วันพฤหัสบดีที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

เพื่อไทยหารือสมาคมผ้าไหมและวัฒนธรรมไทย ชูผลักดันไทยเป็น Festival Hub ระดับโลก เพื่อกระจายรายได้และสร้างงานให้คนไทยในอนาคต มั่นใจผลักดันนโยบาย Soft Power ส่งเสริมท่องเที่ยวไทย ช่วยสร้างรายได้ให้ประเทศทะลุ 3 ล้านล้านบาท

 


เพื่อไทยหารือสมาคมผ้าไหมและวัฒนธรรมไทย ชูผลักดันไทยเป็น Festival Hub ระดับโลก เพื่อกระจายรายได้และสร้างงานให้คนไทยในอนาคต มั่นใจผลักดันนโยบาย Soft Power ส่งเสริมท่องเที่ยวไทย ช่วยสร้างรายได้ให้ประเทศทะลุ 3 ล้านล้านบาท


วันที่ 25 พฤษภาคม 2566 สมาคมส่งเสริมผ้าไหมและวัฒนธรรมไทย นายเอ็ดเวิร์ด กิตติ เข้าพบแกนนำพรรคเพื่อไทย นำโดย นพ. พรหมินทร์ เลิศสุริยเดช ประธานคณะนโยบาย, นางนลินี ทวีสิน ประธานคณะทำงานนโยบายต่างประเทศ, ดร. เผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย, ดร. ธีราภา ไพโรหกุล เลขานุการคณะนโยบาย และ นางสาวชยิกา วงศ์นภาจันทร์ เลขานุการคณะทำงานนโยบายต่างประเทศ เพื่อหารือถึงแนวทางการผลักดันให้กรุงเทพฯ และประเทศไทยเป็นศูนย์กลางจัดอีเว้นท์ระดับโลก เช่น คอนเสิร์ตอีดีเอ็ม การจัดประกวดดีเจในไทย ตลอดจนการจัดแฟชั่นโชว์ผ้าไหมไทย พร้อมทั้งถ่ายทอดไปยังรายการในต่างประเทศ เพื่อส่งเสริมเกษตรกรผู้เลี้ยงไหมในไทย


นายเอ็ดเวิร์ด กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้มีโอกาสใช้ผ้าไหมของมูลนิธิโครงการหลวง จึงได้รู้ว่าผ้าไหมไทยเป็นสินค้าพื้นถิ่นที่มีเอกลักษณ์ เพราะผ้าไหมแต่ละชิ้นถือเป็นสินค้าที่แตกต่าง มีเพียงชิ้นเดียวในโลก เพราะไม่แน่ใจว่าคนทอยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ซึ่งชาวต่างชาติก็เห็นความสำคัญตรงนี้ จุดขายของไหมไทยคือเป็นหนึ่งเดียวในโลก และมีวัตถุดิบที่มาจากธรรมชาติ จึงอยากให้รัฐบาลไทยมีแนวคิดที่จะพัฒนาสินค้าผ้าไหมไทยอย่างจริงจัง ที่ผ่านมาได้เคยรวบรวมรายชื่อเกษตรกรผู้เลี้ยงไหมให้เข้ามาอยู่ในแพลตฟอร์มออนไลน์ เนื่องจากเกษตรกรผู้เลี้ยงไหมไม่มีโอกาสในการสร้างรายได้จากการขายสินค้า เพราะเข้าไม่ถึงตลาดและแหล่งทุน ไม่มีสวัสดิการใด ๆ นอกจากนี้ ยังเคยมีแนวคิดในการส่งเสริมให้เกษตรกรใช้มือถือและโซเชียลมีเดียเพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้เกษตรกรในการขายสินค้าไปสู่ตลาดโลกได้อีกด้วย


อีกประเด็นหนึ่งคือ รัฐบาลไทยควรพิจารณาส่งเสริมให้การแต่งเพลงประเภทอิเล็กทรอนิคเป็นหนึ่งในวิชาที่สอนในโรงเรียน เพื่อส่งเสริมตลาดดนตรีอีดีเอ็ม ยกตัวอย่างประเทศสิงคโปร์ที่มีการส่งเสริมวิชาเรียนประเภทดนตรีสมัยใหม่ รวมถึง อีสปอร์ตเรียบร้อยแล้ว ขณะเดียวกันไทยควรมีแบรนด์เฟสติวัลดนตรีเป็นของตัวเองด้วย เพราะการจัดงานหนึ่งครั้งสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ถึงครั้งละ 25,000 คน


ด้าน นพ.พรหมินทร์ กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยมีนโยบายผลักดัน Soft Power ผ่านสินค้าและวัฒนธรรมไทยไปสู่ตลาดโลก เป็นการต่อยอดโครงการ OTOP ที่มีมาตั้งแต่สมัยพรรคไทยรักไทย รวมทั้งเป็นการต่อยอดศักยภาพของคนไทยเป็นการเพิ่มรายได้ให้ครัวเรือนต่างๆ ทั่วประเทศ นอกจากนี้ ยังมีนโยบายที่จะผลักดันให้ประเทศไทยเป็น Festival Hub ระดับโลกทั้งในกรุงเทพฯ และจังหวัดอื่นๆ เพื่อกระจายรายได้และสร้างงานให้คนไทยในอนาคต


ขณะที่นางนลินี กล่าวว่า ผู้นำรัฐบาลต้องทำหน้าที่เสมือนแบรนด์แอมบาสเดอร์ของประเทศไทย ยกตัวอย่างสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่ใส่เสื้อผ้าไหมช่วงภารกิจการเยือนต่างประเทศจนเป็นที่ชื่นชมของผู้นำนานาประเทศ และหากได้เป็นรัฐบาล พรรคเพื่อไทยจะผลักดันนโยบาย Soft Power ส่งเสริมการท่องเที่ยวให้ไทยพลิกกลับมามีรายได้ 3 ล้านล้านบาทจากเดิม 1.9 ล้านล้านบาทช่วงโควิด


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #เพื่อไทย