วันศุกร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

ทีมเศรษฐกิจเพื่อไทย เผยแผนฟื้นเศรษฐกิจหลังเลือกตั้ง โดย “รัฐบาลเพื่อไทย”


ทีมเศรษฐกิจเพื่อไทย เผยแผนฟื้นเศรษฐกิจหลังเลือกตั้ง โดย “รัฐบาลเพื่อไทย”


วันที่ 12 พฤษภาคม 2566 ดร.ปานปรีย์ พหิทธานุกร ​​ที่ปรึกษาคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า สถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งสงครามการค้า โรคระบาด ความขัดแย้งรัสเซีย - ยูเครน และการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของเศรษฐกิจดิจิทัล ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง และเกิดความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ขณะที่ค่าครองชีพสูงขึ้น อาหารแพงขึ้น อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น อัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวน


พรรคเพื่อไทยมีความชัดเจนในการแก้ไขปัญหาความยากจน สร้างรายได้ สร้างงานให้กับประชาชน เกษตรกร ภาคการผลิต และเอสเอ็มอี  ที่ผ่านมาในรัฐบาลไทยรักไทยมีแนวคิดเศรษฐกิจแบบคู่ขนาน คือ Dual track policy คือ การให้ความสำคัญกับภาคเศรษฐกิจทั้งในประเทศ  และต่างประเทศ  ซึ่งแนวคิดนี้ยังทันสมัย และเรามีนโยบายเศรษฐกิจดิจิทัลเพิ่มเติม ทุกอย่างจะสามารถส่งเสริมกันในการกระตุ้นเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย


สำหรับในนโยบายการค้าต่างประเทศ หากพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล มี 3 ด้าน


1. เป็นมิตรทางการค้ากับทุกประเทศ โดยไม่เลือกข้างโดยเด็ดขาด เพราะการค้า คือหัวใจในการส่งเสริมเศรษฐกิจให้เติบโตขึ้น


2. ดึงการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามา โดยขณะนี้จีนมีแนวคิดย้ายฐานการผลิตออกมา และเชื่อว่าอยู่ในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งขณะนี้เวียดนามได้รับประโยชน์  ส่วนประเทศไทย เป็นหนึ่งในประเทศเป้าหมาย หากเราสามารถแก้ไขอุปสรรคด้านกฎหมายด้านการค้า การลงทุน และมาตรการทางภาษี นานาประเทศจะแห่มาลงทุนในไทย


3. การเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เรามีความชำนาญ และดำเนินการมาตั้งแต่รัฐบาลไทยรักไทย ที่ผ่านมาเราเจรจาเขตการค้าเสรี หรือ FTA แล้วเสร็จ  14 สัญญากับ 18 ประเทศ เรามีความรู้ ความเชี่ยวชาญ มีประสบการณ์ และบุคลากรที่พร้อม  รัฐบาลพรรคเพื่อไทยพร้อมที่จะเจรจาการค้า ทั้งในระดับพหุภาคี และทวิภาคี และจะเจรจาเพิ่มเติมในส่วนที่ยังไม่คืบหน้า ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว  ซึ่ง FTA ไทย-อียู ที่ยังเจรจาไม่แล้วเสร็จ ถือเป็น Quick win จะถูกเร่งผลักดันให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี หากเป็นไปได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับทางอียูด้วย


ส่วนกลุ่มที่น่าสนใจในการเปิดการค้า FTA ใหม่ ๆ เช่น กลุ่มตะวันออกกลาง หรือ  GCC ซึ่งเป็นประเทศที่มีกำลังการจับจ่ายสูงเงิน เราจะกึงเม็ดเงินตรงนี้เข้าสู่ประเทศ


“ภูมิรัฐศาสตร์ การต่างประเทศ และเศรษฐกิจมหภาค เป็น 3 เรื่องเดียวกัน ที่มีความสำคัญเท่าเทียมกัน เราไม่สามาถละเลยที่จะแก้ปัญหาได้ จึงจำเป็นต้องเป็นคนที่มีประสบการณ์เข้ามาบริหารประเทศ เรามีความรู้ ความสามารถและมีความชำนาญเฉพาะด้าน ไม่ใช่เวลาจะมาทดลองงานกันใหม่ ถ้าทดลองงานใหม่ ประเทศไทยจะเดินช้าลงไปอีก 14 พฤษภา เลือกเพื่อไทยให้แลนด์สไลด์” ดร.ปานปรีย์ กล่าว


ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล ​​กรรมการ เลขานุการ และโฆษกคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า วันนี้เป็นโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นการเลือกตั้งเชิงยุทธศาสตร์ เป็นการเลือกตั้งที่จะเห็นมิติการเปลี่ยนทางการเมืองและเศรษฐกิจที่บอบช้ำจากวิกฤติโควิดที่ผ่านมา ปัญหาทั้งหนี้ของประชาชน และหนี้ของประเทศ ประชาชนเดือดร้อน ธุรกิจล้มตาย และยังโดนตอกย้ำจากวิกฤติภายนอกประเทศ เป็นวิกฤติด้านพลังงาน วิกฤติสงคราม วิกฤติด้านธนาคาร รวมถึงวิกฤติด้านการเงิน ประเทศไทยบอบช้ำทั้งในด้านโอกาส เป็นอย่างมาก ดังนั้นในการบริหารประเทศ 4 ปีต่อจากนี้ จำเป็นต้องมีรัฐบาลที่มีทีมเศรษฐกิจที่เต็มไปด้วยประสบการณ์ วิสัยทัศน์ และวิธีการ เราจะฟื้นเศรษฐกิจหลังเลือกตั้งด้วยรัฐบาลเพื่อไทย


วันนี้พรรคเพื่อไทยเราไม่หยุดนิ่งเราก้าวเดินต่อไปด้วยเศรษฐกิจดิจิทัล ที่ปัจจุบันวิ่งเร็วและในที่สุดก็จะวิ่งแซงเศรษฐกิจพื้นฐาน ประเทศไทยต้องวิ่งตามให้ทัน ทั้งหมดเป็นคำตอบว่า เหตุใดพรรคเพื่อไทย ถึงให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจดิจิทัล เราจะเปลี่ยนประเทศไทยให้ก้าวสู่สังคมยุคดิจิทัล ด้วยยุทธศาสตร์ ‘ดิจิทัล ไลฟ์ ไทยแลนด์’ เราจะเปลี่ยนประเทศไทยที่ประเทศอนาล็อกสู่ประเทศที่เป็นดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบผ่านโรดแมพ 3 ขั้น


ขั้นที่ 1 เพิ่มประสิทธิภาพด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล ที่ใช้เทคโนโลยีในระดับกลาง และเพิ่มทรัพยากรมนุษย์ด้านดิจิทัล ต่อยอดด้วยการสร้างแพลตฟอร์มการศึกษาระดับประเทศที่มีชื่อว่า Learn to Earn ที่เป็นแพลตฟอร์มการเรียนรู้ตลอดชีวิต ในการเชื่อม 3 ภาคส่วนเข้าด้วยกัน คือ นายจ้าง ลูกจ้าง และภาคการศึกษา ต่อยอดด้วยการสร้างคนในยุคดิจิทัลผ่านนโยบาย 1 ตำบล 1 ไอทีแมน ในการสร้างปราชญ์ในยุคดิจิทัลให้กระจายในชุมชนให้กระจายอยู่ทุกหมู่บ้าน


ขั้นที่ 2 การสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลด้วยเทคโนโลยีระดับสูงพรรคเพื่อไทยประกาศนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตในการยกระดับระบบการชำระเงินใหม่ของประเทศ ที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนขึ้นมา เราใส่เงิน 10,000 บาทเข้าไปให้กับประชาชน 55 ล้านคน และเป็นเครื่องยืนยันว่า หลังจากเสร็จโครงการนี้ ประเทศไทยพร้อม ประชาชนพร้อม สำหรับการชำระเงินรูปแบบใหม่ด้วยบล็อกเชน และจะกลายเป็นประเทศแรกแรกในโลกที่มีระบบนี้ในการเปิดรับประตูสู่เศรษฐกิจดิจิทัล


เมื่อโครงสร้างพร้อม ภาคเอกชนต้องพร้อมด้วย ภาคเอกชนต้องการเงินทุน และเงินทุนสำหรับเศรษฐกิจดิจิทัลนั้นไม่ได้มาจากการขอสินเชื่อจากธนาคาร ไม่ได้มาจากการตั้งกองทุนต่างๆ แต่มาจากการลงทุน


พรรคเพื่อไทยสนับสนุนระบบระดมทุนคู่ขนาน คือ ตลาดหลักทรัพย์ในการลงทุนสำหรับการลงทุนในเศรษฐกิจพื้นฐาน และตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล หรือ ดิจิตอล แอสเซท ในการระดมทุนเศรษฐกิจดิจิทัล 2 เสาหลักนี้จะเดินไปด้วยกัน และได้การสนับสนุนและได้รับการผลักดันจากพรรคเพื่อไทย เมื่อภาคเอกชนพร้อม ภาครัฐก็ต้องพร้อม จึงประกาศนโยบายรัฐบาลดิจิทัล ทำให้รัฐบาลเป็นระบบดิจิทัลอย่างเป็นรูปแบบ ข้อมูลในทุกกระทรวง จะต้องเข้ามาอยู่ในที่เดียวกัน เราสนับสนุนการใช้บล็อกเชนในภาครัฐ เพื่อทำให้ภาครัฐเป็นภาครัฐที่โปร่งใสมีดิจิตทัลฟุตพริ้นท์ เป็นภาพลักษณ์ที่เป็นหน่วยขับเคลื่อนภาคเอกชน


ขั้นที่ 3 เราจะหาเงินเข้าประเทศด้วยดิจิทัล เปิดเขตธุรกิจใหม่ 4 แห่ง ได้แก่ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ขอนแก่น และสงขลา ในการเป็นแม่เหล็กดึงดูดเม็ดเงินที่จะลงทุนเข้ามาผ่านการลงทุนจากการต่างประเทศ ในเขตธุรกิจใหม่ มีกฎหมายธุรกิจชุดใหม่  มีสิทธิประโยชน์ใหม่และเรามีโครงสร้างพื้นฐานใหม่ ที่จะทำตัวเป็นแม่เหล็กในการดึงดูดเม็ดเงินเข้ามาในประเทศเหมือนเป็นการเปิดเขื่อน ให้เม็ดเงินจากต่างประเทศเข้ามาอยู่ในประเทศไทย นอกจากนี้ยังผลักดันเรื่องสนธิสัญญาการค้าระดับประเทศ Digital economy partnership agreement  ที่เป็นกุญแจสำคัญในการเปิดประเทศเข้าสู่สังคมยุคดิจิทัล ที่จะเปิดห่วงโซ่การค้าใหม่ด้านดิจิตอลให้กับประเทศ


“นี่คือ โรดแมพทั้ง 3 ด้าน จะพาประเทศไทยสู่ประเทศดิจิทัล ผ่านยุทธศาสตร์ดิจิทัลไลฟ์ไทยแลนด์ เราจะเปลี่ยนประเทศไทย จากประเทศที่เป็นอนาล็อก เป็นประเทศที่เป็นดิจิทัล เต็มรูปแบบ  เพราะนี่คือเพื่อไทย เพื่อไทยทันสมัย เพื่อไทยที่คิดใหญ่ และเป็นเพื่อไทยที่คว้าเงินในโลกยุคใหม่ให้ประชาชน” ดร.เผ่าภูมิ กล่าว


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #เพื่อไทย #เลือกตั้ง66