“จาตุรนต์”
ชี้! กติกาที่ผู้ทำรปห.สร้างไว้เป็นอุปสรรคในการตั้งรบ.ให้เป็นไปตามฉันทามติของปชช.
ถึงเวลาพรรคการเมืองนักการเมืองจะช่วยกันหาทางออกให้ประเทศแล้ว!
วานนี้
(16 พฤษภาคม 2566) นายจาตุรนต์ ฉายแสง
กรรมการยุทธศาสตร์ พรรคเพื่อไทย ได้โพสต์ในเฟซบุ๊คส่วนตัว ชี้
ถึงเวลาพรรคการเมืองนักการเมืองจะช่วยกันหาทางออกให้ประเทศแล้ว โดยระบุว่า
เมื่อพรรคการเมืองรวมเสียงได้เกินครึ่งของสภาผู้แทนราษฎรแล้ว
ปกติก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเรียกร้องให้พรรคการเมืองอื่น ๆ ลงมติสนับสนุนพรรคที่้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล
ยิ่งการเรียกร้องให้พรรคการเมืองที่ไม่ได้ร่วมรัฐบาลลงมติสนับสนุนการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีก็ยิ่งเป็นเรื่องแปลก
แต่ที่ต้องเรียกร้องกันอยู่ก็เพราะเราอยู่ในระบบที่ไม่ปกติคือไม่เป็นประชาธิปไตย
ที่ให้สว.ร่วมลงมติเลือกนายกฯ ได้ด้วย
หลังการเลือกตั้งเมื่อปี
2562 ในการเลือกนายกรัฐมนตรี สว. 250 พร้อมใจกันเลือกพลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯ
ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะรัฐธรรมนูญถูกออกแบบมาให้มีสว.ไว้ช่วยในการสืบทอดอำนาจของพลเอกประยุทธ์โดยเฉพาะ
มาคราวนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปมาก
พลเอกประยุทธ์มาเดินหาเสียงเหมือนนักการเมืองคนอื่นอย่างเต็มตัว
และผลการเลือกตั้งออกมาก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าประชาชนส่วนใหญ่ไม่ต้องการให้พลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯ
อีกแล้ว อีกทั้งคะแนนของพรรคร่วมรัฐบาลก็น้อยกว่าพรรคร่วมฝ่ายค้านอย่างมาก
สว.ทั้งหลายจึงไม่มีเหตุผลความจำเป็นใด ๆ ที่จะสนับสนุนพลเอกประยุทธ์อีกต่อไป
แต่ดูเหมือน
สว.ส่วนใหญ่จะเลือกใช้วิธีการงดออกเสียงในการเลือกนายกฯ ซึ่งจะทำให้การเลือกนายกฯ เกิดผลสำเร็จได้ยากเนื่องจากต้องการเสียง
สส.มากถึง 376
คนขึ้นไป
ดังนั้น
หากจะให้เกิดรัฐบาลใหม่ขึ้นได้จึงต้องอาศัยเสียงจากสส.มากกว่า 309 เสียงซึ่งหมายถึงต้องอาศัยเสียงสส.จากพรรคร่วมรัฐบาลเดิมด้วย
และหากพรรคร่วมรัฐบาลเดิมไม่สนับสนุนการจัดตั้งรัฐบาลที่พรรคก้าวไกลเป็นแกนอยู่
ก็มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดสถานการณ์เป็น 2 แบบคือ
1. พรรคร่วมรัฐบาลเดิมย้อนกลับไปตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยที่อาศัยเสียงสว.
250คนให้การสนับสนุน ซึ่งจะเป็นรัฐบาลที่ขาดความชอบธรรม
ขัดต่อเจตจำนงของประชาชนและไม่มีเสถียรภาพอย่างยิ่ง บริหารประเทศไม่ได้และจะมีอายุสั้นมาก
2.ไม่มีใครจัดตั้งรัฐบาลได้และรัฐบาลรักษาการก็ทำหน้าที่ต่อไปเรื่อย
ๆ จนกว่าสว.จะหมดอำนาจในการเลือกนายกฯ
รัฐบาลที่ไม่มีใครเชื่อถือที่จะดันทุรังกันต่อไปจะไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้และยังจะทำให้สถานการณ์บ้านเมืองเลวร้ายลงไปอีก
สถานการณ์ทั้งสองแบบนี้จะทำให้ประเทศไทยจมดิ่งลงไปในวิกฤตที่ร้ายแรงมากยิ่งขึ้น
เกิดความเสียหายต่อทุกฝ่ายทุกคนในประเทศนี้
มีการพูดอยู่เสมอว่าถ้านักการเมืองพรรคการเมืองพร้อมใจกันไม่ร่วมมือกับเผด็จการบ้านเมืองคงดีกว่านี้
แต่นักการเมืองและพรรคการเมืองของไทยเราก็ไม่เคยรวมกันติด
มาคราวนี้ผู้ที่ทำรัฐประหารมาก็เสื่อมถอยลงไปมาก
ถูกประชาชนตัดสินไปแล้วว่าประชาชนไทยไม่ต้องการให้พวกเขาอยู่ในอำนาจต่อไป
เพียงแต่กฎกติกาที่พวกเขาสร้างไว้ยังเป็นอุปสรรคในการที่จะตั้งรัฐบาลให้เป็นไปตามฉันทามติของประชาชน
ในสถานการณ์เช่นนี้
เพื่อจะหลีกเลี่ยงความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจาการตั้งรัฐบาลไม่ได้
จึงมีความจำเป็นที่นักการเมืองทั้งหลายจะช่วยกันหาทางออกให้แก่บ้านเมืองด้วยการสนับสนุนพรรคการเมืองที่รวบรวมเสียงได้มากกว่าครึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎรให้สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ต่อไป
เห็นแก่บ้านเมือง
เห็นแก่ประชาชนเถอะครับ ตั้งรัฐบาลแล้ว ต่างฝ่ายต่างก็ทำหน้าที่กันต่อไป
ถึงเวลาต้องแข่งขันกันอีก ก็ให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน
ไม่ใช่ให้ระบบที่เผด็จการวางไว้มาตัดสินและทำให้บ้านเมืองเสียหายย่อยยับอย่างที่ผ่านมา
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #เพื่อไทย #สวต้องฟังเสียงประชาชน #นายกคนที่30