ประเมินความเคลื่อนไหวของนักศึกษาเยาวชนขณะนี้
“ณัฐวุฒิ”
ได้กล่าวว่า ผมคงไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะประเมินว่าความเคลื่อนไหวของนักศึกษาและประชาชนเวลานี้จะไปได้ไกลแค่ไหน?
หรือไม่? เพราะว่าเมื่อพวกเขาออกมายืนบนวิถีของการต่อสู้ เมื่อพวกเขาได้วางชีวิต
อิสรภาพของตัวเองลงเป็นเดิมพันในการต่อสู้นี้ พวกเขาก็เท่ากันกับผมนั่นแหละครับ
ถ้าผมเป็นนักต่อสู้คนหนึ่ง พวกเขาก็เป็นนักต่อสู้อีกหลายคนที่มีเกียรติยศศักดิ์ศรีของการต่อสู้เท่าเทียมกัน
ผมเคารพในความเคลื่อนไหว
เคารพในความคิดเห็นของพวกเขา และผมก็คิดว่าผมคงไม่แน่พอที่จะมานั่งประเมินสิ่งที่พวกเขากำลังต่อสู้อยู่ด้วยชีวิต
ด้วยอิสรภาพ ด้วยสิ่งที่ต้องเผชิญและแบกรับนานัปการ
ถ้าผมจะพูดได้ผมก็จะพูดเพียงว่าภายใต้จุดยืนทางการเมืองที่ไม่เปลี่ยนแปลงของผมและก็ของพี่น้องที่ร่วมต่อสู้กันมาจนวันนี้
ผมขอแสดงตัวเคียงข้างนิสิตนักศึกษาและประชาชนที่กำลังต่อสู้อยู่ในปัจจุบัน (เสียงปรบมือ)
พร้อมกันนั้นผมขอปฏิเสธข้อกล่าวหา บิดเบือน ให้ร้ายป้ายสี
ว่าการแสดงท่าทีเช่นนี้หมายถึงการมุ่งร้าย หมายถึงการโค่นล้มทำลายสถาบัน
จุดยืนทางการเมืองของผม
ของเพื่อนมิตรที่สู้กันมา เด่นชัดมาตลอด แต่เมื่อในวันที่คนหนุ่มสาว
เมื่อในวันที่พี่น้องประชาชนออกมาสู้ แล้วกำลังถูกกระทำอยู่เช่นนี้
ผมมีท่าทีอย่างอื่นไม่ได้!
ผมแสดงจุดยืนอย่างอื่นไม่ได้!
ผมต้องยืนเคียงข้างพวกเขา!
ผมต้องยืนเคียงข้างประชาชน! (เสียงปรบมือ)
ผมมีโอกาสได้พบกับพวกเขาหลายคนขณะที่ผมอยู่ในเรือนจำ
แม้ไม่ได้พูดคุยกันมากนัก เพราะผมเข้าไปก่อน
บางช่วงเวลาก็อยู่นอกเงื่อนไขการกักโรค
จึงได้ใช้ชีวิตปกติเหมือนผู้ต้องขังทั่วไปในแดน 2 แต่น้อง ๆ ช่วงเวลานั้นเข้าไปอยู่ส่วนใหญ่ก็ไม่ถึง
14 วัน ดังนั้น
พวกเขาจึงใช้เวลาส่วนมากอยู่ในเรือนนอนตามมาตรการกักโรคของทางเรือนจำ
อย่างไรก็ดี
ก็มีช่วงเวลาที่เจ้าหน้าที่เบิกตัวพวกเขาออกมาเพื่อพบทนายความ เพื่อพบผู้หลักผู้ใหญ่ของรัฐบาล
ของกรมราชทัณฑ์ ที่เข้าไปพูดคุย เข้าไปดูแลความเป็นอยู่ แม้แต่ละช่วงเวลาได้พูดคุยกันสั้น
ๆ แต่ว่าผมคิดว่าผมห่วงใยพวกเขา ผมคิดว่าผมเป็นห่วงพวกเขา
ทุกเช้าเมื่อผมออกจากเรือนนอนแล้วเดินผ่านห้องที่พวกเขาถูกจำขังอยู่
ผมต้องชะโงกหน้าไปเรียกพวกเขาทุกครั้ง เพราะผมเป็นห่วงว่าน้อง ๆ เขาไม่เคยถูกขัง
มาอยู่รวมกับผู้ต้องขังอื่น ๆ แล้วจะเป็นอย่างไร? ปลอดภัยหรือไม่? ขนาดไหน?
ผมได้เห็นพวกเขาคุยกันเอง
ผมได้เห็นเวลาเขากิน ผมได้เห็นเวลาเขานอนหลับ ไม่ว่าเขาจะประกาศตัวเป็นนักต่อสู้
เป็นนักปฏิวัติ หรือประกาศตัวเป็นผู้กล้าหาญใด ๆ ก็ตาม แต่จากสายตาที่ผมเห็น
จากเนื้อชีวิตที่ผมได้สัมผัส จากประสบการณ์ที่ผมผ่านพบชีวิตมาจนเป็นพ่อคน
สิ่งหนึ่งที่เขาปิดบังผมไม่ได้ สิ่งหนึ่งที่พวกเขาปฏิเสธผมไม่ได้
คือพวกเขายังเป็นเด็ก บางคนถ้าผมมีลูกเร็วตอนอายุ 24-25 พวกเขาเป็นลูกผม
ดังนั้น
ผมรู้ดีว่าอิสรภาพของผมเปราะบาง
แล้วการแสดงจุดยืนหรือการพูดเรื่องราวเหล่านี้ก็อาจจะทำให้ความเปราะบางนั้นเปราะบางไปอีก
แต่ผมไม่คิดจะมีทางเลือกอื่น ผมคิดว่าประเทศนี้ไม่สามารถจะพูดถึงอนาคตที่สดใสงดงามได้เลยตราบเท่าที่
“อนาคตของชาติ” ยังอยู่ใน “กรงขัง” เราไม่สามารถจะกล่าวอ้างอธิบายใด ๆ
ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำ ทำเพื่อลูกหลาน
ในวันที่ลูกหลานซึ่งถูกขัง...ยังไม่ได้กินข้าว!
ในวันที่ลูกหลานซึ่งถูกขัง...ร้องห่มร้องไห้
หวาดกลัวความตาย และโหยหาอิสรภาพ!
ในความเคลื่อนไหวของพวกเขา
ไม่ว่าจะแนวคิดหรือแนวทางการต่อสู้
มีทั้งส่วนที่ผมเห็นด้วยและมีทั้งส่วนที่ผมห่วงใย
แต่ในความเป็นคนหนุ่มสาวของพวกเขา ในความเป็นพลังบริสุทธิ์ของพวกเขา
ผมมีแต่ความรู้สึกรัก ห่วงใย เอาใจช่วยเพียงอย่างเดียว ไม่มีความรู้สึกอื่น
ผมเป็นของผมแบบนี้
และผมเชื่อว่าสังคมนี้
เราไม่ควรจะมองเห็นชีวิตและอิสรภาพของคนหนุ่มสาวที่กำลังถูกกระทำเป็นชัยชนะ
เป็นความสะใจ เป็นเรื่องที่ยอมให้มันเกิดขึ้นได้
เพียงเพราะเขายืนอยู่คนละฝ่ายกับอำนาจ
หรือเขายืนอยู่คนละฝ่ายความคิดกับคนบางกลุ่มเท่านั้น
บางคนบอกว่าเมื่อเด็ก
ๆ ทำผิด เด็ก ๆ ก็ต้องรับผิดชอบ เมื่อละเมิดกฎหมายก็ต้องรับผิดชอบตามกฎหมาย ผมอยากจะถามว่าท่านคิดอย่างนั้นกันจริงหรือเปล่า?
เพราะสำหรับผม ผมไม่ได้คิดแบบนั้น เราสู้กันมา 10 กว่าปี
แล้วจนถึงวันนี้การต่อสู้นี้ก็ยังคงอยู่ แล้วคนรุ่นลูก รุ่นหลาน ออกมาสู้วันนี้
ถูกดำเนินคดี ถูกกระทำต่าง ๆ นานามากมาย โดยเราทั้งหลายบอกว่าเขาต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่ทำลงไป
ในหัวใจปฏิเสธ ในหัวใจผมกำลังบอกตัวเองว่า “คนรุ่นเราต่างหากต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เราทำกันลงไป
แล้วทำให้พวกเขาต้องออกมาสู้กันในวันนี้” (เสียงปรบมือ)
ถ้าบ้านเมืองมันเดินไปตามวิถีทางที่ถูกต้องจริง
ถ้าบ้านเมืองมันปกครองในระบอบการปกครองที่อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน
ไม่มีอำนาจนอกระบบมาแทรกแซง ไม่มีเผด็จการรัฐประหารเข้ามายึดกุมประเทศ
ไม่มีกติกากดขี่เช่นรัฐธรรมนูญฉบับนี้ “เด็กพวกนี้ต้องอยู่ในห้องเรียน
ไม่ได้อยู่ในห้องขัง” เด็กพวกนี้ต้องใช้สติปัญญาใช้วิชาความรู้ของตัวเองนำพาตัวเองให้เข้มแข็งเพื่อเป็นอนาคตเป็นความหวังของคนทั้งชาติ
ดังนั้น
ผมคิดว่าความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้น ชะตากรรมของคนหนุ่มคนสาวที่เกิดขึ้น
คนรุ่นเราต้องรับผิดชอบ เอาเด็กออกจากห้องขัง แล้วเรามาแก้ปัญหากันแบบผู้ใหญ่ เรามาแก้ปัญหากันด้วยเหตุด้วยผล
เรามาแก้ปัญหากันด้วยความจริง เรามาแก้ปัญหากันด้วยความปรารถนาดีต่อบ้านเมืองและปรารถนาดีต่อกันและกันอย่างแท้จริง!
ถ้าเปรียบประเทศเป็นบ้าน
คนรุ่นพวกเราเป็นพ่อแม่ คนหนุ่มสาวรุ่นปัจจุบันเขาเป็นลูก
พ่อแม่มีปัญหาทะเลาะกันมา 10 กว่าปี
จนวันหนึ่งลูกโตขึ้นแล้วลูกลุกขึ้นตะโกนขึ้นกลางบ้าน
สิ่งที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ต้องทำคือตั้งใจฟังเขา พยายามที่จะแก้ไขปัญหาให้เขา
หรือแก้ไขปัญหาร่วมกับเขา ไม่ใช่เอาเขาไปขัง!
ผมคิดว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นมันเป็นสัญญาณที่ถูกส่งตรงมาจากคนที่กำลังจะเติบโตมารับผิดชอบบ้านเมืองต่อไป
เขาตอบเราแล้วว่าเขาไม่ยอมรับสังคมที่เป็นมา
เขาตอบแล้วว่าเขาอยากเห็นความเปลี่ยนแปลงตามความเป็นจริงของสถานการณ์ แล้วผมคิดว่าใครก็ตามในบ้านเมืองนี้ไม่ควรเกรงกลัวหรือปฏิเสธความเปลี่ยนแปลง
ในโลกใบนี้ความเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องแน่นอนที่สุด
วิทยาการองค์ความรู้ต่าง ๆ ทำให้มนุษย์สามารถจะสำรวจทุกอย่างทั้งในสุริยะจักรวาล
ทั้งเรื่องบนดิน ใต้ดิน ทุกเรื่อง มนุษย์สามารถที่จะเข้าถึงและสำรวจได้
แล้วมนุษย์ก็พบว่าไม่มีเรื่องใดเลยที่ไม่เปลี่ยนแปลง
ไม่มีอะไรเลยที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ไม่มีสิ่งใดเลยที่อยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์นี้ เมื่อพลังของการเปลี่ยนแปลงส่งสัญญาณมาชัดขนาดนี้
กลายเป็นว่าผู้มีอำนาจ กลายเป็นว่ารัฐ ได้ทุ่มเทใช้กำลัง ใช้กฎหมาย ใช้ทรัพยากร
ใช้ความรุนแรง ใช้ทุกอย่างเพื่อพยายามควบคุม ทั้ง ๆ
ที่สิ่งที่เป็นจริงควรจะพยายามเข้าใจมันต่างหาก
และผมไม่เชื่อว่าจะมีใครไปล้างสมอง
ผมไม่เชื่อว่าจะมีใครไปเป็นผู้มีอิทธิพลเหนือจิตวิญญาณของคนหนุ่มคนสาวในวันนี้
จนถึงขั้นทำให้เขาสามารถจะเคลื่อนไหว สามารถจะทำอะไรก็ตาม
ตามแต่คนที่ล้างสมองปรารถนา ผมไม่เชื่อ!
ผมมีวิธีคิดของผมง่าย
ๆ โลกยุคปัจจุบันแม้แต่คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็ไม่ใช่จะจูงใจลูกได้ง่าย ๆ
เขาเติบโตในวันเวลาของเขา เขาเติบโตในโลกอีกใบของเขา ดังนั้น
ผมว่าเราอยู่กันได้ด้วยความจริง แล้วเราจำเป็นต้องยอมรับความจริงก่อนที่ทุกอย่างมันจะเสียหายเลวร้ายไปมากกว่านี้
ว่านี่คือพลังบริสุทธิ์ที่เขาสะท้อนออกมา
นอกเหนือจากเรื่องหลักการ
นอกเหนือจากเรื่องชะตากรรมของคนหนุ่มสาวที่ผมได้ประสบพบเจอบ้างแล้วนั้น
อีกเหตุผลสำคัญที่ผมต้องประกาศจุดยืนเคียงข้างพวกเขาก็คือ ในนามของความเป็นมนุษย์
ผมเป็นคนเสื้อแดง ผมเป็นมา 10 กว่าปี จนบัดนี้ก็ยังเป็น
และผมเชื่อว่าทั้งชีวิตผมก็ไม่ได้รู้สึกตะขิดตะขวงใจหรือเป็นเรื่องเสียหายที่จะเป็น
“คนเสื้อแดง” (เสียงปรบมือ)
ผมต่อสู้ร่วมกับพี่น้องร่วมอุดมการณ์มา
10 กว่าปี เราเป็นคนที่ถูกยิงทิ้งเสียชีวิตมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
เราถูกจำขัง ถูกไล่ล่า ถูกเขาเหยียบย่ำ แบกรับคำดูหมิ่นเหยียดหยามต่าง ๆ มากมาย
เราถูกยิงตายกลางถนนเป็นร้อย แล้วเราก็เห็นเขาออกมาล้างถนน
คดีของพี่น้องที่บาดเจ็บล้มตายไม่ถึงศาล เราถูกเรียกเป็นควาย
เราถูกตราหน้าว่าเป็นขบวนการรับจ้าง เราถูกกาหัวว่าเป็นพวกไร้การศึกษา
เป็นคนไร้ค่า
10
กว่าปีที่ผ่านมา พวกผมต่อสู้แล้วก็เจอกับสิ่งนี้ แต่พวกเขาคนหนุ่มสาวเหล่านี้
พวกเขาเป็นคนกลุ่มแรกที่หยิบยื่นความเข้าใจ หยิบยื่นความเห็นใจ
และหยิบยื่นเกียรติยศให้พวกผม พวกเขาเป็นคนกลุ่มแรกที่ตะโกนเรียกพวกผมกลางท้องถนน
พวกเขาเป็นคนกลุ่มแรกที่บอกว่าเข้าใจเราแล้ว เห็นใจเรา อยากขอโทษเพราะเมื่อก่อนเข้าใจผิด
พวกเขาเป็นคนกลุ่มแรกที่ทำเรื่องแบบนี้ ในนามของความเป็นมนุษย์ผมทิ้งพวกเขาไม่ได้! (เสียงปรบมือ)
ผมมีโลกใบเดียว
ถ้าผมต่อต้านเผด็จการในเมียนมาร์ ผมก็ต่อต้านเผด็จการในประเทศไทยด้วย (เสียงปรบมือ)
ถ้าผมประณามการเข่นฆ่าประชาชนที่เมียนมาร์ ผมก็ต้องไม่ยอมรับการกระทำใด ๆ
ต่อประชาชน ต่อคนหนุ่มสาวและเยาวชนในประเทศไทยด้วย (เสียงปรบมือ)
ผมอยากจะบอกทุกฝ่ายนะครับว่าที่ผมพูดไม่ใช่ผมจะประกาศเผชิญหน้า
ไม่ใช่ผมจะท้าทายแล้วออกไปเดินนำหน้าขบวนที่เขากำลังทำอยู่เวลานี้ ไม่ใช่! แต่ผมพูดจากหัวใจจริง
ๆ ผมคิดแบบนี้ ผมเชื่อแบบนี้ และผมเป็นคนอย่างนี้
แล้วถ้าหากว่าใครก็ตามจะเห็นว่าการพูดวันนี้เป็นเรื่องที่เป็นปัญหา
เป็นเรื่องที่ร้ายแรง ทำลายชาติ ทำลายบ้านเมือง ผมก็จะไม่เปลี่ยนคำพูด
ผมยืนยันว่าความเปลี่ยนแปลงมันกำลังเกิดขึ้น แล้วมันเดินเร็ว ถ้าไม่เข้าใจ
ถ้าไม่เท่าทัน มันจะพากันพังหมด มันจะเสียหายกันทั้งระบบ ไม่มีเหลือไม่ว่าใครฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด
ผมพูดยาวหน่อยสำหรับคำถามเมื่อสักครู
ไม่รู้ว่าจะตอบคำถามนั้นหรือว่าเลยเถิดไปถึงคำถามอื่นบ้างก็ตาม
แต่ว่าอย่างที่บอกอะครับ มันอยู่ในใจ มันก็ต้องพูดออกมา (เสียงปรบมือ)
การขึ้นเวทีร่วมกับนักศึกษาหรือไม่เป็นเรื่องในอนาคต
“ณัฐวุฒิ”
กล่าวว่า เมื่อเทียบเคียงกับน้อง ๆ ที่เป็นแกนนำหลักอยู่เป็นจำนวนมากเวลานี้
ผมก็อาวุโสกว่าพวกเขาพอสมควร ความอาวุโสนี้ไม่ได้หมายความว่าผมเหนือกว่า เก่งกว่า
หรือมีศักยภาพในการนำสูงกว่า
แต่ความอาวุโสนี้ทำให้ผมต้องตระหนักกับตัวเองว่าเราต้องรอบคอบ รัดกุม ยกย่อง
ให้เกียรติพวกเขา พวกเขาต่อสู้กันมา มีประวัติศาสตร์ร่วมกัน
มีวันเวลาที่แสดงความกล้าหาญ มีวันเวลาที่แบกรับความเจ็บปวดร่วมกัน
ดังนั้น
ผมว่าคงไม่ใช่วาระที่ผมจะมาประกาศวันนี้ว่าจะไปขึ้นเวที จะไปเป็นแกนนำร่วมกัน
ผมมีหน้าที่ต้องเคารพและให้เกียรติพวกเขา
ตราบเท่าที่พวกเขายังต่อสู้อยู่อย่างกล้าหาญ และผมเชื่อว่าด้วยประสบการณ์
ด้วยวุฒิภาวะ ด้วยการผ่านพบสถานการณ์ที่มากขึ้น ๆ คงทำให้บางเรื่องบางแง่มุมที่ผมมีความห่วงใจพวกเขาก็คงจะทำให้เข้มแข็งขึ้น
พวกเขาก็คงจะขับเคลื่อนอย่างรัดกุม อย่างแหลมคมมากขึ้น
ไม่ได้หมายความว่าที่ผ่านมามันขาดความรัดกุม
ขาดความแหลมคมนะครับ อย่างที่บอกผมเคารพพวกเขาด้วยหัวใจ
แต่ว่าทุกอย่างมันเป็นเรื่องของการเรียนรู้ ทุกอย่างมันเป็นเรื่องของประสบการณ์
ทุกอย่างมันเป็นเรื่องของพัฒนาการ ดังนั้น คงไม่ได้หมายความว่าผมอยู่ ๆ
จะลงจากโต๊ะแถลงข่าวนี้เดินพรวดพลาดไปขึ้นเวทีที่น้อง ๆ เขาสู้กันอยู่
คงไม่ได้หมายความอย่างนั้น แต่อนาคตต่อไปข้างหน้า ถ้าสถานการณ์มันเกิดความจำเป็น
ถ้าสถานการณ์มันไม่อาจจะมีวิธีการอื่นได้ ก็ขอให้เป็นเรื่องอนาคตครับ
(เสียงปรบมือ)