยกับการขึ้นค่าจ้างเช่นนี้ โดยขอเรียกว่าเป็นการ
“ปรับค่าจ้างแบบศรีธนญชัย”
ตนและเพื่อนสมาชิก
เคยอภิปรายในที่ประชุมสภาฯ หลายครั้ง
ว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่เพียงพอต่อการดำรงชีพ ต้องสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
ทุกวันนี้แค่อาหารหนึ่งมื้อก็มากกว่า 85 บาทแล้ว อาหาร 3 มื้อก็มากกว่าค่าจ้างขั้นต่ำ ยังไม่นับค่าเสื้อผ้า ค่าที่พักอาศัย
ยารักษาโรค ค่าน้ำค่าไฟ ค่าเดินทางไปทำงาน ค่าภาษีสังคม แต่สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้
กระทรวงแรงงานกลับปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 400 บาทเฉพาะกิจการประเภทโรงแรมและเฉพาะบางพื้นที่เท่านั้น
โดยอ้างเหตุผลว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
เป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ และ 10 พื้นที่เป้าหมายเป็นพื้นที่ที่มีรายได้จากการท่องเที่ยวสูง
จึงเป็นพื้นที่นำร่อง ตนขอฝากคำถามไปยังกระทรวงแรงงานว่า กิจการประเภทอื่นๆ
ไม่มีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศนี้หรืออย่างไร
และแรงงานที่ทำงานอยู่ในพื้นที่อื่นนอกเหนือจากที่พวกท่านกำหนด กำลังแรงงานของพวกเขาไม่มีความสำคัญต่อประเทศนี้หรือ
“การปรับเพิ่มอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่ไม่เท่าเทียมกันในแต่ละพื้นที่และแต่ละประเภทกิจการ
เป็นการทำงานแบบศรีธนญชัย
ในอนาคตจะก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำมากขึ้นและจะมีส่วนทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายแรงงานไปทำงานในพื้นที่ที่ค่าตอบแทนสูง
เป็นผลให้เกิดการกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่ไม่กี่แห่ง
และไม่เกิดการกระจายรายได้อย่างทั่วถึง ในขณะที่สินค้าอุปโภคบริโภค ราคาน้ำมัน
ค่าไฟ ค่าเชื้อเพลิงทั่วประเทศ ไม่ได้แตกต่างกันเลย” เซียกล่าว
สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล
กล่าวต่อว่า ถ้ากระทรวงแรงงานเล็งเห็นความสำคัญของผู้ใช้แรงงานจริง
ควรพิจารณาปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำให้เท่ากันทั่วประเทศ
จึงขอฝากข้อเรียกร้องไปยังรัฐบาล กระทรวงแรงงาน
ให้พิจารณาทบทวนการปรับค่าจ้างขั้นต่ำใหม่ดังนี้
1.
ปรับค่าจ้างขั้นต่ำให้เป็นธรรมตามหลักสากล ครอบคลุมแรงงานทุกภาคส่วน
โดยปรับจากอัตราค่าจ้างขั้นต่ำไปสู่การปรับเป็นอัตราค่าจ้างเพื่อชีวิต
เพื่อให้แรงงานสามารถเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวได้อย่างสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
2.
ด้วยเป้าหมายค่าจ้างขั้นต่ำ 600 บาทเท่ากันทั่วประเทศ
ตามที่พรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลเคยให้คำมั่นสัญญาตอนหาเสียงเลือกตั้ง
ขอเสนอให้คณะกรรมการค่าจ้างฯ ปรับสูตรการคำนวณอัตราค่าจ้างขั้นต่ำใหม่ ดังที่ สส.
พรรคก้าวไกลเคยอภิปรายในที่ประชุมสภาฯ
เนื่องจากสูตรที่ใช้ในปัจจุบันไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง
เซียกล่าวว่า
แน่นอนว่าเมื่อนำสูตรการคำนวณมาใช้ ตามที่กระทรวงแรงงานได้ปรับขึ้นนั้น
อย่างไรเสีย 600
บาทไม่มีโอกาสจะเกิดขึ้นในปี 2570 แน่นอน
ข้อเสนอของพรรคก้าวไกลคือการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ 450 บาทเท่ากันทั่วประเทศ
ควบคู่กับการจัดสวัสดิการให้กับประชาชนทุกช่วงวัย ส่วนการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในแต่ละปี
ให้เป็นไปตามการขยายตัวของเศรษฐกิจโดยประกาศของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
หรืออัตราเงินเฟ้อตามประกาศของกระทรวงพาณิชย์
ด้านสหัสวัต
ตั้งคำถามไปถึง รมว.แรงงาน และรัฐบาลว่า ที่ผ่านมา
กระทรวงแรงงานได้ตั้งอนุกรรมาธิการศึกษาเรื่องสูตรค่าแรงใหม่
แต่สูตรที่ออกมาแทบไม่ต่างจากเดิม และวันนี้ถ้าคำนวณตามสูตร ไม่มีทางเป็น 400 บาท
จึงสงสัยว่าได้ยึดตามสูตรจริงหรือไม่ เรื่องนี้เป็นประเด็น
เพราะเมื่อขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำไม่ได้ จะอ้างว่ามีสูตรล็อกอยู่
นอกจากนี้
เวลาขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำไม่ได้ สิ่งที่จะอ้างคือคณะกรรมการไตรภาคี
แต่วันนี้ที่ขึ้นได้เป็นเพราะคณะกรรมการไตรภาคีหรือเพราะผลงานของ รมว.แรงงาน
หรือรัฐบาล เอาให้ชัดว่าการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ อำนาจอยู่ที่ใครกันแน่
“วันนี้ขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาท
บอกเป็นผลงานรัฐบาล แต่พอขึ้นไม่ได้ เป็นความผิดของคณะกรรมการไตรภาคี”
สหัสวัตกล่าว
ต่อคำถามของผู้สื่อข่าว
เซียกล่าวว่า สิ่งที่แปลกประหลาดมากที่สุดจากเรื่องนี้
ในฐานะที่ตนทำงานในขบวนการแรงงาน
ไม่เคยเห็นการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่ประกาศเพิ่มแค่เฉพาะหนึ่งตำบลในลักษณะนี้มาก่อน
ไม่เข้าใจว่ากระทรวงแรงงานทำงานแบบไหน อย่างไรก็ตาม หวังว่ารัฐบาลและกระทรวงแรงงานจะพิจารณาทบทวนการปรับเพิ่มอัตราค่าจ้างขั้นต่ำให้เท่าเทียมกันทั่วประเทศ
และเป็นไปตามเป้าหมายที่รัฐบาลเคยหาเสียงไว้คือ 600 บาทในปี 2570 ส่วนจะทำอย่างไรนั้น
ต้องไปถามพรรคเพื่อไทยว่ามาตรการในการปรับเพิ่มที่เรียกว่าแบบขั้นบันไดนั้น
วิธีการเป็นอย่างไร มีกำหนดการ รายละเอียดอย่างไร
“สิ่งที่เกิดขึ้น ท่านกำลังเล่นละครตบตาผู้ใช้แรงงานหรือไม่
การปรับเพิ่มอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเมื่อตอน 1 มกราคม 2567
ระหว่าง 2-16 บาท ท่านนายกฯ พึงพอใจหรือไม่
และจะดำเนินการอย่างไร ที่นายกฯ เคยบอกให้กลับไปทบทวนก่อนจะปรับขึ้น
แต่สุดท้ายท่านก็ยอมจำนน ไม่เคยพูดเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้
ทั้งที่นี่คือแนวนโยบายของรัฐบาลในการดูแลพี่น้องผู้ใช้แรงงานให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นตามที่เคยสัญญา”
เซียกล่าว
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ค่าแรงขั้นต่ำ #ก้าวไกล