“ชาญวิทย์ - สุชาติ” ผิดหวังหลัง“ตะวัน - แฟรงค์” ถูกฝากขังเป็นผลัดที่สาม แถลงขอศาลปล่อยตัวชั่วคราว
ทั้ง 2 ควรได้โอกาสหลักการทางกฎหมายถูกสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์
เชื่อตุลาการไทยจะเป็นเสาหลักของประเทศปกป้องประชาชนผู้เห็นต่างและถูกคุกคาม
วันนี้
(8 มีนาคม 2567) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ตามที่เวลา 14.10
น. ศาลอาญามีคำสั่งอนุญาตให้ฝากขัง นางสาวทานตะวัน หรือตะวัน
นายณัฐนนท์ หรือแฟรงค์ เป็นครั้งที่สาม ระยะเวลา 12 วัน
โดยเห็นว่าพนักงานสอบสวนยังมีพยานบุคคลต้องสอบอีก 2 ปาก ซึ่งเกี่ยวข้องกับผู้ต้องหา
และยังต้องรอวิดีโอพยานหลักฐาน เพื่อที่จะพิจารณาสั่งฟ้องต่อไป
ทั้งผู้ต้องหาทั้งสองมีสิทธิยื่นประกันตัวต่อศาลอีก
แต่กำชับให้พนักงงานสอบสวนเร่งรัดสอบปากคำให้แล้วเสร็จในการฝากขังครั้งนี้
ในเวลาต่อมา
เวลา 14.30
น. ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ
นักวิชาการประวัติศาสตร์และอดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และนายสุชาติ
สวัสดิ์ศรี อดีตศิลปินแห่งชาติและนักเขียนอาวุโส เจ้าของนามปากกา “สิงห์สนามหลวง”
ได้เดินทางยื่นคำแถลงต่อศาล พร้อมด้วยประชาชนที่มาร่วมใจกำลังใจ
อ.ชาญวิทย์
ระบุว่า เมื่อทราบคำสั่งของศาลว่าอนุญาตให้ฝากขังทั้งสองต่อเป็นผัดที่ 3 ตนและนายสุชาติรู้สึกผิดหวังมาก
ในวันนี้ตนยื่นคำแถลงต่อศาลระบุว่า
“ข้าพเจ้าเคยเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เคยเห็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาหลายยุคหลายสมัย
เห็นความโหดร้ายในการปราบปรามประชาชนในการสังหารหมู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในวันที่
6 ตุลาคม 2519 อันเกิดขึ้นจากการที่มีผู้คนอ้างความเชื่อที่ถูกปลุกปั่นยุยงให้เข้าประหัตประหารเยาวชนนักเรียนนิสิตนักศึกษา
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์สร้างขึ้นโดยมีเจตนารมณ์ว่าบ้านเมืองต้องมีกฎหมายเป็นหลัก
ผู้คนต้องเท่าเทียมกันต่อหน้ากฎหมายอันเป็นเจตนารมณ์ของนายปรีดี พนมยงค์
บรรพตุลาการและรัฐบุรุษของพวกเราทั้งหลาย เพื่อให้การปกครองบ้านเมืองนั้น
ใช้การปกครองในระบบกฎหมายเท่านั้นโดยปราศจากอคติทั้งปวง
เมื่อเด็กทั้งสองคนนี้ยังคงเป็นผู้ถูกกล่าวหา
จึงต้องใช้หลักการสันนิษฐานไว้ก่อน
ว่าเขาทั้งสองเป็นผู้บริสุทธิ์และต้องใช้หลักการความเป็นธรรมทางกฎหมายทั้งปวงที่ท่านมีอยู่ในมือเพื่อใช้ดำรงหลักการและคุ้มครองบ้านเมืองให้สงบสุขต่อไป
จึงขอให้พิจารณาไม่รับฝากขังเยาวชนทั้งสองตามคำขอของตำรวจและให้ปล่อยชั่วคราวไปตลอดเวลาในการพิจารณาคดีจนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด“
ด้านนายสุชาติ
ระบุถึงรายละเอียดในการยื่นคำแถลงต่อศาลอาญา ว่า
”ข้าพเจ้าเป็นอดีตนักศึกษาเก่าของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เติบโตมาในสมัยของเผด็จการถนอม - ประภาส
ตลอดชีวิตที่ผ่านมาได้รับรู้และรับทราบรสชาติของการที่ประชาชนจะต้องใช้ชีวิตอยู่ใต้เผด็จการเป็นอย่างดี
รู้รสชาติของสภาวะที่อำนาจตุลาการตกอยู่ภายใต้การสั่งการของเผด็จการ
รู้รสชาติของการถูกถอดถอนตำแหน่งศิลปินแห่งชาติจากการมีความเห็นที่ไม่ตรงรัฐ
ข้าพเจ้าเชื่อว่าเด็กสองคนในคดีนี้
ไม่ควรได้รับสิ่งที่ข้าพเจ้าเคยได้รับรู้รับทราบ
ไม่เคยสมควรต้องได้รับรู้รสชาติเช่นตอนที่ข้าพเจ้าได้ถูกถอดถอนจากตำแหน่งศิลปินแห่งชาติ
สาขาวรรณศิลป์ ซึ่งข้าพเจ้าเห็นว่าไม่เคยได้รับโอกาสในการโต้แย้งใด ๆ
เมื่อเวลาผ่านมาและข้าพเจ้าเติบโตมีปริทัศน์ขึ้น
ข้าพเจ้าอยากให้เด็กได้รับโอกาสนั้น
และได้รับโอกาสที่จะถูกสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์
ซึ่งข้าพเจ้าเชื่อว่าเป็นหลักการทางกฎหมาย
ข้าพเจ้าขอเรียนต่อศาลที่เคารพต่อไปว่า
แม้ข้าพเจ้าจะรับรู้รสชาติของภาวะที่อำนาจตุลาการตกอยู่ภายใต้การสั่งการของเผด็จการ
แต่ข้าพเจ้าเชื่อว่าตุลาการในยุคใหม่ไม่ใช่เช่นนั้น
เชื่อมั่นว่าตุลาการเป็นอิสระได้และเชื่อมั่นว่าระบบตุลาการไทยจะเป็นเสาหลักของประเทศไทยในการปกป้องประชาชนผู้เห็นต่างและถูกคุกคาม
สุดท้ายนี้ข้าพเจ้าขอเรียนต่อศาลที่เคารพว่า
ข้าพเจ้าเชื่อว่าการไม่รับฝากขังและปล่อยตัวชั่วคราวเด็กกลับไปสู่พ่อแม่ของเขาจะไม่ทำให้ประเทศไทยในพุทธศักราช
2567 ล่มจมล่มสลายแต่ประการใด
จึงขอให้ท่านไม่รับฝากขังผู้ต้องหาทั้งสองนี้ต่อไปและหากมีการรับฝากขังจองจำผู้ต้องหาทั้งสองนี้ไว้
ก็ขอให้ผู้พิพากษา
ซึ่งเป็นผู้พิจารณาปล่อยชั่วคราวพิจารณาให้ปล่อยชั่วคราวเยาวชนทั้งสองและเป็นหลักประกันความยุติธรรมให้ผู้บริสุทธิ์ทั้งหลายด้วย
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #คืนสิทธิประกันตัวประชาชน