3 แคนดิเดตพรรคเพื่อไทย ‘ชัยเกษม’ ยืนยันหลักนิติรัฐนิติธรรม
เร่งแก้รธน.โดย สสร. สร้างระบบราชการที่มีหัวใจเป็นปชช. / ‘แพทองธาร’ ยกเครื่องเศรษฐกิจใหม่ ดันประเทศไทยเป็น Blockchain Hub แห่งอาเซียน / ‘เศรษฐา’ ประกาศตัวเลขกระเป๋าเงินดิจิทัล
‘10,000 บาท’ กระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่
วันที่
17 มีนาคม 2566 นายชัยเกษม นิติสิริ
ผู้ได้รับเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย
และประธานยุทธศาสตร์และทิศทางการเมือง พรรคเพื่อไทย ขึ้นเวทีงาน ‘คิดใหญ่ ทำเป็น
เพื่อไทยทุกคน ตอน ONE TEAM FOR ALL THAIS : หนึ่งทีม
เพื่อไทยทุกคน’ เปิดตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีทั้ง 3 คน
จากพรรคเพื่อไทย พร้อมลงรายละเอียดนโยบาย และย้ำหมายเลข 29
ของพรรคเพื่อไทย ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ณ
ธันเดอร์โดม สเตเดียม อ. ปากเกร็ด จ.นนทบุรี
ชัยเกษม
กล่าวบนเวทีประกาศจุดยืนในการเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ในการเลือกตั้งครั้งนี้ว่า
ตนยังคงยืนยันถึงหลักนิติรัฐและนิติธรรม ในฐานะอดีตข้าราชการ
ได้รับการสอนมาเสมอว่า กฎหมายคือเครื่องมือรัฐในการควบคุมการดำเนินกิจกรรมของสังคม
อำนวยความสะดวกประชาชน และพัฒนาประเทศชาติ
แต่
8 ปีที่ผ่านมากฎหมายกลับกลายเป็นเครื่องมือที่รัฐจงใจนำไปใช้อย่างผิดรูป
จนกระบวนการยุติธรรมบิดเบี้ยว ข้าราชการไม่ได้บริการประชาชนด้วยหัวใจ
ไร้ซึ่งมิตรภาพและการมองเห็นประชาชนเป็นผู้เสียภาษี
ระบบราชการเอื้อผลประโยชน์ให้คนเพียงไม่กี่กลุ่ม อันเนื่องมาจากรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ที่เป็นผลพวงจากการยึดอำนาจ ของคณะรัฐประหาร
ที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้เพื่อสืบทอดอำนาจของพรรคพวกตัวเอง
และปิดหูปิดตาประชาชนไม่ให้มีส่วนร่วมในการร่างรัฐธรรมนูญ
มีแต่เพียงการทำประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญลวงตาของคณะรัฐประหาร
ชัยเกษมให้ความมั่นใจต่อประชาชนว่า
พรรคเพื่อไทยจะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น
ขอให้ประชาชนไว้วางใจพรรคเพื่อไทย ทันทีที่ชนะการเลือกตั้ง ได้จัดตั้งรัฐบาลสำเร็จ
ด้านนโยบาย
นาย ชัยเกษม ได้พูดถึงรายละเอียดนโยบาย 3 ประการ ที่จะสร้าง
นิติธรรมนิติรัฐดี ส่งเสริมให้เศรษฐกิจดีขึ้น และชีวิตทุกคนที่จะดีตามมา ได้แก่
ทำให้กระบวนการยุติธรรมเท่ากับความยุติธรรม, ปฏิรูประบบราชการทั้งระบบให้กลับมามีหัวใจเป็นประชาชนอีกครั้ง
และแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ประการแรก
พรรคเพื่อไทยจะ “สร้างกระบวนการยุติธรรมที่ซื้อไม่ได้” และปรับปรุง ยกเลิก
กฎหมายที่ล้าหลัง ไม่เอื้อประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่ รวมถึงลดขั้นตอนใช้ดุลยพินิจ
เพื่อให้แน่ใจว่าประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้อย่างเป็นธรรมและถ้วนหน้า
ประการที่สอง
พรรคเพื่อไทยพร้อม
“ปฏิรูประบบราชการท้ังระบบให้กลับมามีหัวใจเป็นประชาชน”โดยการยกระดับหน่วยงานราชการเป็นดิจิตอล
ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการรัฐในที่เดียว และสามารถตรวจสอบผ่าน Blockchain ได้อย่างโปร่งใส, เปลี่ยนการชำระค่าธรรมเนียมเป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์
และใช้ “Central Bank Digital Currency (CBDC)” ในการจัดจ้าง
และดำเนินการของภาครัฐ
เพื่อป้องกันการใช้เงินสดทุจริตในระบบราชการและยกระดับระบบการเงินของประเทศ
รวมถึงสนับสนุนการทำ “Open Government” เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลได้ทุกภาคส่วน
ประการที่สาม
พรรคเพื่อไทยขอย้ำจุดยืนที่จะ “แก้ปมแรกของทุกปัญหา ด้วยการแก้รัฐธรรมนูญ”
เพื่อให้รัฐธรรมนูญเป็นประโยชน์ และคุ้มครองเสรีภาพของประชาชน
โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ต้องมาจากการเลือกของประชาชน
และต้องมีมาตราสำหรับการป้องกันรัฐประหารให้เป็นความผิดฐานเป็นกบฏ ไม่มีกำหนดอายุความ
ตามที่พรรคเพื่อไทยเคยได้เสนอไว้
เพื่อให้รัฐธรรมนูญของไทยตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ไม่ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการยึดอำนาจอีก
ชัยเกษม
นับถอยหลัง 37
วัน สู่วันเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤษภาคม นี้
ย้ำถึงเป้าหมายที่อยากเห็นประเทศไทยที่ดีกว่า อยากเห็นอนาคตลูกหลานที่มีความสุข
โปรดเข้าคูหา กาเพื่อไทย ให้แลนด์สไลด์ทั้งคน ทั้งพรรค
และประชาชนจะได้พบเจอความยุติธรรมที่กินได้
และหน่วยงานราชการที่มีหัวใจเป็นประชาชนอีกครั้ง
ต่อมา
แพทองธาร ชินวัตร ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีอีกคนหนึ่งของพรรคเพื่อไทย กล่าวบนเวทีเริ่มต้นการหาเสียงเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ
ย้ำเบอร์พรรคเพื่อไทย คือเบอร์ 29 และย้ำจุดยืนแลนด์สไลด์
เลือกเพื่อไทยให้ถล่มทลายชนะเสียง ส.ว. เพื่อส่งแคนดิเดต 1
ใน 3 ของพรรคเพื่อไทยเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศ
ภายใต้การบริหารงานร่วมกันเป็นทีมและนโยบายของพรรคเพื่อไทยที่จะทวงคืนประชาธิปไตยและสร้างความมั่งคั่งให้กับประชาชนทุกคน
โดยแพทองธารได้ลงรายละเอียดนโยบายด้านนวัตกรรมและความเป็นอยู่ไว้
4 เรื่อง ได้แก่ เทคโนโลยี Blockchain, 1
ครอบครัว 1 ศักยภาพ
(Soft Power) , เติมรายได้ให้ครอบครัวที่มีรายได้น้อยกว่า 20,000 บาท ให้ครบ 20,000 บาท และนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ
เรื่องที่หนึ่ง
พรรคเพื่อไทยจะนำเทคโนโลยีการเงิน อย่าง Blockchain ที่มีความคล้ายอินเตอร์เน็ต
มาใช้เป็นเครื่องมือในกระจายสินค้าคนไทยไปทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นสินค้าเกษตร
งานฝีมือ และธุรกิจขนาดย่อย ให้เงินจากทั่วโลกไหลเข้า ‘กระเป๋าเงินดิจิทัล’
ของคนไทย ที่รัฐบาลจากพรรคเพื่อไทยจะมอบให้ประชาชนทุกคนที่อายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป พร้อมเงินติดกระเป๋าไว้ใช้เบื้องต้นในระยะสั้น จำนวน 10,000 บาท สำหรับใช้จ่ายใกล้บ้านระยะทาง 4 กิโลเมตร
ภายในเวลา 6 เดือน
ก่อนเงินจากตลาดโลกจะไหลเข้ากระเป๋าเงินดิจิทัลในระยะยาว
ตอกย้ำจุดยืนที่พรรคเพื่อไทยมีเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงินที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่
หรือ Fintech
ของอาเซียน เพราะในโลกยุคใหม่
การเงินไม่จำเป็นต้องอาศัยธนาคารขนาดใหญ่อีกต้องไป
เราจึงต้องรู้เท่าทันและก้าวไปข้างหน้าก่อนใคร
เรื่องที่สอง
แพทองธารย้ำนโยบาย ‘Soft
Power’ จากการยกตัวอย่างความสำเร็จในการผลักดัน Soft Power ของเกาหลีใต้ ให้เห็นว่าหากเปรียบกับประเทศไทยแล้วก็มีศักยภาพที่ไม่แพ้กัน
เพียงแต่ต้องได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล เปรียบเป็นเพชรที่รอการเจียระไน โดยนโยบาย
1 ครอบครัว 1
Soft Power (One Family One Soft Power : OFOS) ของพรรคเพื่อไทย
จะเข้าไปค้นหาเพชรจากทุกครอบครัว
โดยเปิดกว้างให้ทุกความสามารถได้มีโอกาสเรียนรู้และฝึกฝนทักษะทุกแขนง
เพื่อสร้างรายได้ให้ได้อย่างน้อย 20,000 บาท/เดือน/คน
พร้อมโครงการที่จะส่งเสริมให้กลุ่มคนที่มีทักษะได้ไปไกลระดับโลก เช่น โครงการครัวไทยสู่ครัวโลก มวยไทยสู่มวยโลก ศิลป์ไทยประทับใจโลก
เรื่องที่สาม
นโยบายระยะสั้นเพื่อรอการฟื้นฟูเศรษฐกิจให้มั่นคงในระยะยาว
พรรคเพื่อไทยจะสำรวจรายได้ทุกครัวเรือน ให้อยู่ในมาตรฐานรายได้ไม่ต่ำกว่า 20,000
บาท/เดือน หากครอบครัวไหนมีน้อยกว่า 20,000 บาท/เดือน เราจะเติมให้ครบ
20,000 บาททันที เพื่อลดช่องว่างระหว่างรายได้
ไม่ต้องมีใครต้องทนทุกข์อยู่กับความยากจนอีก
เรื่องที่สี่
แพทองธารย้ำเรื่องขึ้นค่าแรงขั้นต่ำให้เป็น 600 บาท/วัน
และเงินเดือนสำหรับวุฒิปริญญาตรีและข้าราชการเริ่มต้น 25,000 บาท ที่จะเป็นผลจากนโยบายการกระตุ้นจีดีพี
ของพรรคเพื่อไทยให้เติบโตเฉลี่ยปีละ 5%
โดยเห็นผลได้ทันทีในปี 2567 หากเพื่อไทยเป็นรัฐบาล
ค่าแรงขั้นต่ำจะเริ่มทยอยปรับขึ้นเป็น 400 บาท/วัน แน่นอน
แพทองธารฝากทิ้งท้ายไว้ว่า
ขอฝากให้ประชาชนร่วมกันโหวตเพื่อไทยอย่างมียุทธศาสตร์ ให้แลนด์สไลด์ จะได้ร่วมกันสร้างประเทศไทย
และคนไทย ให้มั่งคั่งมีความสุขกันถ้วนหน้า วันที่ 14 พฤษภาคมนี้
เข้าคูหากาพรรคเพื่อไทย เบอร์ 29 และเลือก ส.ส. เพื่อไทยเบอร์ ตามเขตที่ท่านมีภูมิลำเนา
แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยคนต่อมาคือ
เศรษฐา ทวีสิน ได้กล่าวถึงแรงบันดาลใจก่อนเข้าการเมือง
ว่าตลอดชีวิตได้พบเจอกับความไม่เท่าเทียมทั้งทางฐานะและโอกาสที่ฝังรากลึกอยู่ในสังคมไทย
ตนพยายามเข้าไปมีส่วนร่วมในการผลักดันความเท่าเทียมทางฐานะและโอกาสเสมอมา
แต่ทางเดียวที่จะแก้ไขความเหลื่อมล้ำเหล่านี้ได้
ภาครัฐที่ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง
จึงเป็นสิ่งที่จุดประกายให้มาเป็นแคนดิเดตนายกฯ
เพื่อรับบทบาทในการแก้ไขความเหลื่อมล้ำเหล่านี้
เพื่อให้ลูกหลานได้มีสังคมและชีวิตที่ดีกว่า
ถึงไฮไลต์สำคัญของการประกาศนโยบาย
โดยเฉพาะนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพและทั่วถึง นั่นคือ
‘การเติมเงินในกระเป๋าเงินดิจิทัล’ ที่เคยประกาศไว้ในงาน คิดใหญ่ ทำเป็น
เพื่อไทยทุกคน เมื่อวันที่ 17 มีนาคมที่ผ่านมา
แต่ยังไม่บอกตัวเลขว่าเท่าไร และนโยบายการต่างประเทศเพื่อหาตลาดส่งออกสินค้าไทย
อย่างแรก
การนำเทคโนโลยีการเงินมาใช้เป็นกระเป๋าเงินดิจิทัล พร้อมเติมเงินให้คนไทยที่มีอายุ
16 ปีขึ้นไป ได้ใช้ซื้อของในชีวิตประจำวันได้จากร้านค้าในชุมชนให้ชุมชนมีรายได้เพิ่มมากขึ้น
โดยเงินที่จะเติมให้ในกระเป๋าเงินดิจิทัลมีมูลค่าถึง ‘10,000
บาท’ เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนตั้งแต่ระดับครัวเรือนไปจนถึงระดับประเทศ
สร้างความเจริญเติบโตให้เศรษฐกิจไทย และลดช่องว่างรายได้ ในขณะที่รัฐบาลจะได้รายได้กลับคืนมาในรูปแบบของภาษี
และการยกระดับเศรษฐกิจทั้งระบบ
อย่างที่สอง
เพื่อไทยขออาสาหาตลาดให้กับผู้ผลิตสินค้าในไทย ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น
หรือสุราพื้นบ้าน ให้สินค้าจากไทยเข้าถึงตลาดทั่วโลก
ที่จะนำรายได้มหาศาลมาสู่ประชาชน โดยหากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลจะมีการยกระดับการเจรจาทางการทูตเพื่อผลประโยชน์ของคนไทย
ไม่ใช่แค่ด้านเศรษฐกิจแต่ยังรวมถึงสิทธิ์ฟรีวีซ่าของพาสปอร์ตไทยในอีกหลาย ๆ ประเทศ
ด้วยเช่นกัน
เศรษฐาได้ย้ำถึงความสำคัญในการเจรจาการทูตว่า
นอกจากความอิสระของพาสปอร์ตไทยแล้วในอีกมุมหนึ่งยังสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้เข้ามาใช้จ่าย
เพิ่มเงินหมุนเวียนในประเทศ
รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลไทยและเอกชนในต่างประเทศก็สำคัญ
เพราะเพื่อไทยจะไปเจรจากับบริษัทต่างประเทศให้เลือกลงทุนที่ประเทศไทย
เพิ่มตำแหน่งงาน เพิ่มรายได้ให้คนไทย
เศรษฐาเสริมถึงเรื่อง
Soft
Power ที่หลากหลายของคนไทย
ต้องมีการผลักดันจากภาครัฐและสร้างพื้นที่รองรับการแสดง Soft Power เหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นการแสดงคอนเสิร์ต, งานศิลปิน,
เทศกาลหนัง และอื่น ๆ อีกมากมาย
ให้เมืองไทยกลายเป็นหมุดหมายที่ทั่วโลกอยากเข้ามาจัดการแสดงที่ประเทศไทย
อย่างที่สาม
คือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ทัดเทียมระดับโลก
โดยประเทศไทยจะต้องเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางอากาศ ทางราง และทางเรือ
ให้สามารถรองรับผู้คนและสินค้าให้ได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการขยายสนามบิน
ขยายโครงข่ายรถไฟให้เชื่อมเหนือจรดใต้ และเพิ่มความสามารถของท่าเรือเชื่อมต่อ
โดยที่พรรคเพื่อไทยจะยังไม่ละเลยความสำคัญของทรัพยากรธรรมชาติ
ที่ต้องบริหารจัดการให้เติบโตไปพร้อมกับประเทศได้ อย่าง
การนำเทคโนโลยีมาช่วยบริหารพื้นที่ชลประทานอย่างเป็นระบบภายใต้การประสานงานของหน่วยงานรัฐที่ทำงานโดยมีประชาชนเป็นหัวใจหลัก
และอากาศสะอาดที่เป็นพื้นฐานการดำรงชีวิต
ประชาชนไม่ควรต้องร้องขอจากรัฐ
โดยเฉพาะปัญหา PM2.5 ที่เราเผชิญอยู่ รัฐบาลที่ดีต้องแก้ไขปัญหาที่ต้นตอทันที
สุดท้าย
เศรษฐาได้ประกาศก่อนลงเวทีไว้ว่า ศัตรูของคนคือความยากจน ความไม่เท่าเทียม ความลำบากของประชาชน ชัยชนะต่อสิ่งเหล่านั้น
คือเป้าหมายที่แท้จริงของพวกเราทุกคน
และตนมีความตั้งใจจริงที่จะเข้ามาทำงานเพื่อที่น้องประชาชนได้มีชีวิตที่ดีขึ้น
จึงต้องขอให้ประชาชนคนไทยทุกคนช่วยเป็นกำลัง
เพื่อส่งเพื่อไทยไปจัดตั้งรัฐบาลได้มีนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 มาจากพรรคเพื่อไทย
โดยการเลือกพรรคเพื่อไทยให้แลนด์สไลด์ ทั้งคน ทั้งพรรค
เพื่อส่งต่ออนาคตที่มีแสงสว่าง มีความหวังให้ลูกหลานของเรา
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #เพื่อไทย #เลือกตั้ง66