วันอาทิตย์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

ป้าน้อย ปราณี ด่านวัฒนานุสรณ์ : คนหายที่ยังตามหา


ป้าน้อย ปราณี ด่านวัฒนานุสรณ์ : คนหายที่ยังตามหา


งานปิดนิทรรศการ “วิสามัญ ยุติธรรม” #10ปีรัฐประหาร57

โดย ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษย์ชน

26 พฤษภาคม 2567


สวัสดีค่ะท่านผู้มีเกียรติผู้รักประชาธิปไตยและต่อต้านเผด็จการที่เคารพรักทุกท่าน ดิฉัน นางปราณี ด่านวัฒนานุสรณ์ หรือ ป้าน้อย เป็นภรรยาของนายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ นะคะ


สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ ชื่อเดิมว่า สุรชัย แซ่ด่าน ค่ะ เป็นคนอำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช บิดาชื่อนายยกย้วน มารดาชื่อนางส้มเช้า แซ่ด่าน เกิดเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2485 อาชีพเดิมเป็นช่างซ่อมวิทยุโทรทัศน์ จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช สาขารัฐศาสตร์


คุณสุรชัยติดคุกมาแล้ว 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2524 – 2539 รวมเวลาที่อยู่ในเรือนจำ 16 ปี ครั้งที่ 2 ระหว่างปี พ.ศ. 2554 2556 รวมเวลาอยู่ในเรือนจำประมาณ 3 ปีค่ะ และสาเหตุที่คุณสุรชัยต้องลี้ภัยเนื่องมาจากเกิดการรัฐประหารโดย ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อปี 2557 คุณสุรชัยไม่ยอมจำนนต่ออำนาจเผด็จการ ถูกคดีร้ายแรงต่าง ๆ โดยไม่ได้รับความเป็นธรรม แกก็เลยลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศและก็ยังทำกิจกรรมต่อต้านเผด็จการ เช่น การเขียนบทความวิพากษ์วิจารณ์เผด็จการผ่านแอปพลิเคชั่นไลน์และจัดรายการผ่านช่องยูทูปชื่อรายการปฏิวัติประเทศไทยกับสุรชัย แซ่ด่าน ก็ทำเกือบเวลา 5 ปีของการลี้ภัย และได้ถูกบังคับสูญหายไปจากบ้านพักพร้อมกับเพื่อนผู้ลี้ภัยอีกสองคน คือคุณภูชนะและคุณกาสะลอง เมื่อวันที่ 12 ต่อ 13 ธันวาคม 2561 เป็นช่วงเดียวกับที่นายประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะรัฐมนตรีเดินทางไปประชุมร่วมไทย-ลาว ระหว่างวันที่ 13-15 ธันวาคมค่ะ


ดิฉันและเพื่อนฝูงตลอดจนผู้ลี้ภัยที่อยู่ใกล้เคียงกันก็ไม่สามารถที่จะติดต่อกับบุคคลทั้งสามได้ ไม่ว่าจะไปหาที่บ้านพักหรือว่าสื่อสารทางสื่อ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา และเมื่อปลายเดือนธันวาคม 2561 ก็มีข่าวชายนิรนาม 3 คน ถูกฆาตกรรมอย่างโหดร้ายทารุณมาเกยขึ้นที่ริมแม่น้ำโขง ท่าน้ำ 3 อำเภอ ที่จังหวัดนครพนม แต่ละศพขึ้นห่างกันประมาณ 50-70 กม. ค่ะ


มีศพแรกขึ้นเมื่อเย็นวันที่ 25 ธันวาคม และหายไปในตอนเช้าของวันที่ 26 ธันวาคม อีก 2 ศพขึ้นวันที่ 27 และ 29 ธันวาคม ที่ท่าน้ำอำเภอธาตุพนม และอำเภอเมือง จังหวัดนครพนม มีการพิสูจน์อัตลักษณ์จากญาติ ๆ ที่หายไปก็ปรากฎว่าเป็นคุณภูชนะ หรือชัชชาญ บุปผาวัลย์ อีกศพหนึ่งขึ้นวันที่ 29 พิสูจน์แล้วก็เป็นคุณกาสะลอง หรือ ไกรเดช ลือเลิศ ที่หายไปพร้อมกันจากบ้านพัก ดิฉันจึงมั่นใจว่าศพแรกที่หายไปเป็นศพคุณสุรชัย แซ่ด่าน ก็เลยไปแจ้งความที่ท้องที่ที่ศพหาย ที่ท้องที่ สภ.ท่าอุเทน และไปยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมกับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติที่กรมคุ้มครองสิทธิ ไปให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ UN ประจำประเทศไทย ไปยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมที่สำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และที่ดีเอสไอ


ต่อมาดีเอสไอก็ได้โทรศัพท์มาช่วงที่สถานการณ์โควิดระบาด ขอข้อมูลเพิ่มเติม และอีกประมาณหนึ่งเดือนถัดมาก็โทรศัพท์มาแจ้งว่าขอให้ญาติเข้าใจในข้อจำกัดของการทำงานของเจ้าหน้าที่ เพราะว่าเหตุเกิดที่ต่างประเทศ ซึ่งดิฉันก็พยายามจะเข้าใจ ต่อมาไปขอความช่วยเหลือเยียวยาเบื้องต้นจากกรมคุ้มครองสิทธิ ก็ไม่ได้รับความช่วยเหลือเพราะว่าไม่เข้าข่ายเนื่องจากไม่มีหลักฐานการเสียชีวิต หายครอบครัวนะคะที่ว่าสูญหายไปแล้วหาศพไม่เจอ ก็มีลักษณะเดียวกัน ส่วนตำรวจในพื้นที่ที่ไปแจ้งว่าศพคุณสุรชัยหายไปก็ได้ทำสำนวนปิดคดีไปเมื่อปลายปี 2562 โดยระบุว่าไม่มีศพขึ้นที่ท่าน้ำบ้านท่าจำปา อำเภอท่าอุเทน และไม่มีการฆาตกรรมเกิดขึ้นในท้องที่นั้นในช่วงเวลานั้น


ผลกระทบที่ดิฉันและครอบครัวต่าง ๆ ได้รับก็คงจะเหมือน ๆ กัน ตั้งแต่มีคนในครอบครัวไปแสดงความคิดเห็นทางการเมืองก็จะถูกลิดรอนสิทธิ ละเมิดสิทธิ ตั้งข้อหาร้ายแรงกว่าความเป็นจริง แล้วก็ไม่ให้ประกันตัว ถ้าให้ประกันตัวก็จะตั้งราคาสูง ที่ตัดสินชั้นต้นไปก็จะยืนพื้นอยู่เหมือนเดิม อาจจะโทษเพิ่มกว่าเดิม สำหรับดิฉัน คดีที่ร้ายแรงคือบุคคลในครอบครัวสูญหายไปแล้วยังไม่เจอศพ ก็ยิ่งมีความทุกข์ ทุกข์กว่าบุคคลที่ยังเห็นลูกหลานอยู่ในเรือนจำและไม่ได้ประกันตัว มีความเศร้าโศกเสียใจห่วงใยเป็นห่วง กินไม่ได้นอนไม่หลับ เครียด แล้วบุคคลเหล่านั้นก็เป็นกำลังหลักของครอบครัว เป็นหัวหน้าของครอบครัว ความยากลำบากในการใช้ชีวิตประจำวันก็ไม่มีค่าใช้จ่ายพอ เพราะว่ายังมีหนี้สินทั้งในระบบนอกระบบ แล้วรายรับลดน้อยถอยลง ก็จึงเป็นเรื่องที่ความเดือดร้อนอยากมาก


สำหรับของตัวดิฉันเองนั้น ยังมีหนี้กับทางรัฐก็คือคดีที่ศาลพัทยาอีกคดีหนึ่งที่ถูกกล่าวหาว่าได้ขึ้นไปล้มการประชุมอาเซียนร่วมกับคุณอริสมันต์และพวก 18 คน ถูกกล่าวหาว่าไปล้มการประชุมนะคะ ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริงการประชุมเสร็จสิ้นแล้ว และคุณสุรชัยก็ตามไปทีหลังอีกวันหนึ่ง คุณสุรชัยต้องการทำความจริงให้ปรากฎโดยการอยากจะบอกความจริงกับทุกท่าน ได้พูดผ่านรายการที่เคยจัดไว้ด้วยว่าความจริงคุณสุรชัยถูกกักตัวโดยตำรวจคุมฝูงชนอยู่ที่ชายทะเลข้างล่าง ซึ่งห่างไกลจากโรงแรมมาก โรงแรมอยู่บนเขา ทุกท่านที่เคยไปหรือเคยอ่านข่าวก็คงจะทราบนะคะ คุณสุรชัยก็ถูกดำเนินคดี แล้วก็ถูกปรับ 5 แสนบาทเพราะไม่มาขึ้นศาล ครั้งที่ 4 ครั้งที่ 1-2-3 ก็ยังมาขึ้นศาลอยู่ช่วงที่ถูกขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ส่วนครั้งที่ 4 คุณสุรชัยก็ได้ไปลี้ภัยแล้วก็ไม่สามารถมาขึ้นศาลได้ ศาลสั่งปรับ 5 แสนบาท คุณสุรชัยทราบข่าวก็จึงได้ประสานกับนายประกันให้ไปทำเรื่องขอผ่อนจ่ายให้ต่ำสุด คือเดือนละ 1-2 พันบาท เพื่อที่จะไม่เป็นภาระที่หนักอึ้งของดิฉันและนายประกัน ศาลรับเรื่องเมื่อต้นปี 2561 ก็ได้มีคำสั่งให้นายประกันจ่ายค่าปรับเดือนละ 3 พันบาทค่ะ ซึ่งตอนนี้ก็ยังต้องจ่ายค่ะ เป็นเวลาเกือบ 6 ปีแล้ว ก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะให้หยุดจ่ายเมื่อไร ซึ่งก็เป็นความทุกข์ยากของดิฉัน เพราะว่าปกติรายได้มาจากคุณสุรชัยที่เราได้ไปขายหนังสือ ขายหมวก แล้วคุณสุรชัยก็เป็นวิทยากรการเมือง ใครวานหรือว่าช่วยค่าใช้จ่ายไปให้ความรู้ทางการเมืองก็จะไป


ความตั้งใจของคุณสุรชัยก็คือ เมื่อมีการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินใหม่ เขาก็จะได้กลับบ้าน ทุก ๆ คนจะได้นิรโทษกรรมการเมือง ปกติเป็นเช่นนั้น ทุกคนจะได้กลับไปอยู่กับครอบครัว คุณสุรชัยก็ประเมินไว้อย่างนั้นว่าจะได้กลับมา แล้วก็มาแก้ต่างความผิดที่ถูกแจ้งความเท็จคดีที่ว่าไปล้มการประชุมอาเซียน แล้วก็อยากจะเขียนหนังสือ ติดคุกครั้งที่ 2 ก็เขียนไว้แล้ว 2 เล่ม ยังไม่ทันจะได้พิมพ์ออกมาเผยแพร่ก็ไปลี้ภัยเสียก่อน พอลี้ภัยแล้วก็อยากจะกลับมาเขียนเรื่องที่ว่าไปลี้ภัย 5 ปีนั้นมีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเองบ้าง อยากจะมาทำโรงเรียนการเมืองทางวิทยุออนไลน์ ให้ความรู้แก่เยาวชนและผู้ที่สนใจ


อีกอันหนึ่งที่คุณสุรชัยอยากจะช่วยเหลือส่วนรวมก็ด้านผลผลิตทางการเกษตรที่ถูกกดราคาโดยพ่อค้าคนกลางหรือว่าทุนผูกขาด ก็อยากจะมาเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างท้องถิ่นในจังหวัดต่าง ๆ แต่ละภาค ให้ได้แลกเปลี่ยนโดยตรงหรือซื้อขายกันโดยตรง โดยราคาที่เป็นธรรม หรือว่าถ้าเป็นพ่อค้าคนกลางก็ควรจะซื้อในราคาที่เป็นธรรมไม่ต้องกดราคาเหมือนก่อนนั้น ความฝันอีกอันของคุณสุรชัยที่เป็นเรื่องส่วนตัวที่ดิฉันอยากจะแบ่งปัน คุณสุรชัยได้ฝากดิฉันไว้นานแล้วก่อนที่จะมีการรัฐประหารปี 49 เวลาเป็นเช็งเม้งที่หลุมศพของพ่อแม่และน้องชายแกที่สวนปาล์มที่จังหวัดตรัง เขาก็จะพูดและบอกดิฉันว่า ถ้าเราตายให้เอาเถ้ากระดูกของเราไปไว้ใกล้ ๆ กับพ่อแม่และน้องชายของเรานะ พอถึงตอนนี้มันยิ่งทำให้ดิฉันเกิดความหดหู่ เพราะว่าแม้แต่ศพก็ไม่เห็น แต่ก็จะสานต่อนะคะ ก็ยังจะทำฮวงซุ้ยใกล้ ๆ กับพ่อแม่และน้องชายของแก อย่างน้อยก็เป็นสัญลักษณ์ จะทำทุกอย่างตามที่แกต้องการ ถึงแม้ว่าในความเป็นจริงมันทำไม่ได้มาก แต่อย่างน้อยก็เป็นสัญลักษณ์ว่าแกได้ทำประโยชน์อะไรให้กับบ้านกับเมือง เป็นคนร้ายคนชั่วตามที่ทางการได้กล่าวหาหรือไม่ ทุกครั้งแกได้ขึ้นศาลทหารนะคะ ไม่มีอุทธรณ์ ฎีกา ไม่รับฟังพยานฝ่ายจำเลย ขนาดจวนผู้ว่าฯ อยู่ห่างจากที่แกอยู่ตั้ง 7 กม. แกก็จะพูดติดตลกประจำว่า อาณาเขตอะไรยาวถึง 7 กม. แกไปอยู่อีกที่หนึ่ง จวนถูกไฟไหม้ เขาก็มาให้แกเป็นคนเผา พยานฝ่ายโจทก์ก็จะบอกว่าสุรชัยขาดี ตอนนั้นแกถูกรถชนแล้วใช้ไม้ค้ำยัน แม้แต่แพทย์ก็บอกว่าสุรชัยเดินไม่ได้ ศาลทหารก็ไม่เชื่อค่ะ ทั้งปล้นรถไฟ ฆ่าเจ้าหน้าที่ ศาลไม่เชื่อ เชื่อฝ่ายพยานโจทก์อย่างเดียว


อันนี้ก็สิ่งที่ดิฉันอยากจะบอกเล่าและขอรับกำลังจากทุกท่านนะคะ อยากจะให้ทุกท่านได้รับกำลังจากดิฉันถึงทุก ๆ ท่าน ไม่ว่าทุกท่านจะได้รับผลกระทบไม่มากเท่ากับพวกเราที่สูญเสียคนในครอบครัว อย่างน้อย ๆ ท่านก็ต้องได้รับผลกระทบในด้านอาชีพการงาน ธุรกิจ ลูกหลานของท่านรับผลกระทบอย่างไร เศรษฐกิจครัวเรือน หนี้สาธารณะที่ประเทศไทยมีรัฐประหารมา 10 กว่าครั้ง หนี้สาธารณะเพิ่มมากจนไม่รู้กี่ 10 เท่า แล้วชั่วลูกชั่วหลานของเราจะใช้หมดเมื่อไร อย่างน้อย ๆ คนที่ได้เสียสละ ได้เสียชีวิตมา อย่างน้อย ๆ ก็เหตุการณ์ 14ตุลา16, 6ตุลา19, พฤษภา35 และหลาย ๆ ครั้ง รวมทั้งน้อง ๆ ที่ทำกิจกรรมแล้วโดนคดีต่าง ๆ ได้รับการละเมิดสิทธิ ไม่ได้รับการประกันตัว พิจารณาโทษสูงเกินจริง สมัยคุณสุรชัยติดคุกคดีมาตรา 112 ตอนนั้นโทษ 5-15 ปี คุณสุรชัยศาลตัดสินคดีละ 5 ปี ตอนนี้ตัดสินคดีละ 10 ปีค่ะ


แล้วก็มีที่ผู้รักประชาธิปไตยอยากจะสานต่อ หรือยังมีอุดมการณ์แน่วแน่ ยังมีความศรัทธาเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย ก็ขอให้ยึดมั่นต่อไป อย่าได้ละทิ้งอุดมการณ์ เหมือนกับผู้ที่เสียสละชีวิตและอิสรภาพ คนล่าสุดก็ขอพูดถึงน้องบุ้ง เนติพร เสน่ห์สังคม น้องบุ้งได้เขียนจดหมาย ดิฉันได้อ่าน จำได้ว่า น้องบุ้งได้เปรียบเทียบผู้รักประชาธิปไตยทุกคนเป็นไม้ซีก เผด็จการนั้นเป็นไม้ซุง น้องบุ้งบอกว่าอย่าได้หมดกำลังใจ แต่ขอให้รวมพลังกัน แล้วสักวันหนึ่งแม้จะไม่ได้ในรุ่นของเรา รุ่นลูก รุ่นหลานจะสำเร็จ ไม้ซีกรวมกันก็อาจจะล้มไม้ซุง เผาไม้ซุง แล้ววันที่เราได้ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ก็จะเกิดขึ้น


“เมื่อท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ ประชาชนย่อมเป็นใหญ่ในแผ่นดิน”


ขอบพระคุณ สวัสดีค่ะ


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #วิสามัญยุติธรรม #10ปีรัฐประหาร #10ปีศูนย์ทนายฯ