วันศุกร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

“เพื่อไทย” ทำได้จริง ! “เศรษฐา ทวีสิน” ปลุกเลือก “เพื่อไทย” ได้ “รัฐบาล” ที่มีประสบการณ์ เปลี่ยนประเทศพ้นวิกฤต ย้ำอย่าเลือกเพราะความกลัว แต่ให้เลือกเพราะความชัวร์

 


“เพื่อไทย” ทำได้จริง ! “เศรษฐา ทวีสิน” ปลุกเลือก “เพื่อไทย” ได้ “รัฐบาล” ที่มีประสบการณ์ เปลี่ยนประเทศพ้นวิกฤต ย้ำอย่าเลือกเพราะความกลัว แต่ให้เลือกเพราะความชัวร์


วันที่ 12 พฤษภาคม 2566 นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี จากพรรคเพื่อไทย และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย กล่าวว่า วันที่ 14 พฤษภาคม 2566 จะเป็นวันที่ต้องจารึกประวัติศาสตร์บทใหม่ของประเทศ ที่พี่น้องประชาชนชาวไทยจะร่วมกันแสดงพลัง พร้อมใจกันก้าวออกจากหลุมดำที่ขังเรามานานกว่า 8 ปี จากประเทศไทยที่เคยยืนอยู่อย่างสง่างามในเวทีโลก มีศักยภาพ มีคนเก่ง แต่ผู้นำคณะรัฐประหารได้สร้างวิกฤต เอารถถัง เอาปืนมาจ่อหัวพวกเรา ปล้นอำนาจอธิปไตยไปจากพวกเรา ทำลายศักดิ์ศรีของประเทศไทยในเวทีโลก ที่มองว่ารัฐประหารเป็นเรื่องน่ารังเกียจ ทำให้คนไทยทุกคนล้วนสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ การค้า จากประเทศไทยที่เคยเป็นที่ต้องการ เป็นไข่แดงของการลงทุนในอาเซียน แต่วันนี้ประเทศไทยกลายเป็นไข่ขาวรอบอินโดนีเซียและเวียดนาม ที่มีผู้นำที่สามารถพัฒนาเศรษฐกิจและความเจริญ นำการค้า การลงทุน นำเงินเข้าประเทศมากมาย


ขณะที่ในประเทศไทย ความเหลื่อมล้ำได้ขยายตัวขึ้นทุกวัน ด้วยฝีมือของรัฐบาลที่ประกาศคืน “ความสุข” แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังการยึดอำนาจล้วนเป็น “ความทุกข์” ทั้งการคอร์รัปชัน การใช้กฏหมายเป็นอาวุธ การบริหารวัคซีนผิดพลาด และเรื่องที่ทำให้รู้สึกเจ็บปวดที่สุด คือการยัดข้อหาที่ไร้หัวใจ หาว่าเยาวชนไทย “ชังชาติ”


นายเศรษฐา กล่าวเปรียบเทียบว่า รัฐบาลปัจจุบันได้สร้างคุกขนาดใหญ่ ขังประชาชนทั้งประเทศเอาไว้กับความเหลื่อมล้ำ ความยากจน ความยากลำบาก ความไม่เป็นธรรม ใช้กฏหมายทำร้ายคนเห็นต่าง ทรยศต่อประชาชน ทั้งหมดนี้ เป็นผลไม้พิษที่เป็นผลพวงจากการรัฐประหารในปี 2557 ดังนั้น ความตั้งใจที่เข้ามาในพรรคเพื่อไทยวันนี้ ‘มาตัวเปล่า’ มาโดยปราศจากคำสัญญาใดๆ กับนายทุน ผู้มีอำนาจ หรือผู้มีอิทธิพล แต่มีคำสัญญาเพียงหนึ่งเดียวที่มีต่อพี่น้องประชาชน ว่าจะตั้งใจทุ่มเททำงานหนัก ยืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้อง ต่อสู้เพื่ออนาคตของลูกหลาน นำประสบการณ์การทำงานในภาคธุรกิจกว่า 30 ปี มาทำประโยชน์ สร้างอนาคตให้กับประชาชนคนไทยทุกคน


นายเศรษฐาย้ำว่า ผู้สมัคร ส.ส. และบุคคลากรของพรรคเพื่อไทยหลายคน ล้วนรู้ลึก รู้จริง เป็นปรมาจารย์ที่เก่งทั้งทฤษฎี มีประสบการณ์การลงมือทำ พรรคเพื่อไทยยังมีประวัติศาสตร์ยาวนาน เป็นอันดับต้นๆของประเทศไทย ตั้งแต่สมัยไทยรักไทย ที่เคยดูแลพี่น้องประชาชนร่วม 66 ล้านคน ครบ 4 ปี และอีกนิดเดียว ที่ไทยเกือบจะเป็นประเทศพัฒนาแล้ว เป็นเสือตัวที่ 5 ของเอเชีย จึงอยากขอโอกาสจากพี่น้องประชาชนทุกคน ที่จะทำให้ 4 ปีข้างหน้า เจริญเติบโตรุ่งเรืองเหมือนที่ไทยรักไทย พลังประชาชน ได้ทำไว้ให้กับพี่น้องคนไทยทุกคน


ทั้งนี้ นโยบายของพรรคเพื่อไทย ครอบคลุมทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง แก้ปัญหาตั้งแต่ระดับโครงสร้างในภาพใหญ่ และมีนโยบายเฉพาะกาลที่แก้ปัญหาระยะสั้น จนถึงระยะยาว ประกอบกันจนเป็น Roadmap ของการพัฒนาประเทศ จึงขอชวนพี่น้องมองไปข้างหน้า ถ้าเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ประเทศไทยจะเปลี่ยนไป ดังนี้


1. พี่น้องจะเห็นรัฐบาลที่เข้ามาบริหารอย่างจริงจัง ไม่ใช่บริหารแบบธุรการเหมือนที่ผ่านมา เราจะมียุทธศาสตร์ มีเป้าหมายที่ชัดเจน นำพาประเทศและชีวิตของพี่น้องประชาชน เราจะทำงานอย่างขยันขันแข็ง วางระบบไว้สำหรับคนรุ่นหลังให้เดินต่อไปได้ จะไม่มาบอกว่า “ถ้าไม่มีผมแล้ว ประเทศจะอยู่อย่างไร” หรือ “ถ้าผมไม่ทำ แล้วใครจะทำ” เรากำหนดเป้าหมายไว้ชัดเจนว่า ภายในปี 2567 เราจะทำให้ GDP ประเทศโตไม่น้อยกว่า 5% เพราะเราต้องการให้พี่น้องร่วมชาติทุกคน มีงานทำ มุ่งไปที่เป้าหมายแรงงานขั้นต่ำ 600 บาท และปริญญาตรี 25,000 บาท ทุกคนจะเห็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ดีที่สุดในโลก ผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท ที่หลายประเทศจะมาขอเรียนรู้จากเรา เหมือนที่เราทำนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค และแน่นอนว่าเราจะรักษาวินัยการเงินการคลังเป็นอย่างดี และจะเห็นบริษัทของคนไทยเติบโตในเวทีโลกจากการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ยืนยันว่านักลงทุนจะกลับมาให้ความสนใจกับประเทศไทย ไม่แพ้เพื่อนบ้านของเราอย่างแน่นอน


2. ถ้าคนไทยทุกคนเอามือล้วงกระเป๋าตัง จะพบว่าตั๋วจำนำหมดไป แทนที่ด้วยแบงค์ในกระเป๋ามากขึ้น หนี้สินน้อยลง เพราะระบบเศรษฐกิจของเราจะทำให้คนไทยทุกอาชีพ ทุกฐานะ สามารถทำงานหาเลี้ยงครอบครัวได้อย่างสบายๆ เหมือนในยุคไทยรักไทย ด้วยโครงการ Soft Power การเติมเงินทุกครอบครัวให้อยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ใช้หลักตลาดนำ นวัตกรรมเสริมทางการเกษตร และการใช้เทคโนโลยี Blockchain


3. รายจ่ายจะลดลง ผ่านนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ที่จะปรับปรุงการบริการด้วยเทคโนโลยี คนกรุงเทพฯ จะขึ้นรถไฟฟ้าได้ถูกลง 20 บาทตลอดสาย ค่าทางด่วนจะมีการเชื่อมโยงให้เสียค่าใช้จ่ายน้อยลง เพื่อการจราจรที่ติดขัดน้อยลง คนต่างจังหวัดจะมีรถไฟความเร็วสูง และรถไฟรางคู่มาเสริมบริการ  ในราคาที่ไม่แพงเกินไป


4. ยาเสพติดจะลดลงอย่างรวดเร็ว เพราะเพื่อไทยจะนำนโยบายและวิธีการสมัยไทยรักไทยมาใช้ คืนลูกหลานให้กับครอบครัว เป็นบุคคลที่มีค่า ไม่ใช่ปัญหาสังคม


5. นักท่องเที่ยวจะเข้ามาในประเทศไทยจำนวนมาก และกระจายไปทั่วประเทศ มีการเพิ่มสนามบินนานาชาติที่มีมาตรฐาน ปรับปรุงสนามบินสุวรรณภูมิให้ไม่วุ่นวายแบบทุกวันนี้ เราจะมีการสร้างแหล่งท่องเที่ยวที่เป็น Man-made ทำนุบำรุงรักษาแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติและทางวัฒนธรรมให้มีชีวิตชีวา พร้อมจัดการแข่งกีฬาและคอนเสิร์ตระดับโลก ตลอดจนยกระดับงานประเพณีไทย ให้ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งปี


6. คืนอากาศสะอาด จัดการ PM2.5 อย่างต่อเนื่องที่ต้นตอ การจราจรในกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่จะต้องได้รับการดูแล ไม่ปล่อยไว้ตามยถากรรม


7. คืนสิทธิที่จะ “รักชาติ” โดยไม่จำเป็นต้อง “เกณฑ์ทหาร” เปลี่ยนเป็นระบบสมัครใจ โดยรัฐบาลจะพูดคุยกับกองทัพถึงความจำเป็น และการฝึกอาชีพหลังจากการเป็นทหาร เหมือนในหลายประเทศที่พัฒนาแล้ว


8. จะไม่มีใครโอดครวญเรื่องค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมัน  และค่าแก๊สอีกต่อไป เพราะเราจะปรับโครงสร้างราคาใหม่ให้เป็นธรรมกับทุกฝ่าย พร้อมเร่งพัฒนาแหล่งพลังงานใหม่มาเสริม และจะควบคุมการผลิตไฟฟ้าให้เหมาะสม


9. เราจะจัดการกับเจ้าหน้าที่รัฐที่เป็นภาระประชาชน เช่น ทำตัวเป็นนายประชาชน รีดไถประชาชน ทำทันทีที่เข้ารับหน้าที่ และจะไม่ยอมให้มีการซื้อขายตำแหน่งข้าราชการเด็ดขาด ไม่ว่าจะโดยนักการเมืองหรือผู้บังคับบัญชาชั้นสูง เราจะมีรัฐธรรมนูญที่เป็นของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน เป็นกฎหมายสูงสุดตามระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เราจะไม่ให้มีการโค่นล้มรัฐธรรมนูญ หรือก่อรัฐประหารขึ้นอีก เพราะเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจ มีการบังคับใช้กฎหมายที่ชัดเจนและเป็นธรรม ใครที่ล้มรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ถือเป็นอาชญากรของชาติ ต้องได้รับโทษอย่างเหมาะสม


10. เราจะขอเชิญทหาร ตำรวจ ข้าราชการ ที่อยู่ในบอร์ดรัฐวิสาหกิจที่ตัวเองไม่ถนัด  กลับไปปฏิบัติหน้าที่ของตัวเอง และจะให้ผู้มีความรู้มีประสบการณ์เข้าไปช่วยทำให้รัฐวิสาหกิจประสบความสำเร็จ ทุกคนจะเห็นรัฐบาลเพื่อไทยลดการผูกขาดทุกรูปแบบ ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุด และบริการที่เป็นธรรม


และประการสุดท้าย เราจะไม่เห็นความอยุติธรรมจากตำรวจ หรือหน่วยงานรัฐภายใต้อำนาจบริหารอีกต่อไป จะไม่เห็นการบังคับใช้กฎหมายอาญา มาตรา 112 เพื่อกลั่นแกล้งทางการเมือง จะไม่ให้คนตัวเล็กโดนกลั่นแกล้ง ถึงจะเป็นเรื่องเล็กๆแต่คนก็เดือดร้อนมาก เราจะยกเลิกการตั้งด่านเก็บส่วยของทั้งตำรวจ กรมการขนส่ง โดยไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป ทั้งหมดนี้เป็นไปได้ด้วยความสามารถของพรรคเพื่อไทย 


“ผมมีความฝันที่จะเห็นพี่น้องประชาชนไทย อยู่ดี กินดี มีความภาคภูมิใจ เศรษฐกิจไทยจะเติบโต พร้อมกับความเจริญทางจิตใจ ประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในเวทีโลก มีความสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์ ประชาธิปไตยจะกลับคืนสู่พวกเราทุกคน และฝันว่าพรรคเพื่อไทยจะได้รับใช้ประชาชนอีกครั้ง ผมและพรรคเพื่อไทยจะต่อสู้เพื่อไม่ให้พวกเราตื่นขึ้นมาพบประเทศที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง ไม่ยอมรับความแตกต่าง หรือตื่นขึ้นมาเจอผู้นำประเทศเป็นคนเดิมที่ไร้หัวใจ เห็นคนไทยไร้ที่ยืนในเวทีโลก” นายเศรษฐากล่าว


นายเศรษฐากล่าวว่า ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่สมัยพรรคไทยรักไทย พลังประชาชน จนกระทั่งวันนี้เป็นพรรคเพื่อไทย เราเป็นสถาบันที่หนักแน่น มีอุดมการณ์ยึดโยงกับประชาชนมาโดยตลอด ขณะเดียวกันก็เป็นพรรคที่ถูกกลั่นแกล้งมากที่สุดเช่นกัน โดยความอยุติธรรมเกิดขึ้นในระบบกฎหมาย ผู้มีอำนาจที่ไม่รับฟังเสียงประชาชน แต่วิกฤตที่เกิดขึ้นทำอะไรไม่ได้กับอุดมการณ์ของพรรคเพื่อไทย เรายังยืนหยัดแข็งแกร่ง ทำประโยชน์เพื่อประชาชน และกลับกัน ยังได้รับความศรัทธาจากพี่น้องประชาชน ได้รับความไว้วางใจของประชาชนอย่างต่อเนื่อง พิสูจน์จากผลการเลือกตั้งในปี 2544 ปี 2548 ปี 2550 ปี 2554 ปี 2562  และครั้งนี้ มั่นใจว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะการเลือกตั้งอีกครั้ง ทำให้เราเป็นพรรคเดียวที่มีโอกาสทำให้ ส.ว. ต้องฟังเสียงประชาชน


พร้อมย้ำว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ เราจะต้องชนะให้มากกว่าทุกครั้งที่เราเคย ให้มากพอที่จะทำให้ ส.ว.ทำตามฉันทามติของประชาชน โดยไม่มีข้ออ้างอีกต่อไป เราจะไม่ทรยศต่อคนที่ร่วมอุดมการณ์กับพวกเรา เราจะรับฟังทุกเสียงของประชาชน จะทำงานหนัก จัดตั้งรัฐบาลที่โปร่งใส เราจะใช้ทุกวินาทีอย่างมีค่า ใช้จ่ายภาษีทุกบาททุกสตางค์อย่างมีจุดมุ่งหมาย เพื่อประโยชน์สูงสุดของคนไทยทุกคน ภาพฝัน ความหวัง และนโยบายที่ได้กล่าวไปในตลอด 75 วันที่ลงพื้นที่เป็นไปได้จริง


เวลานี้ประเทศต้องการรัฐบาลที่มีประสบการณ์ มีความสามารถ เข้าใจกลไกทั้งการเมือง กฎหมาย ราชการ และความร่วมมือจากภาคเอกชนจำนวนมากทั้งในไทยและต่างประเทศ มาเปลี่ยนประเทศไทยให้พ้นจากวิกฤต สถานะทางการเงินการคลังของประเทศอยู่ที่ปากเหว หนี้ครัวเรือน หนี้สาธารณะสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย เรารอไม่ได้แล้ว ประเทศไทยไม่มีโอกาสให้เสี่ยงอีกแล้ว ทั้งเสี่ยงที่จะเปิดช่องว่างให้รัฐบาลเผด็จการกุมอำนาจ ตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย ค้านมติของประชาชน เสี่ยงที่เสียงของฝ่ายประชาธิปไตยจะถูกบั่นทอน จากการบังคับใช้กฎหมายอย่างไม่เป็นธรรม เสี่ยงที่การลงคะแนนแบบไม่มียุทธศาสตร์ จะทำให้ฝ่ายเผด็จการกลับมาเป็นใหญ่อีกครั้ง เรามีบทเรียนจากการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว ที่พรรคเพื่อไทยพลาดไปเพียง 17 ที่นั่ง เราต้องไม่ปล่อยให้การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกแบบไร้ยุทธศาสตร์อีกครั้ง ไม่เช่นนั้นเราจะต้องทนกับ รัฐบาลที่สืบทอดเผด็จการ ขั้วอำนาจเดิมต่อไป


“ผมขอวิงวอนจากใจ อย่าเลือกเพราะความกลัว แต่ให้เลือกเพราะความชัวร์ ชัวร์ว่าพรรคเพื่อไทยทำได้จริง เราจะทำให้เสียงของประชาชนเป็นใหญ่ ให้ประชาธิปไตยเป็นใหญ่ ให้นักการเมืองฟังเสียงของประชาชน และผม นายเศรษฐา ทวีสิน ขอเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย ทำให้ประชาชนหลุดพ้นจากความมืดมน สู่ความเป็นจริงที่มีความหวัง ผมขอให้ทุกคนลงคะแนนให้พรรคเพื่อไทย ทั้ง ส.ส.เขต และพรรคเบอร์ 29 ให้แลนด์สไลด์ทั้งประเทศ เพื่อให้พรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลได้อย่างมีเสถียรภาพ ให้พวกเราไปรับใช้ประชาชน ไปทำความหวังของทุกคน เปลี่ยนประเทศให้ได้จริง และส่งต่ออนาคตที่ดีกว่าให้กับลูกหลาน” นายเศรษฐากล่าวปิดท้าย


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #เพื่อไทย #เลือกตั้ง66