“วัฒนา” ลุ้นคำวินิจฉัยศาล ปมคดีทุจริบ้านเอื้ออาทร
รับเตรียมใจมา 2 ทาง หากไม่เป็นดังหวัง เตรียมถวายฎีกา ลั่นจะสู้จนหมดช่องทางสู้ แต่หากเป็นโควิด-19
ตายก็ช่วยไม่ได้ เชื่อเป็นเรื่องการเมืองล้านเปอร์เซ็นต์
วันนี้ (4 มี.ค. 65) เวลา 12.00 น. ที่
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง นายวัฒนา เมืองสุข
อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)
เดินทางมารับฟังกรณี คณะวินิจฉัยอุทธรณ์
นัดแถลงปิดคดีทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทรของการเคหะแห่งชาติ
และให้สัมภาษณ์ก่อนเข้ารับฟังว่า วันนี้ตนมายืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเอง
และมาตามหาความเป็นธรรม ซึ่งเราได้สู้คดีมาอย่างเต็มที่ ขอขอบคุณทุกคนที่ให้กำลังใจตนมาตลอด
ซึ่งวันนี้ตนมาฟังคำพิพากษาเชื่อว่าจะออกมาตามครรลอง
เพราะบ้านเมืองเราเสียความยุติธรรมเสียความน่าเชื่อถือไปมากแล้ว
ตนเชื่อว่าทุกคนจะพยายามเอากลับมาให้อยู่ในที่ทางที่ถูกต้อง
เมื่อถามว่าหลักฐานที่ทำมามอบให้กับทางศาลฯ
ในวันสรุปปิดคดี มั่นใจแค่ไหนว่าศาลจะรับฟังนั้น นายวัฒนา กล่าวว่า
หลักการในการดำเนินคดีอาญาเป็นไปตามหรือพื้นฐานทั้งโลก
ซึ่งคดีนี้ไม่มีอะไรถูกต้องทั้งหมด อย่างแรกที่ตนยืนยันตลอดไม่ได้พูดแบบศรีธนญชัยมีการกล่าวหาเกินไป
ที่เชื่อหรือว่ามีการเรียกประชุมผู้ประกอบการหลาย 10 คน แล้วไปเรียกรับเงินเขา
ซึ่งมีผู้กล่าวหาคนเดียว
เมื่อข้อเท็จจริงเป็นเช่นนี้การจะเอาพยานหลักฐานมาพิสูจน์สิ่งเป็นเท็จก็จะต้องไปปั้นและจูงใจกันมา
ซึ่งหลักฐานการจูงใจและการต่อรองพยานมีเป็นหนังสืออยู่ในสำนวนอยู่แล้ว
ซึ่งตนได้ชี้ให้ศาลได้เห็นแล้ว หากศาลยังรับฟังพยานหลักฐานแบบนี้ต่อไปตำรวจจับผู้ต้องหาไม่ต้องสอบสวนเอาไฟช๊อตหรือทุบเลย
และการกล่าวหาว่าตนไปเรียกเงินเพื่อการอนุมติหน่วยก่อสร้างหรืออนุมัติให้เป็นคู่สัญญานั้นตนไม่ได้มีอำนาจ
เพราะการเคหะแห่งชาติเป็นรัฐวิสาหกิจมีคณะกรรมการในการพิจารณา ซึ่งยืนยันว่ารัฐมนตรีไม่มีอำนาจนี้
โดยคดีนี้ป.ป.ช.บอกว่าคณะกรรมการไม่มีใครทำผิด แล้วตัวรัฐมนตรีจะลอยมาดื้อ ๆได้อย่างไร
จึงยืนยันว่าคดีนี้ไม่มีความถูกต้องแต่แรกจนถึงสุดทัาย
ซึ่งไม่แปลกใจที่ตนยังยืนสู้อยู่ตรงนี้
เพราะยืนยันว่าสิ่งที่กล่าวหาตนไม่เป็นความจริง
นายวัฒนา ยังยอมรับว่าได้เตรียมใจ
และพร้อมสู้ต่อในฐานะตนเป็นพสกนิกร
ยังมีที่พึ่งและไม่ได้แปลว่าตนถูกจำคุกแล้วจะฟ้องกลับใครไม่ได้
เพราะกฎหมายให้อำนาจและทุกคนต้องทำตามครรลอง
เมื่อถามว่าการสู้ต่อหมายถึงการถวายฏีกาใช่หรือไม่
นายวัฒนา กล่าวว่า ทุกทางที่มี หากในทางระบบปกติไม่ได้ ตนก็ต้องฟ้องตามที่ว่า
ซึ่งถือเป็นหนึ่งทาง รวมถึงช่องทางตามกฎหมาย
ถามย้ำว่ายังเชื่อมั่นว่าศาลจะเชื่อในคำแถลงปิดคดีใช่หรือไม่ นายวัฒนา
กล่าวว่า ตนได้แถลงไปชัดแล้ว ซึ่งตนไม่ได้พูดลอย ๆ
และยืนยันว่านักการเมืองไม่ได้โกงทุกคน และการยืนยันพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของกระบวนการยุติธรรมว่าพึ่งพาได้หรือไม่
และย้ำว่าในคดีอาญาหากทำผิดจริงไม่จำเป็นจะต้องปั้นพยานพูดอะไรเมื่อไหร่ก็จะไปลงที่เดียวกัน
และที่ตนนำหลักฐานมาให้ศาลเพราะมีอะไรที่ตอบคำถามไม่ได้
และมีความผิดปกติหลายเรื่องในคดีตน และเชื่อว่าคำพิพากษาจะถูกวิจารณ์อีกมากหากมีการเผยแพร่ออกมา
“วันนี้ตนมั่นใจ
เพราะสู้มาเพื่อความถูกต้อง สู้เพื่อความยุติธรรม ซึ่งตนได้สู้มา 15 ปีแล้ว
และเมื่อคืนนอนหลับดีปกติ ซึ่งตนเตรียมใจไว้ 2 ด้าน
ถ้าคำพิพากษาออกมาตามครรลองก็ยอมรับ แต่หากไม่ออกมาตามครรลองก็จะสู้ต่อ
และยืนยันว่าจะสู้ทุกช่องทางและสู้จนหมดช่องทางสู้ แต่หากเป็นโควิด-19
ตายก็ช่วยไม่ได้ ทั้งนี้ยอมรับว่าคดีของตนเป็นการเมืองล้านเปอร์เซ็นต์
เพราะเป็นศาลฏีกาแผนกอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง” นายวัฒนา กล่าว.
#UDDnews
#ยูดีดีนิวส์