วันอังคารที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2566

คนเสื้อแดงและคปช.53 จัดงานรำลึก #13ปีเมษาพฤษภา53 ทำบุญ/วางหรีด เชิญพรรคการเมืองแสดงนโยบายแนวทางปฏิบัติต่อ 8 ข้อเรียกร้อง

 


คนเสื้อแดงและคปช.53 จัดงานรำลึก #13ปีเมษาพฤษภา53 ทำบุญ/วางหรีด เชิญพรรคการเมืองแสดงนโยบายแนวทางปฏิบัติต่อ 8 ข้อเรียกร้อง


วันที่ 10 เมษายน 2566 ที่ อนุสรณ์สถาน14ตุลา (แยกคอกวัว) ถนนราชดำเนินกลาง คนเสื้อแดงและคณะประชาชนทวงความยุติธรรม 2553 (คปช.53) ร่วมกันจัดงานรำลึก “13ปีเมษาพฤษภา53” นำโดย อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ, นพ.เหวง โตจิราการ, ญาติวีรชนผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ เมษา-พฤษภา53


โดยพิธีสงฆ์เริ่มในเวลา 15.00 น. จากนั้นเป็นการวางพวงหรีด/ดอกไม้ของอดีตแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) อาทิ วีระกานต์ มุสิกพงศ์อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ, นพ.เหวง โตจิราการ, ก่อแก้ว พิกุลทอง, ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, วรชัย เหมะ นอกจากนี้ยังมีพวงหรีดของญาติวีรชน, คณะประชาชนทวงความยุติธรรม 2553 (คปช.53), UDD news – ยูดีดีนิวส์, พรรคเพื่อไทย, พรรคก้าวไกล, พรรคเสรีรวมไทย, พรรคประชาชาติ, พรรคเส้นด้าย, พรรคไทยสร้างไทย, จาตุรนต์ ฉายแสง, UDD JAPAN TV24 ASIA UPDATE, คณะประชาชนเพื่ออิสรภาพ (คปอ.), คณะราษฎรยกเลิก 112 (ครย.112), ทะลุฟ้า, พรรคจุฬาของทุกคน, องค์การบริหารสโมสรนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, เสรีเทยพลัส, กลุ่มแดง 50 เขต กทม. และ WeVolunteer




จากนั้นเป็นการกล่าวไว้อาลัยและสดุดีวีรชนโดย อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ เลขาธิการใหญ่ คปช.53 โดยได้กล่าวขอบคุณทุกท่าน โดยเฉพาะพรรคการเมือง และนักต่อสู้รุ่นหลังซึ่งได้มาร่วมคารวะวีรชนคนเสื้อแดงในวันนี้ในวาระครบรอบ 13 ปี อ.ธิดา กล่าวว่า ดิฉันเป็นประธานนปช. เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 2553 ในปีนั้นเลย เราจัดงานรำลึกวีรชนพร้อมกับการชุมนุมใหญ่ทุกปี ในช่วงแรกทุกเดือน จัดจนกระทั่งครั้งสุดท้ายที่อักษะ เมื่อวันที่ 10-19 พฤษภาคม หลายคนในที่นี้จะไม่เคยเห็นภาพงานรำลึกวีรชนของเราแต่ละครั้ง ภายใต้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในยุคนั้น เราสามารถจัดงานรำลึกและทวงความยุติธรรมได้ ผู้คนนับหมื่นนับแสน ไม่ว่าจะเป็นราชประสงค์หรืออนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

 

อ.ธิดา กล่าวต่อว่า อยากจะบอกว่าตลอดมาเราจัดงานยิ่งใหญ่ ไม่ได้จัดงานอย่างเดียว ไม่ได้มารำลึกแล้วมาพูด เรามีกิจกรรมในการทวงความยุติธรรมที่เห็นเป็นรูปธรรมคือคดีความคืบหน้า คดีที่เราฟ้องร้องผู้ฆ่า ผู้สั่งฆ่า การปราบปรามประชาชน มีการดำเนินคดีกับเขาในช่วงปี 54 เขาก็ดำเนินคดีกับเรา แต่มันก็เกิดขึ้นมาเป็นลำดับ เราไม่ได้จัดงานรำลึกเพื่อสดุดีวีรชนอย่างเดียว และในเวลานี้เราไม่ได้หยุดนิ่งแม้จะมีความจำกัดในหลายด้าน แต่เราพยายามที่จะมีรูปธรรมในการทวงความยุติธรรม แม้บรรยากาศจะยากลำบากมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังปี 57 อีกไม่กี่วันครบ 9 ปีของการยึดอำนาจจากประชาชน

 

ตั้งแต่วันที่ยึดอำนาจ การทวงความยุติธรรมคดีความต่าง ๆ ถูกแช่แข็งและถูกเบี่ยงเบน ในชั้นต้นไม่ได้ทำสำนวนไต่สวนชันสูตรพลิกศพ 62 คดี ที่ทำสำนวนไต่สวนชันสูตรพลิกศพ 33 คดี ศาลบอกว่า 17 ราย เป็นการตายที่เกิดจากกระสุนจากเจ้าหน้าที่รัฐ อีก 15 ราย บอกว่าไม่รู้กระสุนมาจากไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการรัฐประหาร การตายที่เดียวกัน เวลาเดียวกัน แต่ผลการไต่สวนออกมาต่างกัน และในที่สุดมีการฟ้องร้อง แต่เอาผิดนักการเมือง เอาผิดทหารไม่ได้ กระทั่งเราไปดิ้นรนในปี 55 อ.ธิดาไปศาลอาญาระหว่างประเทศ จนกระทั่งอัยการเดินทางมาที่นี่ เพราะเราบอกเขาว่ามันเป็นการตายซ้ำแล้วซ้ำอีกในแผ่นดินนี้ คนสั่งฆ่า คนฆ่า ยังลอยนวลพ้นผิดทุกยุคทุกสมัย รัฐประหารก็พ้นผิด ปราบปรามประชาชนก็พ้นผิด คนที่ถูกดำเนินคดีกลายเป็นประชาชนมือเปล่า

 

ดังนั้น ดิฉันอยากจะบอกว่าเรามีข้อมูลว่าคนตายทั้งหมดมีการไต่สวนชันสูตรอย่างไร ตายที่ไหน ตายเมื่อไหร่ มาเอาที่ยูดีดีนิวส์ได้ และขณะนี้เราได้ส่งมอบข้อมูลให้แก่หัวหน้าพรรคการเมืองฝ่ายค้าน เราดำเนินการไปที่ ผบ.ตร. ไปเรียกร้องว่าคุณอยู่ยังไง 13 ปี คุณไม่ไต่สวนชันสูตรพลิกศพ กระทั่งศพทหาร อย่างเช่น พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล DSI เราก็ไป เขาก็ไม่มีคำตอบ กลายเป็นว่า 300 กว่าคดีที่เกี่ยวข้อง เขาฟ้องประชาชนเป็นร้อย ๆ คดี แต่ไม่มีสักคดีที่ DSI ฟ้อง

 

เราเดินไปหลายที่แล้ว เราจึงมีวันนี้ และเราต้องขอบคุณ เพราะว่าเราได้เดินไปที่รัฐสภา ไปพบฝ่ายค้านในรัฐสภา วาระนี้เป็นวาระพิเศษก่อนที่จะมีการเลือกตั้งสำหรับประชาธิปไตยที่ไม่ใช่แม้แต่ครึ่งใบ ประชาธิปไตยที่เขาจะบอกคนละครึ่งก็ไม่ใช่ แต่อย่างไรก็ตามมันก็มีความคืบหน้าระดับหนึ่ง เราก็ต้องขอขอบคุณพรรคการเมืองทั้งหลายที่ให้การต้อนรับและให้เกียรติ ซึ่งเรามีข้อเสนอ 8 ข้อ 3 ข้อแรกเป็นข้อเสนอที่เกี่ยวข้องกับคนเสื้อแดง ก็คือติดตามเพื่อให้คดีเดินไปได้, ให้ทหารกับนักการเมืองที่ทำคดีอาญาต่อประชาชนพลเรือนให้ขึ้นศาลพลเรือนเหมือนประชาชนทั่วไป ไม่ต้องมีอภิสิทธิ์แบบทหารขึ้นศาลทหาร หรือนักการเมืองสั่งฆ่าประชาชนก็ไปขึ้นศาลนักการเมือง ป.ป.ช.บอกนักการเมืองทำตามหน้าที่ นี่ยกตัวอย่าง

 

ดังนั้น วันที่ 10 ธ.ค. 65 เราจึงจำเป็นต้องตั้งคณะประชาชนทวงความยุติธรรมดังที่พวกเรารู้อยู่แล้ว เพราะพวกเราส่วนหนึ่งต้องทำหน้าที่ในพรรคการเมือง แต่อ.ธิดาอยู่ขาประชาชนมาตลอด ไม่เคยคิดจะไปอยู่ขานักการเมือง อยู่ขานอกเวทีรัฐสภา อยู่กับพี่น้องประชาชนและพร้อมที่จะสนับสนุนเวทีรัฐสภา เพื่อที่จะให้เกิดการทวงอำนาจคืนสำหรับประชาชนขึ้นมาได้ นั่นก็คือมีระบอบประชาธิปไตยจริง เพราะเราจะทวงความยุติธรรม มันไม่มีทางเป็นไปได้ และมันจะไม่มีทางถูกต้องว่าจะเป็นความยุติธรรมของประชาชนถ้าระบอบการเมืองไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย สิ่งที่คู่กับการทวงความยุติธรรมคือเราต้องทวงอำนาจประชาชนคืนมา

 

และนี่คือสิ่งที่เราได้ประมวลในอีก 5 ข้อที่นำเสนอต่อพรรคการเมือง ไม่ใช่แต่คดีของคนเสื้อแดงอย่างเดียว เพราะความยุติธรรมมันเป็นของผู้ปกครองและมันเป็นของระบอบ ถ้าเป็นความยุติธรรมของผู้ที่ถูกกระทำ ของผู้ถูกปกครอง ผู้ถูกปกครองต้องมีอำนาจจริง มิฉะนั้นคุณก็จะได้ความอยุติธรรม และดังที่หลายคนพูดว่าเมื่อมีความอยุติธรรมเกิดขึ้น การทวงและการต่อสู้เพื่อให้ได้รับความยุติธรรมมันจึงเป็นหน้าที่ของพวกเราที่ไม่เลิกจนกระทั่งบัดนี้

 

อ.ธิดา กล่าวช่วงท้ายว่า เราในนามประชาชนนอกเวทีรัฐสภา เราจะให้ประชาชนได้รับฟังทัศนะของพรรคการเมือง เพื่อเป็นขวัญ เป็นกำลังใจของนักต่อสู้ว่าเขาจะต่อสู้นอกเวทีรัฐสภาอย่างไม่เดียวดาย และเพื่อเป็นสิ่งที่บอกกับผู้ที่ต่อสู้ในเวทีรัฐสภาว่าประชาชนก็จะเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กให้พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยด้วยเช่นกัน เราไม่ขออะไรมากไปกว่าให้เอาอำนาจประชาชนคืนมา แล้วเมื่อนั้นความยุติธรรมของประชาชนก็จะเกิดขึ้น ตราบใดอำนาจประชาชนยังไม่ได้คืนมา มันไม่มีทางที่ความยุติธรรมจะเกิดขึ้นได้ และหวังว่าประชาชนได้ฟังสิ่งที่พรรคการเมืองพูดในวันนี้ก็จะได้ไปพิจารณา และอาจจะมีคำถามส่งต่อไปยังพรรคการเมือง เพราะประชาชนต้องติดตาม คนเรานั้นอย่าเชื่อแต่ที่คำพูด แต่ต้องดูการกระทำและต้องตรวจสอบ ตรวจสอบนักต่อสู้ ตรวจสอบนักการเมือง ตรวจสอบพรรคการเมือง ว่าคุณเป็นพรรคการเมืองและนักการเมืองที่บอกว่าอยู่ฝ่ายประชาธิปไตย จริงแท้แค่ไหน? เราพร้อมที่จะสนับสนุนพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย ในส่วนของคนเสื้อแดงดิฉันเชื่อว่ามีหัวใจแบบเดียวกัน เพราะนิยามของคนเสื้อแดง คือผู้รักประชาธิปไตยและรักความยุติธรรม ถ้าคุณรักประชาธิปไตยและรักความยุติธรรม คุณก็คือคนเสื้อแดง แต่ถ้าคุณเป็นคนที่เคยใส่เสื้อแดง แล้วคุณเลิกรักประชาธิปไตย ไปรักคนที่มันสืบทอดอำนาจ อย่างนั้นคุณไม่ใช่คนเสื้อแดงจริงอีกต่อไป




นพ.เหวง โตจิราการ กล่าวว่า พวกเรา คปช.53 จะแบกรับภารกิจของวีรชนในการทวงความยุติธรรมจนความยุติธรรมจะปรากฎเป็นจริง และเพื่อให้ภารกิจของฝ่ายประชาธิปไตยได้รับชัยชนะ ขอพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยและประชาชนผู้รักประชาธิปไตย “ไม่ทะเลาะกัน” เพราะหากทะเลาะกันพวกเผด็จการจะดีใจ


นอกจากนี้ นพ.เหวง ฝากพรรคการเมืองกรุณานำ 8 ข้อเสนอและข้อเรียกร้องของคปช.53 ไปทำให้สำเร็จ และส่วนตัวของฝากพรรคการเมือง โดยข้อแรก ขอให้พรรคการเมือง “หยุดรัฐประหาร” ให้ได้ โดยทำเรื่องยื่นไปที่ประชุมใหญ่ผู้พิพากษาศาลฎีกาเพื่อให้พิจารณาทบทวนคำพิพากษาฎีกาที่บอกว่ายึดอำนาจชนะเป็นรัฎฐาธิปัตย์ เล่นงานเขาไม่ได้ เพราะคณะรัฐประหารที่ทำการสำเร็จก็เป็นกบฎเหมือนกัน


ข้อที่สอง เมื่อได้เป็นรัฐบาล ขอพรรคการเมืองยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช. อีกครั้งเพื่อเอาอภิสิทธิ์-สุเทพ และศอฉ. มาลงโทษตามกฎหมาย เนื่องจากมีข้อมูลใหม่ อาทิ คำพิพากษาศาลฎีกาว่าเราไม่ใช่ชายชุดดำ คดีที่เผาสถานที่ต่าง ๆ ก็ยกฟ้องหมดแล้ว และหาก ป.ป.ช. ไม่เอาเรื่อง ขอให้พรรคการเมืองประกาศรับรองเขตอำนาจศาล ICC เฉพาะกรณีเมษา-พฤษภา53 ทันที!


สุดท้ายฝากให้ตั้งคณะกรรมการมาแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 เพื่อให้ประชาชนเลือก สสร. ขึ้นมายกร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง แล้วก็ไปทำประชามติ เพราะประชาชนไม่เอา ส.ว.แต่งตั้ง / ประชาชนไม่เอาองค์กรอิสระที่แต่งตั้งโดยคณะรัฐประหาร / ประชาชนไม่เอาศาลรัฐธรรมนูญที่มาจากคณะรัฐประหาร / สภากลาโหมต้องมีประธานสภาผู้แทนราษฎร, รองประธานสภาผู้แทนราษฎร, หัวหน้าฝ่ายรัฐบาล, หัวหน้าฝ่ายค้าน เข้าไปนั่งในสภากลาโหม เพื่อการปฏิรูปกองทัพ / เสนอให้ยกเลิก กอ.รมน. / ต้องแก้ไขกฎอัยการศึก


สุดท้าย นพ.เหวง หวังเป็นอย่างยิ่งว่าพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยทุกพรรค จะฟังเสียงของประชาชน




ทางด้าน นายจาตุรนต์ ฉายแสง กล่าวว่า เรารำลึกเหตุการณ์ทางการเมืองต่าง ๆ ก็มักจะเอาวันสิ้นสุดที่มีข้อยุติของเหตุการณ์ มีเหตุการณ์เมษาพฤษภา53 นี้ น่าเกือบจะเป็นเหตุการณ์เดียวที่รำลึก 2 วัน คือวันที่ 10 เมษา แล้วก็วันที่ 17-19 พฤษภา ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการชุมนุม แล้วก็จะด้วยการทำร้ายประชาชน ทำให้ข้อเรียกร้องไม่ประสบความสำเร็จ


10 เมษา 53 มีความสำคัญก็คือมันเป็นวันที่เป็นจุดหักเหของเหตุการณ์การชุมนุมของนปช. คนเสื้อแดง ที่เรียกร้องประชาธิปไตย แล้วต่อมาก็เรียกร้องให้รัฐบาลที่ตั้งในค่ายทหารคืนอำนาจให้ประชาชน ให้ประชาชนพิสูจน์ว่าประชาชนในประเทศไทยนี้ต้องการให้ใครเป็นรัฐบาลกันแน่ ซึ่งเป็นการชุมนุมต่อเนื่องมาจากการเคลื่อนไหวต่าง ๆ แต่วันที่ 10 เมษา เป็นจุดหักเหก็เพราะว่าในวันนั้นรัฐบาลและผู้มีอำนาจของรัฐบาลได้ตัดสินใจสั่งการให้ยึดพื้นที่ถนนราชดำเนิน ไม่มีความจำเป็นอะไรเลยที่จะยึดพื้นที่ถนนราชดำเนิน ไม่ใช่ว่าประชาชนกำลังยึดสนามบินอยู่ หรือยึดทำเนียบรัฐบาลอยู่ ทีอย่างนั้นไม่เข้าไปยึดพื้นที่คืน!


การดำเนินคดี การพยายามเอาผิดกับผู้มีอำนาจ กับรัฐบาลที่ทำมาในอดีตนั้น มีการกระทำผิดต่างกรรมต่างวาระจำนวนมาก ซึ่งถ้าจะทำทีละเรื่องก็จะได้ผู้กระทำเยอะแยะไปหมด อาจจะรวมไปแล้วก็เหลือผู้สั่งการแค่คนสองคนเท่านั้น แต่เฉพาะเหตุการณ์วันที่ 10 เมษา นี้เหตุการณ์เดียวก็สามารถเป็นเหตุการณ์ที่พิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนว่ารัฐบาลและผู้มีอำนาจในขณะนี้ได้กระทำผิด คือทำให้เกิดการสังหารประชาชนจนเสียชีวิตและบาดเจ็บ

 

ปัญหาต่อมามีว่าแล้วทำไมจึงไม่สามารถเอาผู้กระทำผิดมาลงโทษได้ มีการไปฟ้องต่อศาล ศาลส่งไปเป็นทอด ๆ จนถึงศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง แต่วินิจฉัยว่าตามระบบกฎหมายประเทศนี้ เมื่อผู้ต้องหา/จำเลย เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นรองนายกรัฐมนตรี ศาลไม่รับคำฟ้องของอัยการ ต้องเป็นเรื่องที่ดำเนินการโดย ป.ป.ช. เรื่องนี้ก็ยุติที่ศาลไปแบบนี้


พอหันมาที่ ป.ป.ช. ก็วินิจฉัยตัดสินว่าคดีเป็นที่ยุติ ไม่ดำเนินคดีผู้ต้องหาแม้แต่รายเดียว เพราะ ป.ป.ช. นี้เป็น ป.ป.ช. ที่มีการแต่งตั้งในยุคที่ คสช. อยู่ในอำนาจ การแต่งตั้ง ป.ป.ช. จึงเป็นการแต่งตั้งที่เกิดจากการแทรกแซงของ คสช. และรัฐบาล คสช. ประธาน ป.ป.ช. ที่ตั้งกันขึ้นมาคนแรกในช่วงนั้นก็คือคนสนิทนั่งหน้าห้องของรองหัวหน้าคสช. เพราะฉะนั้นความยุติธรรมมันจึงไม่เกิดขึ้น มันไม่ใช่เพียงระบบยุติธรรมที่ล้มเหลวเท่านั้น แต่มันเป็นการล้มเหลวของระบบยุติธรรมที่เกิดจากการแทรกแซงครอบงำของคณะรัฐประหาร


เรื่องทั้งหมดนี้จึงเป็นเรื่องการต่อสู้ของประชาชน การใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชน แต่กลับมาถูกรัฐที่ไม่เป็นประชาธิปไตยเข้าปราบปราม และรัฐนี้ ผู้ที่ปราบปรามนี้ ต่อมาก็มาเป็นใหญ่เป็นโตจนกระทั้งมาร่วมกันทำรัฐประหาร มามีอำนาจเข้ามาล้มคดีที่จะเอาผิดพวกเขา ทั้งหมดนี้มันจึงเป็นปัญหาของความไม่เป็นประชาธิปไตย ความเป็นเผด็จการของประเทศนี้ ถ้าจะไม่ให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต ถ้าจะให้สิทธิเสรีภาพของประชาชนได้รับการคุ้มครอง ถ้าจะให้ประชาชนได้รับความยุติธรรม มีทางเดียวคือจะต้องทำให้ประเทศนี้เป็นประชาธิปไตยให้ได้ครับ


ความยุติธรรมจะไม่มีทางเกิดขึ้นในระบบการปกครองที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ความยุติธรรมได้ถูกทำลายไปจากการปกครองแบบเผด็จการ ส่วนปัญหาเรื่องการจะทวงความยุติธรรม จะรื้อฟื้นคดีขึ้น ผมเองก็เอาใจช่วยเต็มที่ ผมคิดว่าก็ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องยาก


ส่วนเรื่องการจะเรียกร้องให้เกิดความยุติธรรม โดยให้องค์กรระหว่างประเทศเข้ามาเนื่องจากเห็นว่ามันไม่มีทางเกิดความยุติธรรมในประเทศนี้แล้ว โดยส่วนตัวแล้วมีความหวัง มีความปรารถนาอยากจะเห็นรัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตย รัฐบาลของฝ่ายประชาชน ดำเนินการเรื่องนี้เพื่อให้เกิดความยุติธรรมในที่สุด เรารำลึกเหตุการณ์เมษาพฤษภา53 ไม่ให้การรำลึกนั้นเสียเปล่า คือต้องสืบทอดเจตนารมณ์ของพวกเขา จริง ๆ แล้วไม่มีอะไรซับซ้อน ต้องการให้บ้านเมืองนี้เป็นประชาธิปไตยครับ เพราะฉะนั้น เรามาร่วมกันทำให้บ้านเมืองนี้เป็นประชาธิปไตย นายจาตุรนต์ กล่าวในที่สุด



นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ กล่าวว่า เป็นครั้งแรกที่การรำลึก 10เมษา มันเกิดขึ้นในช่วงโค้งสำคัญของการเลือกตั้งใหญ่ ถึงกระนั้นก็เป็นนิมิตหมายที่ดี เพราะว่าการเลือกตั้งครั้งนี้น่าจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ประชาชนคนส่วนใหญ่ของประเทศจะการลงคะแนนในคูหาเลือกตั้ง เอาชนะรัฐบาลสืบทอดอำนาจเผด็จการและผลักดันผู้นำจากรัฐทหารออกจากอำนาจด้วยวิธีสันติ วันนี้ผมมาในนามของ “คนเสื้อแดง” ผมเพียงแต่อยากบอกว่างานรำลึก 10เมษา53 ปีนี้ มันอธิบายสัจธรรมของชีวิตมนุษย์ได้เป็นอย่างดีว่า ทุกสรรพสิ่งในโลกไม่มีใด ๆ ไม่เปลี่ยนแปลง มนุษย์ทุ่มเทสรรพกำลัง ทุ่มเทงบประมาณ ทุ่มเทวิทยาการต่าง ๆ เพื่อศึกษาทุกเรื่องที่ปรากฎทั้งบนดิน ใต้ดิน ในอวกาศ ใต้น้ำ และพบว่าไม่มีอะไรที่ไม่เปลี่ยนแปลง ประสาอะไรเลยกับขบวนการต่อสู้ที่ถูกเรียกว่า “คนเสื้อแดง” มันก็มีความเปลี่ยนแปลง มีพัฒนาการมาเป็นลำดับ มาจนวันที่เรายืนอยู่ด้วยกันตรงนี้ แล้วเราหลับตาแล้วอธิบายตัวเองไม่ได้ว่าเรามากันถึงวันนี้ได้อย่างไร วันที่หลายคนหากันไม่เจอ ทั้งในชีวิตจริงและในโลกแห่งความคิด วันที่มือที่เคยจับเคยกอดคอเคียงกัน กลับกลายเป็นมือที่ไม่สามารถจะควานหามิตรภาพวันเก่า ๆ กันไปได้


ผมคิดว่านี่มันไม่ใช้ความรู้สึกของใครคนใดคนหนึ่ง แต่ความรู้สึกเหล่านี้มันวิ่งแล่นอยู่ในความคิดอยู่ในใจของแทบจะทุกคนในขบวนการ ขอได้โปรดเข้าใจว่าทุกคนต่างมีทางเลือกทางเดินของตัวเอง ทุกคนต่างมีวิถีของตัวเอง อย่างไรก็ตามถ้าเราเชื่อมั่นว่าสิ่งที่เราทำมาเมื่อ 13 ปีที่แล้วมันถูกต้อง ชอบธรรม ก็ขอให้รักษาจิตวิญญาณการต่อสู้นั้นไว้กับชีวิตของเราตลอดไป สำหรับคนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้น เรื่องราวนี้มันสำคัญ สำคัญถึงขั้นที่มีผู้คนจำนวนร้อยตายเพื่อมันได้ก็แล้วกัน สำคัญพอที่คนจำนวนไม่น้อยมอบจิตวิญญาณให้กับความเป็นคนเสื้อแดง ภาคภูมิใจกับความเป็นคนเสื้อแดง และไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไอ้คนที่เป็นเสื้อแดงไม่มีวันเปลี่ยนแปลง มันก็จะแดงอยู่อย่างนั้น


ผมอยากจะเรียนพี่น้องว่า สำหรับผมเรื่องที่ทำอะไรแล้วมันจะเป็นคุณูปการสำหรับการต่อสู้ ผมไม่เคยเอามาพูดต่อหน้าที่สาธารณะเลยครับ เพราะถ้าเอามาพูดมันไม่ใช่ผม ผมบอกได้แต่เพียงว่าสิ่งที่ผมทำอยู่นี้มันเป็นหน้าที่ แต่ความเป็นคนเสื้อแดงมันเป็นชีวิต เมื่อผมมีหน้าที่ผมจะทุ่มเทสุดกำลังเพื่อให้หน้าที่ที่ผมทำอยู่บรรลุเป้าหมาย แต่จะอย่างไรก็ตามสิ่งที่มันเป็นชีวิตมันสำคัญยิ่งกว่า มันมีความหมายมากกว่า และตราบจนสิ้นชีวิต ความเป็นคนเสื้อแดงจะยังอยู่และเป็นหน้าที่ที่จะทวงถามความยุติธรรมให้กับพี่น้องที่สูญเสียต่อไป


ผมคิดว่าถ้ามีรัฐบาลจากการเลือกตั้งของฝ่ายประชาธิปไตยขึ้นมา สิ่งที่จะต้องเดินหน้าต่อทำได้ทันทีก็คือทุกชีวิตที่ยังไม่ได้มีการไต่สวนสาเหตุการตายโดยศาลจะต้องถูกหยิบขึ้นมาและพิจารณาในชั้นศาลทุกกรณีทุกรายไป จะต้องมีคณะผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายศึกษาช่องทางที่จะแสวงหาความยุติธรรมจากกลไกในประเทศ ถ้าทำได้ต้องทำทันที ถ้าทำไม่ได้จะแสวงหาความยุติธรรมจากกลไกระหว่างประเทศใด ๆ ต้องทำทันทีเช่นเดียวกัน ผมอยากเห็นสิ่งนี้ และผมสื่อสารสิ่งนี้กับผู้คนหลาย ๆ คน และผมบอกได้ว่าในทางหลักการไม่มีใครปฏิเสธต่อความจริงนี้ เพียงแต่ว่าในทางความเป็นจริง ในกระบวนการ ในขั้นตอนมันก็มีลำดับ มันมีวิธีการของมัน


สุดท้าย ผมเรียนว่าตั้งแต่ปี 53 มา ทุกคืนวันที่ 10 เมษายน ผมไม่เคยหลับลงง่าย ๆ จริง ๆ บางที บางปีถ้าอยู่คนเดียว มันก็คิดอ่านรำพึงรำพันกับตัวเองไปสารพัด บางปีก็อยู่ในช่วงสถานการณ์มีเพื่อนมิตรมีพี่น้องก็นั่งพูดคุยกันดึกดื่นค่อนรุ่งเพื่อจะให้มันหลับลงได้ ผมอยู่ตรงนี้ตั้งแต่หัวค่ำยันเช้า ผมอยู่เพื่อให้พี่น้องผมไปแย่งศพของคนที่ถูกยิงตายเพราะผมกลัวว่าเขาจะเอาศพไปทำลาย เพื่อนพี่น้องผมถูกไล่ยิงตามซอกตามซอยหนีตายกันหัวซุกหัวซุน ผมอยู่ครับ เสื้อแดงตัวนั้นของผมมันเปียกไปหมด มันไม่ใช่เปียกเหงื่อแต่มันเปียกน้ำตาประชาชน เปียกน้ำตาพี่น้องที่วิ่งมากอด มาร้อง อยู่หลังเวที ผมเคยพูดหลายหนว่าชีวิตคน ๆ หนึ่ง อย่างน้องที่สุดก็สำหรับผม มันไม่มีอะไรหนาวเท่าหนาวน้ำตาประชาชนอีกแล้ว เวลาเขามาร้องไห้กับอก เวลาเขามากรีดร้องกับอกแล้วผมตอบไม่ได้ว่าใครอยู่ที่ไหน ใครเจ็บ ใครตาย ถ้าตายแล้วศพอยู่ตรงไหน อยู่ยังไง มันคือสิ่งที่มันวิ่งอยู่ในชีวิตผมมาตลอด


ผมก็เลยไม่รู้ว่าจะต้องแสดงออกอย่างไรว่าเรื่องนี้มันคือชีวิตผม ผมก็เลยตั้งชื่อลูกผมนี่แหละครับ ตั้งชื่อลูกสาวผมซึ่งเกิดในท่ามกลางสถานการณ์ที่ผมถูกล้อมอยู่ที่ราชประสงค์และติดคุก 9 เดือนกว่าถึงจะได้มาเจอมาอุ้มกัน ผมตั้งชื่อเด็กผู้หญิงคนนั้นว่าเด็กหญิงชาดอาภรณ์ แปลว่าเสื้อแดง เพราะผมต้องการจะบอกว่าในชีวิตผมสิ่งที่มีค่าที่สุดที่ผมทำขึ้นมาได้ก็คือชีวิตลูกสองคน และลูกหนึ่งคนที่เกิดในช่วงเวลานั้นเธอชื่อเสื้อแดง เหมือนกับสิ่งที่มีคุณค่าที่สุดสำหรับชีวิตผม คือการเป็นคนเสื้อแดง


ผมเป็นเด็กบ้านนอก ผมอยากเป็นผู้แทนราษฎร ผมสมัครเป็นผู้แทนตั้งแต่อายุ 25 ผมไม่เคยคิดเรื่องออกมาต่อสู้มาเป็นแกนนำม็อบใด ๆ ผมไม่เคยคิด ผมไม่เคยเกิดมากับอุดมการณ์ยิ่งใหญ่ใด ๆ ผมไม่เคยเติบโตมากับโลกที่บอกว่ามาเพื่อความเปลี่ยนแปลงอะไรใด ๆ ไม่ครับ ผมเป็นเด็กเกเรอยู่นครศรีธรรมราช แต่ผมชอบการเมือง ผมอยากเป็นผู้แทน ผมอยากเป็นเท่านี้ แต่มาถึงวันนี้ ผมจะได้เป็นผู้แทนหรือเปล่า จะเป็นรัฐมนตรีอีกหรือเปล่า จะกลับมามีตำแหน่งทางการเมืองอีกหรือเปล่า เป็นเรื่องเล็กที่สุด เพราะผมเป็นคนเสื้อแดง ผมว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดแล้วในชีวิตผม ผมไม่มีญาติวงวารว่านเครือใด ๆ ในบัญชีผู้สมัครของพรรคการเมืองที่ผมกำลังทำหน้าที่อยู่ ไม่ว่าระบบเขต ไม่ว่าระบบบัญชีรายชื่อ ผมทำหน้าที่เพราะผมเชื่อว่าผมน่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้บรรลุเป้าหมายได้ แล้วผมไม่แคร์ว่าใครจะมองยังไง เพราะผมเดินมาท่ามกลางคำดูถูกเหยียดหยาม ผมเดินมาท่ามกลางคำเยาะเย้ยถากถาง ผมเดินมาท่ามกลางการถูกด้อยค่าจากผู้คนต่าง ๆ มากมายอยู่แล้วว่าไอ้นี่ม็อบรับจ้าง ไอ้นี่สภาโจ๊ก ไอ้นี่นักพูดตามคำสั่ง ไอ้นี่นักพูดล้างสมองคนเพราะตัวมันถูกล้างสมองมาอีกที แต่ผมยืนยันว่าตลอดมาตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ผมไม่เคยพินอบพิเทาต่อผู้มีอำนาจใด ๆ ไม่เคยเจรจาเกี๊ยเซี๊ยะกับฝ่ายอำนาจใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะในสถานการณ์ไหนก็ตามในชีวิต ผมไม่เคยติดต่อขอพบขอเจรจากับผู้มีอำนาจคนไหน ผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่แค่ไหนเข้าไปพบผมในเรือนจำ เจรจาอย่างไรผมไม่เคยก้มหัวและขายวิญญาณให้


ผมคือผมอย่างที่ผมเป็น ผมคือไอ้เต้น ผมคืนคนเสื้อแดง!!! และผมจะไม่มีทางเป็นอย่างอื่น แต่จะเป็นคนเสื้อแดงคนหนึ่งที่ร่วมตามหาความยุติธรรมกับเพื่อนเสื้อแดงทุกคนอย่างถึงที่สุด และจะยังคงกวนตีนเผด็จการเหมือนเดิม! ยังคงสามารถจะลุกขึ้นและสบตาตัวเองในกระจก


จากนั้นเป็นเวทีเสนอนโยบายและแนวทางปฏิบัติของพรรคการเมืองใน 8 ข้อเรียกร้องจาก คปช.53 ซึ่งประกอบด้วย พรรคประชาชาติ, พรรคเสรีรวมไทย, พรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #13ปีเมษาพฤษภา53 #คปช53