วันอังคารที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2568

“รักชนก-สหัสวัต” ยื่นหนังสือถึง “พิพัฒน์” จี้สอบข้อเท็จจริงประกันสังคมซื้อตึก 7 พันล้าน-ทำเว็บแอป 850 ล้าน ชี้ต้องปฏิรูป โต้กลับ “สุชาติ” ให้ประชาชนตัดสิน ใครเล่นการเมืองสกปรก

 


“รักชนก-สหัสวัต” ยื่นหนังสือถึง “พิพัฒน์” จี้สอบข้อเท็จจริงประกันสังคมซื้อตึก 7 พันล้าน-ทำเว็บแอป 850 ล้าน ชี้ต้องปฏิรูป โต้กลับ “สุชาติ” ให้ประชาชนตัดสิน ใครเล่นการเมืองสกปรก 


วันที่ 11 มีนาคม 2568 เวลา 16.00 น. ที่กระทรวงแรงงาน นางสาวรักชนก ศรีนอก เเละ นายสหัสวัต คุ้มคง สส.พรรคประชาชน เดินทางมายื่นหนังสือกับ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เพื่อขอให้ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง ในกรณีต่างๆ ที่เคยออกมาเปิดเผยของ สำนักงานประกันสังคม


อีกทั้งเรื่องการเปิดเผยข้อมูลเอกสาร ประกันสังคมสู่สาธารณะในเว็บไซ์ การจัดทำ app ประกันสังคมมูลค่า 850 ล้านบาท การใช้งบประมาณอย่างไม่โปร่งใสต่าง ๆ ตลอดจนการเข้าซื้อตึก SKYY9 ที่แม้ไม่ได้เกิดขึ้นในสมัยของนายพิพัฒน์ แต่ก็ถือเป็นความรับผิดชอบของ รมว.แรงงาน คนปัจจุบัน


น.ส.รัชนก กล่าวว่า เมื่อวาน (10 มี.ค.) เปิดเรื่องตึก วันนี้มีการพูดคุยการขยายเงินการลงทุนนอกตลาด วงเงิน 1.3 แสนล้านบาท สิ่งที่อยากเห็นคือ ความโปร่งใสตรงไปตรงมา ไม่อยากให้เห็นการประเมินค่า ตึก อสังหาริมทรัพย์อย่างโอเวอร์ อยากให้ใช้โอกาสนี้ปฏิรูปประกันสังคม ให้เป็นที่ยอมรับนับถือ


ด้าน นายพิพัฒน์ กล่าวขอบคุณ สส.ทั้ง 2 คน ที่มายื่นเรื่องให้ตรวจสอบผู้บริหารประกันกันสังคม โดยตนเข้าใจดี และตระหนักดีว่า จะต้องทำในเรื่องใดบ้าง โดยเฉพาะในเรื่องประกันสังคม ซึ่งขณะนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับกระทรวงแรงงาน ได้สั่งตั้งกรรมตรวจสอบข้อเท็จริงเเล้วภายใน 90 วัน 


นายพิพัฒน์ ย้ำว่า พร้อมให้คณะกรรมาธิการทุกคณะ ทุกกรมตรวจสอบ ตนและปลัดกระทรวงแรงงาน พร้อมที่จะชี้แจง โดยเฉพาะหากต้องการตรวจสอบ ต้องการเอกสารโครงการใดๆ ขอให้แจ้งมา หากเป็นโครงการที่มีการจัดซื้อจัดจ้างดำเนินการไปเเล้ว พร้อมส่งมอบให้ทันที แต่ถ้าเป็นการจัดซื้อจัดจ้าง ที่อยู่ระหว่างดำเนินการขออนุญาตสงวนสิทธิ์ เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเอกชน พร้อมรับฟังการวิพากษ์ วิจารณ์ และพร้อมรับการตรวจสอบในทุกมิติ


นายพิพัฒน์ ยังชี้แจง ประเด็นการซื้อตึก SKYY9 ว่า ดำเนินการอย่างถูกต้องตามขั้นตอน โดยเลขาธิการประกันสังคมคนก่อน ก็คือปลัดกระทรวงแรงงานคนปัจจุบัน เป็นคนเสนอผ่านบอร์ดของประกันสังคม มี ครม.รับรอง และมีบริษัทหลักทรัพย์จัดการการลงทุนหรือ บลจ.เป็นผู้ดูเเล พร้อมยืนยันว่า ไม่ได้เเก้ตัวเเทน นายสุชาติ ชมกลิ่น อดีต รมว.แรงงาน ในสมัยนั้น


ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้ นางมารศรี ใจมารศรี เลขาธิการประกันสังคม คนปัจจุบัน นำเอกสารการซื้อตึก SKYY9 มาให้กับ สส.ไอซ์ ตรวจสอบ เพื่อความโปร่งใส ส่วนที่มีการพุ่งเป้าว่า เลขาฯ สปส.คนเก่ามีส่วนเกี่ยวข้อง ได้สอบถามแล้ว ยืนยันว่า ดำเนินการไปตามกระบวนการทั้งหมด ยินดีที่จะนำเอกสารมาให้ตรวจสอบ เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับ โดยนอกจากที่ สส.ไอซ์ สส.สหัสวัต ที่ร่วมกันตรวจสอบเเล้ว ตอนนี้ก็ยังมีผู้ยื่นเรื่องให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ในการดำเนินการตรวจสอบอีกด้วย


นายพิพัฒน์ ระบุด้วยว่า สำหรับความเป็นห่วง เรื่องการลงทุนในสินทรัพย์ ที่จะเพิ่มขึ้น 15% ในสินทรัพย์นอกตลาด เป็นการกระจายการลงทุนนั้น อย่าได้กังวล เพราะตนเพียงเเค่มีการเสนอนโยบายออกไป เเต่การประเมินและการตัดสินใจทั้งหมด คือเจ้าหน้าที่ต่างๆ และกองทุนประกันสังคม ยังมีคณะกรรมการประกันสังคม หรือ บอร์ดชุดใหญ่ที่มีอยู่ 21 ท่าน ซึ่งปัจจุบันก็มีกลุ่มก้าวหน้า ที่เป็นตัวเเทนบอร์ดเข้ามาร่วมอยู่ด้วย 7 ท่าน


ส่วนที่มีเสียงวิจารณ์ว่า ตนไม่มีความเชี่ยวชาญ ในการบริหารกระทรวงแรงงาน ยืนยันว่า เราไม่ใช่คนที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญทุกเรื่อง แต่ตนก็มาจากภาคธุรกิจ สิ่งที่ต้องการ และมีความตั้งใจคือ ในเมื่อมาจากภาคธุรกิจ จะต้องทำอย่างไรก็ได้ ที่ไม่ให้มีการขาดทุน


ด้าน นายสหัสวัต กล่าวภายหลังการชี้แจงจาก รมว.แรงงานว่า สิ่งที่กังวล และมีการตั่งข้อสงสัยทั้งหมดเกี่ยวเนื่องกับประกันสังคม อยากให้เอาบันทึกกการประชุมมาเปิด ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก ย้ำว่า ไม่ได้ขัดขวางการลงทุน เพราะทั่วโลกเขาต้องทำกัน เเต่ต้องทำมาเปิดเผย โดยจะต้องชี้แจงกับผู้ประกันตนว่า จะเพิ่มวงเงิน 1.3 แสนล้านบาท จะต้องสอบถามประชาชน มองว่า สามารถที่จะใช้เเอป สอบถาม ประชาพิจารณ์ จากประชาชนได้


ส่วนกรณีที่ นายสุชาติ ชมกลิ่น อดีต รมว.แรงงาน โพสต์เฟซบุ๊กพาดพิงตนเองว่าเล่นการเมืองแบบสกปรก หลังจากที่ตนเองออกมาแฉงบซื้อตึกย่านพระราม 9 จำนวน 7,000 ล้านบาท โดยระบุว่าเรื่องนี้ต้องให้ประชาชนตัดสินว่าใครที่เล่นการเมืองสกปรก 


รักชนก ระบุว่า จริงๆ ไม่ได้อยากออกมาตอบโต้ในเวทีนี้ ประเด็นอย่าบิดเบือนทางการเมือง ต้องให้พ่อเเม่พี่น้องเป็นคนตัดสินว่า ใครเป็นคนที่เล่นการเมืองสกปรก ตนเป็น สส.สมัยเเรก เรียกร้องทุกสิ่งอย่างให้มีการเปิดเผย เชื่อว่าประชาชนตัดสินใจได้ว่า ตนทำงานการเมืองแบบไหน กับอีกท่านหนึ่งที่เป็นรัฐมนตรีมาหนึ่งสมัยเต็ม ๆ ที่ผ่านมาบริหารกระทรวงแรงงาน โดยเฉพาะกองทุนประกันสังคมให้อยู่ในเงาดำมืด ที่ตนเองต้องมาขุดคุ้ยสิ่งต่าง ๆ ไม่ใช่เพราะรัฐมนตรีกระทรวงแรงงานท่านเก่าหรือ ที่เอาผ้าดำมาคลุมสำนักงานประกันสังคม เราถึงต้องมาถลกออก จึงให้ผู้ประกันตน ประชาชนเป็นคนตัดสินว่า ใครเล่นการเมืองสกปรก หาประโยชน์จากผู้ประกันตน


นายสหัสวัต คุ้มคง สส.ชลบุรี พรรคประชาชน ระบุว่า เรื่องตึกพระราม 9 ตนเองเห็นผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์หลายคน ออกมาประเมินมูลค่าตึก สิ่งที่ตนเองยืนยันคือ กองทุนประกันสังคมซื้อตึกมา 7,000 ล้านบาท มีกระบวนการลงทุนที่น่าตั้งข้อสงสัย คนที่จะวิจารณ์ว่าโปร่งใส มีธรรมาภิบาลหรือไม่ คือประชาชน ไม่ใช่พวกเรา


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #กระทรวงแรงงาน #พรรคประชาชน




“รักชนก-สหัสวัต” ยินดีมติบอร์ดประกันสังคมปรับสูตรบำนาญ คืนความเป็นธรรมให้ผู้ประกันตน เตรียมผลักดันแก้ไข พ.ร.บ.ประกันสังคม ยกระดับเป็นองค์กรอิสระ ขอรัฐบาลสนับสนุน

 


รักชนก-สหัสวัต” ยินดีมติบอร์ดประกันสังคมปรับสูตรบำนาญ คืนความเป็นธรรมให้ผู้ประกันตน เตรียมผลักดันแก้ไข พ.ร.บ.ประกันสังคม ยกระดับเป็นองค์กรอิสระ ขอรัฐบาลสนับสนุน


วันที่ 11 มีนาคม 2568 ที่สำนักงานประกันสังคม รักชนก ศรีนอก สส.กรุงเทพฯ พรรคประชาชน และ สหัสวัต คุ้มคง สส.ชลบุรี พรรคประชาชน ร่วมติดตามการประชุมบอร์ดประกันสังคม ซึ่งมีการพิจารณาในประเด็นสำคัญคือการปรับสูตรคำนวณบำนาญชราภาพใหม่ ให้ผู้ประกันตนมาตรา 39 ได้รับความเป็นธรรมมากขึ้น โดยผลการประชุมมีมติอนุมัติปรับสูตรคำนวณเป็นสูตรใหม่แล้ว


หลังการประชุมเสร็จสิ้น ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี คณะกรรมการบอร์ดประกันสังคมฝ่ายผู้ประกันตน ได้ร่วมแถลงกับบอร์ดถึงผลการประชุม โดยระบุว่า มติวันนี้ถือเป็นข่าวดีของผู้ประกันตนและนายจ้างที่จะสามารถเพิ่มสวัสดิการให้ผู้ประกันตนได้อย่างเป็นธรรม ด้วยการปรับสูตรคำนวณบำนาญจากการคำนวณค่าจ้างเฉลี่ยในช่วง 60 เดือนสุดท้าย (5 ปี) มาเป็นการเฉลี่ยค่าจ้างตลอดอายุการทำงานแทน และมีการปรับตามอัตราค่าเงินพร้อมการปรับฐานเงินเดือน โดยกระบวนการต่อจากนี้จะเข้าสู่การทำประชาพิจารณ์ให้แล้วเสร็จภายใน 90 วันตามกรอบกฎหมาย ถือว่าสามารถเดินตามก้าวที่วางไว้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ประกันตน โดยเฉพาะตามมาตรา 39 และมาตรา 33 ส่วนหนึ่งที่สูญเสียเงินค่าจ้างในช่วงท้ายของการสมทบ


ษัษฐรัมย์กล่าวต่อไปว่า สิ่งที่จะผลักดันต่อไปคือ พ.ร.บ.ประกันสังคมฉบับใหม่ที่จะทำให้ประกันสังคมเป็นองค์กรอิสระ ไม่อยู่ภายใต้ระบบราชการที่ทำให้การได้รับสิทธิประโยชน์และการปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์มีความล่าช้าแบบทุกวันนี้ ความสำเร็จวันนี้ได้มาเพราะเสียงของประชาชน สื่อมวลชน และนักการเมืองที่ยึดโยงกับประชาชน และเพราะสำนักงานประกันสังคมมีบอร์ดที่มาจากการเลือกตั้ง ตนจึงขอให้ทุกคนร่วมกันจับตาไม่ให้ พ.ร.บ.ประกันสังคมที่กำลังอยู่บนโต๊ะคณะรัฐมนตรี ที่มีหลักการจะให้ยกเลิกการเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคม ผ่านการลักไก่ออกมาได้


ในส่วนของสหัสวัตระบุว่า มติเรื่องนี้เป็นแค่การทวงความยุติธรรมคืนให้ผู้ประกันตนตามมาตรา 39 แต่ปัญหาของการคิดบำนาญเป็นแค่ส่วนหนึ่งของอีกร้อยพันปัญหาในสำนักงานประกันสังคม ปัญหาจริงคือโครงสร้างที่ไม่เปิดให้มีการตรวจสอบ และไม่ให้ผู้ประกันตนเข้ามามีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ อยู่ใต้กรอบการทำงานแบบราชการ ที่อืดอาด ไม่คล่องตัว ตรวจสอบยาก และผู้ประกันตนไม่มีอำนาจอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นต้นตอที่ทำให้เกิดปัญหาหลายปัญหาในสำนักงานประกันสังคมอย่างที่รู้กันวันนี้


แม้วันนี้จะสามารถแก้ปัญหาย่อยแบบนี้ได้หนึ่งปัญหา แต่ถ้าอยากจะให้สำนักงานประกันสังคมมีความเป็นธรรมและสร้างหลักประกันให้กับผู้ประกันตนได้จริงๆ ทางออกมีทางเดียวคือการรื้อระบบ ยกระดับประกันสังคมออกจากระบบราชการ ซึ่งจะทำได้ผ่านการยื่นร่างแก้ไข พ.ร.บ.ประกันสังคมเท่านั้น แม้วันนี้พรรคประชาชนจะมีกฎหมายแล้ว แต่ตนขอส่งเสียงถึงรัฐบาลให้ช่วยกันทำเรื่องนี้เพื่อให้ผู้ประกันตนได้ประโยชน์อย่างแท้จริงด้วย


ในส่วนของรักชนกระบุว่า การคืนความเป็นธรรมถึงแม้จะล่าช้า แต่ก็เป็นก้าวแรกที่สำนักงานประกันสังคมยอมขยับขยาย ก้าวเปลี่ยนให้ทันตามความต้องการของผู้ประกันตน แต่ไม่ใช่ว่าเมื่อสำเร็จเรื่องนี้แล้วจะจบสิ้นไปเลย ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องมีการติดตามในสำนักงานประกันสังคมกันต่อไป

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ประกันสังคม #พรรคประขาชน












มติเอกฉันท์ "บอร์ดประกันสังคม" เห็นชอบปรับสูตรคำนวณบำนาญชราภาพสูตรใหม่ เพิ่มความเป็นธรรมให้ทั้งผู้ประกันตน ม .33 และ 39 เดินหน้าทำประชาพิจารณ์กรอบเวลา 90 วัน

 



มติเอกฉันท์ "บอร์ดประกันสังคม" เห็นชอบปรับสูตรคำนวณบำนาญชราภาพสูตรใหม่ เพิ่มความเป็นธรรมให้ทั้งผู้ประกันตน ม .33 และ 39 เดินหน้าทำประชาพิจารณ์กรอบเวลา 90 วัน


วันนี้ (11 มีนาคม 2568) ความคืบหน้ากรณี คณะกรรมการประกันสังคม หรือ บอร์ดประกันสังคม ประชุมจะพิจารณาเห็นชอบวาระ เรื่อง การปรับสูตรบำนาญชราภาพ ให้กับผู้ประกันตนมาตรา 33 และมาตรา 39 หรือไม่ ภายหลังการหารือกว่า 3 ชม.


ล่าสุด นางมารสี ใจรังษี เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม แถลงว่า ในวันนี้มีการประชุมบอร์ดประกันสังคมที่มีการหารือร่วมกัน 3 ฝ่าย ทั้งฝ่ายนายจ้าง ฝ่ายลูกจ้าง และฝ่ายราชการ และยังมีประธานอนุสิทธิประโยชน์ผู้ประกันตน โดยวันนี้มีข่าวดีกับทุกท่านว่า ท่านประธานบอร์ดประกันสังคม นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะประธานบอร์ดประกันสังคม เห็นชอบรับหลักการปรับสูตรบำนาญให้กับผู้ประกันตนถูกมาตรา ทั้งมาตรา 33 และมาตรา 39 โดยมอบหมายให้สำนักงานประกันสังคมกลับไปทำรายละเอียดเพิ่มเติม


ทั้งนี้ ขอขอบคุณทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ในการปรับสูตรคำนวณบำนาญดังกล่าว โดยเรื่องนี้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2563 และมาเห็นเป็นรูปธรรมในวันนี้ คาดว่า จะเริ่มทยอยมีผลพร้อมการปรับขึ้นค่าจ้างในเดือน ม.ค.ปี 2569 ปีละ 100,000 คน จากทั้งหมดที่มีผู้ประกันตน 800,000 คน


ที่ประชุมหารือกันว่าจะดำเนินการควบคู่ไปกับการปรับเพดานค่าจ้างที่จะเริ่มในวันที่ 1 ม.ค.69 ซึ่งจะสอดรับกันพอดี ทั้งนี้จะดูต่อไปว่า ผู้ที่รับบำนาญอยู่ หากได้รับลดลงจะให้ได้รับเท่าเดิม ขณะที่คนที่ได้รับน้อยก็จะได้รับเพิ่มขึ้น ซึ่งจะให้ความเป็นธรรมมากขึ้นกับสูตรนี้ทั้งมาตรา 33 และ มาตร 39 โดยใช้สูตร CARE


ขณที่ นายษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี กรรมการประกันสังคม ฝ่ายผู้ประกันตน กล่าวว่า วันนี้ถือว่าเป็นข่าวดีของผู้ประกันตนและนายจ้างที่สามารถเพิ่มสวัสดิการให้ผู้ประกันตน ด้วยการปรับสูตรคำนวณบำนาญเป็นการเฉลี่ย ตลอดอายุและปรับฐานเงินเดือนตามที่ได้เสนอไป จากนี้ไปจะเข้าสู่การทำประชาพิจารณ์ในระยะเวลา 90 วัน โดยกระบวนการต่อจากนี้สามารถเดินตามแนวทางที่วางไว้และจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกันตนประกันตนทั้งมาตรา 33 และ มาตรา 39


ขณะที่ธนพงศ์ เชื้อเมืองพาน บอร์ดประกันสังคมฝ่ายลูกจ้าง กล่าวว่า มติเห็นชอบในวันนี้เป็นข่าวดีของ ผู้ประกันตนในมาตรา 39 และ มาตรา 33 บางส่วนที่ได้มัการปรับสูตรคำนวณใหม่ หวังว่าการปรับสูตรใหม่ไม่ใช่การเพิ่มบำนาญแต่เพื่อความเป็นธรรมของทุกฝ่าย ที่จะได้รับบำนาญในอนาคตต่อไปด้วย เพราะสูตรเดิมที่มีกว่า 30 ปีมีความเหลื่อมล้ำในหลายด้าน และสูตรใหม่หวังว่า คนหลายคนที่ได้รับผลกระทบจะได้รับความเป็นธรรมต่อทุกฝ่ายมากขึ้น


ขณะที่ ตัวแทนฝ่ายนายจ้าง กล่าวว่า ขออภัยที่ผู้ประกันตนที่ทำห้ต้องคอยถึง 2 สัปดาห์ และเชื่อว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเพราะที่ผู้ประกันตนหันมาให้ความสนใจ ทั้งฝ่ายนายจ้างที่ต้องจ่ายสมทบ และรัฐบาลสมทบและผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบในการหารือกว่า 3 ชม. โดยสูตรใหม่จะมีความเป็นธรรมมากขึ้นโดยอีก 90 วัน ผู้ประกันตนควรให้ความสำคัญกับการทำประชาพิจารณาและให้ข้อมูลมากขึ้น หากต้องการให้ปรับปรุงในเรื่องใด

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ประกันสังคม #บำนาญชราภาพ

บอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ เคาะแจกเงินหมื่นเฟส 3 วัยรุ่น 16-20 ปี ปลาย มิ.ย. - ต้น ก.ค. ประเดิมใช้เงินดิจิทัล เผยสาเหตุวัยนี้มีความพร้อมรู้ทางเทคโนโลยี ย้ำกลุ่มคนทำงานได้รับสิทธิเฟสถัดไป

 


บอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ เคาะแจกเงินหมื่นเฟส 3 วัยรุ่น 16-20 ปี ปลาย มิ.ย. - ต้น ก.ค. ประเดิมใช้เงินดิจิทัล เผยสาเหตุวัยนี้มีความพร้อมรู้ทางเทคโนโลยี ย้ำกลุ่มคนทำงานได้รับสิทธิเฟสถัดไป


วานนี้ (10 มีนาคม 2568) เวลา 11.10 น. ณ บริเวณหน้าตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมด้วยนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ร่วมกันแถลงภายหลังประชุมคณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจ ว่า วันนี้การประชุมมีอยู่ 3 เรื่อง เรื่องที่ 1 คือ การขับเคลื่อนหรือการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เกิดร้อยละ 3 ให้ได้ 2. เรื่องแจกเงิน  Digital Wallet เฟส 3 และ 3.การลงทะเบียนผู้ไม่มีสมาร์ตโฟน 



สำหรับ Digital Wallet เฟส 3 นายพิชัย ชุณหวชิร กล่าวว่า ต้องการให้เรียกว่าเป็น เฟสแรก เพราะเป็นการแจกเงินผ่าน Digital Wallet เป็นครั้งแรก ซึ่งมีข้อดี คือ สามารถควบคุมการใช้เงิน กำหนดกรอบการใช้จ่ายให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ได้ ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการฯ ได้เคาะแล้วว่า จะแจกให้สำหรับประชาชนที่มีอายุ 16 - 20 ปี โดยเป็นการเห็นชอบในหลักการ คาดว่าการแจกจะอยู่ในช่วงปลายไตรมาสที่ 2 - ไตรมาสที่ ซึ่งจะรอดูความเรียบร้อยและพิจารณาถึงความคุ้มค่าในอนาคตและปัจจุบันก่อน รวมถึงประโยชน์ที่ได้ในการวางพื้นฐาน  ซึ่งต้องดูให้ละเอียดถี่ถ้วนและยังไม่สามารถตอบได้ว่าจะเข้าที่ประชุม ครม. เมื่อไหร่ 


ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้แสดงความกังวลเรื่องความผิดพลาดในระบบ จึงได้ตั้งอนุกรรมการ เพื่อมาดูในเรื่องนี้โดยเฉพาะ โดยเชื่อว่าความผิดพลาดในอดีตจากการจ่ายเงินหมื่นจะลดลงเนื่องจากมีการจ่ายเงินผ่าน Digital Wallet ซึ่งนายกรัฐมนตรี ได้กำชับให้ดูเรื่องระบบดังกล่าวด้วย 


ขณะที่นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ กล่าวถึงการลงทะเบียนกลุ่มที่ไม่มีสมาร์ตโฟน ว่า  ที่จะทำ คือ การลงทะเบียนของประชาชน ที่ไม่มีสมาร์ตโฟนทั้งหมด ไม่ใช่แค่เรื่องการเติมเงิน 10,000 บาท  ข้อมูลที่ได้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ได้อย่างตรงจุดและตรงเป้าในอนาคต จึงอยากเชิญชวนให้ประชาชนมาลงทะเบียนกันเยอะๆ เพราะกลุ่มที่ไม่มีสมาร์ตโฟนจะเป็นฐานข้อมูลที่สำคัญสำหรับการเดินหน้าเศรษฐกิจดิจิทัล ที่นายกรัฐมนตรีที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ เพื่อก้าวเข้าสู่สังคมดิจิทัลอย่างเต็มตัว และเป็นการดูแลกลุ่มประชาชนที่ยังเข้าไม่ถึง


สำหรับการลงทะเบียน จะลงผ่านธนาคารของรัฐ 4 ธนาคาร ประกอบด้วย ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารออมสิน และธนาคารอิสลาม ร่วมกับไปรษณีย์ไทย และอปท. ส่วนกรอบเวลาให้ลงทะเบียนจะแจ้งอีกครั้ง ตอนนี้แอปพลิเคชัน ในการลงทะเบียนมีความพร้อมหมดแล้ว





นายเผ่าภูมิ  โรจนสกุล กล่าวเสริมเรื่องการลงทะเบียน กลุ่มไม่มีสมาร์ตโฟน ว่า ข้อมูลทั้งหมดที่ลงทะเบียนจะถูกนำไปตรวจสอบ ซึ่งจะประสานงานกับผู้ให้บริการโทรศัพท์ ผ่าน กสทช. สำหรับจำนวนผู้ที่ได้รับสิทธิในเฟสนี้ คืออายุตั้งแต่ 16 - 20 ปี จำนวน 2.7 ล้านคน ซึ่งการเลือกแจกประชาชนกลุ่มนี้ ไม่ใช่ข้อจำกัดของงบประมาณ  แต่พิจารณาจากภาวะเศรษฐกิจที่เหมาะสม จำนวนเม็ดเงินที่ลงไปสอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ รัฐบาลได้กันเงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจไว้ จำนวน 1.5 แสนล้านบาท รัฐบาลจะใช้เงินทุกบาททุกสตางค์อย่างคุ้มค่า พร้อมยืนยันว่า การเลือกแจกกลุ่มนี้ เป็นกลุ่มที่ตื่นรู้ทางเทคโนโลยีสูง มีความสามารถในการใช้จ่ายในแบบนี้ ด้วยจำนวนเงินช่วงเวลาที่เหมาะสม รัฐบาลจึงเลือกคนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มแรก


ผู้สื่อข่าวถามว่างบประมาณ จำนวน 1.5 แสนล้านบาท หากใช้ไม่ทันปี 2568 สามารถที่จะใช้ในปีงบประมาณถัดไปได้หรือไม่ นายจุลพันธ์ กล่าวว่า โครงการต้องเดินหน้าก่อนถึงใช้งบผูกพันได้ ถ้าไม่ใช้ก็ต้องพับไป แต่ยืนยันว่าเม็ดเงินนี้เป็นเม็ดเงินที่สำคัญ เราต้องใช้ให้คุ้มค่า ทุกบาททุกสตางค์  ขอให้มีความเชื่อมั่นว่า ด้วยกลไกในการขับเคลื่อน การใช้จ่ายของภาครัฐก็เป็นสิ่งจำเป็น เพราะฉะนั้นเงินงบประมาณ 1.5 แสนล้านบาท รัฐบาลได้วางแผนไว้สำหรับการกระตุ้นเศรษฐกิจ 


ผู้สื่อข่าวสอบถามถึงเงื่อนไขการใช้เงินดิจิตอลวอลเล็ตว่า มีการปรับเปลี่ยนไปจากเดิมหรือไม่ นายจุลพันธ์ กล่าวว่า โครงการดิจิตอลวอลเล็ตครั้งนี้ เป็นการตั้งโครงการขึ้นมาใหม่ทั้งหมด โดยการดึงข้อมูลมาจากแอปพลิเคชันทางรัฐ ส่วนรายละเอียด การใช้เงินค่อนข้างที่จะคล้ายเดิม แต่เรื่องของสินค้า ไม่กำหนดห้าม จะกำกับดูแลการลงทะเบียนของร้านค้าแทน จะมีข้อห้ามว่าร้านค้าที่ไม่ให้เข้าร่วมจะเป็นลักษณะใด เช่น ร้านทอง ร้านที่ขายเหล้าโดยเฉพาะ แต่ไม่ได้ห้ามตรวจสินค้า ยกตัวอย่าง หากนำไปใช้ในร้านโชห่วย ที่มีสินค้าหลากหลาย ก็สามารถซื้อได้ทุกประเภท พร้อมกับมีการปรับเปลี่ยน โดยการทำให้ง่ายขึ้น คือ ถอดการขึ้นเงินสดของร้านค้า โดยให้ร้านค้าทุกประเภท สามารถขึ้นเงินได้ โดยไม่จำกัดเฉพาะกลุ่มที่อยู่ในการเสียภาษี เพื่อให้เกิดการสะดวกแก่ร้านค้า และเป็นการเชิญชวนให้ร้านค้าเข้าร่วมโครงการมากขึ้น 


ส่วนพื้นที่ในการใช้เงินดิจิตอล ยังเป็นพื้นที่ภายในอำเภออยู่ สามารถจ่ายค่าเทอมได้ จ่ายค่าน้ำค่าไฟได้ ซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าได้ โดยหวังผลการกระตุ้นเศรษฐกิจมาก เพราะจากการกระตุ้นเศรษฐกิจไป 2 รอบ มีผลสำรวจออกมาจากสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง มีผลที่ดีทั้ง 2 รอบ มีการหมุนเวียนและกระจายตัวที่ดีมาก และรอบนี้เชื่อว่าจะมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม เพราะใช้กลไกของดิจิตอลวอลเล็ต จะสามารถจำกัดตัวเม็ดเงินไปในจุดที่ต้องการได้มากขึ้น และเรื่องนี้ไม่ใช่แค่การกระตุ้นเศรษฐกิจ ครั้งนี้ยังมีกลไกในการเติมเงิน อายุ 16-20 ปี  เพื่อไปใช้เรื่องปัญหาค่าครองชีพ และเป็นการวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิตอลต่อไปในอนาคต 





นายจุลพันธ์ ยืนยันกลุ่มที่มีอายุ 20 - 59 ปียังมีสิทธิรับเงิน 10,000 บาทแน่นอน  เพราะมีเม็ดเงินรอไว้อยู่ 1.5 แสนล้านบาท กรอบระยะเวลาในการใช้เงินก็เหลือไตรมาสเดียว ดังนั้น กลุ่มถัดไป ก็คาดว่าจะใช้เวลาไม่นาน ส่วนของการกระตุ้นเศรษฐกิจเฟสถัดไป สามารถทำได้หลายอย่าง อย่างที่บอกว่าวาระแรกของการประชุมคือ 46 โครงการ ที่ได้ทำมาแล้วทำอยู่ และกำลังจะทำต่อไป เป็นโครงการที่ใช้เม็ดเงินและนโยบายโครงการ กลไกของรัฐทั้งหมดต้องประกอบเข้าด้วยกัน ในส่วนของเม็ดเงินที่เตรียมไว้ก็เตรียมไว้สำหรับทำโครงการเงินหมื่นในเฟสถัดไป และยืนยันว่า รัฐบาลเชื่อมั่นในการแจกเงินเฟสถัดไป เพราะเม็ดเงินในระบบมีอยู่อย่างเพียงพอ การเติมเงินในครั้งก่อนๆ ตัวเลขทางเศรษฐกิจได้ชี้แล้วว่า มีการกระตุ้นทางเศรษฐกิจ เพราะฉะนั้นการขับเคลื่อนนโยบายที่ได้วางไว้ และแถลงต่อรัฐสภาต้องขับเคลื่อนอย่างเต็มที่ สุดท้ายเงินหมื่นต้องถึงมือประชาชนทุกคน


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #แจกเงินหมื่นเฟส3 #บอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ

วันจันทร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2568

“ขนุน” อดอาหาร “ทวงคืนสิทธิประกัน!!” เข้าสู่วันที่ 18 แล้ว ศูนย์ทนายฯ อัพเดท ขนุนหัวใจเต้นช้าลง ชาง่ายขึ้น กล้ามเนื้อกระตุกบ่อยครั้ง เจ้าตัวฝากกวี 4 บท สิบแปดวันที่แสนสุดทรมาน ด้านตะวัน-ทานตะวัน โพสหลังเข้าเยี่ยม “ขออย่าต้องสูญเสียใครไปอีกเลย”

 


“ขนุน” อดอาหาร “ทวงคืนสิทธิประกัน!!” เข้าสู่วันที่ 18 แล้ว ศูนย์ทนายฯ อัพเดท ขนุนหัวใจเต้นช้าลง ชาง่ายขึ้น กล้ามเนื้อกระตุกบ่อยครั้ง เจ้าตัวฝากกวี 4 บท สิบแปดวันที่แสนสุดทรมาน ด้านตะวัน-ทานตะวัน โพสหลังเข้าเยี่ยม “ขออย่าต้องสูญเสียใครไปอีกเลย”


วันนี้ (10 มี.ค. 68) ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า 10 มี.ค. 2568 ทนายความเข้าเยี่ยม “ขนุน” สิรภพ พุ่มพึ่งพุทธ ผู้ต้องขังในคดีมาตรา 112 ทราบจากขนุนว่า อัตราการเต้นของหัวใจต่ำ มีอาการชาง่ายขึ้น และกล้ามเนื้อกระตุกบ่อยครั้ง หลังอดอาหารประท้วงเป็นวันที่ 18 แล้ว จากการถูกปฏิเสธสิทธิประกันตัวระหว่างอุทธรณ์ โดยงดรับประทานอาหารและนมตั้งแต่วันที่ 21 ก.พ. 2568 และถูกส่งตัวมาที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ตั้งแต่วันที่ 26 ก.พ. 2568 


วันนี้ทนายได้เข้าเยี่ยมพร้อมกับ “ตะวัน” ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ ขนุนได้อ่านกลอนให้ตะวันฟัง เขาบอกว่า เขานั่งเขียนกลอนให้ตะวันเมื่อคืน ก่อนเล่าถึงผลตรวจร่างกายเช้าวันนี้ว่า ค่าโพแทสเซียมขึ้นมาเป็น 3.6 (ตามเกณฑ์คือ 3.5 – 5) หลังเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (7 มี.ค.) เขากินเกลือแร่ไปหนึ่งซอง แต่อัตราการเต้นของหัวใจต่ำลงทุกวัน วันนี้อัตราการเต้นหัวใจอยู่ที่ประมาณ 62 ครั้งต่อนาที (ตามเกณฑ์คือ 60 – 100) และเกิดอาการชาง่ายมาก แค่ยกมือขึ้นมาเท้าโต๊ะหรือเอามือขึ้นมาวางบนอกตอนนอนแป๊บเดียวก็จะรู้สึกชาแล้ว ต้องเอามือวางราบกับพื้นถึงจะนอนได้ นอกจากอาการชา มีอาการปวดกระเพาะและท้องร้องทั้งวัน รู้สึกว่ากล้ามเนื้อกระตุกอยู่บ่อยครั้ง


ทานตะวันกำชับกับขนุนว่า ให้สังเกตอาการชาให้ดีว่าถี่แค่ไหน เพราะมันเกี่ยวกับค่าเกลือแร่ในร่างกาย และต้องระวังว่าจะเกี่ยวเนื่องกับอาการอื่นด้วย 


ขนุนเล่าต่อว่า เขากำลังคิดว่าจะไม่รับวิตามินและสารอาหารแล้ว แต่ก็ขอเวลาคิดเพิ่มและจะตัดสินใจอีกทีวันพรุ่งนี้ ตอนนี้น้ำหนักเหลือ 65 กิโลกรัมแล้ว โดยวันนี้เขาลดปริมาณน้ำหวานลง จากสองขวดเหลือขวดเดียวและยังไม่ได้รับวิตามินอื่นเพิ่ม ทานตะวันบอกกับขนุนว่า ถ้าจะไม่รับยาบำรุง อย่างน้อยทานยาเคลือบกระเพาะก็ยังดี รักษากระเพาะไว้หน่อย


ก่อนทนายและตะวันจะกลับ เขาเล่าว่า เมื่อคืนมีคุณลุงเตียงใกล้กันอาละวาด ถอดสายน้ำเกลือจนเลือดไหล แล้วลุงคนนั้นก็สะบัดไปสะบัดมาจนเลือดท่วมตัว ผู้ช่วยกับพยาบาลต้องมาเช็ดเลือดให้แล้วผูกลุงเขาไว้กับเตียง หลังจากนั้นลุงคนนั้นก็เรียกขนุนให้ช่วยไม่หยุด พูดเซ้าซี้ว่า “ไอ้หนุ่มไม่สนใจกันหน่อยหรอ” “ลุงจะไม่ไหวแล้วช่วยลุงหน่อย” สุดท้ายผู้ช่วยต้องมาเข็นเตียงลุงย้ายไปห้องอื่น


สุดท้าย ขนุนฝากกลอน “ทวงคืนสิทธิประกัน!!” ออกมา


สิบแปดวันที่แสนสุดทรมาน

จากอาการของราคาที่ต้องแลก

เพียงเพื่อสิทธิประกันสุดผันแปร

ทั้งที่แค่เป็นสิทธิพื้นฐานป่ะ ?


ทั่วช่องท้องเผาไหม้เช่นอเวจี

เรี่ยวแรงที่หดหายเกินจะฝัน

หนังที่เริ่มห่อหุ้มกระดูกนั้น

เพียงเพื่อมั่นบนหลักการผมยอมเสี่ยง


ท้องที่ร้องไม่ใช่เสียงความหิวโหย

คือเสียงโวยที่ก้องด่าหลักการเบี้ยว

มันต้องการเพียงกลับบ้านเพื่อไปเรียน 

แต่ถูกเขียนขีดทิ้งไร้หลักธรรม


ผมหวังแค่ได้สิทธิอิสรภาพ

ตามหลักการกฎหมายไทยเสมอกัน

ไม่ถูกพรากชีวาทัณฑ์กักขัง

เพื่อได้กลับคืนอ้อมกอดของครอบครัว


สิรภพ พุ่มพึ่งพุทธ


ผู้ต้องขังทางการเมือง


ทัณฑสถาน โรงพยาบาลราชทัณฑ์

10 มี.ค. 2568



เช่นเดียวกัน ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ หรือตะวัน โพสข้อความว่า


วันนี้ (10 มี.ค.) ไปเยี่ยมขนุนที่รพ.ราชทัณฑ์


ทุกความทรงจำที่นั่นยังคงย้ำเตือนถึงความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น


ขนุนนั่งอยู่ในห้องเยี่ยมห้องเดิมที่เราเคยนั่ง

และผอมลงอย่างเห็นได้ชัด


ช่วงหนึ่งของการเยี่ยม ขนุนอ่านบทกลอนนึงที่แต่งเองให้ฟัง ชื่อบทกลอนว่า


“ถึงตะวัน” 


กาลหนึ่งเรา เคยเห็นต่าง อย่างแสนสุด

กับกลยุทธ์ ที่ทุกข์กาย ยากนึกฝัน

ในยามนี้ เราจึงนึก ตามตะวัน

ต่อกฎทัณฑ์ ที่ไร้กรอบ และหลักเกณฑ์


จะให้นิ่ง หน้าติดดิน ถูกลอยเคว้ง

คงยากเกรง ไม่ใช่ ตัวเราเลย

ณ ตอนนี้ เราสู้ อย่างไม่เคย

เพื่อเอื้อนเอ่ย ถึงความ ยุติธรรม


เราหวังเพียง ต้องการ จะกลับบ้าน

หวังพบหน้า ที่คุ้นเคย อย่างที่ฝัน

หนทางเดียว ที่จะทำ ให้พบกัน

คือสิทธิ ประกัน ตามหลักการ


ขนุนอดอาหารมา 18 วันแล้ว

คืนสิทธิการประกันตัวให้เขาเถอะ


ขออย่าต้องสูญเสียใครไปอีกเลย


สำหรับ “ขนุน” สิรภพ พุ่มพึ่งพุทธ นักกิจกรรมวัย 24 ปี และผู้ต้องขังในคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งไม่ได้รับการประกันตัวระหว่างอุทธรณ์มาตั้งแต่วันที่ 25 มี.ค. 2567 หลังถูกศาลอาญากรุงเทพใต้พิพากษาจำคุก 2 ปี กรณีปราศรัยในการชุมนุม #18พฤศจิกาไปราษฎรประสงค์ บริเวณสี่แยกราชประสงค์ เมื่อวันที่ 18 พ.ย. 2563


#saveขนุน #ขนุนสิรภพ #UDDnews #ยูดีดีนิวส์

“ณัฐพงษ์” ส่งหนังสือด่วนที่สุด โต้แย้ง “ประธานสภา” ชี้ไม่มีอำนาจแก้ไขเนื้อหาญัตติ ได้แค่ตรวจสอบข้อบกพร่องเชิงรูปแบบ-ข้อเท็จจริง ยันข้อบังคับไม่ได้ห้ามเอ่ย “บุคคลภายนอก” งัดเอกสาร “วันนอร์” ในอดีต เคยระบุชื่อ “ซีพี” บอกแจ้งช้าเกินกำหนด 7 วัน จี้เร่งบรรจุเข้าระเบียบวาระ

 


“ณัฐพงษ์” ส่งหนังสือด่วนที่สุด โต้แย้ง “ประธานสภา” ชี้ไม่มีอำนาจแก้ไขเนื้อหาญัตติ ได้แค่ตรวจสอบข้อบกพร่องเชิงรูปแบบ-ข้อเท็จจริง ยันข้อบังคับไม่ได้ห้ามเอ่ย “บุคคลภายนอก” งัดเอกสาร “วันนอร์” ในอดีต เคยระบุชื่อ “ซีพี” บอกแจ้งช้าเกินกำหนด 7 วัน จี้เร่งบรรจุเข้าระเบียบวาระ


วันที่ 10 มีนาคม 2568 นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ทำหนังสือด่วนที่สุดถึงนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เรื่องข้อโต้แย้งหนังสือให้แก้ไขข้อบกพร่องญัตติ ขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาล กรณีใส่ชื่อนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ลงในญัตติ ว่า


ตามที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรได้ขอให้ข้าพเจ้า นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและคณะ พิจารณาแก้ไขข้อบกพร่องญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล โดยอ้างว่าญัตติดังกล่าวมีเนื้อหาระบุรายชื่อบุคคลภายนอก อันอาจทำให้บุคคลภายนอกได้รับความเสียหาย เนื่องจากไม่สามารถชี้แจงในที่ประชุมสภาได้ ซึ่งประธานสภาผู้แทนราษฎรอ้างว่ามีข้อบกพร่อง ตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 ข้อ 176 นั้น


ข้าพเจ้า นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและคณะ ขอยืนยันว่าญัตติของข้าพเจ้าและคณะไม่มีข้อบกพร่องตามที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรอ้างแต่ประการใด ดังนี้


ข้อ 1 ประธานสภาผู้แทนราษฎรจะพิจารณาวินิจฉัยว่าเนื้อหาของญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะตามมาตรา 151 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ว่าสมควรมีเนื้อหาอย่างใดมิได้ เนื่องจากบทบัญญัติดังกล่าวมิได้ให้อำนาจแก่ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในการใช้ดุลพินิจวินิจฉัยว่าเนื้อหาของญัตติสมควรจะเป็นประการใด สมควรจะได้รับการบรรจุไว้ในระเบียบวาระการประชุมเพื่อเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะหรือไม่ หากแต่บทบัญญัติ ดังกล่าวกำหนดอำนาจผูกพันในการใช้อำนาจของประธานสภาผู้แทนราษฎรให้ต้องเปิดให้มีการอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะเท่านั้น


โดยหากรัฐธรรมนูญประสงค์กำหนดให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรมีอำนาจในการพิจารณาวินิจฉัยถึงเนื้อหาของญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติ ไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะ หรือมีอำนาจในการพิจารณาวินิจฉัยว่าจะบรรจุไว้ในระเบียบวาระการประชุมเพื่อเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะ


รัฐธรรมนูญจักต้องบัญญัติถ้อยคำที่แสดงถึงอำนาจในการใช้ดุลพินิจของประธานสภาผู้แทนราษฎรอย่างชัดแจ้ง เช่น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 236 ที่บัญญัติให้อำนาจดุลพินิจแก่ประธานรัฐสภาในการพิจารณา เสนอเรื่องไปยังประธานศาลฎีกาเพื่อตั้งคณะผู้ไต่สวนอิสระเพื่อไต่สวนหาข้อเท็จจริงกรณีมีการเข้าชื่อกล่าวหา ว่ากรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติผู้ใดกระทำการตามมาตรา 234(1) แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยเมื่อมีการยื่นเรื่องต่อประธานรัฐสภาพร้อมด้วยหลักฐานตามสมควรแล้ว


หากประธานรัฐสภา “เห็นว่า” มีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการกระทำตามที่ถูกกล่าวหา จึงให้ประธานรัฐสภาเสนอเรื่องไปยังประธานศาลฎีกาได้


อีกทั้ง ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2562 ข้อ 176 มิได้ให้ อำนาจแก่ประธานสภาผู้แทนราษฎรในการใช้ดุลพินิจว่าเนื้อหาของญัตติควรจะเป็นอย่างไร หรือมีความ เหมาะสมหรือไม่ กล่าวคือ ข้อ 176 กำหนดให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรตรวจสอบว่าญัตติมี “ข้อบกพร่อง” หรือไม่


ทั้งนี้ ข้าพเจ้าและคณะเห็นว่า คำว่า “ข้อบกพร่อง” ในข้อดังกล่าวมีเจตนารมณ์หมายถึงข้อบกพร่องที่ เป็นข้อผิดพลาดในเชิงข้อเท็จจริงหรือรูปแบบ เช่น มีรายชื่อผู้เสนอที่ไม่ครบตามเกณฑ์ที่รัฐธรรมนูญกำหนด ลายมือชื่อของผู้เสนอไม่ถูกต้องตรงกันกับลายมือชื่อจริง ระบุชื่อรัฐมนตรีที่ระบุในญัตติผิดพลาด ไม่ถูกต้อง หรือมีการอ้างถึงมาตราหรือข้อกฎหมายที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อน ดังนั้น การที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรใช้อำนาจโดยอ้างข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 โดยตีความในทางที่เป็นปฏิปักษ์ต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ย่อมเป็นการใช้และตีความกฎหมาย ที่ลุแก่อำนาจที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 ได้กำหนดไว้ ซึ่งส่งผลกระทบร้ายแรงและทำลายอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติในการควบคุมตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดินของฝ่ายบริหาร


ข้อ 2 ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 มิได้มีข้อห้ามมิให้ระบุชื่อบุคคลภายนอกในเนื้อหาญัตติ ดังนั้น การระบุชื่อบุคคลภายนอกในเนื้อหาของญัตติของข้าพเจ้าและคณะ จึงไม่ได้มีลักษณะเป็นการกระทำผิดหรือฝ่าฝืนข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรแต่อย่างใด อีกทั้ง ในอดีตที่ผ่านมา ญัตติที่เสนอต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร หลายญัตติก็มีการระบุชื่อของบุคคลภายนอก เช่น ญัตติด่วนของนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ฉบับลงวันที่ 26 มิถุนายน 2562 เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎร ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษา ตรวจสอบการดำเนินการโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน (ดอนเมือง สุวรรณภูมิ อู่ตะเภา) และการกำหนดพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก


โดยในเนื้อหาของญัตติ ได้ระบุชื่อบุคคลอื่นซึ่งมิใช่นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใด ได้แก่ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์ โฮลดิ้ง จำกัด และพันธมิตร (CPH) รายละเอียดปรากฏตามสำเนาญัตติ เรื่อง ขอเสนอญัตติด่วน เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษาตรวจสอบการดำเนินการโครงการรถไฟความเร็วสูง เชื่อมสามสนามบิน (ดอนเมือง สุวรรณภูมิ อู่ตะเภา) และการกำหนดพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก ตามสิ่งที่ส่งมาด้วย (1) และรวมถึงญัตติอื่น ๆ ตามสิ่งที่ส่งมาด้วย (2)


อีกทั้ง ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 ข้อ 178 กำหนดให้การอภิปรายของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้ใดที่อาจเป็นเหตุให้บุคคลอื่น ซึ่งมิใช่นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้รับความเสียหาย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผู้นั้นต้องรับผิดชอบผลแห่งการกระทำนั้นเอง เห็นได้ว่า ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 จึงไม่ได้มีบทบัญญัติห้ามมิให้ระบุชื่อบุคคลภายนอกในเนื้อหาญัตติแต่อย่างใด ยิ่งไปกว่านั้น หากบุคคลอื่นซึ่งไม่ใช่นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้รับความเสียหายจากการอภิปรายหรือการกล่าวถ้อยคำในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร บุคคลนั้นมีสิทธิร้องขอต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรภายในกำหนดเวลาสามเดือนนับแต่วันที่มีการประชุมครั้งนั้นเพื่อให้มีการโฆษณา คำชี้แจงได้ ตามข้อ 39 แห่งข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 และมาตรา 124 วรรคสาม แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เมื่อพิเคราะห์ตามเจตนารมณ์แห่งข้อบังคับการประชุมสภา ผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแล้ว เห็นได้ว่า ข้อ 39 แห่งข้อบังคับ การประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562และมาตรา 124 วรรคสาม แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยไม่ได้ห้ามการอภิปรายที่มีเนื้อหาพาดพิงถึงบุคคลอื่นซึ่งไม่ใช่นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีหรือสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรหรือบุคคลภายนอก


ในทางตรงกันข้าม ข้อ 39 แห่งข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 และมาตรา 124 วรรคสาม แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย สามารถถูกตีความเจตนารมณ์ได้ว่า การอภิปรายถึงบุคคลอื่นซึ่งไม่ใช่นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือบุคคลภายนอกนั้น สามารถกระทำได้ เพียงแต่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้อภิปรายนั้นจะต้องรับผิดชอบผลแห่งการกระทำเอง และ ประธานสภาผู้แทนราษฎรจัดให้มีการโฆษณาคำชี้แจงตามที่บุคคลนั้นร้องขอตามวิธีการและภายในระยะเวลา ที่กำหนดในข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562


ข้อ 3 ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 ข้อ 176 กำหนดให้เมื่อประธานสภา ผู้แทนราษฎรได้รับญัตติตามข้อ 175 แล้ว ให้ทำการตรวจสอบ หากมีข้อบกพร่องให้ประธานสภาผู้แทนราษฎร แจ้งผู้เสนอทราบภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับญัตติ


ข้อเท็จจริงปรากฏว่า สำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้ มีหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ สผ 0014/2559 ลงวันที่ 7 มีนาคม 2568 แจ้งถึงผลการพิจารณาญัตติของ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เห็นได้ว่า การแจ้งข้อบกพร่องตามข้อ 176 ในหนังสือฉบับดังกล่าวนั้นไม่เป็นไป ตามกรอบระยะเวลาที่ข้อ 176 กำหนด จึงเป็นการแจ้งข้อบกพร่องที่ไม่ชอบด้วยข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562


ด้วยประธานสภาผู้แทนราษฎรได้รับญัตติของข้าพเจ้าและคณะเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 แต่กลับมีหนังสือแจ้งข้อบกพร่องเมื่อวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2568 อันเป็นวันที่พ้นระยะเวลาเจ็ดวันตามที่ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 กำหนด จากที่กล่าวมาข้างต้น ข้าพเจ้าและคณะขอยืนยันว่าญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลของข้าพเจ้าและคณะนั้น ชอบด้วยข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ ดังนั้น จึงขอให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรได้ พิจารณาบรรจุญัตติดังกล่าวเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎรโดยเร็วที่สุดต่อไป


จึงกราบเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาดำเนินการต่อไป


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #อภิปรายไม่ไว้วางใจ

“รักชนก-สหัสวัต” แฉอีก! ประกันสังคมใช้เงินกองทุน 7 พันล้านซื้อตึกราคา 3 พันล้านย่านพระราม 9 แง้มมีนักการเมืองอดีตเจ้ากระทรวงเป็นเจ้าของ แถมมีอีกเจ้ากระทรวงใช้อำนาจตั้งเด็กหน้าห้องทำดีลซื้อ ฟาดกำไรเหนาะๆ 4 พันล้านจากเงินผู้ประกันตนจริงหรือไม่

 


“รักชนก-สหัสวัต” แฉอีก! ประกันสังคมใช้เงินกองทุน 7 พันล้านซื้อตึกราคา 3 พันล้านย่านพระราม 9 แง้มมีนักการเมืองอดีตเจ้ากระทรวงเป็นเจ้าของ แถมมีอีกเจ้ากระทรวงใช้อำนาจตั้งเด็กหน้าห้องทำดีลซื้อ ฟาดกำไรเหนาะๆ 4 พันล้านจากเงินผู้ประกันตนจริงหรือไม่


วันที่ 10 มีนาคม 2568 ที่หน้าอาคาร SKYY9 Centre ย่านพระราม 9 รักชนก ศรีนอก สส.กรุงเทพฯ พรรคประชาชน และ สหัสวัต คุ้มคง สส.ชลบุรี พรรคประชาชน ร่วมแถลงข่าว “แฉเสียดฟ้า กองทุนประกันสังคมจงใจลงทุนผิดพลาด เพื่อเอื้อผลประโยชน์พวกพ้องหรือไม่” กรณีสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ซื้ออสังหาริมทรัพย์ย่านพระราม 9 ที่มีข้อสงสัยถึงปัญหาธรรมาภิบาล


โดยรักชนกระบุว่า การลงทุนของคือหัวใจสำคัญของกองทุนประกันสังคม เพราะการที่กองทุนจะอยู่ได้หรือจะล้มอยู่ที่การนำเงิน 2.6 ล้านล้านบาทในกองทุนไปบริหารจัดการอย่างไร ซึ่งกรณีวันนี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งที่ทำให้เห็นถึงปัญหาธรรมาภิบาลในการลงทุนของ สปส. ที่เล่นแร่แปรธาตุซื้อตึกมูลค่า 3 พันล้านบาทด้วยราคา 7 พันล้านบาทในปี 2565-2566 ซึ่งไม่ใช่ตึกที่เพิ่งสร้างเสร็จ แต่เป็นตึกที่ในอดีตช่วงวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งเป็นตึกร้าง จนกระทั่งมีบริษัทแห่งหนึ่งซื้อตึกไปปรับปรุงซ่อมแซม เมื่อปรับปรุงเสร็จก็ประจวบเหมาะกับช่วงที่ สปส. ปรับแก้ระเบียบต่างๆ ทำการศึกษา และมีการตัดสินใจลงทุนพอดี


ตึกแห่งนี้ในช่วงปลายปี 2565 มีอัตราการเข้าทำกำไรหรืออัตราการเช่าอยู่ที่ 1% เท่านั้น อย่างไรก็ตาม สปส. ได้เข้าซื้อตึกนี้โดยมีการทำแผนงานที่สวยหรูเกินจริง อ้างถึงผลตอบแทนที่จะได้รับอย่างเหมาะสม แต่เมื่อเริ่มดำเนินการกลับมีผู้เช่าในปีแรกเพียง 1-2% เท่านั้น ปัจจุบันตัวเลขที่ สปส. รายงานมีคนเข้าใช้ตึกประมาณ 40% แต่เป็นตัวเลขที่น่าสงสัย น่าจะมีการรวมผู้เช่าที่คาดว่าจะเข้ามาใช้ในอนาคตด้วย และตัวเลขจริงอาจต่ำกว่า 40% อยู่ที่เพียง 20-30% เท่านั้น


รักชนกกล่าวต่อไปว่า ตึกนี้ทำกำไรในปี 2567 ประมาณ 40 ล้านบาท แต่ค่าบริหารจัดการรวมกับค่าจ้างกองทุนในการบริหารอยู่ที่ประมาณ 50 ล้านบาท ถ้าทำกิจการด้วยอัตรานี้ต่อไปเท่ากับจะติดลบทุกปี เงิน 7 พันล้านบาทที่ สปส. ทุ่มลงทุนไปจะสูญเปล่า ตึกแห่งนี้ถูกตั้งเป้าจัดทำประเมินการคาดการณ์ไว้อย่างสวยหรู แต่ตัวเลขที่ปรากฏในปัจจุบันต่ำกว่าเป้าทั้งหมด ทั้งการคาดการณ์ที่บอกว่าภายใน 2 ปีจะมีผู้มาเช่าใช้ 60% แต่ตัวเลขตามรายงานอยู่ที่ 40% และต่อให้มีคนมาเช่าใช้ 100% ก็ต้องใช้เวลา 30 ปีกว่าจะคืนทุน


กรณีดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าสำนักงานประกันสังคมในยุคที่ผ่านมามีปัญหาเรื่องธรรมาภิบาล เอกสารทุกอย่างในการศึกษามีความพยายามตีความให้เข้าข้างว่าต้องซื้อ และยังมีคำถามอีกว่าทำไม สปส. ถึงตัดสินใจใช้เงิน 7 พันล้านบาทในการลงทุนตึกแห่งเดียว แทนที่จะมีการกระจายความเสี่ยงไปยังแหล่งอื่นๆ สปส. ไม่มีประสบการณ์ในการบริหารสินทรัพย์แบบนี้ แล้วทำไมถึงยังลงทุนในตึกแห่งนี้


รักชนกกล่าวอีกว่า ตึกแห่งนี้ในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งเดิมชื่อ ICE ในช่วงโควิด-19 มีการประเมินมูลค่าของตึกนี้อยู่ที่ 3 พันล้านบาท ทำไม สปส. ถึงยอมจ่ายเงิน 7 พันล้านบาทเพื่อซื้อของในราคา 3 พันล้านบาท ทั้งที่ทุกล้านบาทที่ สปส. ประหยัดได้และนำไปลงทุนให้ได้ผลตอบแทน 5% ไปอีก 30 ปี จะงอกขึ้นมาเป็นเงิน 4.32 ล้านบาท นี่คือค่าเสียโอกาสที่เกิดขึ้นของผู้ประกันตน 


ตนอยากให้สื่อมวลชนลองคุ้ยประวัติของตึกนี้ว่ามือแรกและมือถัดๆ มามีชื่อใครเป็นเจ้าของ มีชื่อใครปรากฏอยู่บ้าง มีนักการเมืองพรรคไหนบ้างหรือไม่ นี่เป็นเรื่องที่น่าสงสัยเพราะอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานก็อยู่ในพรรคพลังประชารัฐ ตึกนี้ปรับปรุงเสร็จเมื่อต้นปี 2565 หลังจากพร้อมใช้งานก็พร้อมขายต่อให้ สปส. เลย เป็นการตกแต่งหน้าตาของตึกโดยรู้อยู่แล้วว่า สปส. พร้อมจะซื้อเลยหรือไม่ นอกจากนี้ตนยังได้ยินข่าวลือมาอีกว่า สปส. พยายามย้ายสำนักงานบางส่วนเข้ามาใช้พื้นที่ในตึกนี้ แต่มันเป็นเพียงการย้ายเงินจากกระเป๋าซ้ายมาเข้ากระเป๋าขวาหรือไม่ หรืออาจจะเป็นการอยากให้ตัวเลขการเช่าใช้ตึกสูงขึ้นหรือไม่


รักชนกยังกล่าวต่อไปว่า จากเรื่องที่ตนได้เปิดมาตั้งแต่มีการแฮ็กงบประมาณ สปส. นอกจากโครงการเว็บแอป 850 ล้านบาทที่ทุกวันนี้ยังไม่เสร็จ ยังไม่มีการปรับ และยังมีพิรุธเต็มไปหมด หรือโครงการต่างๆ ที่เป็นการใช้งบประมาณที่ไม่คุ้มค่าและไม่สอดคล้องกับงานของ สปส. เช่นการทำปฏิทิน วันนี้สังคมไปไกลหลายเรื่องแล้ว แต่ฝ่ายการเมืองถึงที่สุดกลับยังไม่ออกมาทำอะไรเรื่องนี้ ไม่ตั้งกรรมการสอบ ไม่สืบหาข้อเท็จจริง ตนจึงขอเรียกร้องไปถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน อย่างน้อยที่สุดควรตั้งกรรมการในการสอบสวนเรื่องนี้อย่างจริงจัง


“การลงทุนซื้อตึก 7 พันล้าน ส่วนต่างของมูลค่าจริงกับเงินที่จ่ายไปคือ 4 พันล้าน ดิฉันอยากตั้งคำถามว่าใครได้กำไร ประกันสังคมไม่ได้กำไรแน่นอน แต่ดิฉันเชื่อว่ามีคนกำไรแล้ว นอกจากนี้ในปีที่มีการลงทุนซื้อตึกนี้ก็เป็นช่วงที่ใกล้เลือกตั้งพอดี มีพรรคการเมืองใดมาหากินโดยเอาส่วนต่างของประกันสังคมไปเป็นทุนทรัพย์ในการเลือกตั้งหรือไม่” รักชนกกล่าว


ทางด้านสหัสวัตระบุว่า ในการเข้าลงทุนของประกันสังคม โดยปกติแล้ว สปส. จะทำแผนการลงทุน 5 ปีโดยบอร์ดใหญ่ ซึ่งเป็นเพียงการกำหนดกรอบการลงทุนใหญ่ๆ แต่คนที่ตัดสินใจจริงคืออนุกรรมการการลงทุนที่พิจารณาแผนลงทุนรายปี และคนที่มีอำนาจตัดสินใจจริงๆ ในการอนุมัติลงทุนนอกตลาดแบบนี้คือเลขาธิการสำนักงานประกันสังคม


ในช่วงปี 2565 มีความพยายามให้ สปส. ลงทุนนอกตลาดหุ้นมากขึ้น มีการพิจารณาแผนรายปีขึ้นมา ซึ่งตนขอตั้งคำถามว่ามีการแทรกแซงของฝ่ายการเมืองในการตัดสินใจซื้อสินทรัพย์ต่างๆ หรือไม่ เพราะคนที่มีอำนาจแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการในส่วนนี้คือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ซึ่งในช่วงปี 2565 มีการแต่งตั้งโยกย้ายเด็กหน้าห้องของตัวเองมาอยู่ในกลุ่มงานบริหารความเสี่ยงและกำกับการลงทุน เพื่อทำแผนรายปีและตัดสินใจว่าจะซื้ออะไร โดยอนุกรรมการการลงทุนนอกตลาดที่ตั้งขึ้นมาก็มีคนหน้าห้องคนเดิมเข้าไปอยู่ในอนุกรรมการชุดนั้นด้วย นอกจากนั้นยังมีที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานในขณะนั้นเข้ามาอยู่ในอนุกรรมการด้วย


สหัสวัตกล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้การเข้าซื้ออสังหาริมทรัพย์ของ สปส. สามารถซื้อโดยตรงได้ แต่การลงทุนซื้อตึกนี้กลับมีความซับซ้อน เพราะเป็นการตั้งกองทรัสต์ขึ้นมากองหนึ่งมูลค่า 9.8 พันล้านบาท โดย 30% เป็นการลงทุนในต่างประเทศ แต่ 70% กลับทุ่มมาซื้อตึกนี้ที่เดียว แล้วยังให้กองทรัสต์ไปซื้อบริษัทแห่งหนึ่งที่มีสินทรัพย์เพียงอย่างเดียวคือตึกแห่งนี้ เป็นการลงทุนซ้ำซ้อนและมีความพยายามปกปิด ทำให้น่าสงสัยว่าทำไมต้องมีการปกปิดขนาดนี้


ปกติกองทุนใหญ่ๆ ทั่วโลกที่มีการลงทุนนอกตลาดหุ้นในอสังหาริมทรัพย์ครั้งแรก มักจะไปร่วมลงทุนกับกองทุนอื่นๆ ที่มีความเชี่ยวชาญ มีการกระจายความเสี่ยง ไม่มีใครทุ่มซื้อตึกแห่งเดียวแบบนี้ จนตนต้องตั้งข้อสงสัยว่าดีลตึกนี้มีความเกี่ยวข้องกับฝ่ายการเมืองหรือไม่ เพราะมีการโยกเด็กหน้าห้องตัวเองมาทำดีลนี้โดยตรง และมาอยู่ในอนุกรรมการที่ผลักดันให้เกิดดีลนี้


“ที่ผ่านมาการลงทุนของประกันสังคมไม่เคยเปิดเผยต่อประชาชนว่าทำอะไร ซื้อตึกที่ไหนบ้าง เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ตราบใดที่การลงทุนของประกันสังคมยังอยู่ในมุมมืดแบบนี้ก็อาจจะเปิดช่องให้นักการเมืองเข้าไปแทรกแซงแล้วหาเงินกับเรื่องนี้ได้ การโยกย้ายข้าราชการในปี 2565 เป็นอำนาจโดยตรงของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานในขณะนั้น ท่านเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือไม่ และท่านได้ประโยชน์อย่างไรจากการซื้อตึกแห่งนี้” สหัสวัตกล่าว


สหัสวัตยังกล่าวต่อไปว่า เงินของผู้ประกันตนทุกบาทควรถูกพิจารณาอย่างโปร่งใส ไม่ควรมีใครได้ผลประโยชน์เอื้อพวกพ้องจากเรื่องนี้ การลงทุนของ สปส. มีปัญหาและถูกแทรกแซงจากผู้มีอำนาจ อีกทั้งโครงสร้างของ สปส. ทุกวันนี้ก็มีปัญหาจริงๆ และต้องได้รับการปฏิรูป นายกรัฐมนตรีควรตั้งกรรมการสอบสวนเรื่องนี้และบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการซื้อตึกนี้โดยตรง ไม่ว่าจะเป็นคนที่มีอำนาจในการอนุมัติคือเลขาธิการสำนักงานประกันสังคม ซึ่งในขณะนั้นคือ บุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ ปัจจุบันเป็นปลัดกระทรวงแรงงาน ซึ่งไม่เคยออกมาตอบคำถามใดๆ ว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือไม่ รวมถึงอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน สุชาติ ชมกลิ่น เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยหรือไม่


และต่อให้แม้เรื่องนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและเลขาธิการ สปส. คนปัจจุบัน แต่รัฐมนตรีฯ ก็ควรตั้งกรรมการสอบสวนย้อนหลังถึงการลงทุนที่ผิดปกติของ สปส. โดยในการประชุมบอร์ด สปส. วันพรุ่งนี้นอกจากเรื่องการพิจารณาปรับสูตรคำนวณเงินบำนาญแล้ว ยังจะมีการพิจารณาหลักเกณฑ์ในการเข้าซื้ออสังหาริมทรัพย์อีกครั้ง ซึ่งสังคมและสื่อมวลชนควรต้องช่วยกันจับตามองเพื่อไม่ให้เกิดการซื้อตึกแบบแปลกๆ เช่นนี้อีกในอนาคต


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ประกันสังคม #พรรคประชาชน










นายกฯ นำประชุมบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ แจกเงินหมื่นเฟส 3 หวังเศรษฐกิจไทยปี 2568 นี้ เติบโตมากกว่า 3%

 


นายกฯ นำประชุมบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ แจกเงินหมื่นเฟส 3 หวังเศรษฐกิจไทยปี 2568 นี้ เติบโตมากกว่า 3%


วันนี้ (10 มีนาคม 2568) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ครั้งที่ 1/2568 ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยดิจิทัลวอลเล็ตโดยการแจกเงิน 10,000 บาท ในเฟสที่ 3 โดยจะแจกผ่านในรูปแบบดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งรัฐบาลได้เตรียมวงเงินไว้กว่า 1.5 แสนล้านบาท ครอบคลุมประชาชนประมาณ 15 ล้านคน จากประชาชนที่มีการลงทะเบียนแล้วกว่า 20 ล้านคน


ซึ่งที่เพจเฟซบุ๊ก IngShinawatra ได้โพสต์ข้อความว่า


ด้วยความร่วมมือทุกภาคส่วน

ศักยภาพเศรษฐกิจไทยปี 2568

น่าจะเติบโตได้มากกว่า 3% ในปีนี้ค่ะ


ด้วยเศรษฐกิจในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา มีแนวโน้มฟื้นตัวตามลำดับ โดยมีการบริโภค การส่งออก และการท่องเที่ยวเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ โดยในปีนี้ กระทรวงการคลังประมาณการว่าเศรษฐกิจไทยปี 2568 จะเติบโตได้ 3% แต่รัฐบาลเชื่อว่า ด้วยศักยภาพเศรษฐกิจไทย การร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน ตัวเลขเศรษฐกิจน่าจะเติบโตได้มากกว่า 3% ค่ะ


วงประชุมวันนี้จึงเป็นวงที่เรามาร่วมกันคิด เสนอโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการรับผิดชอบของหน่วยงานต่าง ๆ และอยู่ในกรอบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ทั้งเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และร่วมกันวางโครงสร้างในระยะยาวไปพร้อม ๆ กัน


ซึ่งในวันนี้ที่ประชุมได้มีการเสนอโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 10,000 บาท ระยะที่สาม เพื่อเป็นการวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัล และต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อรับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ที่มีผลกระทบต่อกำลังซื้อของประชาชนในประเทศ โดยที่กลุ่มเป้าหมายจะเป็นผู้ลงทะเบียนผ่าแอปพลิเคชั่นทางรัฐ มีอายุตั้งแต่ 16-20 ปี และจะต้องใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชั่นทางรัฐ เพื่อสแกน QR code ณ ร้านค้าในพื้นที่เขตหรืออำเภอที่ประชาชนมีอยู่ตามทะเบียนบ้าน


โดยดิฉันได้เน้นย้ำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเครื่องยนต์สำคัญอย่างการท่องเที่ยว ที่จะต้องดำเนินต่อไปตามแผนงาน และมีแผนงานใหม่ที่มุ่งไปยังกลุ่ม luxury เพื่อเพิ่มการใช้จ่ายนักท่องเที่ยวต่อหัวมากขึ้น อีกเรื่องที่สำคัญคือกลุ่มการเกษตร ที่จะต้องพัฒนากระบวนการเกษตรทั้งกระบวนการ ตั้งแต่การวิจัยและพัฒนา การส่งออกสินค้าเกษตร และดูแลราคาสินค้าเกษตรให้เป็นธรรมหรือสูงขึ้น ซึ่งจะเป็นทั้งการยกระดับคุณภาพชีวิตพี่น้องเกษตรกร และทำให้รายได้ประเทศสูงขึ้นด้วย


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #นายกฯแพทองธาร #โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ #เงินหมื่นเฟส3 #แจกเงินหมื่นเฟส3 





“พิชัย” รับเงินดิจิทัลฯ เฟส 3 แจกแค่กลุ่มอายุ 16-20 ปี ชี้ พยายามจ่ายให้ได้ในไตรมาส 2 ส่วนเฟส 4 รอพิจารณาตามความเหมาะสม

 



พิชัย” รับเงินดิจิทัลฯ เฟส 3 แจกแค่กลุ่มอายุ 16-20 ปี ชี้พยายามจ่ายให้ได้ในไตรมาส 2 ส่วนเฟส4 รอพิจารณาตามความเหมาะสม


วันนี้ (10 มีนาคม 2568) นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ถึงการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งที่ 1/ 2568 วันนี้ว่า เป็นเรื่องของคณะกรรมการ ซึ่งได้มีการวางแผนไว้ ให้ทราบในเบื้องต้นก่อนว่าจะพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจให้ได้ 3% ซึ่งวันนี้ก็จะมีรายละเอียดออกมาให้ทราบ โดยจะเป็นแผนในระยะสั้น ส่วนในอนาคตก็จะมีแผนการแก้ไขโครงสร้างเข้ามาอีก เพราะในขณะที่เรากำลังทำงานไป ก็จะเจอปัญหาในเชิงโครงสร้าง


ผู้สื่อข่าวถามว่า ส่วนประเด็นเงินดิจิทัล 10,000 บาท ที่กำลังถกเถียงกันอยู่ ในขณะนี้นั้น จะเข้าสู่ที่ประชุมด้วยหรือไม่ นายพิชัย กล่าวว่า คงไม่ใช่ประเด็นถกเถียงกัน แต่ได้ข้อสรุปแล้วจึงนำมาพิจารณาในที่ประชุม โดยคาดว่าจะอยู่ในกรอบอายุ 16-20 ปี และพยายามจ่ายให้ได้ภายในไตรมาส 2 ส่วนจะมีเฟส 4 หรือไม่ ก็จะพิจารณาตามความเหมาะสมต่อไป


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ #เงินหมื่นเฟส3

วันอาทิตย์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2568

Stand Together ep.12 : “ในเดือนมีนา จับตา 112” อาเล็ก - ตี้ - อั๋ว ล้อมวงคุยเรื่องราวการต่อสู้ และความรู้สึกก่อนไปฟังคำพิพากษา ด้านทนายแจม กล่าวให้กำลังใจผู้ถูกดำเนินคดีทางการเมือง ก่อนปิดท้ายดนตรีจากอาเล็ก

 


Stand Together ep.12 : “ในเดือนมีนา จับตา 112” อาเล็ก - ตี้ - อั๋ว ล้อมวงคุยเรื่องราวการต่อสู้ และความรู้สึกก่อนไปฟังคำพิพากษา ด้านทนายแจม กล่าวให้กำลังใจผู้ถูกดำเนินคดีทางการเมือง ก่อนปิดท้ายดนตรีจากอาเล็ก


เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2568 ที่ อาคาร All Rise (iLaw) เวลา 17:00 - 20:00 น. กลุ่ม Thumb Rights เครือข่ายประชาชนเพื่อสิทธิพลเมือง จัดกิจกรรม Stand Together EP.12 เพื่อฟัง-คุย-แลกเปลี่ยน เพื่อส่งเสียงให้ดังขึ้น! โดยหลังจากจบวงพูดคุยเรื่องราว"ขนุน สิรภพ" แล้วนั้น


ต่อมาเป็นวงพูดคุย “ในเดือนมีนา จับตา 112” โดย นางสาววรรณวลี ธรรมสัตยา หรือ ตี้ อดีตแกนนำราษฎร นายโชคดี ร่มพฤกษ์ หรือ อาเล็ก โชคร่มพฤกษ์ และ น.ส.จุฑาทิพย์ ศิริขันธ์ อดีตแกนนำกลุ่มเยาวชนปลดแอก หรือ อั๋ว ดำเนินรายการโดย นายธีรภพ เต็งประวัติ


น.ส. จุฑาทิพย์ ศิริขันธ์ หรือ อั๋ว กล่าวว่า ตนเองภายหลังจากถูกดำเนินคดีก็ต้องโดนถูกติดตาม ต้องไปขึ้นศาล ซึ่งตนเองก็ได้รับการประกันตัวในทุก ๆ คดีและได้มีโอกาสมาต่อสู้คดี แต่สิ่งหนึ่งที่โดนคดีซึ่งก็มีประวัติ จนกว่าจะได้ทำงานในระดับที่มั่นคงก็ต้องต่อสู้หน่อย เพราะตนก็ว่างงานอยู่ประมาณห้าถึงหกเดือน ภายหลังจากเรียนจบ ในการทำงานก็มาพร้อมกับความกังวลตลอดเวลาว่าจะถูกดำเนินคดีตอนไหน ถ้าตัดสินแล้วงานที่จะทำอยู่อนาคตจะเป็นอย่างไร มันก็จะทำให้เราทำงานหนักมากขึ้นเพื่อจะได้เก็บเงินไว้ตอนติดคุก


นายโชคดี ร่มพฤกษ์ หรือ อาเล็ก โชคร่มพฤกษ์ กล่าวว่า คนที่ออกมาต่อสู้เขาคิดไว้แล้วว่าสักวันนึงมันต้องโดนคดี ตนเองก็เป็นนักร้องที่คาดการณ์มาแล้วว่าจะต้องโดนคดีสักวันหนึ่ง และก็ไม่คิดว่ามันจะเยอะขนาดนี้ ตนเองก็พร้อมที่จะรับสภาพในส่วนของคดี 112 ที่โดนดำเนินคดีไป 2 คดี โดยทางทนายอานนท์ได้แนะนำเรื่องการรอลงอาญา 2 ปี ซึ่งสองปีนี้ก็จะทำไม่ได้ ให้ร้องเพลงเฉพาะเพลงรักประโลมโลก อุปสรรคที่ตนเองจะต้องเจอในวันที่ 19 มีนานี้ ตนไม่รู้ศาลจะว่าอย่างไร แต่ก็ไม่คิดว่าคงจะไม่โดนโทษจำคุกเพราะแค่ไปยืนร้องเพลง 


นางสาววรรณวลี ธรรมสัตยา หรือ ตี้ อดีตแกนนำราษฎร กล่าวว่า ในวันที่ 24 มีนาคมนี้ตนเองก็จะถูกตัดสินในคดีมาตรา 112 ซึ่งคดีมาตรานี้เป็นคดีที่ใช้ปิดปากเรามานาน มาในยุคของตน ยังมีความโชคดีกว่าคนเสื้อแดง สำหรับคนที่โดน 112 ทุกคนก็เข้าใจความเห็นของต่าง อย่างตนทำงานอิสระ อาทิ พิธีกร เมื่อโดนคดีชีวิตมันพลิกจากที่เคยทำงานออกหน้ากล้องได้ เพราะว่าทางผลิตภัณฑ์กังวลว่าจะกระทบความเชื่อมั่น หรือมีอยู่วันหนึ่งมีเจ้าหน้าที่ไปเฝ้าในขณะที่ตนเองกำลังทำงานอยู่ในห้าง เมื่อตอนที่ตนใส่กำไล EM ก็ต้องปิดกำไลให้มิดชิด ไม่งั้นบุคคลภายนอกก็จะมองดูไม่ดี 


“สำหรับในวันที่ 24 มีนาคมนี้ที่จะมีการตัดสินตนมองว่าอาจจะได้มีการเข้าเรือนจำประมาณ 50% เพราะว่าหลายคนที่ผ่านมาก็เข้าไปกันเยอะมาก ๆ ทั้งนี้ตนก็มีความหวัง แต่มันก็ริบหรี่ หากได้เข้าไปจริงตนก็บอกว่าเป็นการเข้าค่าย ไม่ได้เครียดอะไรมากมาย” นางสาววรรณวลี กล่าว


หลังจากนั้นมี น.ส.ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ หรือ แจม ส.ส.พรรคประชาชน มากล่าวให้กำลังใจผู้ถูกดำเนินคดีการเมือง ที่จะเข้าฟังการพิพากษาในเดือนนี้ โดย น.ส.ศศินันท์ กล่าวว่า ยังขอบคุณทุกคนที่ยังอยู่ด้วยกัน อยากให้เป็นกำลังใจให้กัน อย่างที่ใครหลายคนพูดว่าไม่มีใครอยากไปจากบ้านของตนเอง แต่ด้วยอะไรบางอย่างที่เป็นเงื่อนไขในชีวิตแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน หลาย ๆ คนที่อยู่ในเรือนจำก็เชื่อว่าทุกคนไม่ได้มีใครลืม แต่เพียงแค่ว่าเราก็ต้องสู้กันไปในเส้นทางที่เรามีหรือเงื่อนไขที่เรามีอยู่ และนอกจากนี้ตนได้ทวงถาม พ.ร.บ.นิรโทษกรรมไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะได้ยื่นเข้ามาเมื่อใด


และปิดท้ายด้วยการเล่นดนตรีจากนายโชคดี ร่มพฤกษ์ ก่อนสิ้นสุดกิจกรรมในเวลาประมาณ 20.20 น.


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #คดีการเมือง #นิรโทษกรรมประชาชน