วันอังคารที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2568

กป.อพช.บุกทำเนียบ ยื่นหนังสือถึงนายกฯ คัดค้าน MOU แร่ธาตุสำคัญกับสหรัฐ พร้อมออกแถลงการณ์ 'อาณานิคมโดย MOU ระหว่างไทยและอเมริกาเพื่อส่งเสริมการลงทุนในแร่สำคัญและแร่หายาก'

 


กป.อพช.บุกทำเนียบ ยื่นหนังสือถึงนายกฯ คัดค้าน MOU แร่ธาตุสำคัญกับสหรัฐ พร้อมออกแถลงการณ์ 'อาณานิคมโดย MOU ระหว่างไทยและอเมริกาเพื่อส่งเสริมการลงทุนในแร่สำคัญและแร่หายาก'


เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 68 กลุ่มคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) นำโดย นายเลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน วัตถุประสงค์เพื่อยื่นหนังสือถึง นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กรณี คัดค้านบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลสหรัฐอเมริกาและรัฐบาลไทยว่าด้วยความร่วมมือในการพัฒนาความหลากหลายของห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญและการส่งเสริมการลงทุน (MOU แร่ธาตุสำคัญ) ซึ่งได้มีการลงนามเมื่อวันที่ 26 ต.ค.68 ระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย


กลุ่มผู้ชุมนุมได้เดินเท้า จากฝั่ง กพ. ไปยังประตูทางเข้าทำเนียบรัฐบาลฝั่งสะพานเชียงใหม่มนุเชษฐ์ เพื่อทำกิจกรรมบริเวณดังกล่าว โดยในพื้นที่ตัวแทน ได้ใช้ลำโพงกล่าวปราศรัยถึงวัตถุประสงค์ รวมถึงออกแถลงการณ์ระบุว่า


2 ธันวาคม 2568


แม้ MOU ที่รัฐบาลไทยกับสหรัฐอเมริกาลงนามร่วมกันเมื่อวันที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา เมื่อคราวประชุมทวิภาคีระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 ณ กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เพื่อพยายามลดการผูกขาดในห่วงโช่อุปทานของแร่สำคัญและแร่หายากของจีน จะไม่เป็นสัญญาตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญฯ โดยรัฐบาลไทยได้อธิบายว่า MOU ดังกล่าวไม่มีผลผูกพันตามกฎหมายระหว่างประเทศ และต้องปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบภายในของแต่ละประเทศ แต่ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า MOU ดังกล่าวเป็นเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันรัฐบาลไทย


และในเมื่อ MOU ดังกล่าวมีผลผูกพันให้รัฐบาลไทยต้องปฏิบัติตามแล้ว ซึ่งในเนื้อหารายละเอียดล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่ต้องผลักดันขับเคลื่อนให้เกิดผลในทางปฏิบัติเพื่อให้บังเกิดผลประโยชน์ต่อการค้าการลงทุน จึงเป็นไปได้อย่างไรที่จะไม่มีผลผูกพันระหว่างประเทศ ต่อให้ต้องปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบภายในของแต่ละประเทศก็ตาม


ซึ่งการลงนามใน MOU ดังกล่าวของรัฐบาลไทย กลับดำเนินการลับ ๆ ล่อ ๆ ต่อประชาชนไทย ด้วยการประชุมคณะรัฐมนตรีนัดพิเศษเมื่อวันที่ 23 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยมีนายกรัฐมนตรี รองนายกฯ และรัฐมนตรีเพียง 7 กระทรวง เพื่อขอมติเห็นชอบในการลงนาม ทั้ง ๆ ที่ควรทำอย่างเปิดเผย โปร่งใส เพราะการมีผลผูกพันให้รัฐบาลไทยต้องปฏิบัติตาม MOU นั้นล้วนมีผลผูกพันต่อผลประโยชน์และผลกระทบต่อประชาชนอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้


เหตุก็เพราะว่าพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560 ซึ่งจะเป็นกฎหมายหลักในการดำเนินการตาม MOU ดังกล่าวมีลักษณะสำคัญสองประการ คือ หนึ่ง - มีอำนาจรัฐและทุนฝังอยู่ในตัวบทกฎหมายสูงเกินไป และสอง - มีความ รับผิดชอบของบุคลากรและองค์กรที่เป็นผู้บังคับใช้กฎหมายต่ำเกินไป จึงก่อให้เกิดลักษณะ "อำนาจสูง ความ รับผิดชอบต่ำ' จึงทำให้อุตสาหกรรมเหมืองแร่ในประเทศไทย และกระบวนการผลิตของมันตั้งแต่ต้น - กลาง - ปลายน้ำล้วนเป็นอุตสาหกรรมสกปรก จากการเพิกเฉย ปล่อยปละละเลย ปัดความรับผิดชอบ ไร้จิตสำนึกในการแก้ไขปัญหาผลกระทบ ดังนั้น จึงไม่มีเหมืองแห่งใดเลยในประเทศไทยที่ไม่เป็นอุตสาหกรรมสกปรก


ซึ่งบ้านเมืองเราสามารถสำรวจและทำเหมืองแร่ให้ดีได้ แต่ด้วยลักษณะดังกล่าวของกฎหมายจึงไม่มีเหมืองใดเลยที่เคยทำมาและที่กำลังดำเนินการอยู่สามารถแก้ไขปัญหาและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศ ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนได้


แม้รัฐบาลไทยและหน่วยงานราชการจะพยายามอธิบายว่า MOU ดังกล่าวมีลักษณะหลวม ๆ ไม่มีผลผูกพันใด ๆ สามารถยกเลิกเมื่อไหร่ก็ได้ นั้น แต่ข้อเท็จจริงในเนื้อหารายละเอียดของ MOU มีลักษณะเปิดกว้างมาก ไม่ใช่หละหลวม เพราะต้องการเปิดประเทศรองรับอุตสาหกรรมต่อเนื่องจากแร่สำคัญตลอดห่วงโช่อุปทานและห่วงโช่การผลิต จากต้นสู่ปลายน้ำ ทั้งการสำรวจแร่ การทำเหมืองแร่ การแต่งแร่ การทำให้บริสุทธิ์ การผลิตแม่เหล็กความเข้มข้นสูงและผลิตภัณฑ์อื่น ๆ การรีไซเคิล ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยกลายเป็นแหล่งรวมและสะสมสารพิษรุนแรงจากกระบวนการเหล่านี้


ดังนั้น เมื่อเทียบระหว่างผลประโยชน์กับผลกระทบแล้ว บ้านเมืองและประชาชนของเราจะได้รับผลกระทบอย่าง รุนแรงโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ส่วนสหรัฐฯจะได้ประโยชน์สูงสุดที่สามารถผลักดันให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมสกปรกนอกผืนแผ่นดินของตน โดยมิต้องรับผิดชอบต่อต้นทุนทางสังคม สิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศและสุขภาพของประชาชนบนผืนแผ่นดินของเราแต่อย่างใด


ด้วยเหตุผลที่กล่าวมา รัฐบาลไทยจึงควรยกเลิก MOU ดังกล่าวเสีย


และมีกรณีตัวอย่างที่ดีของรัฐบาลพรรคภูมิใจไทยที่ขอชื่นชม และสามารถนำมาอ้างในการยกเลิก MOU ดังกล่าวได้โดยเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายนที่ผ่านมา กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ได้ทำการยกเลิก MOU ระหว่างกระทรวงดีอีกับบริษัท Prime Opportunity Fund VCC จากประเทศสิงคโปร์ ที่ปกปิดข้อมูผู้ถือหุ้นและเจ้าของที่แท้จริง โดยมีข้อสงสัยว่าบริษัทดังกล่าวน่าจะเป็นเครือข่ายการฟอกเงินดิจิทัลระดับโลกของนายเบนจามินเมาเออร์เบอร์เกอร์ ที่เกี่ยวโยงกับจีนเทา - สแกมเมอร์ ที่ถูกทางการสหรัฐฯขึ้นบัญชีตำร่วมกับยิม เลียก และอีกกว่า สี่สิบคน


ด้วยความเคารพ

คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.)

เครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่ ประกอบด้วยรายชื่อองค์กรด้านล่างนี้

1.กลุ่มรักษ์ภูเต่า

2.กลุ่มอนุรักษ์น้ำซับคำป่าหลาย

3.กลุ่มคนรักษ์บ้านเกิด 6 หมู่บ้านนครสวรรค์

4.กลุ่มอนุรักษ์เขาเหล่าใหญ่-ผาจันได

5.กลุ่มรักษ์ภูชาผักหนาม ลุ่มน้ำเซิน ไม่เอาเหมืองแร่

6.กลุ่มรักษ์อำเภอวานรนิวาส

7.กลุ่มคนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด

8.กลุ่มรักษ์ดงลาน

9.กลุ่มรักษ์บ้านแหง

10.กลุ่มเฝ้าระวังอมก่อย

11.กลุ่มคนดอยเต่าไม่เอาเหมืองแร่

12.เครือข่ายยุติเหมืองแร่แม่เลียง

13.เครือข่ายรักษ์ลุ่มน้ำลา

14.เครือข่ายรักษ์แม่น้ำกกท่าตอน - แม่อาย

15.เครือข่ายรักษ์เขาเตาปูน

16.กลุ่มคนรักษ์หัวหวาย

17.กลุ่มรักษ์เขากะลา

18.กลุ่มอนุรักษ์เขาหินจอก

19.กลุ่มรักษ์เขาโต๊ะกรัง

20.เครือข่ายพิทักษ์เขาเตราะปลิง

21.เครือข่ายเยาวชนพิทักษ์เขาลาเมาะ

22.ศูนย์พิทักษ์และฟื้นฟูสิทธิชุมชน

23.มูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ

24.มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม

25.โครงการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะด้านทรัพยากรแร่

26.ขบวนเคลื่อนไหวผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนแห่งประเทศไทย

27.Radical Grandma Collective

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #แร่แรร์เอิร์ธ
























ธิดา ถาวรเศรษฐ : ประเมินความ (ไม่) เชื่อมั่นของประชาชนต่อพรรคการเมืองไทย ในห้วงเวลาปัจจุบัน ณ เดือนธันวาคม พ.ศ. 2568

 


ธิดา ถาวรเศรษฐ : ประเมินความ (ไม่) เชื่อมั่นของประชาชนต่อพรรคการเมืองไทย ในห้วงเวลาปัจจุบัน ณ เดือนธันวาคม พ.ศ. 2568


ในขณะที่ประชาชนไทยปัจจุบันอยู่ในระบบอุปถัมภ์แบบจารีตและเสรีชนผู้รักประชาธิปไตย


ที่น่าสังเกตคือ ทุกโพลจะพบว่ามีคนไทยประมาณ 30% ที่ยังไม่มีพรรคการเมืองใดที่อยากจะโหวตให้คะแนนเสียง รวมทั้งผู้นำที่เป็นนายกฯ บางคนอาจถือว่าเป็น swing voter คือพร้อมเปลี่ยนแปลงในวันสุดท้ายที่เข้าคูหา


แต่ดิฉันไม่ประเมินเช่นนั้น ดิฉันประเมินว่าคนเหล่านี้เขาหาพรรคและผู้นำที่ถูกใจไม่ได้จริง ๆ อาจจะมีส่วนหนึ่งเป็นกลุ่มมวลชนจารีตอำนาจนิยม แต่ส่วนใหญ่น่าจะเป็นผู้รักประชาธิปไตยที่เป็นพวกอยากเปลี่ยนแปลงประเทศให้ก้าวหน้า เป็นสัดส่วนค่อนข้างมากในผู้คนส่วนนี้ คือไม่ถูกใจพรรคใดในปัจจุบันมากพอ แสดงออกทั้งผลการเลือกตั้งที่อุตส่าห์ไปแสดงตัวไม่เลือกใครจำนวนมาก และผลโพลตรงกันทั่วประเทศ


สำหรับดิฉันคิดว่า ประชาชนส่วนหนึ่งก้าวหน้าไปกว่าพรรคการเมือง น่าจะเป็นส่วนใหญ่ กับอีกส่วนหนึ่งน่าจะเป็นส่วนน้อยที่ยังรอการอุปถัมภ์อยู่ จึงตัดสินเลือกพรรคผู้อุปถัมภ์ที่น่าเชื่อถือที่สุด

 

ปรากฏการณ์นี้เป็นสิ่งที่พรรคการเมืองทุกฝ่ายต้องตระหนักว่า ประชาชนไม่ใช่หมูในอวย ไม่ใช่ของตาย ไม่ใช่โหวตเตอร์ที่เดินตามพรรคที่เคยเลือกเชื่อง ๆ พรรคไปทางไหนก็เดินตาม


การแก้ปัญหาโรคระบาดโควิดในอดีต และการแก้ปัญหาน้ำท่วมก็มีผลด้านลบต่อพรรคภูมิใจไทย ซึ่งมีแผลเรื่องการฮั้วสว.และเขากระโดง เป็นแผลเก่ามาซ้ำเติมแผลใหม่ คือแก้ปัญหาน้ำท่วม หลังจากที่มีด้านบวก คือการได้รับการยอมรับจากชนชั้นนำจารีต ใบอนุญาตที่ 2 รวมทั้งการมี MOA กับพรรคประชาชน ที่ครองเสียงสูงสุดของคะแนนเสียงจากประชาชน เป็นในอนุญาตที่ 1


น่าสนใจว่า พรรคภูมิใจไทย จะฝ่ากระแสน้ำท่วมไปได้ไหม?


ซึ่งเป็นไปได้ว่าคะแนนเสียงภาคใต้อาจเทกลับไปให้พรรคประชาธิปัตย์ ภายใต้การนำของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (นายกฯ 100 ศพ) เจ้าของพื้นที่เก่ามาทวงคะแนนคืน


น่าสนใจว่า นายกฯ 150 ศพ (น้ำท่วม) กับ นายกฯ 100 ศพ (ปราบประชาชน) ใครจะชิงพื้นที่ภาคใต้ได้มากกว่ากัน


เพราะคนภาคใต้ ยกเว้น 3 จังหวัดชายแดน ส่วนมากจะเป็นแนวคิดจารีตอำนาจนิยม เป็นพันธมิตรสีเหลืองและกปปส. ภายใต้ห้วงเวลายุคประชาธิปัตย์ครองภาคใต้ในเวลานั้น ๆ


ส่วนมวลชนฝ่ายเสรีนิยมก้าวหน้าผู้รักประชาธิปไตยที่เคยสนับสนุนพรรคก้าวไกล ก็สับสนรวนเรจากการที่พรรคประชาชนไปทำ MOA สนับสนุนพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็นผู้ถือธงของฝ่ายจารีตอำนาจนิยม เป็นพันธมิตรทำ MOA สนับสนุนให้ “อนุทิน” เป็นนายกฯ ผู้ที่ยึดหลักการ จุดยืนฝ่ายประชาธิปไตยจำนวนมากรับไม่ได้ และคนเหล่านี้ไม่ใช่โหวตเตอร์ธรรมดาที่พรรคประชาชนคิดว่าอาจเสียไป


และคนส่วนที่เคยเลือกพรรคเพื่อไทยในคราวปี 2566 โดยเชื่อมั่นว่ามีจุดยืนเสรีประชาธิปไตย และเชื่อมั่นในคุณทักษิณ ชินวัตร ก็อาจสับสนรวนเรกับสภาพพรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน ที่ไม่อาจถือธงฝ่ายประชาธิปไตย เพราะข้ามขั้วไปอยู่ฝั่งจารีต และไม่อาจถือธงของฝ่ายอนุรักษ์นิยมเช่นกัน ซ้ำถูกกระทำเช่นเดิม


ข้อสรุปของดิฉันคือ ประชาชนนั้นมีพลังความคิด มีพลังในการออกเสียง ตามความเชื่อและข้อมูลของตน ไม่ใช่หางเครื่องหรือโหวตเตอร์ที่ถูกจูงจมูกได้ แบบที่พรรคการเมืองไทยในปัจจุบันคิดและเชื่อ ไม่ว่าพรรคนั้นจะเป็นพวกจารีตอำนาจนิยม หรือเสรีนิยมก้าวหน้า


ขอคารวะประชาชนที่มีความคิดเป็นตัวของตัวเอง และสั่งสอนพรรคการเมืองทั้งสองฟากฝั่งที่มีจุดยืนแบบไหนก็ตาม


2 ธ.ค. 2568


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ธิดาถาวรเศรษฐ #พรรคการเมืองไทย

“วิโรจน์” โพสต์ เสียใจมาก ผิดหวัง มติ กมธ. เสียงข้างมาก ให้คดีทุจริตและคดีอาญาที่ทหารกระทำต่อพลเรือน กลับไปที่ศาลทหารตามเดิม ตามข้อเสนอกมธ.สัดส่วนเพื่อไทย ฝากขอโทษ “อ.ธิดา-หมอเหวง” ที่ไม่สามารถทำความฝัน ที่ต้องการสร้างหลักประกันความปลอดภัยให้ลูกหลานในอนาคตได้

 



วิโรจน์” โพสต์ เสียใจมาก ผิดหวัง มติ กมธ. เสียงข้างมาก ให้คดีทุจริตและคดีอาญาที่ทหารกระทำต่อพลเรือน กลับไปที่ศาลทหารตามเดิม ตามข้อเสนอกมธ.สัดส่วนเพื่อไทย ฝากขอโทษอ.ธิดา-หมอเหวง” ที่ไม่สามารถทำความฝัน ที่ต้องการสร้างหลักประกันความปลอดภัยให้ลูกหลานในอนาคตได้


วันที่ 2 ธันวาคม 2568 นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน เผยผ่านเฟซบุ๊ก ถึงการสรุปผลการลงมติในวันนี้ (2 ธ.ค.68) คณะกรรมาธิการพิจารณาร่างแก้ไข พ.ร.บ.ธรรมนูญศาลทหาร ซึ่งร่างแก้ไขหลักได้กำหนดให้คดีที่ทหารกระทำทุจริต ต้องไปขึ้นศาลคดีอาญาทุจริตฯ และให้คดีอาญาที่ทหารกระทำต่อประชาชน อาทิ คดีที่ทหารบางนายใช้อาวุธสงครามสังหารประชาชนอย่างเลือดเย็นระหว่างสลายการชุมนุม ต้องขึ้นศาลยุติธรรม นั้นได้ถูกนายธงทอง นิพัทธรุจิ กรรมาธิการในสัดส่วนของพรรคเพื่อไทย เสนอให้ตัดออก


โดยที่ประชุมได้มีมติเสียงข้างมาก ให้คดีที่ทหารกระทำทุจริต กลับไปพิจารณาที่ศาลทหารตามเดิม ตามที่นายธงทอง นิพัทธรุจิ เป็นผู้เสนอ โดยได้มีมติเสียงข้างมากไปแล้วเมื่อวันที่ 25 พ.ย.68 ที่ผ่านมา


วิโรจน์ ได้ระบุว่า ในวันนี้ (2 ธ.ค.68) คณะกรรมาธิการได้ประชุมลงมติกันอีกครั้ง โดยมีมติเสียงข้างมากเห็นด้วยกับข้อเสนอของนายธงทอง นิพัทธรุจิ ที่ได้เสนอให้คดีอาญาที่ทหารกระทำกับประชาชน กลับไปพิจารณาที่ศาลทหารตามเดิม


เท่ากับว่า ทั้งการกระทำทุจริตของทหารบางนาย และการที่ทหารบางกลุ่มเหิมเกริมเข่นฆ่าประชาชนเป็นผักปลา ยังคงต้องถูกพิจารณาที่ศาลทหาร ตามที่นายธงทอง นิพัทธรุจิ เสนอต่อที่ประชุม


ผมในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ รู้สึกเสียใจอย่างมาก และต้องกราบขอโทษต่อญาติวีรชน 14 ตุลา 16 วีรชน 6 ตุลา 19 วีรชนพฤษภา 35 วีรชนในเหตุการณ์ความไม่สงบเมษา 52 และวีรชนในเหตุการณ์สลายการชุมนุมพฤษภา 53 ที่ยังไม่สามารถทำภารกิจสำคัญที่ทุกท่านฝากฝัง ให้สำเร็จ


และต้องขอโทษ อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ คุณหมอเหวง โตจิราการ ที่ยังไม่สามารถที่ยังไม่สามารถทำความฝันของอาจารย์ และคุณหมอ ที่ต้องการสร้างหลักประกันความปลอดภัยให้กับลูกหลานของพวกเราในอนาคต ให้เป็นจริงได้


แม้ว่าจะรู้สึกเสียใจ ผิดหวัง แต่ผมยังไม่ท้อถอยครับ จะยังคงมุ่งมั่นผลักดันการแก้ไขในประเด็นสำคัญ 2 เรื่องนี้อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป ทหารที่กระทำทุจริตต้องขึ้นศาลอาญาทุจริตฯ เหมือนกับข้าราชกรมกองอื่น ทหารที่กล้าเข่นฆ่าประชาชน โดยไม่รู้สำนึกบุญคุณในเงินภาษีของประชาชน จะต้องถูกนำตัวขึ้นศาลพลเรือน

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #กรรมาธิการทหาร #ศาลทหาร

อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ : บทเรียนบางประการในการรำลึกวันก่อตั้ง “พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย” 1 ธ.ค. 2485

 


อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ : บทเรียนบางประการในการรำลึกวันก่อตั้ง “พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย” 1 ธ.ค. 2485


ความจริง พคท. ถือได้ว่ายุติบทบาทการนำโดยสิ้นเชิง เมื่อ “ธง แจ่มศรี” ยุติบทบาทเลขาธิการพรรคในปี 2553 เมื่อมีความแตกแยกแตกต่างในองค์กรนำ จนอยู่ในภาวะที่ไม่อาจสร้างเอกภาพการนำได้ อาจถือว่าเกิดล่มสลายเมื่อพรรคมีอายุ 68 ปี แต่การยุติบทบาทในการต่อสู้ด้วยอาวุธก็มีก่อนหน้านั้นประมาณ 20 ปี การยุติการเป็นองค์กรนำการปฏิวัติโดยพฤตินัย เกิดขึ้นหลังสมัชชา 4 เป็นลำดับมา แม้มีความพยายามสร้างภาวการณ์นำในสถานการณ์ใหม่ที่แตกร้าวในหมู่สหายประชาชนคืนเมือง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2523 เป็นต้นมา


แน่นอนว่ามีปัจจัยองค์ประกอบต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดการล่มสลายของพรรคปฏิวัตินี้ ทั้งปัจจัยภายในองค์กรพรรค และปัจจัยภายนอก ซึ่งมีความหนักหน่วงทั้ง 2 กรณี


ดิฉันอยากพูดเฉพาะบทเรียนบางบทเรียนทางปัจจัยภายในที่สำคัญคือ ระบบประชาธิปไตยรวมศูนย์ของพคท. ซึ่งมีโครงสร้างการนำสูงสุด เป็นกรมการเมือง (โปลิตบูโร) นำโดยเลขาธิการใหญ่พคท. รองลงมาคือคณะกรรมการบริหารกลาง ซึ่งเป็นผู้คัดเลือกกรมการเมือง (ตามทฤษฎี) และที่มาของคณะกรรมการบริหารกลางมา จากการประชุมโหวตคัดเลือกจากที่ประชุมสมัชชาใหญ่ของพรรค ซึ่งจริง ๆ สมัชชา 4 เป็นสมัชชาสุดท้าย ส่วนหลังจากนั้นมีความพยายามประชุมสมัชชา 5 เพื่อคัดเลือกกรรมการบริหารกลางชุดใหม่ ก็ไม่ได้รับการยอมรับจากมวลสมาชิกและสังคม ยังมีความพยายามอีกสายหนึ่งที่พยายามตั้งพคท.ใหม่ ก็ยากที่จะมีคนยอมรับในฐานะพรรคปฏิวัติใหม่ได้ แต่จะถือเป็นการรวมตัวตั้งกลุ่มอดีตสหายแข่งกันก็ว่าได้



ภาวะการนำโดยกรมการเมืองจึงเป็นองค์กรนำสูงสุด ถ้าระยะเวลาประชุมสมัชชาห่างมาก เช่น สมัชชา 4 หลังสมัชชา 3 นานกว่า 20 ปี สภาวะการนำของกรมการเมืองจึงไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ความเป็นจริง ทำให้การนำมีปัญหาเรื่องประชาธิปไตยในพรรค มีแต่การรวมศูนย์การนำที่มีปัญหาทั้งทฤษฎี การปฏิบัติ และความเป็นจริงของสังคมไทยและสังคาโลก ที่องค์กรนำไม่อาจตามทันสถานการณ์ ก่อให้เกิดภาวะการนำรวมศูนย์ที่ผิด ๆ นี่คือการล่มสลายของพรรคปฏิวัติพรรคเดียวที่เคยยิ่งใหญ่ที่สุด


ดิฉันอยากพูดถึงพรรคการเมืองไทยก็ไม่ใช่พรรคปฏิวัติในปัจจุบัน แต่มีการนำที่รวมศูนย์อยู่ที่คน ๆ เดียว หรือคณะนำ และไม่ปรับปรุงภาวะการนำได้เร็วพอให้ทันสถานการณ์ หมายถึงทั้งองค์ความรู้ด้านทฤษฎี ด้านข้อมูล สถานการณ์ สังคมไทย และไม่มีแนวทางมวลชนมากพอ ที่สำคัญที่สุดคือ จุดยืนของผู้นำ, คณะนำ อยู่ที่ผลประโยชน์ของผู้นำ, คณะนำ ยิ่งกว่าผลประโยชน์ของประเทศชาติประชาชนใช่หรือไม่อันจะทำให้การนำดำเนินไปในทิศทางที่เป็นอุปสรรคความก้าวหน้าของการขับเคลื่อนของพลังก้าวหน้าของประชาชน


ดิฉันคิดว่าบทเรียนการรวมศูนย์มากกว่าประชาธิปไตยในพรรค เสี่ยงต่อการรล่มสลายของพรรคนั้น ๆ แม้ว่าการรวมศูนย์จะทำให้ขับเคลื่อนได้เร็วและดูดี แต่ก็มีขีดจำกัดอยู่ดี ด้วยเหตุผลดังกล่าวแล้ว ถ้าจุดยืนยังอยู่ที่ผู้นำ, หมู่คณะและพรรค ยิ่งกว่าประเทศชาติประชาชน โอกาสที่จะนำพรรคไปในทิศทางผิดและล่มสลายก็เป็นไปได้สูง


ดิฉันคิดว่าระบบประชาธิปไตยรวมศูนย์ ถ้าจะเอามาใช้ในพรรคการเมืองในระบบรัฐสภาปัจจุบัน ควรเน้นที่ประชาธิปไตยและแนวทางมวลชน ยิ่งกว่าการรวมศูนย์ที่แข็งตัว ไม่เชื่อก็รวมศูนย์แบบเผด็จการชนชั้น (?) ต่อไป


ถ้ามีแต่สั่งลงมา ไม่มีสถานีรับขึ้นไปดีพอ ก็คงล่มสลายสักวัน เพราะไม่มีใครเก่งจริง ๆ ดีจริง ๆ เป็นผู้นำที่ได้รับการยอมรับจริงตลอดไป


สำหรับพรรคปฏิวัติ เขามีระบบประชาธิปไตยรวมศูนย์ที่ถือเป็นเผด็จการชนชั้นกรรมาชีพ แต่ถ้าใช้ประชาธิปไตยรวมศูนย์กับพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของชนชั้นนายทุน หรือชนชั้นนำจารีต อาจกลายเป็นเผด็จการของชนชั้น?  เจ้าของพรรคนั้น ๆ ก็ได้


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ธิดาถาวรเศรษฐ #พคท #พรรคการเมือง

น้ำท่วมภาคใต้ยังไม่จบ "น้ำท่วมภาคกลางยังหนัก หลายแห่งจมน้ำราว 5 เดือนแล้ว"

 


น้ำท่วมภาคใต้ยังไม่จบ "น้ำท่วมภาคกลางยังหนัก หลายแห่งจมน้ำราว 5 เดือนแล้ว"


วันที่ 2 ธันวาคม 2568 ทวิวงศ์ โตทวิวงศ์ สส. พระนครศรีอยุธยา เขต 1, ณัฐวุฒิ บัวประทุม สส. บัญชีรายชื่อ, เจษฎา ดนตรีเสนาะ สส. ปทุมธานี เขต 2 และกิตติภณ ปานพรหมมาศ สส. นครปฐม เขต 4 และกรรมาธิการทรัพยากรน้ำ พรรคประชาชน วิเคราะห์สถานการณ์น้ำท่วมภาคกลางแต่ละแห่ง ประชาชนยังได้รับความเดือดร้อนต่อเนื่อง


พระนครศรีอยุธยาจมน้ำมา 5 เดือนแล้ว


ทวิวงศ์ โตทวิวงศ์​ สส. พระนครศรีอยุธยา เขต 1 กล่าวว่า น้ำเริ่มท่วมในพื้นที่ลุ่มต่ำ อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคม จนถึงปัจจุบันท่วมมานานหลายเดือนแล้ว และบางพื้นที่อาจท่วมถึงปลายปี หรือข้ามปี สถานการณ์น้ำและพี่น้องประชาชนในพื้นที่ยังเดือดร้อนถ้วนหน้า


ปัจจุบันนี้ “น้ำในทาง” หรือน้ำที่เอ่อไหลท่วมทั้ง 2 ฝั่งแม่น้ำยังคงท่วมอยู่ แม้จะเริ่มลดลงแล้ว แต่พื้นที่ชุมชนนอกคันกันน้ำ (หรือชุมชนริมแม่น้ำ) หลายแห่งโดยเฉพาะใน อ.บางบาล ยังคงมีน้ำท่วมขังที่ความสูงประมาณ 1 เมตร และเกือบ 2 เมตร ในชุมชนที่อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งส่วนใหญ่แล้วยังคงมีความจำเป็นต้องใช้เรือพายในการเดินทางเข้า-ออกที่อยู่อาศัย


สส. ทวิวงศ์ กล่าวว่า ขณะนี้ ประชาชนในพื้นที่เริ่มทำความสะอาดบ้านเรือนกันแล้ว แต่ในหลายพื้นที่ที่น้ำท่วมสูง ซึ่งในช่วงน้ำท่วมสูงสุด น้ำท่วมถึงระดับพื้นบ้านยกสูงหรือท่วมพื้นชั้น 2 แต่ขณะนี้บางแห่งน้ำลดลงจนไม่ท่วมพื้นบ้านแล้ว แต่ใต้ถุนบ้านนั้น น้ำยังคงท่วมสูงในระดับ 1-2 เมตร


อย่างไรก็ตาม สัญญาณที่ดีคือ แผนการลดการระบายน้ำจากเขื่อนเจ้าพระยาของ กรมชลประทานและ สทนช. เตรียมมีการลดการระบายน้ำประมาณวันละ 100 ลบ.ม./วินาที ซึ่งจะทำให้ อ.บางบาล เข้าสู่สภาวะปกติประมาณช่วงกลางเดือนธันวาคม 2568 นี้ และพื้นที่สุดท้ายของอยุธยาที่น้ำจะลดจนเป็นปกติคือ อำเภอเสนา ซึ่งน่าจะกลับคืนสู่ปกติทั้งหมด ภายในช่วงหลังของเดือนธันวาคม รวมระยะเวลาน้ำท่วมในปีนี้ทั้งสิ้นเกือบ 5 เดือน


สำหรับพื้นที่จังหวัดอ่างทอง ณัฐวุฒิ บัวประทุม สส. บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน รายงานสถานการณ์น้ำท่วมบริเวณปากคลองโผงเผง ซึ่งเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำ โดยข้อมูลจากกรมชลประทาน ระดับน้ำท่วมบริเวณปากคลองโผงเผง ยังสูงกว่าระดับตลิ่งประมาณ 1 เมตร


นอกจากนี้ พื้นที่บริเวณดังกล่าวยังได้รับผลกระทำจากการกัดเซาะของน้ำ เนื่องจากแรงกระแทกของน้ำเมื่อเรือขับผ่าน ทำให้ตลิ่งและถนนทรุดและไม่มีแนวทางป้องกันเบื้องต้น รวมถึงพื้นที่ใกล้เคียงกันยังประสบปัญหาน้ำผุดใต้พนังกั้นน้ำท่วมที่มีการสร้างไว้ เพราะฉะนั้นในภาพรวมประชาชนยังต้องเสี่ยงกับปัญหาตลิ่งทรุดตามมา


ส่วนพื้นที่ปลายน้ำอย่างจังหวัดปทุมธานี เจษฎา ดนตรีเสนาะ สส. ปทุมธานี เขต 2 กล่าวว่า ระดับน้ำยังคงท่วมหลายชุมชน ทั้ง อ.สามโคก และ อ.เมือง (เช่น ชุมชนเจดีย์ทอง บ้านสามเรือน วัดศาลาแดง วัดเมตารางค์ วัดป่างิ้ว วัดสวนมะม่วง คลองคู วัดโพธ์เลื่อน บ้านกระแชง เกาะลอย วัดตลาดเหนือ วัดเกาะเกรียง คลองตานก บ้านม่วง เป็นต้น) ทำให้พี่น้องประชาชนยังคงใช้ชีวิตด้วยความลำบากเพราะถ้าไม่มีสะพานและพายเรือไม่ได้ ก็ต้องเดินลุยน้ำ


เช่นเดียวกับสถานการณ์น้ำท่วมบริเวณลุ่มน้ำท่าจีน กิติภณ ปานพรหมมาศ สส. นครปฐม เขต 4 กล่าวว่า ชุมชนริมแม่น้ำท่าจีนหลายจุดยังมีความเดือดร้อนจากน้ำท่วมขัง–น้ำล้นตลิ่ง โดยเฉพาะบ้านเรือนริมคลองและพื้นที่ลุ่มต่ำ ระดับน้ำบางช่วงยังสูง 30–40 ซม.


น้ำในทุ่ง จะหมดเมื่อไร


ส่วน “น้ำในทุ่ง” นั้น ปริมาณน้ำยังคงท่วมทุ่งอยู่มาก และไม่สามารถระบายออกได้ เนื่องจากต้องรอให้น้ำที่อยู่ริมแม่น้ำจำเป็นต้องลดลงก่อน ถึงจะสามารถระบายน้ำออกจากทุ่งได้ ทั้งนี้ ตามแผนการระบายน้ำออกจากทุ่งของกรมชลประทานแจ้งว่า จะเริ่มระบายน้ำออกจากทุ่งบางบาล-บ้านแพน (ที่มีน้ำเหลือในทุ่ง 30.7 ล้านลูกบาศก์เมตร) ในวันที่ 1 ธันวาคม และจะระบายน้ำได้หมดในวันที่ 30 ธันวาคม ปีนี้


ส่วนพื้นที่ทุ่งที่มีการระบายน้ำออกจากทุ่งได้ล่าช้าที่สุดตามแผนดังกล่าวคือ ทุ่งโพธิ์พระยา พื้นที่กว่า 200,000 ไร่ (ปริมาณน้ำเหลือในทุ่ง 235 ล้านลูกบาศก์เมตร) จะเริ่มระบายน้ำออกจากทุ่งโพธิ์พระยา ในวันที่ 1 ธันวาคม และจะระบายน้ำได้หมดในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2569 หรือท่วมข้ามปี


สส. ทวิวงศ์ และ สส. กิตติภณ สะท้อนว่า พี่น้องเกษตรกรในพื้นที่ทุ่งรับน้ำเป็นห่วงว่า การระบายน้ำที่ช้า อาจจะกระทบปฏิทินการเพาะปลูกของเกษตรกรชาวนา ทำให้เริ่มเพาะปลูกได้ช้ากว่าปกติ และทำให้เกิดปัญหาข้าวกระทบร้อน (ข้าวผลผลิตต่ำเนื่องจากอุณหภูมิสูง) ในช่วงเดือนเมษายนได้


ติดตามเงินเยียวยา


สิ่งที่พี่น้องประชาชนในพื้นที่ให้ความสนใจคือเงินช่วยเหลือเยียวยาจากรัฐบาล ซึ่งพี่น้องประชาชนส่วนมากได้รับเงินเยียวยา 9,000 บาทแล้ว แต่พี่น้องยังรอการประเมิน และเงินเยียวยาในส่วนที่เป็นขั้นบันได (ตามระยะเวลาการท่วม สูงสุด 20,000 บาท/ครัวเรือน)


นอกจากนี้ สส. ทวิวงศ์ กล่าวว่า พี่น้องชาวอยุธยายังคงเฝ้ารอว่า จะมีเงินชดเชยค่าซ่อมแซมบ้านที่เสียหายหรือไม่ เนื่องจากในช่วงน้ำท่วม 2 ปีที่ผ่านมา มีเพียงการชดเชยค่าครองชีพ 9,000 บาท เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ไม่มีค่าชดเชยความเสียหายหรือค่าซ่อมแซมที่อยู่อาศัยจากรัฐบาล และความเสียหายต่อบ้านเรือนจริงมีมากกว่านั้น จึงอยากให้รัฐบาลพิจารณาช่วยเหลือตามความเสียหายจริงด้วย


เร่งฟื้นฟูพื้นที่ชุมชน


นอกจากการช่วยเหลือเยียวยาบ้านเรือนประชาชน พี่น้องประชาชนในภาคกลาง ยังเรียกร้องให้ รัฐบาลต้องใช้งบประมาณในการฟื้นฟูอาคารและพื้นที่สาธารณะ โดยหลังช่วงน้ำลด รัฐบาลจำเป็นต้องเป็นสื่อกลางในการจัดหาเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง รวมถึง อาสาสมัคร เพื่อเข้ามาช่วยเหลือการทำความสะอาดพื้นที่สาธารณะที่จำเป็น เช่น โรงเรียน รพสต. อาคารราชการ อาคารเอนกประสงค์ หรือ สถานที่ของส่วนรวม เป็นต้น เช่นควรตั้งเป้า ฟื้นฟูอาคารและพื้นที่โรงเรียนที่สดใสและปลอดภัยให้ทันวันเด็กปี 2569


สส. ณัฐวุฒิ สะท้อนความห่วงใยของพี่น้องชาวอ่างทอง ที่อยากให้รัฐบาลเข้ามาดูแลปัญหาตลิ่งทรุดตัวโดยด่วน เพราะจะเป็นอันตรายต่อพี่น้องประชาชนได้ สส. กิตติภณ สะท้อนว่า พี่น้องชาวนครปฐม อยากให้รัฐบาลเร่งซ่อมแซมถนนหลายสายให้กลับมาใช้งานได้อีกครั้ง และ สส.เจษฎา เรียกร้องให้รัฐบาลเข้ามาดูแลและบูรณะโบราณสถานหลายแห่งในจังหวัดปทุมธานี ที่ต้องแช่น้ำมาเป็นเวลานานด้วย


แผนแก้ไขปัญหาในระยะยาว


สส. กิตติภณ ในฐานะกรรมาธิการทรัพยากรน้ำ รายงานว่า ขณะนี้ กรรมาธิการทรัพยากรน้ำได้ตั้งคณะอนุกรรมาธิการฯ เพื่อพิจารณาข้อเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมลุ่มน้ำท่าจีน-เจ้าพระยา ระยะยาว โดยการแบ่งเบายอดน้ำจากตอนบนเหนือเขื่อนเจ้าพระยา และการปรับปรุงระบบการระบายน้ำแนวเหนือใต้ ไม่ให้เกิดปัญหาคอขวดที่น้ำไหลผ่านไม่ได้ จนกลายเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ชาวอยุธยา และขาวนครปฐม ต้องรับน้ำท่วมยาวนานว่าปกติ


ส่วน สส. ทวิวงศ์ เห็นว่า หากรัฐบาลยังใช้วิธีการ “ระบายน้ำในทาง” เป็นหนึ่งในวิธีการบริหารมวลน้ำจำนวนมากมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลต้องอนุมัติงบประมาณราชการเพื่อจัดทำ “เงินสนับสนุนการดีดบ้าน-โครงสร้างพื้นฐาน” ให้แก่ประชาชนและชุมชนที่อาศัยอยู่นอกคันกั้นน้ำหรือพื้นที่ริมแม่น้ำ เพื่อฟื้นฟูพื้นที่ชุมชนแบบยั่งยืน เพื่อให้ชุมชนสามารถมีวิถีชีวิตที่สามารถ “อยู่ร่วมกับน้ำ” ทั้งในช่วงฤดูน้ำหลากหรือฤดูแล้งให้เกิดขึ้นจริงได้ เพราะมิเช่นนั้น ความลำบาก และ การฟื้นฟูแบบเฉพาะหน้าจะต้องดำเนินต่อไปแบบไม่รู้จบ และส่งผลกระทบแบบซ้ำซากต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนผู้ประสบภัยในทุก ๆ ปี

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #น้ำท่วม










ลิซ่า ขีดเส้น 7 วัน สรุปงาน ยื่นข้อเสนอ 5 เรื่องให้ภราดร ผอ. ศป.กฉ. สำคัญต้องจัดการเฟสฟื้นฟูด่วน ถ้าปล่อยให้นานกว่านี้ปัญหาจะยิ่งรุนแรง

 


ลิซ่า ขีดเส้น 7 วัน สรุปงาน ยื่นข้อเสนอ 5 เรื่องให้ภราดร ผอ. ศป.กฉ. สำคัญต้องจัดการเฟสฟื้นฟูด่วน ถ้าปล่อยให้นานกว่านี้ปัญหาจะยิ่งรุนแรง


วันที่ 2 ธันวาคม 2568 ภคมน หนุนอนันต์ สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ยังประจำการอยู่ที่สงขลา หาดใหญ่ เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนจากภัยน้ำท่วมต่อเนื่อง


ภคมนกล่าวว่า จากข่าวที่ ผอ.ศูนย์ ศป.กฉ ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินอุทกภัยได้มีการประชุมร่วมกับภาคประชาชน (มูลนิธิกระจกเงา) เรื่องการฟื้นฟูน้ำท่วมหาดใหญ่ และต้องจัดการให้มีน้ำ-ไฟใช้ได้ทุกพื้นที่ภายใน 2 วัน ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องจัดการสำหรับเฟสฟื้นฟูพื้นที่หลังน้ำท่วม และต้องทำให้เกิดขึ้นภายใน 7 วันนับตั้งแต่วันนี้ เพราะถ้าปล่อยให้นานกว่านี้ ปัญหาจะขยายตัวรุนแรงขึ้น


5 เรื่องสำคัญที่รัฐต้องเร่งลงมือทำให้ได้ภายใน 7 วัน


1. สั่งปูพรมภารกิจ “Big Cleaning”ทั้งเมืองอย่าทำแบบกระจัดกระจายเพื่อเปิดเมืองรับปีใหม่ เรามีเวลาไม่มาก เศรษฐกิจหาดใหญ่ต้องฟื้นให้ทันช่วงปีใหม่ เพื่อรับนักท่องเที่ยวมาเลย์-สิงคโปร์


รัฐต้องระดมพล : ไม่ใช่แค่กวาดถนน แต่ต้องเข้าช่วย “ล้างบ้าน” ตรวจเช็ค วงจรไฟฟ้า ให้บ้านผู้สูงอายุและคนตัวเล็กตัวน้อยที่ทำเองไม่ไหว


ต้องเร่งเอารถใหญ่เข้ามาจัดการขยะพิษ  ขยะชิ้นใหญ่และขยะอันตรายต้องมีจุดทิ้งและรถขนเฉพาะกิจ อย่าปล่อยให้ชาวบ้านกองทิ้งไว้หน้าบ้านจนเกิดโรคและขนของกันเอง ทำให้เกิดปัญหาโรคภัยไข้เจ็บและจราจรติดขัดตามมา


2. ปัญหา “รถจมน้ำ” ทั้งรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ เป็นวิกฤตขนส่งในเมืองหาดใหญ่เพราะปกติก็ไม่มีขนส่งสาธารณะอยู่แล้วคนรอบนอกเข้ามาทำมากินไม่ได้มันเป็นวิกฤตคนจนเมือง คนหาดใหญ่จำนวนมาก “หมดทางทำมาหากิน” เพราะมอเตอร์ไซค์และรถยนต์จมน้ำ


รัฐตั้งหน่วยซ่อมเคลื่อนที่ รัฐต้องตั้งจุดบริการซ่อมฟรี! ทั้งรถและเครื่องใช้ไฟฟ้า ให้เขากลับมาใช้ชีวิตได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเปราะบางในหาดใหญ่และพื้นที่ใกล้เคียงมีสถาบันอาชีวะหลายแห่ง สามารถขอความร่วมมือระดมพลมาโดยการสนับสนุนทรัพยากรจากภาครัฐได้


รถโดยสารฟรีต้องมา ระหว่างที่รถชาวบ้านพัง รัฐต้องจัดรถโดยสารสาธารณะวิ่งวนรับ-ส่งฟรี ในเขตเมืองและเชื่อมต่ออำเภอใกล้เคียงทันที


3. รื้อระบบเยียวยา : จ่ายไว จ่ายจริง เลิกพิสูจน์ความจน ยกเลิกขั้นตอนยิบย่อยทั้งหมด


ให้นำเทคโนโลยีมาใช้ เลิกให้ชาวบ้านถ่ายเอกสารบัตรประชาชนเปียกน้ำไปต่อแถวลงทะเบียน! ใช้ข้อมูลพิกัดมือถือ (Mobile Signal) หรือภาพถ่ายดาวเทียม GISTDA ซ้อนทับทะเบียนบ้าน แล้วโอนเงินเข้าบัญชีได้เลย


SMEs ต้องรอดพ้นจากสภาพความเสียหายที่เกิดขึ้น พักหนี้ 1 ล้านบาทมันน้อยไปสำหรับโรงงานและร้านค้า ต้องขยายเป็น 5 ล้านบาท และต้องมีมาตรการ “Soft Loan” ดอกเบี้ยต่ำพิเศษ เพื่อให้ธุรกิจเดินต่อได้ ไม่ใช่ปล่อยให้ธุรกิจเจ๊งแล้วเลิกจ้างคนงาน


ต้องเพิ่มเงินเยียวยา: 9,000 บาทไม่พอ ต้องเพิ่มค่าล้างบ้าน 10,000 บาท + ค่าเครื่องมือทำกิน 12,000 บาท (หรือจะมากกว่านั้นท่านก็คำนวนดู + ค่าซ่อมบ้านตามจริง (เพดาน 1 แสน) ด้วย


ภคมนย้ำว่า นี่คือข้อเสนอจากประชาชนตัวเล็กตัวน้อยที่สะท้อนความเดือดร้อนและได้รับฟังมาขณะลงพื้นเป็นเวลา 9 วัน


4. ฟื้นฟูสาธารณสุข และ “สังคายนา” ข้อมูลผู้เสียชีวิต เร่งด่วนที่สุดซ่อม รพ.หาดใหญ่ และ รพ.สต. ต้องกลับมาให้ใช้งานได้ให้เร็วที่สุด


ปูพรมให้กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ต้องสั่งการให้ หน่วย MCATT (Mental Health Crisis Assessment and Treatment Team) ลงพื้นที่แบบเชิงรุก เพราะนี่คือทีมเฉพาะกิจด้านสุขภาพจิตที่จัดตั้งโดยกรมสุขภาพจิต มีหน้าที่ประเมิน ฟื้นฟู และดูแลผู้ประสบเหตุการณ์รุนแรงในระยะเร่งด่วน ขณะประชาชนจำนวนมากเกิดภาวะภาวะ PTSD (Post-Traumatic Stress Disorder) หรือ "โรคเครียดหลังผ่านเหตุการณ์ร้ายแรง"


เปิดข้อมูลความตาย : รัฐต้องกล้าเปิดเผยตัวเลขผู้เสียชีวิตอย่างละเอียด แยกแยะเลยว่า จมน้ำตาย หรือตายเพราะไฟดับ-เครื่องมือแพทย์หยุดทำงาน และสาเหตุอื่นที่เกี่ยวเนื่องกัน เช่น ไฟช็อต อดอาหาร ไตวายเนื่องจากไม่สามารถไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลได้เพราะน้ำท่วม ฯลฯ


5. ข้อนี้สำคัญที่สุด : “หยุดตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ” ภคมนขอเรียกร้องให้ นายก อบจ.สงขลา และผู้มีอำนาจ เงินเป็นพัน ๆ ล้าน เวลานี้การเอาแต่สร้างถนนอย่างเดียวไม่ใช่เรื่องหลักและเร่งด่วน แต่ชีวิตคนสำคัญที่สุด เอาเงินมาอัดฉีดซ่อมโรงเรียน ซ่อมโรงพยาบาล ซ่อมวัด ซ่อมมัสยิด ให้กลับมาใช้งานได้ นี่คือสิ่งที่ผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์ควรทำ


ที่สำคัญที่สุดจังหวัดสงขลาไม่ได้มีแค่ อ.หาดใหญ่ ขณะนี้อำเภอรอบนอกอย่าง อ.ระโนด น้ำยังท่วมอยู่ ต้องจัดสรรทรัพยากรมาบริหารจัดการบรรเทาทุกข์และความเดือดร้อนให้พวกเขาด้วย


ภคมนกล่าวว่าหาดใหญ่เป็นเมืองศักยภาพสูง ตนเองเกิดและเติบโตที่หาดใหญ่ เรียนที่หาดใหญ่ และเข้าใจบริบทเมืองและอยู่ในพื้นที่น้ำท่วมตั้งแต่วันที่ 2 ของเหตุการณ์ จนวันนี้เข้าสู่เฟสการฟื้นฟูแล้ว หากมีศักยภาพบริหารจัดการดี เราฟื้นตัวได้เร็วแน่นอน


ภคมนย้ำว่า ข้อเสนอทั้งหมดนี้ ตนตั้งใจรวบรวมมาให้เกิดจากการลงมือทำจริงๆ ไม่ได้รับรายงานจากใคร ตนและทีมอาสาลงมือทำเองเห็นกับตาสัมผัสด้วยหัวจิตหัวใจตัวเอง ไม่ได้ต้องการจะเกทับใด ๆ แต่ท่านลงไม่ถึงในพื้นที่ที่ตนไป ย่อมรายละเอียดปลีกย่อยของปัญหาเหล่านี้ไม่ออก ข้อเสนอดังกล่าว สามารถนำไปใช้ได้เลยไม่ต้องกลัวเสียเชิง เพื่อให้เกิดประโยชน์และผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ตนจะไม่เสียเวลานั่งพิมพ์เพื่อสื่อสารยาวขนาดนี้ ถ้ามีอำนาจรัฐ ถ้าพรรคประชาชนเป็นรัฐบาล ดังนั้นรับไปทำได้เลย จะได้ลดเวลาไม่ต้องเรียกคุยทีละฝ่าย


นี่คือข้อเท็จจริง ตนอยู่ในพื้นที่ มีรัฐมนตรีติดต่อมาอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 2 ท่านและตนได้นำเสนอปัญหาไปและท่านก็เอาไปดำเนินการจนเกิดผลลัพธ์ที่พอบรรเทาและประทังชีวิตของพี่น้องประชาชนได้ ดังนั้นเชื่อใจตนได้ว่าข้อมูลทั้งหมดนี้คือข้อเท็จจริงที่อยากเห็นผลลัพธ์มันเกิดขึ้นจริงโดยเร็วที่สุด

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #น้ำท่วมใต่ #หาดใหญ่









จดหมายจากเรือนจำ “อานนท์” เขียน “การซื่อสัตย์กับตัวเอง การพูดความจริง และ การยอมรับความจริง คือสิ่งที่ผมภูมิใจในชีวิต”

 


จดหมายจากเรือนจำ “อานนท์” เขียน “การซื่อสัตย์กับตัวเอง การพูดความจริง และ การยอมรับความจริง คือสิ่งที่ผมภูมิใจในชีวิต”


วันนี้ (1 ธ.ค. 68) เพจเฟซบุ๊ค อานนท์ นำภา เผยแพร่ข้อความในจดหมายฉบับลงวันที่ 27 พฤศจิกายน 2568 ใจความว่า


“เรากำลังเผชิญกับความจริงอันน่ากระอักกระอ่วน” มิตรสหายท่านหนึ่งกล่าวเอาไว้นานมาแล้วในห้วงการชุมนุมของหนุ่มสาวปี 2563 ผมก็พลอยใช้คำว่า “กระอักกระอ่วน” ไปด้วย คืนนี้กลับจากศาลซึ่งทั้งวันก็ว่าความในฐานะทนายความตลอดทั้งวัน ต้องเผชิญกับความจริงอันน่ากระอักกระอ่วน ก่อนเขียนจดหมายฉบับนี้จึงลองเปิดพจนานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2545 ดูคำว่า “กระอักกระอ่วน” ว่าหมายความว่าอย่างไร 


“กระอักกระอ่วน” หมายถึง ป่วน, พิพักพิพ่วน, ลังเลใจ, ตกลงใจไม่ได้ แต่ในพจนานุกรมหน้าเดียวกัน ผมเหลือบไปเห็นคำอีกคำหนึ่งซึ่งน่าจะตรงกับความจริงที่เกิดขึ้นในการชุมนุมของหนุ่มสาวปี 2563 มากกว่า คือคำว่า “กระอิดกระเอื้อน” 


”กระอิดกระเอื้อน“ หมายถึง อิดเอื้อน, ไม่กล้าที่จะพูด, กล่าวไม่เต็มปาก, แสดงอาการไม่สู้เต็มใจ ในความรู้สึกถ้าไม่เอาพจนานุกรมเป็นบรรทัดฐาน “กระอักกระอ่วน” ให้ความรู้สึกทำนองว่าคลื่นไส้จะอ้วกด้วย (กระอัก หมายถึง ทะลักออกมาจากคอ เช่น กระอักเลือด กินอิ่มจนแทบกระอัก)


ความรู้สึกของคนในสังคมเป็นกระอักกระอ่วนหรือกระอิดกระเอื้อนก็ตาม การพูดความจริงก็นำมาซึ่งเหตุเภทภัยของผมอย่างที่เป็นอยู่และกำลังดำเนินไป


การซื่อสัตย์กับตัวเอง การพูดความจริง และ การยอมรับความจริง คือสิ่งที่ผมภูมิใจในชีวิต


อานนท์ นำภา

27 พ.ย. 68


ทั้งนี้ อานนท์ยังถูกขังระหว่างอุทธรณ์อยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 26 ก.ย. 2566 ระยะเวลา 2 ปีกว่าแล้ว หลังศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในคดี ม.112 จำนวน 10 คดี และโทษจำคุกในคดีต่างๆ ที่ยังไม่สิ้นสุดรวมกัน 26 ปี 37 เดือน 20 วัน หรือประมาณ 29 ปี 1 เดือนเศษ


โดยเมื่อ 14 พ.ย. 68 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เปิดเผยว่า ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกคำร้องการประกันตัว อานนท์ นำภา ในคดีมาตรา 112 จำนวน 6 คดี หลังทนายความยื่นคำร้องขอประกันตัวไปเมื่อวันที่ 7 พ.ย. 68 ที่ผ่านมา คำสั่งยกคำร้องระบุโดยสรุปว่า “ไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม”


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #อานนท์นำภา #มาตรา112