วันศุกร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2567

“พนิดา” อภิปรายงบ ตร. สุดอนาถตั้งงบซื้ออาวุธสงครามตั้งแต่ปี 64 สุดท้ายเบิกจ่ายไม่ทัน ต้องมาของบใหม่เพื่อจ่ายหนี้ปีนี้ อัดตั้งงบซื้ออาวุธมหาศาล แต่ปล่อยให้ตำรวจผู้น้อยรันทดแร้นแค้น

 


“พนิดา” อภิปรายงบ ตร. สุดอนาถตั้งงบซื้ออาวุธสงครามตั้งแต่ปี 64 สุดท้ายเบิกจ่ายไม่ทัน ต้องมาของบใหม่เพื่อจ่ายหนี้ปีนี้ อัดตั้งงบซื้ออาวุธมหาศาล แต่ปล่อยให้ตำรวจผู้น้อยรันทดแร้นแค้น 


วันที่ 22 มีนาคม 2567 ในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 วาระ 2 พนิดา มงคลสวัสดิ์ สส.สมุทรปราการ เขต 1 พรรคก้าวไกล ได้ร่วมอภิปรายในฐานะกรรมาธิการเสียงข้างน้อยผู้สงวนความเห็น ต่องบประมาณสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.)


พนิดาระบุว่า ตนต้องขอบคุณคณะอนุกรรมาธิการความมั่นคง ที่สามารถตัดลดงบประมาณของสำนักงานตำรวจแห่งชาติไปได้กว่า 466 ล้านบาท ถือเป็นความสำเร็จส่วนหนึ่งของการประหยัดงบประมาณในปีนี้ โดยงบประมาณ 466 ล้านบาทมาจากสองโครงการ คือ 1) งบประมาณจัดซื้ออากาศยานไร้คนขับตรวจการณ์ระยะไกล (ยูเอวี) พร้อมอุปกรณ์และระบบควบคุม 4 ลำ มูลค่า 159 ล้านบาท คณะอนุกรรมาธิการตัดทั้งโครงการ และ 2) งบประมาณก่อสร้างอาคารที่ทำการและอาคารที่พักอาศัยสำหรับตำรวจควบคุมฝูงชน (คฝ.) ที่เข้ามาปฏิบัติการในกรุงเทพฯ มูลค่า 668 ล้านบาท คณะอนุกรรมาธิการสามารถตัดลดไปได้ 307 ล้านบาท 


ทั้งสองรายการนี้เป็นโครงการที่ตนได้ตั้งคำถามไว้ถึงความคุ้มค่าและความจำเป็นเมื่อครั้งการอภิปรายงบประมาณวาระแรก โดยหน่วยงานเป็นผู้เสนอตัดเองเมื่อทางคณะอนุกรรมาธิการขอให้พิจารณารีดไขมันที่เป็นส่วนเกินออก


หากแต่ยังมีงบประมาณอีกส่วนหนึ่งที่ตนมองว่าไม่มีความจำเป็น ฟุ่มเฟือย และไม่ควรนำมาเบียดบังงบประมาณในส่วนอื่นที่จำเป็นกว่าและขาดแคลนอยู่ นั่นคืองบจัดซื้อครุภัณฑ์อาวุธหนัก ไม่ว่าจะเป็นปืนซุ่มยิงระยะไกล (สไนเปอร์) 10 ชุด 15 ล้านบาท, ปืนกล 20 ชุด 72 ล้านบาท, ปืนกลมือ 9 มม. 4,000 กระบอกพร้อมอุปกรณ์ 104 ล้านบาท, ปืนเล็กสั้น 5.56 มม. (M4) 3 โครงการ 2,000 กระบอก 274 ล้านบาท, รถปฏิบัติการรักษาความปลอดภัยในการชุมนุม (จีโน่) 5 คัน 87 ล้านบาท และค่าซ่อมรถจีโน่ 5 คัน 47 ล้านบาท รวมทั้งสิ้นเป็นงบประมาณเกือบ 600 ล้านบาท ที่ยังไม่ได้ถูกปรับลดในชั้นกรรมาธิการ


ทาง ตร.ชี้แจงว่า โครงการทั้งหมดนี้เป็นการตั้งงบประมาณเพื่อมาชดเชยงบประมาณปี 2564 ที่ได้รับการอนุมัติไปแล้ว แต่ ตร.ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ทันในปีนั้น ไม่ได้รับของในปีนั้น ทำให้ต้องมาขอรับงบประมาณในปีนี้เพื่อจ่ายเงินค่าอาวุธที่เพิ่งได้รับมา 


พนิดาอภิปรายต่อไปว่า งบประมาณส่วนนี้เคยถูกตั้งคำถามมาก่อนแล้วในการอภิปรายงบประมาณปี 2564 โดย สส.พรรคก้าวไกลตั้งคำถามว่าการตั้งงบประมาณซื้ออาวุธหนักพร้อมกันรวดเดียวเช่นนี้ระวังจะเบิกจ่ายไม่ทัน และจะกลายเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณแผ่นดิน สุดท้ายก็เป็นไปตามคาด ซึ่งปัญหาของการทำแบบนี้คือแทนที่ในปีนั้นเราจะได้ใช้งบประมาณไปจัดสรรให้กับส่วนงานอื่นที่จำเป็นกว่า ยิ่งในปีนั้นมีสถานการณ์โควิด-19 ด้วย กลับต้องถูกแบ่งสรรงบประมาณมาจัดซื้ออาวุธสงครามที่ไม่จำเป็น แทนที่จะได้ถอดความเป็นทหารออกจากตำรวจ ลดอาวุธหนัก เน้นไปที่การเพิ่มขีดความสามารถของตำรวจไทย ก็กลายเป็นว่าตอนนี้ตำรวจมีอาวุธอยู่เต็มคลัง 


“ดิฉันยืนยันว่าตำรวจสามารถมีอาวุธได้ แต่โดยข้อเท็จจริงต้องมาดูว่าตำรวจจะได้ใช้อาวุธเหล่านี้กับใคร ด้วยจุดประสงค์อะไร แล้วถือครองไว้เป็นจำนวนเท่าไหร่ เราต้องไม่ปล่อยให้ตำรวจตกเป็นเครื่องมือของรัฐ ที่จะผลักสังคมไปสู่ความรุนแรงในระดับที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ จากการสะสมอาวุธสงครามมากมายเช่นนี้” พนิดากล่าว


พนิดาอภิปรายต่อไปว่า ด้วยเหตุนี้ตนจึงเสนอให้ตัดลดงบประมาณในส่วนนี้ลงร้อยละ 3 เป็นจำนวน 1,078 ล้านบาท ตามเหตุผลทั้ง 3 ประการดังต่อไปนี้


1) ต้องเอาความเป็นทหารออกจากตำรวจไทย เพราะไม่เคยมีสถิติใดที่ชี้ให้เห็นว่าประเทศที่ตำรวจถือครองอาวุธมาก มีปืนมาก ๆ จะทำให้บ้านเมืองสงบสุขได้มากกว่า เราไม่มีความจำเป็นต้องมีหน่วยรบตำรวจที่เพรียบพร้อมด้วยอาวุธสงครามในมือเช่นนี้


2) การตั้งงบประมาณอย่างไร้ประสิทธิภาพโดยขาดการคำนึงถึงความสามารถในการบริหารงบประมาณขององค์กร ทำให้เกิดงบที่เบิกจ่ายไม่ทันสูงถึง 1.5 พันล้านบาท จำเป็นต้องตั้งคำถามว่าจะยังคงใช้วิธีการพิจารณางบประมาณที่เปิดช่องโหว่ให้ตั้งงบประมาณมาเกินแล้วเบิกจ่ายไม่ได้จริง จนไปเบียดบังงบประมาณในส่วนอื่น ๆ แบบนี้ต่อไปหรือไม่ 


3) งบประมาณแบบขาด ๆ เกิน ๆ แบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้นอีกต่อไป ตร.ต้องจัดลำดับความสำคัญใหม่ว่าสิ่งที่ต้องทำคืออะไร และจัดสรรงบประมาณให้เหมาะสมกับความต้องการขององค์กร อย่างบประมาณที่ทุกคนเห็นตรงกันว่ายังขาดอยู่ เช่น อุปกรณ์สำนักงาน ค่าน้ำมัน หรือค่าสาธารณูปโภค ซึ่งได้รับงบประมาณมาไม่ถึงครึ่งของยอดที่ต้องจ่ายจริง ถ้า ตร.เบนเข็มทิศมาจัดสรรงบประมาณให้ส่วนนี้ จะเบิกจ่ายได้ครบถ้วนและเต็มประสิทธิภาพแน่นอน


“สุดท้ายแล้วดิฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่าในการจัดทำงบประมาณรายจ่ายครั้งต่อไป จะเป็นไปเพื่อการยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงานของตำรวจไทย ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างแท้จริง ให้บุคลากรได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ ไม่ให้กระบวนการด่านแรกของกระบวนการยุติธรรมต้องรันทดแร้นแค้น อย่าให้เขาเป็นเสือหิวที่เอาแต่วิ่งเข้าหาผลประโยชน์ส่วนตนอีกต่อไปเลย คืนตำรวจให้ประชาชน ดิฉันยังยืนยันคำเดิมว่าท่านต้องยกระดับคุณภาพชีวิตตำรวจไทย เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนทุกคน” พนิดากล่าว

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #อภิปรายงบ67 #ก้าวไกล