วันอังคารที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2567

“เท้ง ณัฐพงษ์” แนะ “แพทองธาร” เห็นความสำคัญงานสภาฯ ไม่ใช่ทำตัวลอยหนีปัญหา เพื่อลบข้อครหาไม่ใช่นายกฯ ตัวจริง ตั้งเป้าตรวจสอบ ‘ทักษิณ’ เต็มที่ บอก ปีหน้า ’พรรคประชาชน‘ ขอรับบท ’แว่นขยาย‘ ส่องไปให้เห็นรอยร้าว


เท้ง ณัฐพงษ์” แนะ “แพทองธาร” เห็นความสำคัญงานสภาฯ ไม่ใช่ทำตัวลอยหนีปัญหา เพื่อลบข้อครหาไม่ใช่นายกฯ ตัวจริง ตั้งเป้าตรวจสอบ ‘ทักษิณ’ เต็มที่ บอก ปีหน้า ’พรรคประชาชน‘ ขอรับบท ’แว่นขยาย‘ ส่องไปให้เห็นรอยร้าว

 

วันที่ 31 ธ.ค. 2567 ที่รัฐสภา นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงภาพรวมการทำงานของฝั่งรัฐบาลว่า พรรคร่วมรัฐบาลเกิดขึ้นจากสิ่งที่เรียกว่าการตกลงผลประโยชน์ร่วมกัน ขณะเดียวกัน พรรคเพื่อไทยไม่สามารถกำหนดทิศทางได้ หลายครั้งที่พรรคภูมิใจไทยไม่เห็นด้วยจนทำให้ทิศทางของรัฐบาลไม่สามารถขับเคลื่อนได้เต็มประสิทธิภาพ ตนคิดว่ามันเกิดจากการจัดตั้งรัฐบาลผสมพันธุ์ข้ามขั้วตั้งแต่ตอนแรกส่งผลมาถึงปัจจุบัน ทำให้พรรคเพื่อไทยไม่สามารถผลักดันนโยบายที่หาเสียงไว้ได้อย่างเต็มที่

 

เมื่อถามว่า ในปี 2568 มีโอกาสที่รอยร้าวของพรรคร่วมรัฐบาลจะขยายขึ้น ทำให้รัฐบาลสั่นคลอนหรือล้มลงได้หรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า มีโอกาสมาก ตนคิดว่าเวทีอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ฝ่ายค้านจะเป็นแว่นขยายทำให้เห็นรอยร้าวได้อย่างชัดเจนมากขึ้น ตนคิดว่าเรื่องนี้รัฐบาลจัดการได้ยาก ฝ่ายค้านจะทำหน้าที่อย่างเต็มที่ อีกประเด็นที่ตนคิดว่าสำคัญคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เรื่องนี้จะผลักดันได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับพรรคภูมิใจไทยด้วย

 

เมื่อถามว่า บทบาทของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ช่วงหลังมีสูงมาก หลายคนเปรียบเทียบว่าเป็นนายกฯ ตัวจริง นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า คงเดินหน้าตรวจสอบอย่างเต็มที่ บทบาทของนายทักษิณเองที่อาจจะมีการตั้งข้อสงสัยว่าเป็นนายกฯ ตัวจริงหรือไม่

 

ผมก็อยากเรียกร้องให้น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ควรจะต้องเป็นนายกฯ ตัวจริงมากกว่า แต่ว่าการแสดงออก พฤติกรรมที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการหลีกเลี่ยงการตอบกระทู้ถามสด การไม่เป็นประธานในที่ประชุมบอร์ดคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) หรือหลีกเลี่ยงการตอบคำถามสื่อ เมื่อสื่อถามคำถามแบบหนึ่ง ตอบแบบหนึ่ง ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเราตั้งข้อสงสัยว่าคนคนนี้ ไม่ใช่นายกฯ ตัวจริง รวมถึงลอยตัวหนีปัญหา เป็นข้อสงสัยได้ว่าท่านอาจจะขาดคุณสมบัติในการเป็นนายกฯ ” นายณัฐพงษ์ กล่าว

 

นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อว่า สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้สำหรับ น.ส.แพทองธาร หากอยากจะได้ความมั่นใจจากประชาชนกลับมาว่าเป็นนายกฯ ตัวจริง ต้องยอมตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมา แสดงความรับผิดรับชอบต่อสภาฯ

 

เมื่อถามว่า บนเวทีปราศรัยหลายแห่ง นายทักษิณปราศรัยกระทบกระเทียบมาถึงพรรคประชาชน เช่น ทำงานไม่เป็น ด่าเก่ง จะกระทบต่อความเชื่อมั่นของพรรคหรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ตนคิดว่าต้องพิสูจน์จากการทำงานหนัก แน่นอนที่สุดว่ามุมมองของนายทักษิณอาจจะคิดว่าพรรคประชาชนไม่เคยบริหารจริงๆ แต่อย่างน้อย นอกจากเรื่องจำนวนกฎหมายที่พรรคประชาชนเสนอมากที่สุด อีกหนึ่งสิ่งที่เห็นได้ชัดเรื่องการชะลอการรับซื้อพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียน เป็นสิ่งที่เราสะท้อนต่อสังคมและเกิดผลได้จริง ซึ่งในปี 2568 ยังมีอีกหลายวาระที่เราอยากผลักดันต่อ การแก้ไขรัฐธรรมนูญก็อีก 1 เรื่องที่ไม่ใช่พรรคประชาชนอยากผลักดันพรรคเดียว ถ้าพรรคเพื่อไทยเห็นด้วย ก็ต้องผลักดันต่อ รวมถึงการพูดคุยกับพรรคร่วมรัฐบาลให้เอาด้วยกับเรื่องนี้ เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าเสียงในวาระ 1 ก็ต้องอาศัยเสียง สว. 1 ใน 3 เช่นเดียวกัน

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน

“อ.ธิดา” ยกย่อง “ทนายอานนท์” เป็นบุคคลที่เชื่อมประวัติศาสตร์ยุคคนเสื้อแดงกับเยาวชนรุ่นใหม่ เป็นบุคคลที่อยู่ในใจประชาชน




“อ.ธิดา” ยกย่อง “ทนายอานนท์” เป็นบุคคลที่เชื่อมประวัติศาสตร์ยุคคนเสื้อแดงกับเยาวชนรุ่นใหม่ เป็นบุคคลที่อยู่ในใจประชาชน


ถอดเทปจากรายการ THAIRATH NEWSROOM

เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2567

ดำเนินรายการโดย : พงศ์เกษม สัตยาประเสริฐ (กาย)

ลิ้งค์ยูทูป : https://www.youtube.com/watch?v=fe3V3Kcar_Q


“ทนายอานนท์” ในความทรงจำที่ต่อสู้กันมาเขาเป็นทนายตั้งแต่เป็นเสื้อแดงใช่มั้ยครับอาจารย์ เป็นทนายที่มีอุดมการณ์ อาจารย์มีอะไรอยากจะแชร์กับคุณผู้ชมที่ติดตามอยู่ด้วย


คือ “อานนท์” เป็นผู้ที่เหมือนกับเชื่อมต่อประวัติศาสตร์การต่อสู้ของในยุคคนเสื้อแดงกับคนรุ่นใหม่ เพราะว่าอานนท์เป็นคนเสื้อแดง แต่เป็นลักษณะหนุ่มหน่อย ไม่ใช่คนรุ่นก่อน แล้วเขาก็มาเป็นทนายในคดีก่อการร้ายนะ ก็คือหลังจากการถูกปราบ คือเราเข้าใจว่าในช่วงชุมนุม “อานนท์” ก็เป็นคนเสื้อแดง ก็เข้าร่วมเป็นผู้ชุมนุม หลังจากถูกปราบแล้วก็มีการจับกุมคุมขัง ในขณะนั้นแกนนำต้องถูกคุมขัง คือคนที่ถูกจับกุมคุมขังคดีทั้งหมดประมาณ 4 พันกว่า แล้วก็ลด ๆ ๆ ไปจนกระทั่งเหลือคนที่ไม่ได้ประกันตัวก็เหลือ 40 คนในตอนนั้น คือตอนนั้นอาจารย์เป็นประธานนปช.ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 2553 จนถึง 15 มี.ค. 2557


ในช่วงนั้นเวลาแกนนำที่ถูกฟ้องข้อหาก่อการร้าย คือเขาเอาให้หนักเลยคือก่อการร้าย ซึ่งแรงกว่าภาคใต้นะ อันนั้นเขาเรียกว่าผู้ก่อความไม่สงบ นี่ก่อการร้ายเลย กะเอาให้ตายเลย แล้วก็เอาการ์ดต่าง ๆ ที่ไม่รู้จักจับมารวมกันหมด นอกจากทนายของกลุ่มแกนนำแล้ว ก็มีทนายของมวลชนต่าง ๆ “อานนท์” ก็เป็นทนายคนหนึ่งที่ร่วมอยู่ในคดีก่อการร้าย


ดังนั้นถ้าพูดในเชิงประวัติศาสตร์ของการต่อสู้คือ “อานนท์” เขามีจิตใจเช่นนี้มาก่อนหน้านี้แล้ว คือหลายคนอาจจะมาได้ยินชื่อเขาในช่วงที่มีการเคลื่อนไหวของรุ่นเยาวชนปี 2563 แต่ในความเป็นจริงนั้นอย่างที่บอกว่าเขาเริ่มมาก่อน แล้วในช่วงระหว่างหลังปี 2553 คดี 112 มันเริ่มมีตั้งแต่ในยุคเสื้อแดง ตอนที่คดีของ “อากง” ทนายอานนท์ก็มาช่วยอีกคนหนึ่งนอกจากคุณพูนสุข เพราะฉะนั้นก็แสดงว่ามันเป็นความปรารถนาของเขาเองที่จะเข้ามาร่วมในการทวงความยุติธรรมสำหรับคนที่ถูกคุมขังมาตั้งแต่ครั้งคนเสื้อแดง จนกระทั่งมาจนถึงคนรุ่นใหม่ เพราะตั้งแต่คดีอากง ซึ่งเป็นคดีที่คลาสสิคมาก ๆ มันเรียกว่ามันยิ่งน่าร้องไห้มากกว่า เพียงแต่ว่านั่นเป็นคนแก่ซึ่งไม่รู้อะไรเลย ใช้อะไรสื่อสารก็ไม่เป็นแล้วโดนไป 20 ปี ปรากฏว่าแกเสียชีวิต ทั้ง ๆ ที่แกเป็นมะเร็ง แกไม่ได้รับโอกาสในการดูแลอย่างดีเลยจนกระทั่งท้องมาร มาลงตับ แล้วก็ในที่สุดไม่ได้รับการดูแลอย่างดี อย่างมากเขาก็ให้ยาขับปัสสาวะ ประมาณอย่างนั้น จนในที่สุดก็เสียชีวิต แล้วก็เกิดคำพูดคลาสสิคของภรรยาเขาบอกว่า “กลับบ้านเถอะ เขาปล่อยเองแล้ว” หมายความว่า ภรรยาพูดถึงอากง อันนี้ก็เป็นชาวบ้าน


เพราะฉะนั้นในยุคของคนเสื้อแดง คดี 112 ก็มีเยอะแล้ว มาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ “อานนท์” ตัวดิฉันเองก็รู้สึกว่าเขาได้มีความตั้งใจด้วยตัวเขาเอง ไม่ใช่ว่าเพราะกระแสของคนรุ่นใหม่แล้วเขามาร่วมนะ คือเขาสู้อยู่ก่อนแล้ว คือบางครั้งแน่นอนอาจจะมีบางคนบอกว่า “ตามกระแสหรือเปล่า?” แต่คิดว่าอย่างอานนท์นี้ไม่ใช่ เพราะเขาเริ่มจากผู้ชุมนุม แล้วเป็นทนาย แล้วมาร่วมตั้งแต่คดีก่อการร้ายและ 112 เขาเลือกทางเดินของเขามายาวนานแล้ว ไม่ใช่ว่าพอเยาวชนกระแสสูงแล้วก็เลยมาร่วมด้วย ไม่ใช่อย่างนั้น


เราถือว่า “อานนท์” ก็เป็นบุคคลที่เชื่อมระหว่างยุคของการต่อสู้ของชาวบ้านกับรุ่นเยาวชนคนรุ่นใหม่ แล้วเขาอยู่ในสถานะที่เรียกว่าเมื่อถูกปราบแล้วเขาก็เข้ามาร่วมแถวหน้าเลย ในความรู้สึกตัวเองก็ชื่นชม เมื่อวันก่อนที่ไปงานชมรมโดมรวมใจก็ได้พบภรรยาและลูกเขา คือมันก็ขมขื่น แต่ว่าดูเหมือนเขาก็ยอมรับสภาพที่มันเกิดขึ้น แต่ว่าด้วยจิตใจที่เขากล้าต่อสู้กล้าเสียสละ


ทีนี้มาฟังติดใจนิดหนึ่งที่ของคุณสรยุทธ คือคำว่า “บุคคลแห่งปี” แกนึกว่าเป็นคนในข่าว คือถ้ามีข่าวดังมากแล้วเป็นบุคคลแห่งปี แต่ในทัศนะอาจารย์นะ คนที่โหวตให้ “อานนท์” เป็นบุคคลแห่งปีเขาไม่ได้คิดอย่างนั้นนะ เป็นบุคคลที่ทรงคุณค่า เขาถึงโหวต แต่ว่าในแนวคิดของข่าวซึ่งฟังจากที่คุณสรยุทธพูดประมาณว่า เขาแปลกใจว่าช่วงหนึ่งคุณอานนท์ข่าวก็ไม่มี แต่กลายเป็นถูกเสนอชื่อ แปลว่าคนที่โหวตเขาไม่ได้โหวตเพราะว่าจะต้องมีข่าวดัง แต่เป็นบุคคลที่เขายกย่อง มันอาจจะตีความต่างกันนะ มันไม่ใช่บุคคลที่มีข่าวถูกพูดถึงมาก แต่เป็นบุคคลที่เขายกย่อง


เพราะฉะนั้นฝากไปถึงคุณสรยุทธด้วยว่า ที่คุณสรยุทธบอกว่าจะเอาไปพิจารณา จริง ๆ มันเป็นเรื่องที่ประชาชนโหวตนะ ไม่เห็นต้องพิจารณาเลย ในความคิดของดอาจารย์นะว่า ไม่ใช่เป็นบุคคลในข่าว แต่เป็นบุคคลในใจของประชาชน


จุดสำคัญคือเขาเชื่อมประวัติศาสตร์ เขาตั้งใจที่จะมามีส่วนร่วมตั้งแต่แรก ๆ ที่เขายังเรียนไม่จบ เป็นคนเสื้อแดง แล้วจนกระทั่งมาเป็นทนายคนเสื้อแดง ก็เป็นทนายเล็ก ๆ คนหนึ่ง จนกระทั่งมาเป็นทนายของคดี 112 ของอากงด้วย อย่างนี้แปลว่าเขามีเส้นทางที่เขาตั้งใจเดินอยู่แล้ว แต่ว่าพอมาถึงจุดนี้ ส่วนหนึ่งอยากจะพูดถึงคนรุ่นใหม่และโดยเฉพาะ “อานนท์” ที่ถูกคดีมากนั้น ส่วนหนึ่งเป็นความเสียสละของเขานะ เพราะว่าเรื่องราวของคนเสื้อแดงมันคงจะไปตรึงหัวใจเขาว่าประชาชนถูกฆ่า ประชาชนถูกจัดการ มันกลายเป็นว่าคนรุ่นใหม่อาจจะมองว่าแฟลชม็อบก็ตาม ก็กลายเป็นว่าจำนวนคดีมันมากไง คือถ้าต่อสู้ยืดเยื้อรวมกันมันก็เป็นคดีเดียว แต่มาเดี๋ยวนี้แต่ละคน ของอานนท์ก็ 20 กว่าคดี 25 คดี และเป็น 112 อยู่ 10 กว่าคดี


จำนวน 25 คดีก็คือ มีการชุมนุมหลายรอบ อยากจะบอกว่ายุทธวิธีที่เซฟประชาชน มันกลายเป็นว่าแกนนำของคนรุ่นใหม่ถูกกระทำโดยที่ใช้ภาษาว่า “นิติสงคราม” ก็คือถูกคดีมาก แต่ว่าในยุคของรุ่นคนเสื้อแดง ปี 2553 ก็ 2553 คือเหมาไปเลย มันก็ยืดเยื้อไปเลย แต่ประชาชนบาดเจ็บล้มตาย อาจารย์จำได้ว่า “อานนท์” เขาเคยพูดว่าเขาจะไม่ลืมสิ่งที่เกิดขึ้นในปี 2552-2553 ในช่วงที่มีการชุมนุมถ้าเราจำได้ ครั้งแรกรู้สึกว่าไปทำเนียบ เขาก็ตัดสินใจว่าจะอยู่ต่อหรือเปล่า? แต่ภาพที่ประชาชนถูกจัดการในปี 2552-2553 ทำให้เขาตัดสินใจเลิก!!! นั่นคือ 1 คดี แล้วพอมาจัดกิจกรรมหลังจากนั้นคดีมันก็มากขึ้น


อยากจะบอกว่าคนรุ่นใหม่หวังจะเซฟมวลชน ไม่ต้องการชุมนุมยืดเยื้อ แต่ว่าตัวเองถูกกระทำด้วยคดีเป็นจำนวนมาก ตัวอาจารย์เองก็อยากยกย่องสรรเสริญ เพราะว่าจากปากของ “อานนท์” ก็รู้ว่าเขาคิดไม่อยากให้มันเกิดเหมือนปี 2553 เขาก็เลยยุติการชุมนุม



การต่อสู้ของผู้ต้องขังในคดีการเมืองเปรียบเทียบกับตอนสมัยช่วง 2552-2553 มันมีความแตกต่างกันอย่างไร?


ประการแรกเลย รุ่นหลังเป็นการนำโดยส่วนใหญ่ก็เป็นปัญญาชน “อานนท์” ต้องถือว่าเป็นปัญญาชนแล้ว อาจารย์ว่าความแตกต่างมีสูงมาก ขบวนการของการต่อสู้ของคนรุ่นหลังจะเป็นปัญญาชน คนรุ่นแรกส่วนใหญ่ขบวนการนำจะเรียกว่ามีปัญญาชนอยู่มันน้อยมาก กำลังหลักเป็นชาวบ้าน เป็นมวลชนในชนบท แม้กระทั่งแกนนำต่าง ๆ อาจารย์ก็เลยทำโรงเรียนผู้ปฏิบัติงานการเมืองทั่วประเทศเลย แล้วก็รู้สึกภาคภูมิใจมากที่เราสามารถทำให้ชาวบ้านเป็นต้นไม้หรือเป็นดินที่มันเจริญงอกงาม ถ้าเอาไมค์ไปถามเขาสามารถพูดได้หมดเลย มีความแตกต่างว่าส่วนใหญ่เป็นชาวบ้าน


อีกอันหนึ่งก็คือ ข้อที่ดีกับข้อที่เสียแล้วแต่ท่านผู้ชมจะพิจารณา ในการชุมนุมในอดีตมันใกล้ชิดกับพรรคการเมืองมาก คนอาจจะพูดได้ว่าถูกครอบงำในส่วนสำคัญ มันกลายเป็นว่าขบวนการประชาชนในครั้งนั้น “เสื้อแดง” ถูกด้อยค่าในสายตาปัญญาชน NGO แม้กระทั่งต่างประเทศ ประมาณเหมือนกับว่าอยู่ในอาณัติของพรรคการเมือง ภาพลักษณ์ในสังคมภายนอกและแม้กระทั่งปัญญาชนมันจะไม่ดีเท่าไร ประกอบกับการเกิดขึ้นของขบวนการช่วงนั้นมันมีเกิดเหลือง มีเกิดแดง เพราะมันมีต่อต้านรัฐประหาร


แต่ที่น่าเศร้าก็คือปัญญาชนยุคก่อนไม่เหมือนกับปัญญาชนยุคหลัง ปัญญาชนยุคก่อนกลับยอมรับการทำรัฐประหาร รู้สึกว่าถ้าอยู่กับทุนสามานย์มันจะแย่กว่า จึงยอมรับการทำรัฐประหาร แต่อาจารย์เป็นคนที่ไม่ว่าฝ่ายการเมืองจะเป็นคนอย่างไร คุณใช้กฎหมาย แต่ไม่สามารถยอมรับการทำรัฐประหารได้ ฉะนั้น เฉพาะปัญญาชนที่ไม่ยอมรับการทำรัฐประหารได้ แล้วมาร่วมกับขบวนประชาชนนี้มันจึงมีน้อยมาก นี่เป็นเรื่องที่น่าเศร้า ถ้าตอนนั้นปัญญาชนไทยเหมือนกับปัญญาชนเยาวชนรุ่นหลังตอนนี้นะ โอ๊ะ!!! ประเทศไทยเปลี่ยนไปมากเลย เพราะว่ามวลชนพื้นฐานมีการตื่นตัวมาก


ดังนั้นมันก็มีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน แต่เอาความแตกต่างว่ามันสัมพันธ์กับพรรคการเมือง ก็ทำให้มีปัญหาว่าบางครั้งอาจจะถูกมองว่าใครใช้ใครเป็นเครื่องมือ และเนื่องจากมันเป็นแนวร่วม มันก็ต้องมี “แสวงจุดร่วมสงวนจุดต่าง” อย่างอาจารย์ก็มีความคิดเห็นแตกต่างกันมาก แกนนำก็มาจากสายการเมือง พอมาจากสายการเมืองเขาก็ต้องไปตามวิถีทางการเมือง ขบวนการมันก็จะคล้าย ๆ กับว่า อาจจะเชื่อมโยงกับพรรคการเมืองมากเกินไป แต่ว่าภายในก็มีการต่อสู้กันมาก


เพราะฉะนั้น ขบวนการของเยาวชนรุ่นหลังที่ทำมันเป็นอิสระมากกว่า ในทัศนะของอาจารย์นะ ก็คือว่า อาจารย์ก็เคยเตือนนะว่าถ้าใครจะมาเป็นแกนนำ ถ้าคุณจะไปพรรคการเมืองก็ไปเลย อย่าให้เหมือนกับในอดีตที่ว่า 2 ขา แต่ส่วนใหญ่เป็นขาเดียว อาจารย์ก็ยืนขาเดียวคืออยู่ขบวนการประชาชน แต่ที่เราบอก 2 ขาก็คือหมายความว่าวิถีทางรัฐสภาคุณมีสิทธิ์จะไปสนับสนุนได้ ความแตกต่างกันก็คือว่า ของเยาวชนรุ่นใหม่มันตัดขาดจากพรรคการเมือง แม้จะมีคนบอกว่าอาจจะไปเกี่ยวข้องกับพรรคอนาคตใหม่-ก้าวไกลก็ตาม แต่ภาพที่ออกมามันดูมีความเป็นอิสระ


ก็จะฝากเอาไว้ว่า อันนี้สำคัญมาก อย่าให้เกียรติภูมิของนักต่อสู้ถูกทำลายว่าตัวเองกลายเป็นเครื่องมือของพรรคการเมือง อาจารย์ก็จะบอกมาตลอดว่าอาจารย์มาตั้งแต่ 2516 ไม่รู้พรรคการเมืองพวกนี้อยู่ที่ไหน? คุณจะให้ฉันไปเดินตามหรือปฏิบัติตาม มันเป็นไปไม่ได้!!! แล้วหลายอย่าง ฉันจะบอกให้ว่าฉันรู้ดีกว่าพวกคุณแหละ...เออ!!! เพราะพวกคุณไม่เชื่อฉัน คุณถึงเจออย่างนี้ ตอนนี้ก็พูดประมาณนี้ แต่หมายความว่ามันมีรายละเอียดของมัน เพราะฉะนั้นมีความแตกต่างที่ว่า ข้อดีเป็นอิสระมากกว่าขบวนการ แต่มันไม่ใช่ว่าไม่มีด้านบวกเสียเลยที่เกี่ยวข้องกับพรรค เรายอมรับว่าขบวนการของคนเสื้อแดงก็ถูกขยายด้วยการสนับสนุนของพรรคมากเหมือนกัน ก็เหมือนกับเสื้อเหลืองตอนนั้นก็ได้รับการสนับสนุนจากพรรคประชาธิปัตย์ และรวมทั้งกปปส.ด้วย


หมายความว่า การชุมนุมในอดีตมันจะสัมพันธ์กับพรรคการเมือง เหลือง-แดง หรือ กปปส. ซึ่งมันไม่ดี มันคล้าย ๆ กับว่าขบวนการประชาชน อุดมการณ์มันไม่ได้ถูกให้เปล่งแสง กลายไปเป็นว่าเป็นผลประโยชน์ของพรรคการเมือง แต่ความจริงสำหรับคนเสื้อแดง เนื่องจากเราชูการต่อต้านรัฐประหารเป็นหลัก และเราทำโรงเรียนการเมืองมาตลอด ดังนั้นมันก็มีการต่อสู้ จนกระทั่งโหวตเตอร์ของคนเสื้อแดงก็จะเห็นความประหลาดมากเลย ไม่ได้เป็นไปแบบที่หลายคนคิด


กลับมาพูดเรื่องความแตกต่างอีกอย่างก็คือว่า แกนนำเมื่อกี้ที่พูดไปรอบหนึ่งแล้ว แกนนำของเยาวชน โดยเฉพาะ “อานนท์” เห็นปัญหาของการที่ว่าเมื่อไปชุมนุมแล้วถ้าชุมนุมยืดเยื้อมันจะถูกปราบ แล้วก็มีการสูญเสีย เพราะว่าลักษณะของเผด็จการจารีตนิยมในประเทศไทยมันสืบทอดมาจากสงครามเย็น ตั้งแต่ถีบลงเขา เผาลงถัง เผาทั้งเป็นนะ โหดเหี้ยมมาก 6ตุลา19 เป็นการฆ่าปัญญาชนในมหาวิทยาลัย แต่ว่าก่อน 6ตุลา19 ฆ่าประชาชนในชนบทจนกระทั่งเข้าป่า ถ้าเราศึกษาความโหดเหี้ยมอำมหิต มันมีเหตุผลของมันเพราะเป็นระบอบแบบนั้น สมัยก่อนบางคนถูกฆ่า 7 ชั่วโคตรเลย แค่สงสัยกาคาบข่าวเขาก็ประหารแล้ว ลักษณะจารีตนิยมอันนี้มันก็จะตกทอดมา


ทีนี้ย้อนมาถึงว่าชุมนุมของคนรุ่นใหม่ มันคล้าย ๆ กับว่าพวกแกนนำเหมือนกับกลายเป็นต้องถูกพลีชีพ เพราะว่าเมื่อไม่ได้ทำการต่อสู้ยืดเยื้อ ประชาชนไม่เสียหาย แต่แกนนำโดนคดียับเยินมากมาย คุณออกไปครั้งหนึ่งคุณก็โดนแล้ว 1 คดี ไม่ใช่ 1 คดีด้วย 3-4 คดีใช่มั้ย ตั้งแต่ ฉุกเฉิน, 116, 112 เต็มไปหมด แล้วก็มีความแตกต่างอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า ในรุ่นเสื้อแดงนั้นถือการต่อต้านรัฐประหารเป็นหลัก และคืนอำนาจให้กับประชาชน เราไม่มีประเด็นการปฏิรูปสถาบัน อันนี้เป็นความแตกต่าง คือหมายความว่าของเยาวชนเขาไปอีกขั้นหนึ่ง เขาเลยไป


เพราะว่าในช่วงนั้น และมันยิ่งเป็นเรื่องปัญหาหนักหน่วงที่อยู่ในช่วงเวลาของการทำรัฐประหาร มันจะมีความแตกต่างกันทั้งแกนนำ ทั้งการนำ ทั้งมวลชนที่สนับสนุน แต่สิ่งหนึ่งก็คือว่าเมื่อกลุ่มเยาวชนมาทำการชุมนุม เป็นแกนนำ คนเสื้อแดงจำนวนหนึ่งมาสนับสนุน บางคนที่ไปให้สัมภาษณ์ในคลับเฮ้าส์ เขาบอกเขาฟังในคลับเฮ้าส์ว่าท่านผู้นำในพรรคเพื่อไทยไม่เห็นดีเห็นงามกับเรื่องของเยาวชน เขาก็เป็นเดือดเป็นแค้น เขาเป็นชาวบ้านนะ นี่เป็นชาวบ้านนะ แปลว่าเขาได้รับจิตวิญญาณของการต่อสู้และเขาเรียนรู้


เพราะฉะนั้นมันก็มีความแตกต่างตั้งแต่ข้อเรียกร้องด้วย ข้อเรียกร้องของคนเสื้อแดงเน้นไปในเรื่อง “รัฐประหาร-ยุบสภา-คืนอำนาจให้กับประชาชน” อยู่ตรงนั้น มวลชนก็เป็นชาวบ้าน แกนนำส่วนใหญ่ก็เป็นชาวบ้านแต่ว่ามีสายการเมืองเยอะ ก็ให้ท่านผู้ชมพิจารณา แต่ในความคิดของอาจารย์นะ มันเป็นช่วงเวลาของประวัติศาสตร์ มันสืบทอด ไม่มีอะไรเสียเปล่า คนเสื้อแดงก็ยังอยู่จำนวนหนึ่งแม้จะแก่แล้ว แล้วเขาก็มาสนับสนุนคนรุ่นใหม่ด้วย แล้วคนรุ่นใหม่ก็ไปเรียนรู้ข้อเสียของประวัติศาสตร์การต่อสู้ของคนเสื้อแดง


ดังนั้น ช่วงเวลาต่อไปนี้เป็นเวลาที่สำคัญว่าเราจะเดินหน้าต่อไปอย่างไรที่จะทำให้ขบวนการต่อสู้ของประชาชนนั้นสูงเด่น ไม่ถูกครอบงำโดยพรรคการเมือง ถูกเหยียดหยาม แล้วก็สามารถเดินต่อไปได้โดยที่ไม่มีการสูญเสีย ไม่ว่าจะเป็นประชาชนหรือไม่ว่าจะเป็นแกนนำ



อาจารย์มีความเห็นอย่างไรที่มีข้อโต้แย้งว่าประวัติศาสตร์การต่อสู้ของคนเสื้อแดงมันถูกช่วงชิงไปโดยกลุ่มที่ไม่ได้สนับสนุนพรรคเพื่อไทย ยกตัวอย่างหมายถึงว่า มันกลายเป็นว่าถูกชิงไปแล้วสำหรับคนที่เชียร์พรรคประชาชนในปัจจุบัน ทั้ง ๆ ที่เพื่อไทยกับเสื้อแดงสู้มาด้วยกัน


อาจารย์ว่าพูดผิด!!! พรรคเพื่อไทย “แย่ง” คนเสื้อแดงไป พรรคเพื่อไทยกับคนเสื้อแดงไม่ใช่เป็นอันเดียวกัน และพรรคเพื่อไทยแย่งสีเสื้อแดงไปว่าเป็นสีของตัวเอง ทั้ง ๆ ที่คุณทักษิณก็เคยบอกให้ถอดเสื้อแดงในปี 2554 เต็ม ๆ เลยหลายเวที จนอาจารย์ไปขอ บอกว่าไม่ต้องแจกเสื้อ แต่เขาไม่ถอดเสื้อแดง เอาเสื้อแดงตัวเก่าปี 2553 มาใส่ แล้วเขาแก้แค้นด้วยการโหวต ดังนั้นก็ชนะอย่างถล่มทลาย จะไปบอกให้คนเสื้อแดงถอดเสื้อแดง มันไม่ได้!!! ปี 2553 แผลมันยังสด เพราะฉะนั้นที่บอกว่า “แย่ง” การต่อสู้ของประชาชนและจิตใจที่มีอุดมการณ์ ใครแย่งไม่ได้ มันอยู่ที่ว่าคุณมีอุดมการณ์หรือเปล่าล่ะ ถ้าคุณมีอุดมการณ์และคุณทำอย่างมีอุดมการณ์ คุณก็จะได้รับความภักดี คนก็จะเดินตามคุณ


แต่ถ้าคุณไม่ใช่! เขาก็ไปที่อื่น แล้วใครแย่งใคร ในทัศนะอาจารย์ คำถามนี้เป็นคำถามที่ไม่ถูก ก็คือว่า คุณนึกว่าคนเสื้อแดงที่เขาเป็นนักต่อสู้เป็นคนอยู่ในคอกของพรรคเหรอ? ไม่ใช่แน่นอน!!! เขาคิดเองได้ว่าอะไรที่สอดคล้องกับอุดมการณ์เขา เขาไม่ใช่เป็นพวกแฟนคลับ ตอนนี้ช่วงนี้มีคนพูดอะไร ดาราเกาหลี หรือนางเอกจีน ไม่ใช่ทั้งนั้นแหละ ไม่ใช่ว่าเขาแฟนคลับดาราเกาหลี และดาราเกาหลีไปแย่งจากนางเอกจีน ไม่ใช่!!!


มันเป็นเรื่องของอุดมการณ์และการต่อสู้ ถ้าเขาเลือกว่าฝ่ายไหนที่มันสอดคล้องกับความคิดของเขา เขาก็เลือกอันนั้น


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #อานนท์นำภา #คนเสื้อแดง


 

วันจันทร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2567

"อนุทิน" กำชับผู้ว่าทั่วประเทศประสานท้องถิ่นตรวจเข้มรับปีใหม่ ที่พัก สถานที่ท่องเที่ยวต้องได้มาตรฐานความปลอดภัย ป้องกันความสูญเสียซ้ำ พร้อมเร่งสอบสาเหตุไฟไหม้โรงแรมย่านข้าวสาร

 


"อนุทิน" กำชับผู้ว่าทั่วประเทศประสานท้องถิ่นตรวจเข้มรับปีใหม่ ที่พัก สถานที่ท่องเที่ยวต้องได้มาตรฐานความปลอดภัย ป้องกันความสูญเสียซ้ำ พร้อมเร่งสอบสาเหตุไฟไหม้โรงแรมย่านข้าวสาร 


วันที่ 30 ธันวาคม 2567 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขานุการ รมว.มหาดไทย และ โฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ได้รับรายงานเหตุเพลิงไหม้โรงแรมบริเวณถนนตานี เขตพระนคร กทม. และได้มีข้อสั่งการให้กรุงเทพมหานครและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งสอบสวนหาสาเหตุ และดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายอย่างเข้มงวด เนื่องจากได้มีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ และอาจกระทบต่อการท่องเที่ยวเนื่องจากโรงแรมที่เกิดเหตุตั้งอยู่ใกล้กับแหล่งท่องเที่ยวสำคัญซึ่งเป็นที่รู้จักของทั้งชาวไทยและต่างชาติอย่างถนนข้าวสาร


พร้อมกันนี้ นายอนุทินได้กำชับไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศให้ประสานงานกับหน่วยงานท้องถิ่นอย่างใกล้ชิดเพื่อดำเนินการตรวจสอบด้านความปลอดภัยของโรงแรมที่พัก ตลอดจนสถานที่ท่องเที่ยว สถานบันเทิงต่างๆ เนื่องจากขณะนี้อยู่ในช่วงของเทศกาลปีใหม่ที่ประชาชน นักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศเดินทางท่องเที่ยว มีการรวมตัวของคนจำนวนมาก ดูแลให้โรงแรมที่พัก สถานที่ท่องเที่ยวอยู่ในสภาพที่มีความพร้อม ปลอดภัย ทั้งในส่วนของโครงสร้างตัวอาคาร ทางเข้า-ออก ระบบไฟฟ้า แผนการรับมือเมื่อเกิดเหตุต่างๆ เพื่อป้องกันการเกิดเหตุซ้ำจนนำไปสู่ความสูญเสีย 


"มท.1 ให้ผู้เกี่ยวข้องเร่งสอบสวนถึงสาเหตุเพลิงไหม้ที่เกิดขึ้น ว่าเกิดจากเหตุสุดวิสัย เป็นอุบัติเหตุ หรือความประมาท เจ้าของสถานที่ได้ดูแลป้องกันเหตุตามกฎหมาย หรือมาตรฐานความปลอดภัยหรือไม่ และดำเนินตามกฎหมายอย่างเข้มงวด ต้องแสดงให้เห็นว่าทางการมีกฎหมายดูแลเรื่องความปลอดภัยที่ชัดเจนที่ผู้เกี่ยวข้องต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด" น.ส.ไตรศุลี กล่าว 


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์

วันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2567

‘ลิณธิภรณ์‘ ติง ‘โรม‘ ไม่มีมารยาท วิจารณ์ ’อันวาร์’ หารือ ’ทักษิณ’ ทปษ.ปธ.อาเซียน เสี่ยงยุแยงสัมพันธ์ไทย-มาเลเซีย เผยอดีตนายกฯ ถูกยกย่องเป็นผู้เชี่ยวชาญ เชื่อนำพาประโยชน์สูงสุด

 


ลิณธิภรณ์‘ ติง ‘โรม‘ ไม่มีมารยาท วิจารณ์ ’อันวาร์’ หารือ ’ทักษิณ’ ทปษ.ปธ.อาเซียน เสี่ยงยุแยงสัมพันธ์ไทย-มาเลเซีย เผยอดีตนายกฯ ถูกยกย่องเป็นผู้เชี่ยวชาญ เชื่อนำพาประโยชน์สูงสุด


น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ สส. แบบบัญชีรายชื่อ และรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนายรังสิมันต์ โรม สส. แบบบัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน พาดพิงนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พบหารือนายดาโตะ เซอรี อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย


น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าวว่า งงกับ นายรังสิมันต์ ที่ตั้งคำถามเหมือนคนไม่ตามข่าวสารว่า นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ซึ่งกำลังรับตำแหน่งเป็นประธานอาเซียนในปี 2568 แต่งตั้งอดีตนายกฯ ทักษิณ เป็น “ที่ปรึกษาประธานอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ” ไม่ใช่เพราะท่านทักษิณเป็นล็อบบี้ยิสต์หรือเป็นเสมือนนายกรัฐมนตรีอย่างที่นายรังสิมันต์ยัดเยียด แต่เพราะนายกฯ มาเลเซีย ชี้แจงว่า “ท่านทักษิณเป็นผู้มีความเชี่ยวชาญอันโดดเด่น และจะเปิดโอกาสอันประเมินค่าไม่ได้กับมาเลเซียและอาเซียน”


น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าวต่อว่า แม้อดีตนายกฯ ทักษิณ จะไม่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการในรัฐบาลนี้ แต่การหารือที่เกิดขึ้นนั้น นายกฯ อันวาร์ ก็เน้นย้ำวิสัยทัศน์การพัฒนาความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างประเทศ ร่วมกับนายกฯ แพทองธาร ซึ่งเป็นผู้นำรัฐบาลไทย ดังนั้น เป้าหมายของเหล่าผู้นำ และประสบการณ์ที่ผู้นำต่างประเทศยกย่องเชิดชูอดีตนายกฯ ทักษิณ ล้วนแล้วแต่จะเป็นประโยชน์สูงสุดกับประเทศและภูมิภาค


มัวแต่จ้องจับผิด จนลามถึงผู้นำต่างประเทศ ที่เขาแต่งตั้งอดีตนายกฯ ทักษิณเป็นที่ปรึกษา นับว่า สส.รังสิมันต์ ตั้งคำถามแบบไม่มีมารยาท สุ่มเสี่ยงยุแยงความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ โดยที่พรรคประชาชนไม่เคยรับผิดชอบ เลิกอ้างประชาชนอยากรู้ เพราะประชาชนทั่วไปต่างติดตามประโยชน์ของชาติ ที่มีอดีตผู้นำที่มีความสัมพันธ์อันดีกับนานาชาติ นำพาการเจรจาร่วมมือไปได้อย่างราบรื่น ต่างจากการมองโลกในแง่ลบ ตีทุกอย่างในแง่ร้าย เกิดประโยชน์อะไรกับประเทศ?” น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าว


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์

“เท้ง-ณัฐพงษ์” ขอบคุณประชาชนให้คะแนนนิยม ปชน.อันดับหนึ่ง ย้ำผลโพลมีขึ้นมีลงเสมอ ยืนยันจะมุ่งมั่นทำงานหนักต่อไปในปี 2568 ด้วยปณิธาน 9 ข้อ

 


เท้ง-ณัฐพงษ์” ขอบคุณประชาชนให้คะแนนนิยม ปชน.อันดับหนึ่ง ย้ำผลโพลมีขึ้นมีลงเสมอ ยืนยันจะมุ่งมั่นทำงานหนักต่อไปในปี 2568 ด้วยปณิธาน 9 ข้อ


วันที่ 29 ธันวาคม 2567 ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวถึงผลสำรวจคะแนนนิยมทางการเมืองครั้งที่ 4/2567 ของนิด้าโพล ซึ่งพรรคประชาชนและณัฐพงษ์ได้รับคะแนนนิยมเป็นอันดับหนึ่ง ขณะที่พรรคเพื่อไทยและนายกฯ แพทองธารได้รับคะแนนนิยมตามมาเป็นอันดับสอง โดยระบุว่า ตนขอขอบคุณประชาชนที่สะท้อนเสียงคะแนนนิยมออกมาผ่านผลโพล อย่างไรก็ตาม ผลโพลมีขึ้นมีลงเสมอ ขึ้นเมื่อใดต้องไม่หลง ลงเมื่อใดต้องไม่ท้อ ที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ถึงแม้ผลโพลจะสะท้อนออกมาว่าพรรคประชาชนยังไม่ได้รับความนิยมเป็นอันดับหนึ่ง แต่เราก็ไม่เสียสมาธิ ยังคงมุ่งมั่นตั้งใจทำงานและผลักดันการแก้ไขปัญหาต่างๆ เช่น การแก้ปัญหาค่าไฟแพง ที่ล่าสุดส่งผลให้เกิดการชะลอการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 3,600 เมกะวัตต์ ซึ่งอาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พรรคประชาชนได้รับคะแนนนิยมเพิ่มมากขึ้น


ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่า เพื่อยืนยันว่าเราไม่ได้หลงกับผลโพลที่เพิ่มขึ้น พรรคประชาชนจะมุ่งมั่นทำงานต่อไปอย่างหนัก โดยมีการตั้งปณิธานประชาชน 2568 (New Year’s Resolutions) จำนวน 9 ข้อ ที่จะมุ่งมั่นผลักดันให้สำเร็จในปี 2568 เพื่อร่วมกันเปลี่ยนประเทศไทยผ่านกลไกรัฐสภา จึงขอฝากให้พี่น้องประชาชนสนับสนุนพรรคประชาชน และเรายืนยันจะมุ่งมั่นตั้งใจทำงานเพื่อประชาชนต่อไป


สำหรับ พรรคประชาชนระบุว่าขอเริ่มต้นปี 2568 ด้วยปณิธาน 9 ข้อที่เรามุ่งมั่นอยากทำให้สำเร็จ


ข้อแรก เราขอยืนยันว่าจะ #เดินหน้าทำงานให้หนักขึ้น ขับเคลื่อนตรวจสอบเสนอแนะเรื่องสำคัญในสาธารณะอย่างตรงไปตรงมา และรับฟังทุกคำติชมเพื่อปรับปรุงการทำงานให้ดีขึ้นทุกวัน


ข้อสอง เราตั้งใจจะ #ปักธงท้องถิ่น ทุ่มเทให้กับสนามเลือกตั้งนายก อบจ. เพื่อพิสูจน์ให้พี่น้องประชาชนเห็นด้วยตาสัมผัสด้วยมือ ว่าการเมืองท้องถิ่นสามารถทำให้คุณภาพชีวิตของทุกคนดีขึ้นได้จริงๆ


ในงานสภา เราอยากให้สังคมเห็นความสำคัญของกฎหมายที่สามารถเปลี่ยนชีวิตความเป็นอยู่และปากท้องของทุกคนได้ พรรคประชาชนมีร่างกฎหมายที่กำลังรอคิวเข้าสภาอย่างน้อย 6 ชุด ทั้งเพื่อแก้ปัญหาเก่าที่ค้างคามานานและเพื่อวางกติกาใหม่


ข้อสาม #พลิกโฉมการศึกษา ท่ามกลางโลกผันผวน ทักษะคนไทยถดถอย ถึงเวลายกระดับการศึกษาไทยครั้งใหญ่ด้วย พ.ร.บ.การศึกษา ฉบับใหม่ ที่จะทำให้ผู้เรียนได้หลักสูตรที่ตอบโจทย์ ผู้สอนได้เวลาคืนมา สถานศึกษาได้อำนาจในการตัดสินใจ พาเด็กไทยและประเทศไทยเท่าทันโลก


ข้อสี่ #ผ่านPRTR เราอยากทำให้การอยู่ในบ้านที่สะอาด รอบบ้านปลอดภัย เป็นเรื่องธรรมดาของทุกคน กฎหมาย PRTR จะช่วยสร้างหลักประกันความปลอดภัย เปิดข้อมูลการเก็บและเคลื่อนย้ายสารพิษ พร้อมกับผลักดัน พ.ร.บ.จัดการขยะ และ พ.ร.บ.ลดโลกร้อน ที่คำนึงถึงความเป็นธรรมไม่ทิ้งคนตัวเล็กตัวน้อย


ข้อห้า #ปฏิรูปที่ดิน พิสูจน์สิทธิอย่างเป็นธรรม ด้วยชุดกฎหมายปลดล็อกที่ดิน ให้พี่น้องประชาชนที่อยู่ในเขตที่ดินทับซ้อนมานานตั้งแต่ก่อนประกาศเป็นพื้นที่ป่ากว่าสองหมื่นชุมชน มีไฟฟ้า มีแหล่งน้ำไว้ใช้ ให้การพัฒนาเข้าถึงชนบท ลดความเหลื่อมล้ำ ร่วมกันดูแลพื้นที่ป่า


ข้อหก #สร้างรัฐโปร่งใส เงินทุกบาทตรวจสอบได้ ด้วย พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารสาธารณะ ที่จะทำให้หน่วยงานรัฐเปิดเผยข้อมูลโดยไม่ต้องขอ ยกเว้นข้อมูลลับและข้อมูลส่วนบุคคล ส่งเสริมกลไกการตรวจสอบ ป้องกันการทุจริตคอร์รัปชัน


ข้อเจ็ด #ทลายทุนผูกขาด เปิดตลาด SME ทำให้เศรษฐกิจไทยมีกติกาที่เป็นธรรม ผ่าน พ.ร.บ.แข่งขันทางการค้า ควบคุมทุนใหญ่ผูกขาด ป้องกันการใช้อำนาจตลาดเพื่อเอาเปรียบ ควบคู่กับการลดอุปสรรค อำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมขอใบอนุญาตได้ง่ายขึ้น ด้วย พ.ร.บ.อำนวยความสะดวกฯ และ พ.ร.บ.โรงแรม


ข้อแปด อีกเรื่องสำคัญที่วนกลับมาทุกปีคือ การบังคับเกณฑ์ทหาร เรายืนหยัดเดินหน้าดันกฎหมายปฏิรูปกองทัพไทยให้ทันสมัย มีประสิทธิภาพ คืนความเป็นคนให้กำลังพลทุกชนชั้น #ยกเลิกบังคับเกณฑ์ทหาร แล้วเสริมกำลังกองทหารประจำการแบบสมัครใจ มาช่วยกันทำให้เดือนเมษายนปี 68 นี้เป็นการบังคับเกณฑ์ทหารครั้งสุดท้าย


ปณิธานข้อที่ 9 ของพรรคประชาชน เป็นความคาดหวังอยากเห็นผู้แทนราษฎรจากทุกพรรคการเมือง ทำงานร่วมกันเพื่อประโยชน์ของประเทศไทย พิสูจน์ให้พี่น้องประชาชนเห็นว่า การเปลี่ยนแปลงประเทศด้วยรัฐสภานั้นเป็นไปได้จริง


ทั้งหมดนี้คือปณิธานที่เราอยากผลักดันในโอกาสเริ่มต้นปีใหม่ 2568 นี้


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #นิด้าโพล #พรรคประชาชน #ปณิธานประชาชน68

วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2567

“วิโรจน์” ย้ำ คืนความเป็นธรรม 99 ศพคนเสื้อแดงปี 53 จำเป็นต้องแก้ พ.ร.บ.ธรรมนูญศาลทหาร สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจประชาชนต่อกระบวนการยุติธรรม เผย กมธ.ทหารยกร่างแล้ว

 


“วิโรจน์” ย้ำ คืนความเป็นธรรม 99 ศพคนเสื้อแดงปี 53 จำเป็นต้องแก้ พ.ร.บ.ธรรมนูญศาลทหาร สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจประชาชนต่อกระบวนการยุติธรรม เผย กมธ.ทหารยกร่างแล้ว


วันที่ 27 ธันวาคม 2567 วิโรจน์ ลักขณาอดิศร รองหัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวถึงกรณีมีความพยายามฟื้นคดีการเสียชีวิตของคนเสื้อแดงจำนวน 99 ศพในการชุมนุมเมื่อปี 2553 ว่า ปัจจุบันจากการไต่สวนหาสาเหตุการเสียชีวิตในชั้นศาล แม้การไต่สวนสาเหตุการเสียชีวิตโดยศาลจะยุติลงตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เนื่องจากการทำรัฐประหารโดย คสช. แต่จากการไต่สวนที่เกิดขึ้น ยืนยันได้ว่ามีประชาชนอย่างน้อย 17 ราย เสียชีวิตจากอาวุธของเจ้าหน้าที่ซึ่งคือทหารกลุ่มหนึ่ง


กรณีนี้การจะทำให้ประชาชนได้รับความเป็นธรรม มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องแก้ไข พ.ร.บ.ธรรมนูญศาลทหาร เพราะต้องยอมรับว่าผู้ต้องสงสัยและผู้ต้องหาในคดีสังหารประชาชนในปี 2553 คือเจ้าหน้าที่ทหารทั้งที่เป็นนายทหารระดับปฏิบัติการและนายทหารระดับสูงซึ่งเชื่อกันว่าเป็นผู้สั่งการ ทั้งหมดนี้กระบวนการจะต้องไปอยู่ที่ศาลทหาร ดังนั้นหากศาลทหารยังไม่ได้ถูกปฏิรูปให้มีกระบวนการยุติธรรมที่ประชาชนไว้เนื้อเชื่อใจ ก็ยากจะให้ความเป็นธรรมกับประชาชนผู้สูญเสีย 


การแก้ไข พ.ร.บ.ธรรมนูญศาลทหาร จึงเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญในการให้ความเป็นธรรมกับประชาชน โดยพรรคประชาชนได้ร่วมมือกับ สส. พรรคอื่นๆ ใน กมธ.การทหาร ยกร่างขึ้น มีสาระสำคัญโดยสังเขป ดังนี้ (1) ประชาชนมีอำนาจเป็นโจทก์ ฟ้องคดีอาญาเองได้ (2) มีสิทธิอุทธรณ์ ฎีกา เว้นแต่อยู่ในภาวะสงคราม หรือประกาศกฎอัยการศึกทั้งประเทศ (3) ปรับแก้โครงสร้าง โดยให้ตุลาการศาลทหารอยู่ภายใต้การกำกับของ “คณะกรรมการตุลาการศาลทหาร” แทนที่จะอยู่ในกำกับของสำนักปลัดกระทรวงกลาโหม เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ของตุลาการศาลทหารมีอิสระจากอำนาจการบังคับบัญชา โดยคณะกรรมการตุลาการทหาร 17 คน จะมีผู้แทนจากศาลยุติธรรม และศาลปกครอง เข้ามาเป็นกรรมการด้วย


(4) กรณีที่พบว่าเจ้าหน้าที่ทหารกระทำการทุจริต จะต้องถูกนำตัวขึ้นศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ไม่ใช่ขึ้นศาลทหาร (5) การพิจารณาคดีที่มีโทษค่อนข้างสูง คือจำคุก 3 ปี ปรับ 60,000 บาทขึ้นไป ให้มีตุลาการพระธรรมนูญ ซึ่งเป็นนายทหารชั้นสัญญาบัตรที่จบการศึกษาด้านกฎหมาย 2 คน และมีตุลาการร่วมเพียงคนเดียว จากเดิมองค์คณะศาลทหาร มีตุลาการพระธรรมนูญเพียง 1 คนและมีตุลาการร่วม 2 คน ซึ่งสุ่มเสี่ยงอย่างมากที่ตุลาการศาลทหารจะถูกกดดันจากตุลาการร่วมทั้ง 2 คน ซึ่งเป็นนายทหารที่มีชั้นยศสูงกว่า (6) ปรับแก้ให้การสืบพยานลับหลังจำเลย จะกระทำมิได้


วิโรจน์กล่าวว่า พรรคประชาชนจะพยายามเร่งรัดการแก้ไข พ.ร.บ.ธรรมนูญศาลทหาร ให้ผ่านสภาผู้แทนราษฎรโดยเร็วที่สุด เพื่อไม่ปล่อยให้เจ้าหน้าที่ทหารกลุ่มหนึ่งที่กระทำความผิดเข่นฆ่าประชาชนรอดจากเงื้อมมือของกฎหมายไปได้ และเพื่อคืนความเป็นธรรมแก่ประชาชนตลอดจนครอบครัวผู้สูญเสีย


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #กมธทหาร #คนเสื้อแดง #สลายชุมนุมคนเสื้อแดง

"อันวาร์ อิบราฮิม" โพสต์ภาพพบ "ทักษิณ ชินวัตร" พร้อมระบุคุยเรื่องสำคัญหลายเรื่อง รวมทั้งบทบาทที่ปรึกษาประธานอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ

 


"อันวาร์ อิบราฮิม" โพสต์ภาพพบ "ทักษิณ ชินวัตร" พร้อมระบุคุยเรื่องสำคัญหลายเรื่อง รวมทั้งบทบาทที่ปรึกษาประธานอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ


วันนี้ ( 27 ธ.ค.67) ดาโตะ เซอรี อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย (Dato' Seri Anwar Ibrahim, Prime Minister of Malaysia) โพสต์ภาพการหารือร่วมกับ นายทักษิณ ชินวัตรอดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ระบุว่า


รู้สึกยินดีที่ได้พบกับอดีตนายกรัฐมนตรีของไทยและเพื่อนรัก อย่าง ดร.ทักษิณ ชินวัตร เพื่อหารือในฐานะที่ปรึกษาอย่างไม่เป็นทางการของมาเลเซียในการดำรงตำแหน่งประธานอาเซียน


สำหรับการหารือมุ่งเน้นไปที่ประเด็นสำคัญในภูมิภาค ทั้ง การฟื้นฟูเศรษฐกิจ การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่ๆ การส่งเสริมสันติภาพในภาคใต้ของไทย และการแก้ไขสถานการณ์วิกฤตในเมียนมา ด้วยเครือข่ายความสัมพันธ์ของคุณทักษิณที่ไม่มีใครเทียบได้ในภูมิภาค ประกอบกับความเชี่ยวชาญเฉพาะตัว มันเป็นการเปิดโอกาสอันล้ำค่าสำหรับมาเลเซียและอาเซียนเพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ด้วยความมั่นใจและมีประสิทธิภาพมากขึ้น


นายอันวาร์ ยังระบุว่า ได้มีการหารือถึงแนวทางในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ทวิภาคีที่แข็งแกร่งอยู่แล้วระหว่างมาเลเซียกับไทย เพื่อให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์การพัฒนาอย่างยั่งยืนและความสามัคคีในภูมิภาค ร่วมกับนายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร


ทั้งนี้หลายทศวรรษที่ผ่านมา นายทักษิณและตน เชื่อว่ามาเลเซียและไทยสามารถบรรลุผลสำเร็จได้มากกว่านี้หากร่วมมือกัน และไม่เพียงแต่ประเทศทั้งสองเท่านั้น แต่สำหรับภูมิภาคโดยรวมด้วย 


พร้อมระบุ “เราจะมุ่งมั่นเปลี่ยนจากวิสัยทัศน์ให้กลายเป็นความจริง”


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์


วันพฤหัสบดีที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2567

กมธ.พัฒนาเศรษฐกิจแถลงความคืบหน้าโครงการ “นักสืบทุนเทา” 2 เดือนประชาชนส่งเรื่องร้องเรียนกว่า 1,000 เรื่อง พบปัญหาทุนต่างชาติใช้นอมินีมากที่สุด

 


กมธ.พัฒนาเศรษฐกิจแถลงความคืบหน้าโครงการ “นักสืบทุนเทา” 2 เดือนประชาชนส่งเรื่องร้องเรียนกว่า 1,000 เรื่อง พบปัญหาทุนต่างชาติใช้นอมินีมากที่สุด


วันที่ 26 ธันวาคม 2567 สิทธิพล วิบูลย์ธนากุล ประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยถึงความคืบหน้าล่าสุดตามโครงการ “นักสืบทุนเทา” ซึ่งเป็นช่องทางรับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนต่อกรณีปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างชาติผิดกฎหมายและการประกอบธุรกิจผิดกฎหมายผ่านนอมินี


สิทธิพลระบุว่าโครงการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการสร้างแจ้งเบาะแส สนับสนุนการทำงานของภาครัฐ ตลอดจนแก้ไขความเดือดร้อนให้ผู้ประกอบการไทยที่ปัจจุบันได้รับผลกระทบรุนแรงจากสินค้าและธุรกิจต่างชาติผิดกฎหมาย โดยตั้งแต่เปิดโครงการมาเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2567 ได้มีประชาชนร้องเรียนเข้ามาใน 6 ประเด็นปัญหา ประกอบด้วย 1) สินค้าที่ไม่มีเครื่องหมาย อย. 2) สินค้าที่ไม่มีเครื่องหมาย มอก. 3) สินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ทรัพย์สินทางปัญญา 4) ธุรกิจที่เก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จากผู้บริโภคแต่ไม่สามารถออกใบกำกับภาษี 5) การโอนเงินโดยตรงเข้าบัญชีในต่างประเทศ และ 6) การประกอบธุรกิจผ่านนอมินีของชาวต่างชาติผิดกฎหมาย


โดยจนถึงวันที่ 26 ธันวาคม 2567 ได้มีประชาชนส่งเรื่องร้องเรียนผ่านโครงการนักสืบทุนเทาเข้ามาแล้วกว่า 1,121 เรื่อง ซึ่งกรรมาธิการฯ ได้เข้าไปตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้น คัดกรอง และส่งต่อไปหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วกว่า 1,104 เรื่อง โดยในเชิงสถิติพบว่าเรื่องที่ประชาชนร้องเรียนเข้ามามากสุดคือปัญหานอมินีต่างชาติถึง 447 เรื่อง หรือคิดเป็น 44% ของเรื่องร้องเรียนทั้งหมด รองลงมาคือปัญหาสินค้าไม่มีเครื่องหมาย มอก. 241 เรื่อง หรือคิดเป็น 24% และปัญหาสินค้าไม่มีเครื่องหมาย อย. 180 เรื่อง หรือคิดเป็น 18%


สิทธิพลกล่าวต่อไปว่าในเชิงพื้นที่ จังหวัดที่มีเรื่องร้องเรียนเข้ามามากที่สุดคือกรุงเทพมหานคร กว่า 700 เรื่อง อันดับหนึ่งอยู่ในเขตห้วยขวาง 191 เรื่อง ตามมาด้วยเขตปทุมวัน 95 เรื่อง และเขตราชเทวี 55 เรื่อง จังหวัดรองลงมาคือภูเก็ต มีเรื่องร้องเรียนเข้ามากว่า 150 เรื่อง โดยส่วนใหญ่เกี่ยวกับปัญหานอมินี


โดยในการประชุมคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจวันนี้ ได้มีการเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 6 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กรมทรัพย์สินทางปัญญา กรมสรรพากร ธนาคารแห่งประเทศไทย และกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เพื่อมาให้ข้อมูล ชี้แจงความคืบหน้าถึงการแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียนที่ได้รับไป


สิทธิพลกล่าวต่อไปว่าการแก้ไขปัญหาที่มีการร้องเรียนเข้ามานั้น หน่วยงานมีการดำเนินการรับเรื่องร้องเรียนได้เริ่มมีการทยอยแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนแล้ว โดยเรื่องส่วนมากอยู่ระหว่างการดำเนินการ จากเรื่องร้องเรียนกว่า 1,000 เรื่อง ปัจจุบันเสร็จสิ้นไป 72 เรื่อง หรือคิดเป็นประมาณ 7% ซึ่งทางกรรมาธิการได้ขอให้ทุกหน่วยงานเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาให้ประชาชน และแจ้งความคืบหน้าแก่กรรมาธิการต่อไป


อย่างไรก็ตาม หลายหน่วยได้ชี้แจงถึงปัญหาและอุปสรรค เช่น โดยเฉพาะได้รับข้อมูลไม่เพียงพอ เช่น ชื่อร้านค้า เลขใบอนุญาต ฯลฯ ซึ่งทางกรรมาธิการได้ขอให้หน่วยงานพิจารณาเข้าร่วมระบบ เพื่อให้หน่วยงานติดต่อกับผู้ร้องเรียนและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ ซึ่งจะช่วยให้การแก้ปัญหารวดเร็ว ลดภาระเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานราชการ ซึ่งปัจจุบันมีเพียงสำนักงาน อย. และ สมอ. ที่เข้าร่วมระบบเท่านั้น


สิทธิพลยังกล่าวว่าโครงการนักสืบทุนเทาจะปิดรับเรื่องร้องเรียนภายในสิ้นปี หรือในวันที่ 31 ธันวาคม 2567 โดยหลังจากนี้กรรมาธิการจะติดตามการแก้ไขปัญหาของหน่วยงานต่างๆ ภายใน 2-3 เดือนข้างหน้าเพื่อนำมารายงานความคืบหน้าให้แก่ประชาชน ตลอดจนจะมีการจัดทำข้อเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาทั้งหมดเพื่อเสนอรัฐบาลต่อไป


ทั้งนี้ ตนต้องขอขอบคุณสมาคมอีคอมเมิร์ซไทย ที่เป็นพันธมิตรสำคัญของโครงการนักสืบทุนเทา ที่ได้ส่งบุคลากรและเครื่องมือมาช่วยดำเนินโครงการ และขอขอบคุณส่วนราชการทุกหน่วยงานที่เร่งแก้ปัญหาให้ประชาชน โดยทางกรรมาธิการพัฒนาเศรษฐกิจจะติดตามความคืบหน้าเพื่อมาชี้แจงให้สื่อมวลชนและประชาชนทราบต่อไป

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #นักสืบทุนเทา




“ณัฐพงษ์” หารือสภาแก้ข้อบังคับกระทู้สด จี้นายกฯ รับผิดชอบตอบกระทู้สดในสภา ทวงนายกฯ ตอบคำถามกรณีรับซื้อไฟฟ้า 3,600 เมกะวัตต์ ถึง กพช.ชะลอแล้ว แต่นโยบายพลังงานของรัฐบาลไปทิศทางไหนกันแน่

 


ณัฐพงษ์” หารือสภาแก้ข้อบังคับกระทู้สด จี้นายกฯ รับผิดชอบตอบกระทู้สดในสภา ทวงนายกฯ ตอบคำถามกรณีรับซื้อไฟฟ้า 3,600 เมกะวัตต์ ถึง กพช.ชะลอแล้ว แต่นโยบายพลังงานของรัฐบาลไปทิศทางไหนกันแน่


วันที่ 26 ธันวาคม 2567 ในช่วงปรึกษาหารือของการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคประชาชน ได้หารือต่อประธานสภาผู้แทนราษฏร กรณีนายกรัฐมนตรีหลีกเลี่ยงไม่มาตอบกระทู้ถามสดในสภา กรณีโครงการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 3,600 เมกะวัตต์


โดยณัฐพงษ์ระบุว่า วันนี้ตนขอหารือต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร ขอให้มีการมอบหมายเป็นนโยบายหรือสั่งการลงไปยังคณะกรรมาธิการกิจการสภา ให้ทบทวนปรับปรุงข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ทำอย่างไรให้ฝ่ายบริหารมีความรับผิดรับชอบต่อสภา ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 150 ซึ่งเป็นอำนาจของประธานและสมาชิกสภาทุกคน ที่จะตราข้อบังคับร่วมกันในการทำให้กลไกการตั้งกระทู้ถามสดนั้น รัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีต้องมาตอบกระทู้ถามสดต่อสภา


เมื่อวานเป็นประเด็นที่นักข่าวถามถึงนายกรัฐมนตรีว่าจะมาตอบกระทู้ถามสดประเด็นค่าไฟแพงที่วันนี้ตนให้โจทย์ล่วงหน้าหรือไม่ แต่นายกรัฐนตรีกลับตอบเพียงว่า “เมอรี่คริสต์มาส” ทั้งที่ก่อนหน้านี้ตนตั้งกระทู้ถามสดไปถึงสองครั้งแล้ว วันนี้เป็นครั้งที่สามที่วิปได้ประสานงานไปล่วงหน้าอยากให้นายกรัฐมนตรีมาตอบแต่นายกรัฐมนตรีก็ไม่มา ทำให้ต้องไปตั้งกระทู้ถามสดในประเด็นอื่นแทน


ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่า แม้เมื่อวานจะมีมติออกมาจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ว่าให้ชะลอโครงการดังกล่าว แต่เมื่อวานนายกรัฐมนตรีก็ไม่ได้ไปเป็นประธานด้วยตัวเอง มอบหมายให้รัฐมนตรีเป็นประธานในที่ประชุมแทน และแม้จะมีแนวทางให้ชะลอโครงการ แต่สิ่งที่ตนอยากได้ยินจากนายกรัฐมนตรีในที่ประชุมสภา คือท่านต้องการยกเลิกโครงการดังกล่าวเพราะมีปัญหาตามที่ถูกท้วงติงหรือไม่ หรือเพียงแต่ชะลอไว้เท่านั้น เพราะโครงการนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่จะกระทบชีวิตคนไทยและภาคธุรกิจไทยไปอีกนานถึง 25 ปี


แต่เมื่อวันนี้นายกรัฐมนตรีหลีกเลี่ยง ตีกรรเชียงไม่มาตอบ ไม่รับผิดชอบต่อสภา ตนคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ประธานจะต้องมอบหมายลงไปเป็นนโยบายให้กรรมาธิการกิจการสภาพิจารณาแก้ไขข้อบังคับ ตั้งหลักเกณฑ์เงื่อนไขว่านายกรัฐมนตรีสามรถเลื่อนได้กี่ครั้ง เป็นอำนาจเต็มของสภาที่บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญได้ให้อำนาจสภาไว้


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ประชุมสภา #พลังงาน

วันพุธที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2567

ทนายด่าง-สมยศ-มายด์ ล้อมวงคุย ‘กำลังจะปีใหม่ มีอะไรน่าติดตาม?’ ‘มายด์’ อัพเดทคดี เรียกร้องความกล้าหาญจากนักการเมือง ผ่าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมประชาชน สมยศ เล่าชีวิตพังหลังติดคุก แต่ไม่เปลี่ยนจุดยืน หวังสังคมเปลี่ยนแปลง ยก'อานนท์' บุคคลแห่งปี

 


ทนายด่าง-สมยศ-มายด์ ล้อมวงคุย ‘กำลังจะปีใหม่ มีอะไรน่าติดตาม?’ ‘มายด์’ อัพเดทคดี เรียกร้องความกล้าหาญจากนักการเมือง ผ่าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมประชาชน สมยศ เล่าชีวิตพังหลังติดคุก แต่ไม่เปลี่ยนจุดยืน หวังสังคมเปลี่ยนแปลง ยก'อานนท์' บุคคลแห่งปี 


วันที่ 24 ธ.ค. 2567 เวลา 16.30 น.​ ที่อาคาร All Rise (iLaw) Thumbrights จัดกิจกรรม "Stand Together EP.10 ส่งท้ายปี" ภายในงานประกอบด้วยงานเสวนา ‘กำลังจะปีใหม่ มีอะไรน่าติดตาม?’ ชวนพูดคุยถึงคดีมาตรา 112 ที่ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาคดี และยังคงต้องจับตาในปี 2568 นอกจากนั้นภายในงานยังมีกิจกรรมเล่นเกมส์ แลกของขวัญ และเพนท์แก้วไวน์ 


สำหรับวงเสวนา มีผู้ร่วมพูดคุย 3 คน ทั้งทนายความและจำเลย ซึ่งเป็นผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับคดีความทางการเมืองที่ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาคดีในชั้นศาล มาร่วมพูดคุยและเล่าเรื่องราวในคดีมาตรา 112 ที่ยังคงต้องไปต่อในปี 2568 อย่างคดี #19กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร หรือ #26ตุลาไปสถานทูตเยอรมัน ถึงเหตุการณ์ชุมนุมดังกล่าว ความคืบหน้าและประเด็นการต่อสู้ในการพิจารณาคดี ทั้งนี้ ผู้ร่วมเสวนาประกอบไปด้วย


‘ทนายด่าง’ กฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความสิทธิมนุษยชน 


สมยศ พฤกษาเกษมสุข ตัวแทนจำเลยคดีมาตรา 112 กรณีชุมนุม #19กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ และสนามหลวง เมื่อวันที่ 19 – 20 ก.ย. 2563


‘มายด์’ ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล ตัวแทนจำเลยคดีมาตรา 112 กรณีชุมนุม #26ตุลาไปสถานทูตเยอรมัน เหตุปราศรัยและอ่านแถลงการณ์ในการชุมนุมหน้าสถานทูตเยอรมนี เมื่อวันที่ 26 ต.ค. 2563 


ดำเนินรายการโดย จุ๊บจิ๊บ แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม 


นายสมยศ กล่าวตอนหนึ่งว่า อดีตตนถูกจองจำ คุมขัง เป็นนักโทษทางการเมือง ใช้ชีวิตในคุกมา 10 ปี หายไปจากสังคม พอออกมาก็ยังพูดเหมือนเดิม ว่าต้องยกเลิกมาตรา 112 สุดท้ายได้คดีเพิ่ม


“ชีวิตพังพินาศไปเรียบร้อยแล้ว ไม่เหลืออะไรอีกต่อไป เฉพาะปีนี้ได้รับผลกระทบรุนแรงมาก ผมไปผ่าตัดเปลี่ยนหัวเข่า เดินไม่ได้ประมาณ 4-5 เดือน พอหายดีต้องขึ้นศาลตั้งเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะ 3 เดือนสุดท้ายของปี โปรแกรมขึ้นศาลมีทุกสัปดาห์ เป็นช่วงที่ไม่สามารถทำมาหากินได้ กระทบกับการดำรงชีวิตอย่างรุนแรง นอกเหนือจากชีวิตครอบครัวที่ต้องพังทลายไประหว่างติดคุก พอออกมาก็ต้องต่อสู้ดิ้นรน ค่อนข้างยากลำบาก เรียกว่าปีนี้เลือดกบปาก แต่ก็กัดฟันสู้เต็มที่ และยังต้องรักษาหลักการ รักษาความจริง ความจริงนี้ยิ่งใหญ่กว่าการมีชีวิตอยู่นอกคุก การรักษาความจริงไว้ ยิ่งใหญ่กว่าอิสรภาพ” 


นายสมยศ ได้กล่าวด้วยว่า ขอกราบคารวะนายอานนท์ นำภา ทนายความด้านสิทธิมนุษยชน ซึ่งขณะนี้ยังคงอยู่ในเรือนจำ เนื่องจากเป็นบุคคลที่ต่อสู้อย่างกล้าหาญ ส่วนตัวมองว่าเทียบเท่ากับมหาตมะ คานธี และเนลสัน แมนเดลา ได้ ดังนั้น ตนจึงขอเป็นอีกคนที่ต่อสู้คดีเคียงบ่าเคียงไหล่กับนายอานนท์ โดยยินดีรับสภาพ แม้สุดท้ายจะต้องติดคุก เพื่อประโยชน์ในความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยในอนาคต


ขณะที่ภัสราวลี กล่าวถึง“นิรโทษกรรมประชาชน หากไม่เกิดขึ้น อานนท์ นำภา อาจได้เจอกันตอนที่หลานบรรลุนิติภาวะแล้ว นิรโทษกรรมประชาชน ถ้าไม่เกิดขึ้นเลย เราอาจไม่ได้เจอบัสบาส อีกแล้ว และเราอาจต้องมานั่งกังวลว่าเพื่อนหลายคนอาจต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำอีก นิรโทษกรรมประชาชนมันไม่ใช่แค่กฎหมาย แต่คืออากาศหายใจที่จะทำให้เราได้ใช้ชีวิตอย่างมีเสรีภาพและปลอดภัย


เราย้ำตลอดเวลาว่า รัฐบาลมีอำนาจมากพอในการตั้งคำถามต่อกระบวนการยุติธรรม ว่าตอนนี้สิทธิประกันตัว ทำไมจึงไม่ได้ทุกคน ทำไมมีข้อแม้ รัฐบาลสามารถถามได้ แต่ไม่ทำ


ถ้าอยากนิรโทษฯ แบบไม่รวมมาตรา 112 เข้าไปด้วย แล้วหวังว่าสถานการณ์จะคลี่คลายและจบลงได้ คุณคิดผิดแน่นอน อีก 10 ปี 20 ปี คุณมองย้อนกลับมาแล้วจะเสียใจสุดๆ


นักการเมืองในสภาควรมีความกล้าหาญมากกว่านี้ได้แล้ว ยืนยันในหลักการที่ต้องปกป้อง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมประชาชน จำเป็นต้องเกิด เพื่อให้เพื่อนของพวกเราทุกคนได้ออกมาใช้ชีวิตอย่างที่พวกเขาควรต้องได้ใช้” นางสาวภัสราวลีกล่าว


รับชมฉบับเต็มได้ที่

https://www.facebook.com/share/v/1G7sbnYTjx/?mibextid=oFDknk


https://www.youtube.com/live/iRfrel683Sc?si=7CnNDRoLFPzyFSug


อย่างไรก็ตาม ในปี 2568 ยังมีคดีความอื่น ๆ ที่ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาคดีในชั้นศาลที่ยังคงดำเนินต่อ และเชิญชวนประชาชนร่วมจับตาและติดตามต่อไป ดังนี้


เริ่มด้วยวันที่ 13 ม.ค. 2568 มีกำหนดนัดหมายไต่สวนการตาย “บุ้ง” เนติพร 


วันที่ 20 ม.ค. 2568 ศาลมีนัดหมายสืบพยานคดีมาตรา 112 กรณีกิจกรรมทำโพลสำรวจความเดือดร้อนจากขบวนเสด็จ บริเวณห้างสยามพารากอน 


ในวันที่ 27 ม.ค. 2568 มีนัดหมายฟังคำพิพากษา 2 คดี ได้แก่ คดีอั้งยี่-ซ่องโจร ของประชาชนและนักกิจกรรมกลุ่ม Wevolunteer รวม 45 คน และในคดีมาตรา 116 กรณีชุมนุม #ธรรมศาสตร์จะไม่ทน ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เมื่อวันที่ 10 ส.ค. 2563


ถัดมาในวันที่ 4-6 มิ.ย. 2568 ศาลมีกำหนดนัดสืบพยานคดีมาตรา 112 กรณีปราศรัยในการชุมนุม #ม็อบ29พฤศจิกา63 “ปลดอาวุธศักดินาไทย” หน้ากรมทหารราบที่ 11 ส่วนคดีมาตรา 112 กรณีชุมนุม #26ตุลาไปสถานทูตเยอรมัน ศาลกำหนดวันนัดสืบพยานต่อในวันที่ 10-13 มิ.ย. 2568 


คดีมาตรา 112 กรณีชุมนุม #19กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร ยังคงอยู่ระหว่างการสืบพยานในชั้นศาล โดยมีกำหนดสืบพยานนัดต่อไปในวันที่ 2 ก.ย. 2568 และคดีมาตรา 112 กรณีชุมนุม #ม็อบ25พฤศจิกาไปSCB มีกำหนดสืบพยานในวันที่ 4-7 พ.ย. 2568


หลังจากวงเสวนาเสร็จสิ้น ผู้จัดงานชวนทบทวนสถานการณ์ทางการเมืองและขบวนการภาคประชาสังคมที่เกิดขึ้นตลอดปี 2567 ก่อนประชาชนที่มาร่วมงานจะร่วมรับประทานอาหาร พร้อมด้วยกิจกรรมเล่นเกมส์ แลกของขวัญ และเพนท์แก้วไวน์ร่วมกัน ก่อนที่จะยุติกิจกรรมในเวลาประมาณ 20.15 น.


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #นิรโทษกรรมประชาชน






วันอังคารที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2567

นายกฯ ขอ ครม. แจ้งข่าวดีปีใหม่ทุกกระทรวง พร้อมนโยบายปีหน้า ส่วนช่วงเทศกาลปีใหม่นี้สั่งทุกหน่วยงานดูแลประชาชนให้เต็มที่ โดยเฉพาะ “เมาไม่ขับ” พร้อมลงตรวจความพร้อมการเดินทาง ปชช. พฤหัสนี้

 


นายกฯ ขอ ครม. แจ้งข่าวดีปีใหม่ทุกกระทรวง พร้อมนโยบายปีหน้า ส่วนช่วงเทศกาลปีใหม่นี้สั่งทุกหน่วยงานดูแลประชาชนให้เต็มที่ โดยเฉพาะ “เมาไม่ขับ” พร้อมลงตรวจความพร้อมการเดินทาง ปชช. พฤหัสนี้


วันที่ 24 ธันวาคม 2567 เวลา 10.30 น. นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เป็นตัวแทน ครม. กล่าวอวยพรแด่นายกรัฐมนตรีในโอกาสเทศกาลปีใหม่ ขณะเดียวกันนายกรัฐมนตรีได้กล่าวอวยพรให้คณะรัฐมนตรีและผู้ที่เกี่ยวข้องมีสุขภาพที่แข็งแรง มีความรักระหว่างกันทั้งจากครอบครัว และคนใกล้ชิด จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้เชิญร่วมกันถ่ายภาพคณะรัฐมนตรีและคณะทำงานในการประชุมคณะรัฐมนตรีทุกท่าน


จากนั้น นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการดังนี้ 


1. เรื่องเป้าหมายทางเศรษฐกิจและแผนการคลังในระยะกลางและระยะยาวตั้งแต่รัฐบาลเข้ามาทำงาน มีนโยบายต่าง ๆ ในการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อให้ภาคธุรกิจและพี่น้องประชาชน มีความเป็นอยู่ที่ดียิ่งขึ้น แต่ตัวเลขประมาณการทางเศรษฐกิจหลาย ๆ ตัว ซึ่งกระทรวงการคลัง จะนำเสนอในวาระแผนการคลังระยะปานกลางและระยะยาว ยังไม่ค่อยน่าพอใจ จึงขอยกเรื่องนี้มาพูดในช่วงต้น เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญ จึงอยากให้ทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องช่วยกันทำงาน และขอฝากให้ ก.คลัง หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการปรับประมาณการ รวมทั้งมาตรการต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยเฉพาะเรื่องการจัดเก็บรายได้ / การปรับลดงบประมาณที่ไม่จำเป็นและการลงทุนของภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ


2. เรื่องเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2568 การประชุม ครม. ครั้งนี้ เป็นการประชุมครั้งสุดท้ายของปี 2567 ขอถือโอกาสนี้อวยพรให้ ครม. และครอบครัว ตลอดจนทุกท่าน ประสบแต่ความสุข ความเจริญในปีใหม่นี้ คิดสิ่งใดขอให้สมปรารถนา และได้พักผ่อนในช่วงวันหยุดปีใหม่กับครอบครัวให้เต็มที่อย่างมีความสุข ทั้งนี้ ในช่วงวันหยุดยาวช่วงปีใหม่ ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงคมนาคม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข จัดเตรียมเจ้าหน้าที่ให้เพียงพอเพื่อดูแลประชาชนให้ได้รับความสะดวก มีความปลอดภัยในการเดินทาง ทั้งทางบก ทางเรือ และทางอากาศ รวมทั้งขอให้เข้มงวดกับการป้องกันอุบัติภัยและอุบัติเหตุ โดยเฉพาะการรณรงค์เมาไม่ขับ โดยนายกรัฐมนตรี จะลงไปตรวจดูความพร้อมที่ศูนย์ควบคุมจราจรในวันพฤหัสบดีที่ 26 ธันวาคมนี้ เพื่ออำนวยความสะดวกต่อการเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่


3. สำหรับแพ็กเกจของขวัญสำหรับประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ เนื่องในเทศกาลปีใหม่ที่กำลังจะถึงนี้ ขอให้ทุกกระทรวงเตรียมนโยบายหรือแพ็กเกจของขวัญที่จะมอบให้กับประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่กำลังจะถึงนี้ โดยในตอนท้ายของการประชุมจะขอให้แต่ละกระทรวง เสนอในที่ประชุมว่าเตรียมอะไรไว้ให้ประชาชนบ้าง และขอให้โฆษกรัฐบาล รวมทั้งทุกหน่วยงานเร่งประชาสัมพันธ์ เพื่อให้เกิดการรับรู้ของประชาชนและทุกภาคส่วนด้วย


4. สำหรับการประชาสัมพันธ์ผลงานการทำงานของแต่ละกระทรวง เนื่องด้วยแต่ละกระทรวงมีนโยบายสำคัญ ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนหลายนโยบาย แต่ยังขาดการประชาสัมพันธ์และการสื่อสารให้เป็นที่เข้าใจกับภาคประชาชนหรือสื่อมวลชน จึงขอให้ทุกกระทรวงเร่งรัดการแต่งตั้งโฆษกประจำกระทรวงแต่ละกระทรวงให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยให้ประสานงานกับสำนักโฆษก เพื่อที่จะทำการประชาสัมพันธ์ผลงานของรัฐบาล และผลงานของแต่ละกระทรวงอย่างเป็นรูปธรรม และบูรณาการทำงานกันอย่างมีประสิทธิภาพ


5. สำหรับการประชุม ครม. นอกสถานที่อย่างเป็นทางการ ได้กำหนดเป็นวันอังคารที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2568 จะมีการประชุม ครม. นอกสถานที่อย่างเป็นทางการ ในจังหวัดสงขลา และเขตตรวจราชการที่ 5 จังหวัดชุมพร พัทลุง นครศรีธรรมราช และสุราษฎร์ธานี จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สภาพัฒน์ฯ จัดทำโครงการต่าง ๆ เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ ทั้งการฟื้นฟูระบบสาธารณูปโภคและภาคธุรกิจ หลังจากที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์อุทกภัยที่ผ่านมา

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ประชุมครม #นายกฯแพทองธาร

กฤษฎีกาตีความ “กิตติรัตน์” ไม่ผ่านคุณสมบัติ ประธานบอร์ด ธปท.

 


กฤษฎีกาตีความ “กิตติรัตน์” ไม่ผ่านคุณสมบัติ ประธานบอร์ด ธปท.


วันที่ 24 ธันวาคม 2567 มีรายงานว่า นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังได้รับทราบผลการตีความทางกฎหมายจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาว่า นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ไม่ผ่านคุณสมบัติที่จะเข้ารับตำแหน่งประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ส่วนรายละเอียดในฐานะปลัดกระทรวงการคลังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้ 


“มีการคอนเฟิร์มแล้วว่า คุณโต้ง กิตติรัตน์ ณ ระนอง ไม่ผ่านคุณสมบัติ แต่รายละเอียดต้องถามรองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง”


คาดว่าสาเหตุที่  นายกิตติรัตน์ ขาดคุณสมบัติ เนื่องจากเมื่อพิจารณาจาก คุณสมบัติของผู้ดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย ตามที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทยในข้อ 4 ระบุไว้ว่า 


“ต้องไม่เป็นหรือเคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เว้นแต่จะได้พ้นจากตำแหน่งมาแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งปี”


อีกทั้งข้อ 5 ยังระบุว่า


“ต้องไม่เป็นหรือเคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมือง หรือเจ้าหน้าที่ของพรรคการเมือง เว้นแต่จะได้พ้นจากตำแหน่งมาแล้วหนึ่งปี”


และหากพิจารณาจากตำแหน่งในทางการเมืองของ นายกิตติรัตน์ ทั้งในบทบาทของประธานที่ปรึกษาของนายกฯ ในสมัยของ อดีตนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน และตำแหน่งประธานคณะกรรมการกำกับการแก้ไขหนี้สินของประชาชนรายย่อย จึงน่าจะเข้าข่ายขัดคุณสมบัติ และอาจจะกลายเป็นปัญหาหากมีผู้ร้องว่าเป็นการแต่งตั้งที่ขัดกฎหมาย   


ก่อนหน้านี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายพิชัย ชุณหวชิร ได้ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม ที่ผ่านมาว่า เรื่องดังกล่าวอาจล่าช้าและจะเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้ในช่วงเดือนมกราคมปีหน้า แต่มาถึงวันนี้อาจจะต้องถอนเรื่องและเปิดให้มีการสรรหาใหม่อีกรอบ


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #กิตติรัตน์ #ประธานบอร์ดธปท