ณัฐวุฒิ
ใสยเกื้อ :
เพื่อไทยต้องแลนด์สไลด์ ถ้าเปลี่ยนรัฐบาลไม่ได้
ก็ไม่มีหวังเรื่องการเปลี่ยนแปลงใด ๆ
วันที่
25 เมษายน 2566 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้ช่วยหาเสียงของพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นจุดตัดสำคัญในประวัติศาสตร์
ว่ารัฐบาลสืบทอดอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ และพวก
จะไปต่อหรือจะเกิดรัฐบาลของฝ่ายประชาธิปไตยเข้ามาแก้ปัญหาให้กับประชาชน
พรรคเพื่อไทยเสนอเป้าหมายแลนด์สไลด์เพราะเชื่อว่านี่เป็นวิธีเดียวที่จะทำให้เกิดรัฐบาลประชาธิปไตยขึ้นมาจริงได้
ถ้าไม่มีพรรคไหนในฝ่ายประชาธิปไตยชนะเด็ดขาด
พล.อ.ประยุทธ์กับพวกจะรวมส.ส.มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ บวกกับ 250 ส.ว.
ตั้งนายกรัฐมนตรีขึ้นมาก่อนแน่นอน หลังจากนั้นใช้ความเป็นนายกฯ
บวกกับผลประโยชน์ประเภท “กล้วย” และ “เก้าอี้รัฐมนตรี” พยายามที่จะดึงส.ส.จากพรรคอื่น
ๆ เข้ามาเพิ่มเติม แผนการไม่ซับซ้อนล่ะครับ เห็นกันชัด ๆ แต่เขาก็จะทำแบบนี้
ดังนั้น
เป้าหมายแลนด์สไลด์เกินครึ่งจึงหมายถึงชัยชนะเหนือกติกาขี้โกง
ถ้าเพื่อไทยเกินครึ่งจะเกิดรัฐบาลของฝ่ายประชาธิปไตย และเชื่อว่าส.ว.จำนวนหนึ่งใน
250 คน ไม่กล้ายกมือสวนเจตนารมณ์ของประชาชน
ถ้าต้องเป็นฝ่ายค้าน
พรรคพล.อ.ประยุทธ์กับพล.อ.ประวิตร แตกแน่ ๆ สองคนคงจูงมือกันกลับบ้าน
ส่วนจะมีคดีความอะไรตามไปให้รับผิดชอบหรือเปล่า โปรดติดตาม!!!
ขั้วพรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบันคงพยายามจะวิ่งเต้นเข้าร่วมรัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตย
ซึ่งเพื่อไทยเขาประกาศชัดว่า พลังประชารัฐ, รวมไทยสร้างชาติ
ซึ่งเป็นพรรคที่มีส่วนร่วมในการก่อรัฐประหารโดยตรง ไม่มีในแผนการทำทีม
ไม่มีความคิดจะเอามาร่วมรัฐบาล
แม้เวลานี้จะมีหลายพรรคการเมืองโดยเฉพาะพรรคร่วมรัฐบาลอย่าง
“ประชาธิปัตย์” หรือ “ภูมิใจไทย” แม้กระทั่ง “พลังประชารัฐ”
ประกาศว่าจะสนับสนุนให้พรรคการเมืองอันดับ 1 ตั้งรัฐบาลก่อน
ใครจะเชื่อก็เชื่อนะครับ ผมไม่เชื่อ เพราะการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา พรรคเหล่านี้
คนเหล่านี้แหละครับ ที่ประกาศว่าจะไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ถึงที่สุดก็เป็นรัฐบาลกันจนเกือบครบ 4 ปี
แล้วถ้าฝ่ายประชาธิปไตยไม่ตัดสินใจเลือกไปในทางเดียวกัน
ต่างคนต่างแบ่งคะแนนแยกย้ายกันไป
เพราะเชื่อว่าถึงที่สุดก็จะรวมกันเป็นเสียงข้างมากในสภาผู้แทนตั้งรัฐบาลได้อยู่ดี มันจะไม่เป็นอย่างนั้นครับ
ถ้าเลือกกระจัดกระจายมันจะพากันแพ้ตั้งแต่ในเขตเลือกตั้ง
ไม่สามารถเดินเข้าสู่สภาได้ คะแนนของฝ่ายอนุรักษ์นิยมในแต่ละพื้นที่ก็ยังคงเกาะกลุ่มกันเหนียวแน่น
อาจจะไม่มากกว่าฝ่ายประชาธิปไตย แต่ถ้าคะแนนฝ่ายประชาธิปไตยแบ่งแยก เป็นโอกาสของฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่จะสอดแทรกเข้ามาเป็นที่หนึ่งในเขตเลือกตั้งได้
เรื่องนี้ไม่ได้โมเมพูด
มีหลักฐานเชิงประจักษ์ในหลายเขตเลือกตั้งเมื่อปี 2562
แน่นอนว่าประเทศไทยต้องการความเปลี่ยนแปลงในหลายด้านท้านการเมือง เศรษฐกิจ
และสังคม แต่หากเปลี่ยนแปลงรัฐบาลไม่ได้ การเปลี่ยนแปลงใด ๆ ก็จะไม่มีทางเกิดขึ้น
ดังนั้น
เริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงต้องนับหนึ่งที่มีรัฐบาลของฝ่ายประชาธิปไตย
และจะเปลี่ยนรัฐบาลได้คือพรรคเพื่อไทยต้องชนะเด็ดขาดแลนด์สไลด์เข้าไปเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล
การประกาศร่วมมือกับพรรคนั้น
ไม่จับมือกับพรรคนี้เหมือนที่หลาย ๆ พรรคเขาพูดกัน
ผมเชื่อว่าในส่วนของเพื่อไทยก็ชัดเจนในตัวเองนะครับ
คือถ้าเพื่อไทยได้คะแนนเป็นอันดับ 1 จะมาเท่าไหร่ก็ตาม จะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล
แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทยต้องเป็นนายกรัฐมนตรี นโยบายของพรรคเพื่อไทยต้องเป็นนโยบายหลักของรัฐบาล
ภายใต้หลักการประชาธิปไตยที่ทุกพรรคต้องยึดถือร่วมกัน
ส่วนการระบุชื่อพรรคให้ชัดเจนลงไปก็เป็นเรื่องที่พรรคการเมืองทำได้
แต่นั้นเป็นคำตอบของคนที่ไม่ต้องทำ หมายความว่าทุกพรรคที่ประกาศพร้อมจับหรือไม่จับมือกับพรรคไหน
ล้วนแล้วแต่ไม่ได้เป็นพรรคที่สังคมคาดหวังว่าจะต้องเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลทั้งสิ้น
ทุกคนทุกฝ่ายยอมรับตรงกันว่าที่
1 เพื่อไทยแน่ ๆ และถ้าเพื่อไทยได้ที่ 1 แน่ ๆ เพื่อไทยก็จะต้องเป็นคนนับหนึ่งในการจัดตั้งรัฐบาล
ซึ่งหลักสำคัญก็คือต้องรอการตัดสินใจของประชาชน
ตอนนี้พรรคการเมืองที่ประกาศตัวว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตยก็มีอยู่
5-6 พรรค ทุกคนอยากให้เกิดรัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตย แต่ก็ต้องรอดูอยู่ดีนะครับ
ว่าเลือกตั้งเสร็จเพื่อไทยได้เท่าไหร่ แต่ละพรรคมาคนละเท่าไหร่ ถ้าเพื่อไทยได้ 310
เท่ากับขาดอีก 66 ที่นั่ง ก็จัดตั้งนายกรัฐมนตรีในรัฐสภาได้ หากพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยอื่น
ๆ รวมกันแล้วเกิน 66 ก็เป็นไปได้ว่าทั้งหมดเป็นพรรคร่วมรัฐบาล
หรืออาจจะไม่ทั้งหมดหากแนวทางการทำงานหรือนโยบายไม่ตรงกัน
นั่นคือเรื่องที่ต้องพูดคุยกันหลังการฟังเสียงประชาชนทั้งสิ้น
เป็นฝ่ายประชาธิปไตยด้วยกันก็ไม่ได้หมายความว่าจะสบายใจที่จะทำงานร่วมกันได้
หากนโยบายไม่ตรงกัน เช่น
เวลานี้มีบางพรรคการเมืองไม่เห็นด้วยกับกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000
บาทของพรรคเพื่อไทย ซึ่งแน่นอนว่าถ้าเพื่อไทยตั้งรัฐบาล นี่ต้องเป็นนโยบายหลัก
เหล่านี้แหละครับจึงเป็นเหตุผลที่พรรคเพื่อไทยประกาศไว้เป็นหลักการ
ไม่จับมือกับพรรคการเมืองที่ร่วมรัฐประหาร แต่จะทำงานกับพรรคการเมืองไหน
ขอดูกันชัด ๆ คุยกันให้สบายใจตกผลึกร่วมกันเสียก่อน แล้วก็เดินหน้าทำงานด้วยกันได้
เป้าหมายสำคัญของเพื่อไทยคราวนี้จึงอยู่ที่ต้องตั้งรัฐบาลให้ได้
และต้องนำทุกนโยบายของพรรคไปแก้ปัญหาให้ประชาชนได้จริง
ในทัศนะส่วนตัวของผม
โอกาสของเพื่อไทยก็ไม่ใช่ว่าจะเหลือเยอะนะครับ ถ้าแก้ปัญหาได้
แน่นอนว่าเดินต่อไปได้ยาว ๆ แต่ถ้าได้รับโอกาสแล้วแก้ปัญหาไม่ได้ เผลอ ๆ
ครั้งต่อไปอาจจะไม่ใช่ตัวเลือกแรก ๆ ในสนามเลือกตั้ง ดังนั้น ถึงที่สุดให้โอกาสพรรคเพื่อไทยอีกสักครั้งได้ครับ
แต่ให้โอกาส “ประยุทธ์กับพวก” อีกครั้ง ไม่ได้อีกต่อไป
มันจึงมีความจำเป็นเลือกให้ชัดตัดสินใจให้ขาด
มันจึงมีความจำเป็นที่จะต้องให้พรรคเพื่อไทยแลนด์สไลด์เพื่อเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตย
เพื่อไทยเขายืนยันว่าพรรคประยุทธ์
พรรคประวิตร ไม่เอาแน่ ๆ ส่วนพรรคไหนจะยืนยันว่าไม่เอาเพื่อไทยบ้างก็บอกมา
เลือกตั้งเสร็จจะได้คุยกันเฉพาะพรรคที่สบายใจ