วันพุธที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

ทนายด่าง เผยแพร่คำแถลงกรณีการเสียชีวิตของ "บุ้ง-เนติพร" นับเป็นวันที่ 78 แล้ว ที่ไร้คำชี้แจง จี้คณะกรรมการสอบสวนของกระทรวงยุติธรรม เร่งสอบสวน - แจ้งสาธารณชนทราบโดยด่วน ก่อนที่ศาลจะไต่สวนการตายตามกฏหมายต่อไป

 




ทนายด่าง เผยแพร่คำแถลงกรณีการเสียชีวิตของ "บุ้ง-เนติพร" นับเป็นวันที่ 78 แล้ว ที่ไร้คำชี้แจง จี้คณะกรรมการสอบสวนของกระทรวงยุติธรรม เร่งสอบสวน - แจ้งสาธารณชนทราบโดยด่วน ก่อนที่ศาลจะไต่สวนการตายตามกฎหมายต่อไป


วันนี้ (31 กรกฎาคม 2567) นายกฤษฎางค์ นุตจรัส หรือ ทนายด่าง ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Krisadang-Pawadee Nutcharus ระบุว่า


คำแถลงกรณีการเสียชีวิตของ นางสาวเนติพร เสน่ห์สังคม (บุ้ง)


วันนี้ ( 31 กรกฎาคม 2567 ) ซึ่งนับเป็นวันที่ 78 ของการเสียชีวิตของนางสาวเนติพร เสน่ห์สังคม หรือบุ้ง จำเลยในคดีอาญาของศาลอาญาและศาลอาญากรุงเทพใต้ ซึ่งถูกขังอยู่ที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ กรุงเทพมหานคร โดยหมายขังของศาลยุติธรรมทั้งสองแห่ง ในฐานะทนายความของนางสาวเนติพร เสน่ห์สังคม หรือบุ้ง เห็นว่า การเสียชีวิตของบุ้งในวันที่ 14 พฤษภาคม 2567 ยังคงไม่ได้รับการชี้แจงถึงสาเหตุการตายและรายละเอียดอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในการเสียชีวิตของบุ้งจากหน่วยงานราชการที่รับผิดชอบแต่อย่างใด


กระทรวงยุติธรรมซึ่งเป็นตัวแทนของรัฐบาลดูแลรับผิดชอบกรณีดังกล่าวยังมิได้ดำเนินการสอบสวนหาสาเหตุที่แท้จริงของการเสียชีวิตของบุ้งเลย และในส่วนหน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการตรวจสอบค้นหาความจริงรวมทั้งค้นหาความรับผิดชอบจากกรณีการเสียชีวิตของบุ้งก็ยังมิได้มีการดำเนินการใด ๆ จนบัดนี้


​ข้าพเจ้าในฐานะทนายความของบุ้งในคดีอาญาที่เธอถูกกล่าวหาและยังไม่มีคำพิพากษาใด ๆ ว่าเธอได้กระทำความผิดตามที่รัฐกล่าวอ้างทั้งสิ้น เห็นว่า กรณีที่เกิดขึ้นนี้เป็นข้อด่างพร้อยอย่างชัดเจนของกระบวนการยุติธรรมไทย


​แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เราได้ใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดในการตรวจสอบข้อมูลข้อเท็จจริงในกรณีการตายของบุ้งเพียงเท่าที่จะสามารถหาได้จากพยานหลักฐานทั้งรายงานทางการแพทย์และภาพเคลื่อนไหวที่บันทึกจากกล้องวงจรปิดสถานที่เกิดเหตุ รวมทั้งจากพยานบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องในกรณีดังกล่าวทำให้ได้ข้อยุติในข้อเท็จจริงที่รวบรวมได้ดังต่อไปนี้


​ข้อ 1. จากพยานหลักฐานที่จะระบุท้ายคำแถลงฉบับนี้ทำให้เราเชื่อได้ว่า นางสาวเนติพร เสน่ห์สังคม หรือบุ้ง ถึงแก่ความตายที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ตั้งแต่เช้าวันที่ 14 พฤษภาคม 2567


​ข้อ 2. จากพยานหลักฐานภาพเคลื่อนไหวที่บันทึกจากกล้องวงจรปิดในบริเวณห้องขังของทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ซึ่งนางสาวเนติพร เสน่ห์สังคม หรือบุ้ง รักษาตัวอยู่นั้นเห็นว่า ในครั้งแรกที่พบว่า นางสาวเนติพร เสน่ห์สังคม หรือบุ้ง มีอาการอยู่ในภาวะวิกฤตินั้น ไม่มีการกู้ชีพโดยใช้แพทย์หรือพยาบาลที่มีความเชี่ยวชาญและการกู้ชีพโดยบุคคลที่ปรากฎในภาพก็เป็นการช่วยเหลือโดยไม่เป็นตามหลักวิธีทางการแพทย์ และไม่มีการใช้เครื่องมือทางการแพทย์ที่โรงพยาบาลทั่วไปต้องมีอยู่ในการกู้ชีพแต่อย่างใด


​ข้อ 3. การเคลื่อนย้ายนางสาวเนติพร เสน่ห์สังคม หรือบุ้ง จากเตียงผู้ป่วยไปสู่ห้องฉุกเฉินของทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ใช้เวลานานเกินสมควรและน่าจะมีข้อผิดพลาดในการช่วยเหลือ เพราะเห็นได้ชัดว่าในขณะทำการกู้ชีพนั้นที่บริเวณหน้าท้องของนางสาวเนติพร เสน่ห์สังคม หรือบุ้งมีอาการบวมจนสังเกตุได้จากภาพเคลื่อนไหวจากกล้องวงจรปิดของห้องฉุกเฉินที่ได้รับจากทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์


​ข้อ 4. การตัดสินใจส่งตัวนางสาวเนติพร เสน่ห์สังคม หรือบุ้ง ออกจากของทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ไปยังโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ซึ่งอยู่ห่างไกลมากกว่าโรงพยาบาลทันสมัยอื่นที่อยู่ใกล้เคียง โดยในขณะนั้นนางสาวเนติพร เสน่ห์สังคม หรือบุ้ง มีหลักฐานบ่งชี้ชัดว่านางสาวเนติพร เสน่ห์สังคม หรือบุ้ง ไม่มีสัญญาณชีพแล้วจึงน่าจะเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดของผู้รับผิดชอบ


​ข้อ 5. จากภาพของกล้องวงจรปิดของโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ในขณะที่รถพยาบาลของทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์นำตัวนางสาวเนติพร เสน่ห์สังคม หรือบุ้ง ไปส่งนั้นระบุชัดเจนว่าในการนำตัวนางสาวเนติพร เสน่ห์สังคม หรือบุ้ง ออกจากรถพยาบาลเพื่อส่งต่อเข้าห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรตินั้นใช้เวลานานเกินสมควรและผิดปรกติอย่างมาก ทั้งเห็นได้ว่าแพทย์ผู้มากับรถพยาบาลนั่งมาคู่กับคนขับมิได้อยู่กับผู้ป่วยที่อยู่ตอนหลังของรถแต่อย่างใด


​ข้อ 6. จากรายงานบันทึกทางการแพทย์ของโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติในขณะที่รับตัวนางสาวเนติพร เสน่ห์สังคม หรือบุ้งนั้นระบุชัดเจนว่าเธอไม่มีสัญญาณชีพแล้ว และพบว่าการสอดท่อช่วยหายใจที่จะนำอากาศเข้าสู่ปอดนั้นเกิดความผิดพลาด โดยท่อช่วยหายใจนั้นถูกสอดใส่ไปในหลอดอาหารแทนที่จะสอดใส่ไปที่ในท่อหายใจ ซึ่งแพทย์ของโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติได้บันทึกไว้ว่าต้องมีการแก้ไขสอดท่อใหม่ให้ถูกต้อง อีกทั้งจากการชันสูตรพลิกศพภายหลังพบว่ามีอากาศอยู่ในช่องท้องของผู้ตายจำนวนมากจนทำให้มีอาการป่องบวมอย่างเห็นได้ชัด


​ข้าพเจ้าขอเรียนว่า ข้อสังเกตุทั้ง 6 ประการข้างต้นนั้น ทนายความและญาติพร้อมทั้งผู้เชี่ยวชาญภายนอกที่ไม่ได้มีส่วนได้เสียได้ตั้งข้อสังเกตุจากรายงานทางการแพทย์ของทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ และรายงานทางการแพทย์ของโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ และรายงานจากการผ่าชันสูตรร่างกายผู้เสียชีวิตภายหลังการตาย รวมทั้งจากภาพเคลื่อนไหวของกล้องวงจรปิดเท่าที่ได้รับจากทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์และโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติเท่านั้น สำหรับรายละเอียดการวิเคราะห์ทางการแพทย์และทางเคมีรวมทั้งหลักวิชาการกู้ชีพในภาวะวิกฤติกรณีความบกพร่องในการช่วยชีวิตผู้ป่วยนั้นได้จัดทำขึ้นต่างหากเพื่อใช้สำหรับการไต่สวนการตายในชั้นพิจารณาคดีของศาลต่อไป


​ข้าพเจ้าขอเรียนว่าทนายความของผู้ตายในกรณีนี้ เห็นว่า นางสาวเนติพร เสน่ห์สังคม หรือบุ้งได้เสียชีวิตที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ กรุงเทพมหานครแล้ว การไต่สวนการตายในกรณีนี้จึงต้องกระทำที่ศาลอาญาซึ่งเป็นศาลที่มีเขตอำนาจเท่านั้น


​ขอเรียกร้องให้คณะกรรมการสอบสวนของกระทรวงยุติธรรมซึ่งได้ตั้งขึ้นเพื่อสอบสวนกรณีนี้เร่งดำเนินการสอบสวนให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว พร้อมทั้งเร่งชี้แจงผลการสอบสวนพร้อมรายละเอียดทั้งหมดต่อประชาชนและผู้เกี่ยวข้องโดยด่วน ก่อนที่จะมีการไต่สวนการตายของนางสาวเนติพร เสน่ห์สังคม หรือบุ้ง ณ ศาลที่มีอำนาจตามกฎหมายต่อไป


นายกฤษฎางค์ นุตจรัส

31 กรกฎาคม 2567

เป็นเวลา 78 วันนับจากการตายของบุ้ง


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #บุ้งเนติพร #บุ้งทะลุวัง #ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม

กมธ.ก้าวไกลฉะงบกลางปีเติมดิจิทัลวอลเล็ต 1.22 แสนล้าน รัฐบาลกลับตัวเลขกระตุ้นเศรษฐกิจไปมา ไร้ข้อสรุปจะโตกี่เปอร์เซ็นต์กันแน่? อัดเงื่อนไขเอื้อทุนใหญ่ค้าปลีก-ค้าส่งผูกขาดตลาดมากขึ้น

 


กมธ.ก้าวไกลฉะงบกลางปีเติมดิจิทัลวอลเล็ต 1.22 แสนล้าน รัฐบาลกลับตัวเลขกระตุ้นเศรษฐกิจไปมา ไร้ข้อสรุปจะโตกี่เปอร์เซ็นต์กันแน่? อัดเงื่อนไขเอื้อทุนใหญ่ค้าปลีก-ค้าส่งผูกขาดตลาดมากขึ้น

 

วันที่ 31 กรกฎาคม 2567 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปี งบประมาณ 2567 (งบกลางปี) เพื่อนำไปใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต หลังคณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้ว ซึ่งในการนี้ กรรมาธิการในสัดส่วนของพรรคก้าวไกล ได้ขอสงวนความเห็นปรับลดงบประมาณลง

 

โดยในส่วนของ สิทธิพล วิบูลย์ธนากุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะกรรมาธิการเสียงข้างน้อย ได้อภิปรายถึงตัวเลขประมาณการการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยระบุว่าแม้รัฐบาลจะพูดตลอดว่าเป้าหมายของโครงการดิจิทัลวอลเล็ตนั้นก็เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ก็ยังมีคำถามอยู่ว่าจะกระตุ้นได้แค่ไหน

 

ที่น่าสงสัยเพราะตัวเลขนี้ใน 2 สัปดาห์ที่ผ่านมามีการเปลี่ยนหลายครั้ง ในสภาฯ วาระแรก มีการระบุว่าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ 1.2-1.8% ซึ่งก็มีการถกเถียงกันมากว่าสูงเกินไป เทียบกับการประเมินจากหน่วยงานอื่นทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย ตลอดโครงการอยู่ที่ 0.9% หรือสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่ประเมินว่าปีนี้ 0.3% ปีหน้า 0.3%

 

สิทธิพลกล่าวต่อไป ว่าในการประชุมคณะกรรมาธิการฯ นัดแรกเมื่อวันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคมที่ผ่านมา กระทรวงการคลังแจ้งว่ามีการทบทวนใหม่ ว่าตลอดโครงการให้ผลตอบแทนที่ 0.9% แต่ทว่าเมื่อวันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคมที่ผ่านมา กระทรวงคลังแถลงประมาณการใหม่ว่าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตจะให้ผลตอบแทนที่ 1.2-1.8% อีกครั้ง

 

ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าจากโครงการที่ใช้งบประมาณรวมถึง 4.5 แสนล้านบาท เฉพาะจาก พ.ร.บ. ฉบับนี้ 1.22 แสนล้านบาท การขอเงินไปใช้มากขนาดนี้สรุปรัฐบาลทราบหรือยังว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้เท่าไหร่ ควรต้องบอกได้ชัดแล้วว่าจะเกิดผลตอบแทนได้แค่ไหน ซึ่งเมื่อวานนี้ตนก็มาจับข้อผิดสังเกตได้ ในการประชุมวิปฝ่ายค้าน ที่กระทรวงการคลังได้ส่งผู้แทนมาชี้แจง มีการระบุว่าที่ประเมินกลับมาที่ 1.2-1.8% ก็เพราะตัวเลขดังกล่าวขึ้นกับสี่เงื่อนไข คือ 1) แหล่งที่มาของเงิน 2) เงื่อนไขของโครงการ 3) จำนวนผู้เข้าร่วม และ 4) พฤติกรรมการใช้จ่าย

 

สิทธิพลระบุว่าที่น่าสังเกตคือแหล่งที่มาของเงินที่เอามาคำนวณ มาจากเงินที่อัดฉีดใหม่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ไม่ได้มาจากการนำเงินที่จะใช้จ่ายภายใต้ภารกิจอื่นอยู่แล้ว หมายความว่าตัวเลข 1.2-1.8% เป็นสมมติฐานว่าเป็นเงินใหม่ทั้งหมด ทำให้คำชี้แจงนี้มีปัญหาสองเรื่อง

 

1) แหล่งที่มาของเงินวันนี้ชัดเจนแล้วว่ามาจากไหน ไม่ได้เป็นเงินใหม่ทั้งหมด แต่เป็นการใช้เงินจากงบเพิ่มเติม 1.22 แสนล้านบาท รวมกับอีก 1.5 แสนล้านบาทใน พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 รวมเป็น 2.74 แสนล้าน หรือคิดเป็นเพียง 60% ของ 4.5 แสนล้านบาทเท่านั้น ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 1.57 แสนล้านบาทเป็นเงินเก่า โยกงบประมาณจากโครงการเดิมมา ดังนั้น คำอธิบายที่รัฐมนตรีแถลงจึงเป็นไปไม่ได้แล้ว แล้วทำไมจึงยังนำตัวเลขนี้มาโฆษณาอยู่

 

2) การขัดกันระหว่างสิ่งที่รัฐมนตรีแถลงเมื่อวันศุกร์ ว่า 1.2-1.8% เป็นตัวเลขเดียวกับที่ประเมินตั้งแต่เมื่อวันที่ 10 เมษายน ซึ่งไม่ตรงกับที่ปลัดกระทรวงการคลังและ ผอ.สำนักเศรษฐกิจการคลังให้ข้อมูลในกรรมาธิการ ว่าเดิมผลการประเมินโครงการทำให้เศรษฐกิจขยายตัว 1.2% แต่เดือนเมษายนที่ผ่านมาหน่วยงานประเมินใหม่ว่าจะส่งผลต่อเศรษฐกิจที่ 0.9%

 

ทั้งสองเอกสารบอกเป็นตัวเลขตั้งแต่เดือนเมษายนทั้งคู่ แต่กลับไม่ตรงกัน คำถามคือตกลงมีการทบทวนดังที่ปลัดกระทรวงการคลังชี้แจงในกรรมาธิการจริงหรือไม่ แล้วทำไมตอนแถลงข่าวล่าสุดจึงไม่บอกตัวเลขที่อัปเดตล่าสุดกับประชาชน

 

สิทธิพลอภิปรายต่อไป ว่าตัวเลขที่มีการประเมินไว้ที่ 1.2-1.8% ตอนนั้นสำนักงานเศรษฐกิจการคลังคำนวณบนสมมติฐานสำคัญสองประการ คือวงเงิน 5 แสนล้าน และเป็นการกู้เงินทั้งหมด รวมถึงเงินจาก ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) แต่ข้อเท็จจริง ณ ตอนนี้ชัดเจนว่าวงเงินถูกลดลงมาเหลือ 4.5 แสนล้านบาท และเม็ดเงินใหม่ไม่เยอะเท่าเดิม ดังนั้น จึงไม่มีทางกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างที่โฆษณาไว้

 

นอกจากนี้ จากการสอบถามผู้แทนจากสภาการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในที่ประชุมวิปฝ่ายค้านเมื่อวานนี้ ว่าจากข้อมูลปัจจุบันต้องมีการประเมินผลกระทบของโครงการดิจิทัลวอลเล็ตต่อจีดีพีใหม่หรือไม่ ผู้แทนสภาพัฒน์ตอบว่าจากเดิมประเมินไว้ว่าปีนี้จะกระตุ้นได้ 0.3% และปีหน้า 0.3% แต่การประเมินดังกล่าวมาจากสมมติฐานว่าเป็นเม็ดเงินใหม่และเม็ดเงินจาก ธ.ก.ส. แต่เมื่อดูจากข้อเท็จจริงปัจจุบันที่แหล่งที่มาของเงินเปลี่ยนไปแล้ว ก็ต้องกลับไปประเมินใหม่ แต่เชื่อว่าผลกระทบจะน้อยลง

 

จึงขอให้รัฐบาลชี้แจงว่าได้มีการทบทวนตัวเลขจริงหรือไม่ อย่างที่ปลัดกระทรวงการคลังชี้แจงว่า 0.9% ในห้องกรรมาธิการ และทำไมล่าสุดรัฐมนตรีจึงยังแถลงว่าจะกระตุ้นได้ 1.2-1.8% และสรุปตัวเลขจริงกระตุ้นเศรษฐกิจได้แค่ไหน

 

ผลกระทบของดิจิทัลวอลเล็ตต่อจีดีพีสำคัญ เพราะรัฐบาลพูดเสมอว่าเป้าหมายของโครงการนี้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ คำถามที่พวกเราในฐานะพรรคฝ่ายค้านหรือกรรมาธิการเสียงข้างน้อยถาม คือมันจะกระตุ้นได้แค่ไหน คุ้มกับงบประมาณที่ประเทศต้องใช้ไปหรือเปล่า ปัญหาคือวันนี้ท่านบอกไม่ชัด กลับไปกลับมา แต่ที่แน่ ๆ คือน้อยลงและเสี่ยงไม่คุ้มกับงบประมาณ” สิทธิพลกล่าว

 

ขณะเดียวกัน วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร ในฐานะกรรมาธิการเสียงข้างน้อยที่ขอสงวนความเห็น ได้อภิปรายถึงข้อกังวลของโครงการ ที่อาจเป็นการเพิ่มอำนาจเหนือตลาดให้ผู้ค้าส่ง-ค้าปลีกโดยนโยบายรัฐ เนื่องจากตลาดค้าปลีก-ค้าส่งของไทยเป็นหนึ่งในตลาดที่มีการกระจุกตัวสูง โดยเฉพาะหลังการควบรวมธุรกิจครั้งใหญ่ในปี 2563 ที่มีการรวมธุรกิจมูลค่ากว่า 3.3 แสนล้านบาท เป็นหนึ่งในดีลที่มีมูลค่าสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ธุรกิจไทย

 

การควบรวมกิจการดังกล่าวแม้จะได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) แต่ก็มีคณะกรรมการ 3 ท่านที่มีความเห็นคัดค้าน พร้อมยกตัวเลขดัชนี HHI ที่ชี้วัดสถานะการแข่งขันในตลาด มาชี้ให้เห็นว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปถึง 1,400 หน่วย ซึ่งตามหลักสากลการเปลี่ยนแปลงเพียงแค่ 100 หน่วยก็น่ากังวลแล้ว กขค. เสียงข้างน้อยเห็นว่าการรวมธุรกิจดังกล่าวจะทำให้เกิดโอกาสการผูกขาดหรือครอบงำทางเศรษฐกิจได้ เพราะผู้ขออนุญาตควบรวมมีสถานะเป็นผู้ผลิตสินค้าสำคัญหลายประเภท ทั้งสินค้าเกษตรพื้นฐาน เกษตรแปรรูป รวมถึงสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อการดำรงชีพในชีวิตประจำวันตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ซึ่งปัจจัยนี้จะทำให้ผู้ขออนุญาตควบรวมมีอำนาจเหนือตลาดสูงจนครอบงำเศรษฐกิจการค้าของประเทศได้ง่าย และทำให้ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมสูงขึ้น

 

วีระยุทธอภิปรายต่อไป ว่าหากเป็นมาตรฐานสากล การรวมธุรกิจที่เพิ่มอำนาจเหนือตลาดระดับนี้ อย่างต่ำที่สุดต้องมีโทษปรับหรือบังคับให้มีการถ่ายโอนร้านค้าบางส่วน การแข่งขันในตลาดจะได้ไม่น้อยลงไปกว่าเดิม และต้องมีการเฝ้าระวังไม่ให้มีการกระจุกตัวเพิ่มขึ้นอีก แต่ที่เป็นตลกร้ายคือผ่านไป 4 ปีหลังการควบรวมเท่านั้น นโยบายของรัฐบาลเองกลับกำลังจะเพิ่มอำนาจเหนือตลาดให้กับผู้ค้าปลีกรายใหญ่ โดยผู้ดำเนินโครงการดิจิทัลวอลเล็ตไม่ได้สนใจศึกษาผลกระทบของนโยบายนี้ที่จะมีต่อการแข่งขันในตลาดค้าปลีกให้รอบคอบ

 

แม้จะยังไม่อาจสรุปได้ว่าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตจะเพิ่มอำนาจเหนือตลาดให้แก่ร้านค้าปลีกรายใหญ่แค่ไหน จะลดอำนาจต่อรองของซัพพลายเออร์และผู้ผลิตหรือไม่ จะเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคไปอย่างไร จะส่งผลต่อราคาและคุณภาพสินค้าในระยะยาวมากน้อยเพียงใด แต่หากเป็นไปได้ ตนอยากให้รัฐบาลประเมินผลกระทบของโครงการต่อตลาดค้าปลีกค้าส่งไว้ล่วงหน้า และออกแบบโครงการให้เอื้อต่อการกระจายรายได้ ใช้เงินเพื่อเพิ่มโอกาส ต่อลมหายใจให้ผู้ผลิตไทยที่กำลังย่ำแย่ในขณะนี้

 

แต่หากไม่ทันแล้ว อย่างน้อยที่สุดควรมีการเตรียมความพร้อมในการจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ จัดทำโดยตัวกลางที่น่าเชื่อถือ เก็บข้อมูลธุรกรรมแยกรายพื้นที่ แยกประเภทสินค้า แยกประเภทร้านค้า มีศูนย์รับเรื่องร้องเรียนที่คอยเฝ้าระวังพฤติกรรมการค้าที่ไม่เป็นธรรมที่อาจเกิดระหว่างโครงการ

 

การมีบรรทัดฐานด้านการแข่งขันไม่เพียงช่วยการันตีว่าผู้บริโภคจะได้รับสินค้าที่มีราคาและคุณภาพดีที่สุดจากตลาดเท่านั้น แต่จะเป็นเสมือน “ผนังทองแดงกําแพงเหล็ก” ให้ธุรกิจไทยสามารถยืนพิงได้ ในเวลาที่กระแสการแข่งขันจากต่างชาติเชี่ยวกรากขึ้นเรื่อย ๆ ” วีระยุทธกล่าว

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ดิจิทัลวอลเล็ต #กมธงบ #ก้าวไกล

ศาลอาญา ยกคำร้อง 'ทักษิณ' ขอไป 'ดูไบ' รักษาอาการป่วย 1-16 ส.ค.นี้ ชี้ ใกล้วันนัดคดี 112 ระบุโรคที่ป่วยมีแพทย์ในไทยตรวจรักษาอยู่แล้ว

 


ศาลอาญา ยกคำร้อง 'ทักษิณ' ขอไป 'ดูไบ' รักษาอาการป่วย 1-16 ส.ค.นี้ ชี้ ใกล้วันนัดคดี 112 ระบุโรคที่ป่วยมีแพทย์ในไทยตรวจรักษาอยู่แล้ว

 

วันที่ 31 กรกฎาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 27 ก.ค.ที่ผ่านมา ที่ศาลอาญาถนนรัชดาภิเษก พันตำรวจโทหรือนายทักษิณ ชินวัตร จำเลยในคดีประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ได้ยื่นคำร้องขอเดินทางออกนอกราชอาณาจักร โดยศาลมีคำสั่งให้นัดไต่สวนคำร้องในวันที่ 30 ก.ค.ที่ผ่านมาเเละมีคำสั่งในวันเดียวกัน

 

หลังจากศาลได้ไต่สวนพยานแล้ว มีคำสั่งในทางไต่สวนสรุปได้ความว่า จำเลยได้รับอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวระหว่างพิจารณาและห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร จำเลยมีความประสงค์เดินทางออกนอกราชอาณาจักร ไปพำนักอยู่ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ดูไบ) ระหว่างวันที่ 1-16 ส.ค.2567 เพื่อพบแพทย์ซึ่งเคยตรวจรักษาอาการป่วยของจำเลยเกี่ยวกับปอดอักเสบเรื้อรัง ระบบหายใจและหลอดเลือดหัวใจ เอ็นไหล่ขวาฉีกขาด และหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อน ในสถานพยาบาล ที่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ในวันที่ 2 เเละ 8 ส.ค.2567 โดยช่วงเวลาที่จำเลยพำนักอยู่ ณ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จำเลยยังมีนัดหมายกับบุคคลสำคัญหลายคน เกี่ยวด้วยภารกิจส่วนตัวของจำเลยหลายเรื่อง จำเลยจะเดินทางกลับเข้ามาในราชอาณาจักรก่อนวันนัดตรวจพยานหลักฐานซึ่งศาลนัดไว้ในวันที่ 19 ส.ค.2567

 

เห็นว่า แม้จำเลยอ้างตนเองเป็นพยานเบิกความ ยืนยันถึงความจำเป็นที่ต้องเดินทางออกนอกราชอามาจักร โดยมีเอกสารหลักฐานจากแพทย์สนับสนุน และนัดพบบุคคลสำคัญหลายคน โดยช่วงเวลาที่จำเลยพำนักอยู่ ณ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เป็นช่วงเวลาก่อนกำหนดนัดตรวจพยานหลักฐานก็ตาม แต่อาการป่วยของจำเลยเป็นโรคที่เกิดแก่บุคคลทั่วไป และแพทย์ในประเทศไทยตรวจรักษาเป็นประจำอยู่แล้ว การเดินทางไปพบบุคคลสำคัญของจำเลยเป็นเรื่องส่วนตัวของจำเลย ทั้งไม่มีพยานหลักฐานยืนยันชัดแจ้งถึงความจำเป็นดังกล่าว ประกอบกับช่วงระยะเวลาที่เดินทางใกล้กับวันนัดตรวจพยานหลักฐาน

 

ในชั้นนี้ไม่สมควรอนุญาตให้จำเลยเดินทางออกนอกราชอาณาจักร ยกคำร้อง

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ทักษิณชินวัตร

"ภาคีเพื่อรัฐธรรมนูญประชาธิปไตย" กังวล สว.ชุดใหม่ไม่หนุนแก้รัฐธรรมนูญ "จาตุรนต์" แนะ แก้ พ.ร.บ.ประชามติให้ถูกหลัก - ใช้เสียงข้างมากโดยไม่มีเงื่อนไข

 


“ภาคีเพื่อรัฐธรรมนูญประชาธิปไตย” กังวล สว.ชุดใหม่ไม่หนุนแก้รัฐธรรมนูญ “จาตุรนต์” แนะ แก้ พ.ร.บ.ประชามติให้ถูกหลัก - ใช้เสียงข้างมากโดยไม่มีเงื่อนไข

 

เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2567 ภาคีเพื่อรัฐธรรมนูญประชาธิปไตย (ภรป.) ซึ่งประกอบด้วย นักวิชาการ ภาคประชาสังคม ตัวแทนประชาชนกลุ่มต่าง ๆ และ นักการเมืองจากทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้าน จัดให้มีการประชุมภาคีเพื่อรัฐธรรมนูญประชาธิปไตย ครั้งที่ 1/2567 ณ โรงแรมเดอะสุโกศล กรุงเทพฯ เพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนและมีแนวทางในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เตรียมจะเสนอสู่รัฐบาลและสังคม อาทิ เปิดให้มีการมีส่วนร่วมของประชาชน, สสร.ต้องมาจากตัวแทนของกลุ่มอาชีพที่หลากหลายมากกว่าครั้งก่อน รวมไปถึงการทำประชามติต้องเปิดให้มีการรณรงค์อย่างเสรี เป็นธรรม และกว้างขวาง

 

ทั้งนี้ในที่ประชุมยกประเด็นอุปสรรคในการแก้รัฐธรรมนูญซึ่งมีหลายด้าน โดยสิ่งที่ผู้ร่วมประชุมบางส่วนเริ่มรู้สึกเป็นห่วงไปในทิศทางเดียวกันคือร่างแก้รัฐธรรมนูญจะผ่านวาระหนึ่งของรัฐสภาได้ ต้องอาศัยเสียง “เห็นชอบ” ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวน สส. และ สว. ที่มีอยู่ และในจำนวนดังกล่าว ต้องมีเสียงของ สว. ที่ยกมือโหวตเห็นชอบไม่น้อยกว่าหนึ่งในสาม นั่นก็คือไม่น้อยกว่า 67 เสียง แต่ดังที่หลายฝ่ายเข้าใจคือกติกาการเลือก สว.ครั้งนี้ทำให้เราไม่ได้ สว.ที่เป็นตัวแทนกลุ่มอาชีพและไม่มีความเป็นตัวแทนของปวงชนชาวไทย ซึ่งจะทำให้การแก้รัฐธรรมนูญ “ยากกว่าที่คิดไว้”

 

นายจาตุรนต์ ฉายแสง ที่ปรึกษาและกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวในที่ประชุมภาคีว่า สิ่งที่จะมาปลดล็อกได้คือ “การทำประชมติ” แม้ในคราวแรกจะไม่มีผลทางกฎหมาย แต่ผลของการลงประชามติจะเป็นแรงผลักดันที่ทำให้ สว.ไม่อาจปฏิเสธที่จะทำตามเสียงของประชาชนได้

 

โดยขณะนี้ พ.ร.บ.ประชามติ กำลังอยู่ในการแก้ไขโดยคณะกรรมาธิการวิสามัญ ของสภาผู้แทนราษฎร ที่ผมเป็นคณะกรรมาธิการอยู่ด้วย โดยสิ่งที่เห็นตรงกันคือการแก้ไขกติกาแบบ Double Majority ออกไป แต่สิ่งที่ยังถกเถียงกันคือยังจะต้องกำหนดจำนวนผู้มาออกเสียงมากน้อยเท่าใดหรือไม่และการกำหนดว่าต้องมีคะแนนของผู้เห็นด้วยเป็นจำนวนเท่าไหร่กันแน่ เช่น ต้องมีผู้เห็นด้วยมากกว่ากึ่งหนึ่งของผู้มาออกเสียง

 

สิ่งที่ผมเสนอคือนอกจากไม่ควรใช้กติกาแบบ Double majority แล้ว ยังควรใช้ “เสียงข้างมากเท่านั้น” โดยไม่ต้องมีเงื่อนไขอื่นประกอบ ที่ผมเสนออย่างนั้น เพราะเป็นเรื่องปกติที่การเลือกตั้งทั่วไปก็ใช้กติกาเช่นนี้ แต่อ้างเรื่องการเลือกตั้งก็ไม่ดีเท่ากับการอ้างพระราชบัญญัติประชามติว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ 2559 ซึ่งกำหนดว่า “การลงประชามติถือว่าผ่านหากได้รับการเสียงข้างมากของผู้มาใช้สิทธิ์ออกเสียงทั้งหมด…” ผมเสนออย่างนี้เพราะว่า เราต้องมีหลักอย่างใดอย่างหนึ่งที่ต้องอธิบายว่าทำไมเราถึงต้องยกเลิกกติกา Double majority เพราะฉะนั้นการอธิบายหลักเหตุผลที่ดีที่สุดก็คือว่ารัฐธรรมนูญตัวแม่ (รัฐธรรมนูญ 2560) มาจากการทำประชามติกันมาอย่างไรก็ทำแบบนั้น เพราะการกำหนดกติกาที่ต่างกันจะทำให้ผู้ที่เห็นไปในทิศทางใดทางหนึ่งย่อมหาเหตุผลมาอธิบายไปต่าง ๆ นานาได้เสมอ จนอาจทำให้การแก้รัฐธรรมยิ่งยากไปกว่าเดิม หรือง่ายจนเกินไปก็ได้ “ นายจาตุรนต์ กล่าว

 

ทั้งนี้นายจาตุรนต์ยังกล่าวทิ้งท้ายด้วยว่าการแก้รัฐธรรมนูญจะเดินหน้าต่อไปได้ ต้องแก้พ.ร.บ.ประชามติ ให้ใช้หลักเกณฑ์ที่ถูกต้องและอธิบายได้อย่างมีเหตุมีผลเสียก่อน

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #แก้รัฐธรรมนูญ #สว67




ปล่อยตัว “มะ“ ณัฐชนน หลังถูกคุมขัง 723 วัน เหตุถูกตรวจพบประทัดยักษ์ ช่วงก่อนการชุมนุม #ม็อบ12มิถุนา65 ทำให้ผู้ต้องขังการเมืองลดลงเหลือ อย่างน้อย 44 คน

 


ปล่อยตัว “มะ“ ณัฐชนน หลังถูกคุมขัง 723 วัน เหตุถูกตรวจพบประทัดยักษ์ ช่วงก่อนการชุมนุม #ม็อบ12มิถุนา65 ทำให้ผู้ต้องขังการเมืองลดลงเหลือ อย่างน้อย 44 คน

 

วันนี้ (30 กรกฎาคม 2567) เวลา 10.00 น. ณัฐชนน ถูกปล่อยตัว ณ เรือนจำพิเศษกรุงเทพ หลังถูกคุมขัง ในคดีมีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครอง ซึ่งในวันนี้ได้มีการติด EM หลังการพักโทษ โดยในวันนี้ได้มีมวลชนและญาติ ต่างมารอรับ และให้กำลังใจ โดย "มะ" ให้สำภาษณ์สั้น ๆ ว่า หลังจากออกมาแล้วขอกลับไปคุมประพฤติก่อน

 

สำหรับ "มะ" ณัฐชนน ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ระบุว่า ในช่วงต้นเดือนสิงหาคม 2565 ได้รับแจ้งกรณีของผู้ร่วมชุมนุม ชื่อ ณัฐชนน หรือ “มะ” อายุ 25 ปี ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ในคดีเกี่ยวข้องกับการมีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครอง ในช่วงก่อนการชุมนุม #ม็อบ12มิถุนา65 ในลักษณะคล้ายคลึงกับคดีของคงเพชรและคทาธร

 

ต่อมาวันที่ 18 ส.ค. 2565 ทนายความได้เข้าเยี่ยมณัฐชนนที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม จึงได้ทราบว่าขณะนี้เขาถูกคุมขังอยู่ที่แดน 3 โดยเขาประกอบอาชีพเป็นช่างไฟฟ้าในบริษัทแห่งหนึ่ง และอาศัยอยู่ที่จังหวัดนครปฐม

 

ณัฐชนนถูกจับกุมตั้งแต่วันที่ 12 มิ.ย. 2565 โดยเจ้าหน้าที่ คฝ. บริเวณด่านตำรวจหน้าโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ระหว่างเขาขับรถจักรยานยนต์มาจากนครปฐม เพื่อจะเดินทางไปร่วมการชุมนุม #ม็อบ12มิถุนา65 ซึ่งเพจเฟซบุ๊ก “ราษฎรไล่ตู่” นัดหมายรวมตัวกันที่แยกใต้ด่วนดินแดง เวลา 16.30 น. เพื่อเตรียมเคลื่อนขบวนไปยังบ้านพักของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ตั้งอยู่ในกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ (ร.1 รอ.)

 

ในวันนั้นเขาเดินทางเพียงคนเดียว และถูกตำรวจตรวจค้นพบท่อ PVC ยัดดินปืนอยู่ในกระเป๋าเป้ ซึ่งเขายอมรับว่าได้แกะออกมาจากพลุ แล้วนำมายัดใส่ โดยไม่ได้มีเศษแก้วหรือสิ่งใดประกอบ โดยหากจุด ก็จะมีเสียงดังเหมือนพลุ แต่เจ้าหน้าที่ได้ระบุว่ามีลักษณะเป็นวัตถุระเบิด จึงได้จับกุมดำเนินคดี

 

ณัฐชนน ถูกพนักงานสอบสวน สน.พญาไท แจ้งข้อหามีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครอง จากนั้นในวันรุ่งขึ้น ได้ยื่นคำร้องขอฝากขังณัฐชนนต่อศาลอาญา ซึ่งศาลอนุญาตให้ฝากขัง เขาจึงถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพเรื่อยมาจนกระทั่งพนักงานอัยการมีคำสั่งฟ้อง และศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาไปแล้ว เมื่อวันที่ 9 ส.ค. 2565 เนื่องจากเขาให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลได้พิพากษาลงโทษจำคุก 6 ปี แต่ให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 3 ปี โดยไม่รอลงอาญา

 

ก่อนศาลมีคำพิพากษา ญาติของณัฐชนนดำเนินการยื่นขอประกันด้วยตัวเองมาแล้ว 4 ครั้ง แต่ศาลอาญามีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวเรื่อยมา โดยให้เหตุผลว่า ข้อหามีอัตราโทษสูง จำเลยถูกจับกุมพร้อมวัตถุระเบิดของกลาง กรณีเป็นเรื่องร้ายแรง ประกอบกับพนักงานสอบสวนคัดค้านการให้ปล่อยตัวชั่วคราว มีเหตุอันควรเชื่อว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี

 

ต่อมาทนายความได้เข้าเยี่ยมณัฐชนน 2 ครั้ง เพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและสอบถามความประสงค์ในการอุทธรณ์คดีต่อ โดยมีกำหนดการยื่นอุทธรณ์ได้จนถึงวันที่ 9 ก.ย. 2565 และเขาตัดสินใจไม่อุทธรณ์ต่อ ทำให้คดีถึงที่สุดลง

 

และล่าสุด วันนี้ (31 ก.ค. 67 ) เมื่อณัฐชนนได้รับการปล่อยตัวจะรวมระยะเวลาถูกคุมขังทั้งสิ้น 723 วัน หรือเกือบ 2 ปี (จากโทษจำคุก 3 ปี) โดยหลังจากการพักโทษ จะเหลือโทษระหว่างคุมประพฤติอีก 372 วัน

 

และการได้รับการปล่อยตัวของ "มะ" ณัฐชนน ทำให้ผู้ต้องขังการเมืองลดลงเหลือ อย่างน้อย 44 คน

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #นิรโทษกรรม #คืนสิทธิประกันตัวประชาชน



ศาลพิพากษาจำคุก #เพนกวิน 2 ปี คดี ม.112 - พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เหตุโพสต์ภาพพระบรมฉายาลักษณ์กลับหัวและฟัคยู เมื่อ 1 ส.ค. 64

 


ศาลพิพากษาจำคุก #เพนกวิน 2 ปี คดี ม.112 – พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เหตุโพสต์ภาพพระบรมฉายาลักษณ์กลับหัว เมื่อ 1 ส.ค. 64


วันนี้ (31 กรกฎาคม 2567) ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานผ่านโซเชียล X ความว่า


ด่วน! ศาลอาญาพิพากษาจำคุก "เพนกวิน" 2 ปี กรณีโพสต์ภาพพระบรมฉายาลักษณ์กลับหัวและโพสต์ด้วยรักและฟัคยู เมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2564


พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ภาพดังกล่าวเป็นภาพของจำเลยจริง เมื่อพิจารณาจากภาพและข้อความแล้ว ผู้ที่อ่านทั่วไปจะเข้าใจได้ว่าจำเลยหมิ่นพระเกียรติในหลวงรัชกาลที่ 10 และลดทอนคุณค่าของกษัตริย์


พิพากษาจำเลยมีความผิดตาม #ม112 และ #พรบคอมพิวเตอร์ เนื่องจากเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทหนักสุด คือมาตรา 112 จำคุก 3 ปี เนื่องจากจำเลยให้การเป็นประโยชน์อยู่บ้าง จึงลดโทษให้ 1 ใน 3 เหลือจำคุก 2 ปี


ขอบคุณข้อมูลจาก : ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #TLHR #มาตรา112

"หวยเกษียณ สัญจรทั่วไทย" มิติใหม่การออม คลัง-กอช.-สลาก ยกทีมลงพื้นที่ ที่แรก หวยเกษียณ-หัวลำโพง

 


"หวยเกษียณ สัญจรทั่วไทย" มิติใหม่การออม คลัง-กอช.-สลาก ยกทีมลงพื้นที่ ที่แรก หวยเกษียณ-หัวลำโพง


วันที่ 31 กรกฎาคม 2567 ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ปัจจุบันหวยเกษียณอยู่ระหว่างการแก้ พ.ร.บ. กองทุนการออมแห่งชาติ จึงเป็นโอกาสที่ดีในการสร้างความรับรู้ให้ประชาชนถึงนวัตกรรมเชิงนโยบายใหม่ของรัฐบาล หวยเกษียณนั้น ผู้ซื้อจะได้ประโยชน์ถึง 3 เด้ง คือ ได้ลุ้นล้านทุกวันศุกร์ ได้เก็บออมทุกบาทที่ซื้อหวย และได้ผลตอบแทนการลงทุนตลอดช่วงเวลาการออม


กระทรวงการคลัง กอช. สำนักงานสลากฯ ผนึกกำลัง ลงพื้นที่เพื่อสร้างการรับรู้ให้ประชาชน ก่อนเริ่มใช้งานจริง รวมทั้งรับฟังความคิดเห็นของประชาชน เพื่อขัดเกลาให้ได้นโยบายที่ดีที่สุด โดยมีกำหนดการดังนี้ กรุงเทพ 31 ก.ค.67 พังงา 14 ส.ค. 67 สกลนคร 25 ส.ค. 67 พิษณุโลก 28 ก.ย. 67


โดยที่แรกจะจัดที่สถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง) มีเวทีเสวนา หัวข้อ “สลากเกษียณ วิชั่นใหม่ การออม รับสังคมสูงวัย” โดยมี ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ดร.วโรทัย โกศลพิศิษฐ์กุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ และ พ.ท.หนุน ศันสนาคม ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล โดยมีนายธีรัตถ์ รัตนเสวี ดำเนินรายการ


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #หวยเกษียณ

วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

ก้าวไกลปล่อยอีกคลิป “คำวินิจฉัยประชาชน” ชี้ หากพรรคการเมืองเกิดจากการสนับสนุนจากประชาชน ก็ย่อมตายด้วยประชาชน ฉายภาพ “เท้ง-ณัฐพงษ์” ชี้ไม่เคยหมดหวัง พร้อมผลักดันนโยบายก้าวหน้า ยันเชื่อในอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน

 


ก้าวไกลปล่อยอีกคลิป คำวินิจฉัยประชาชน” ชี้ หากพรรคการเมืองเกิดจากการสนับสนุนจากประชาชน ก็ย่อมตายด้วยประชาชน ฉายภาพ “เท้ง-ณัฐพงษ์” ชี้ไม่เคยหมดหวัง พร้อมผลักดันนโยบายก้าวหน้า ยันเชื่อในอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน

 

จากกรณีศาลรัฐธรรมนูญ นัดวินิจฉัยคดียุบพรรคก้าวไกล ในวันที่ 7 สิงหาคม 2567 และเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2567 เพจเฟซบุ๊กพรรคก้าวไกล ปล่อยคลิปวิดีโอเชิงสารคดี ความยาว 7.52 นาที เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับคดียุบพรรคก้าวไกล ที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัย

 

ต่อมาวันนี้ (30 ก.ค. 67) เพจเฟซบุ๊กพรรคก้าวไกล ปล่อยคลิปวิดีโอความยาว 5.32 นาที พร้อมระบุว่า หากพรรคการเมืองเกิดขึ้นมาได้ด้วยการสนับสนุนจากประชาชน ก็ย่อมตายด้วยประชาชน และเรื่องราวต่อไปนี้คือการพิจารณาพรรค #ก้าวไกล ว่าประชาชนจะสนับสนุนต่อไปหรือไม่

 

เนื้อหาภายในคลิปวิดีโอ เป็นการไต่สวนพรรคการเมืองโดยประชาชนจากหลากหลายอาชีพ เพื่อพิจารณาว่าสมควรจะสนับสนุนต่อไปหรือไม่ ซึ่งมี นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองเลขาธิการพรรค เป็นผู้ตอบ โดยกล่าวว่า เรามีความมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า เราจะสามารถผลักดันนโยบายที่มีความก้าวหน้าได้ แต่ด้วยกลไกทางการเมือง ที่ทำให้เรายังไม่ได้เป็นรัฐบาล แต่ในฐานะฝ่ายค้าน ได้ใช้กลไกในสภา เพื่อผลักดันนโยบายของพรรค ผ่านการยื่นกฎหมายทั้ง 54 ฉบับ

 

เราผิดหวังกับรัฐบาลข้ามขั้ว แต่ไม่เคยหมดหวัง เพราะพวกเราไม่ได้คิดอยู่คนเดียว พรรคก้าวไกลสามารถชนะเลือกตั้ง มาเป็นพรรคการเมืองอันดับหนึ่งได้ เพียงแค่การเลือกตั้งสองครั้งที่ผ่านมาเท่านั้น ร่วมทั้งได้รับการบริจาคจากประชาชน สูงเป็นอันดับหนึ่งในทุกปีที่ผ่านมา และได้รับคะแนนเสียงบัญชีรายชื่อสูงเป็นอันดับหนึ่ง และอันดับสอง ในหลายจังหวัดทั่วทั้งประเทศ ทำให้เรามั่นใจ และเชื่อว่า อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน

 

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายณัฐพงษ์ เป็นหนึ่งในรายชื่อที่ได้รับการยืนยันจากแหล่งข่าวระดับสูงภายในพรรคว่าเป็นตัวเต็งที่จะก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคคนต่อไปจริง เนื่องจากเป็นคนที่สามารถเป็นที่ยอมรับจากทุกฝ่ายได้ และมีความเหมาะสมมากที่สุด

 

แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องจับตาต่อไป เพราะนายณัฐพงษ์ก็เป็นหนึ่งใน 44 ส.ส.ที่มีชื่ออยู่ในคดีเสนอแก้ไข ม.112 ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ด้วยเช่นกัน

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #คดียุบพรรค #ศาลรัฐธรรมนูญ #พรรคก้าวไกล




“กระทรวงดีอี” เปิดจุด Walk-in ลงทะเบียน #ดิจิทัลวอลเล็ต 5,199 แห่งทั่วประเทศ อำนวยความสะดวกพี่น้องประชาชน

 


“กระทรวงดีอี” เปิดจุด Walk-in ลงทะเบียน #ดิจิทัลวอลเล็ต 5,199 แห่งทั่วประเทศ อำนวยความสะดวกพี่น้องประชาชน


วันที่ 30 กรกฎาคม 2567 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า ในวันที่ 1 สิงหาคมนี้ รัฐบาล โดยกระทรวงดีอี และกระทรวงการคลัง ได้เปิดช่องทางให้ประชาชนผู้สนใจเข้าร่วมโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมโครงการ โดยกลุ่มผู้ที่มีสมาร์ตโฟน ลงทะเบียนผ่าน แอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” ซึ่งสามารถดาวน์โหลดแอปฯ “ทางรัฐ” ได้โดยตรงจากแพลตฟอร์มที่เกี่ยวข้องกับระบบปฏิบัติการของสมาร์ตโฟน ดังนี้


1. แอปพลิเคชัน “App Store” สำหรับระบบปฏิบัติการไอโอเอส (iOS) ดาวน์โหลดได้ที่ https://apps.apple.com/th/app/%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A3-%E0%B8%90/id1514331336?l=th


2. แอปพลิเคชัน “Google Play” สำหรับระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ (Android) ดาวน์โหลดได้ที่

https://play.google.com/store/apps/details?id=th.or.dga.citizenportal


สำหรับผู้ที่ไม่มีสมาร์ตโฟน หรือผู้ที่มีสมาร์ตโฟน แต่ต้องการความช่วยเหลือให้การลงทะเบียนฯ รัฐบาลได้กำหนดสถานที่จุดให้บริการ (Walk – in) สอบถามข้อมูล และให้บริการรับลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชน ดังนี้


1. ศูนย์ดิจิทัลชุมชน จำนวน 1,722 ศูนย์ทั่วประเทศ


2. ที่ทำการไปรษณีย์ จำนวน 1,200 แห่ง ทั่วประเทศ (ยกเว้น ไปรษณีย์อนุญาต (เอกชน) และร้านค้าให้บริการ)


3. ธนาคารออมสิน 1,047 แห่ง ทั่วประเทศ


4. ธนาคารเพื่อการเกษตร และสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จำนวน 1,238 แห่งทั่วประเทศ


ทั้งนี้ประชาชน ผู้สนใจเข้าร่วมโครงการฯ สามารถสอบถามข้อมูล และลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการได้ที่จุดบริการจำนวนรวม 5,199 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งรัฐบาล โดยกระทรวง ดีอี กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้จัดเตรียมเจ้าหน้าที่ไว้บริการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนตามระยะเวลาทำการ


สำหรับประชาชนที่สนใจสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการเตรียมการลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ ซึ่งเป็นข้อมูลโดยตรงจากรัฐบาล ที่เชื่อถือได้ ในเว็บไซต์ www.digitalwallet.go.th  หรือ  www.กระเป๋าเงินดิจิทัล.รัฐบาล.ไทย  และสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมผ่านศูนย์บริการข้อมูลโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet โทรสายด่วน Digital Wallet 1111 พร้อมให้บริการและคำแนะนำปรึกษาแก่ประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง


“รัฐบาล โดยกระทรวงดีอี กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีความห่วงใยประชาชน ผู้สนใจเข้าร่วมโครงการ ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ โดยได้จัดสถานที่ เป็นจุดให้บริการแบบ Walk-in เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการสอบถามข้อมูล และให้บริการลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน 5,199 จุดทั่วประเทศ เพิ่มเติมจากการลงทะเบียนผ่านแอปฯ ทางรัฐ เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการเข้าร่วมโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ของประชาชน โดยคาดว่าจะมีประชาชนสนใจเข้าร่วมโครงการประมาณ 45-50 ล้านคน” นายประเสริฐ กล่าวย้ำ


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #กระทรวงดีอี

ผลสอบจัดซื้อเครื่องออกกำลังกาย ส่อทุจริต 25 ราย ลาออก 1 ราย กทม.เตรียมตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรง พร้อมชดใช้ทางแพ่งภายใน 180 วัน


ผลสอบจัดซื้อเครื่องออกกำลังกาย ส่อทุจริต 25 ราย ลาออก 1 ราย กทม.เตรียมตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรง พร้อมชดใช้ทางแพ่งภายใน 180 วัน

 

วันนี้ (30 กรกฎาคม 2567) ที่ศาลาว่าการกทม. นายณัฐพงศ์ ดิษยบุตร รองปลัดกรุงเทพมหานคร ในฐานะผู้อํานวยการศูนย์ปฏิบัติการติดตามการต่อต้านการทุจริตของกรุงเทพมหานคร (ศตท.กทม.) พร้อมด้วย นางสาวเต็มศิริ เนตรทัศน์ ผู้ช่วยหัวหน้าสำนักงานข้าราชการกรุงเทพมหานคร และนายเอกวรัญญู อัมระปาล ผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าราชการ กรุงเทพมหานคร และโฆษกกรุงเทพมหานคร แถลงผลสืบสวนข้อเท็จจริงการจัดซื้อเครื่องออกกำลังกายของศูนย์กีฬา กทม. หลังครบเวลาสอบสวน 30 วัน

 

โดยนายณัฐพงศ์ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 4 มิ.ย. ที่ผ่านมา กทม. ได้รับการร้องเรียนผ่านสื่อว่าการจัดซื้อเครื่องออกกำลังกายของศูนย์กีฬา กทม. แพงเกินจริง จากนั้น ศตท.กทม รับเรื่องร้องเรียน ตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยให้สำนักงานตรวจสอบภายใน สำนักงานปลัด กรุงเทพมหานคร ร่วมตรวจสอบด้วย จากนั้นวันที่ 11 มิ.ย. คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ได้รายงานผล พร้อมข้อเสนอ 2 ทาง ทางแรก คือ การสอบสวนพบว่ามีมูลต่อการทุจริตอาจผิดกฎหมาย เรื่องของการเสนอราคาต่อหน่วยงานภาครัฐซึ่งเรื่องนี้ ศตท.กทมได้รวบรวมข้อมูลเบื้องต้นส่งให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการทางกฎหมายต่อไป เนื่องจากเป็นเรื่องของความผิดเกี่ยวกับความผิดการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐทาง ป.ป.ช.มีอำนาจในการดำเนินการ

 

ส่วนอีก ศตท.กทม. นำรายงานผลการสอบสวนเบื้องต้นส่งให้ปลัดกรุงเทพมหานคร เพื่อดำเนินการทางวินัยกับผู้ที่เกี่ยวข้อง จนนำไปสู่การตั้งกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงโดยผู้ว่าฯกทม. ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง เมื่อ 17 มิ.ย.67 โดยให้ระยะเวลาสอบสวน 30 วัน และให้รายงานผลทุก 7 วัน

 

ทั้งนี้คณะกรรมการ ดำเนินการสืบสวนและตรวจสอบข้อเท็จจริง จำนวน 7 โครงการ ช่วงปีงบประมาณปัจจุบัน ได้แก่ 1.โครงการจัดซื้อครุภัณฑ์เสริมสร้างสมรรถภาพทางกาย 21 รายการสำหรับศูนย์กีฬาอ่อนนุช 15.69 ล้านบาท 2.โครงการฯ สำหรับศูนย์กีฬาเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา 12.11 ล้านบาท 3.โครงการฯ สำหรับศูนย์กีฬามิตรไมตรี 11.01 ล้านบาท 4.โครงการประกวดราคาซื้อครุภัณฑ์เสริมสร้างสมรรถภาพทางกาย 11 รายการ ของศูนย์กีฬาวชิรเบญจทัศ วงเงินงบประมาณ 4.99 ล้านบาท 5.โครงการฯ สำหรับศูนย์กีฬาวารีภิรมย์ 4.99 ล้านบาท 6. โครงการฯ สำหรับศูนย์นันทนาการ สังกัดส่วนนันทนาการ 17.9 ล้านบาท และ 7.โครงการฯ สำหรับศูนย์นันทนาการวัดดอกไม้ 11.52 ล้านบาท และนำเสนอผลสอบข้อเท็จจริงเมื่อวันที่ 19 ก.ค.ที่ผ่านมา จากการสอบสวนพยานบุคคลและเอกสาร พบว่าข้อเท็จจริงมีมูลราคาแพงเกินจริง สูงกว่าราคาท้องตลาดและราคาสูงกว่าการจัดซื้อในปีก่อน ๆ หากเปรียบเทียบราคาต้นทุนกับค่าดำเนินการแล้ว ยังสูงกว่าราคาต้นทุนและค่าดำเนินการเป็นอย่างมาก

 

นอกจากนี้มีรายละเอียดสินค้าเกินความจำเป็น คุณลักษณะจำเพาะหรือสเปคของเครื่องออกกำลังกายมีการปรับสเปคให้สูงขึ้นจากเดิมกว่าที่เคยจัดซื้อ เช่นเพิ่มกำลังแรงม้า เพิ่มโปรแกรมออกกำลังกาย เพื่อรองรับน้ำหนัก และปรับจอแสดงผลระบบสัมผัส เป็นต้น โดยวิธีการจะมีการสืบราคาจากผู้ประกอบการ 3 ราย ให้ราคาต่ำสุดเป็นราคากลาง โดยไม่คำนึงถึงความจำเป็นและการใช้งานจริง ส่งผลให้การกำหนดราคาสูงเกินความจำเป็น

 

ขณะเดียวกันยังพบว่ามีการกำหนดรายละเอียดบริษัทผู้ร่วมประมูลเกินความจำเป็น มีข้อกำหนดที่ไม่เปิดกว้างให้เสนอราคาอย่างเท่าเทียม เช่น การกำหนดให้แนบหนังสือรับรองผลงานและสำเนาสัญญาซื้อขายที่ทำกับภาครัฐไม่น้อยกว่า 40 สัญญาในวันเสนอราคา โดยมี ระยะเวลานับย้อนหลังไม่เกิน 2 ปี การกำหนดเงื่อนไขดังกล่าวเพิ่มเติมเกินกว่าแนวทางที่คณะกรรมการการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารภาครัฐของ เกินกว่าแนวทางที่กระทรวงการคลังกำหนด อาจมีผลทำให้ราคาการจัดซื้อเครื่องออกกำลังกายมีราคาแพงเกินควร

 

นายณัฐพงศ์ กล่าวอีกว่า จากการสืบสวนพบว่ามีเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำโครงการจัดซื้อเครื่องออกกำลังกาย และเกี่ยวข้องกับการพิจารณางบประมาณ รวมทั้งการดำเนินการจัดซื้อเครื่องออกกำลังกายทั้งหมด 25 ราย และมี 1 ราย ลาออกจากราชการไปแล้ว โดยไม่มีข้อมูลยืนยันชัดเจนว่าผู้ที่เกี่ยวข้อง จัดทำโครงการและพิจารณางบประมาณ โดยคำนึงถึงหลักความคุ้มค่าที่จะต้องมีคุณภาพหรือสเปคตอบสนองต่อวัตถุประสงค์การใช้งาน และต้องมีราคาที่เหมาะสม และขั้นตอนในการกลั่นกรองงบประมาณ ไม่ได้ทักท้วงเกี่ยวกับประเด็นเรื่องราคาดังกล่าวแต่อย่างใด ซึ่งเมื่อวันที่ 23 ก.ค. ที่ผ่านมา คณะกรรมการรายงานผลมายังปลัดกรุงเทพมหานคร ปลัดกทม. จึงมีคำสั่งย้ายผู้บริหารที่มีส่วนเกี่ยวข้องในกระบวนการจัดซื้อ ทั้ง 7 โครงการไปปฏิบัติหน้าที่ประจำสำนักงานปลัดกรุงเทพมหานคร เพื่อไม่ให้ไปยุ่งเกี่ยวกับหลักฐานการดำเนินการทางวินัย พร้อมทั้งเสนอแต่งตั้งคณะกรรมการสอบทางวินัยอย่างร้ายแรง ตามกฎ ก.ก.ว่าด้วยการดำเนินการทางวินัย พ.ศ.2565 โดยเมื่อแต่งตั้งคณะกรรมการแล้วเสร็จ จะต้องดำเนินการสอบสวนให้แล้วเสร็จภายใน 120 วัน สามารถขยายเพิ่มได้ 60 วัน และจะพิจารณาลงโทษต่อไปกระบวนการดังกล่าวเป็นไปตามมาตรการ ในการปฏิบัติราชการและแนวทางปฏิบัติที่ ศตท. กทม. ได้วางแนวทางไว้ เพื่อให้เกิดความโปร่งใส และเกิดการดำเนินการเป็นไปอย่างรอบคอบและเที่ยงธรรม

 

นางสาวเต็มศิริ เนตรทัศน์ ผู้ช่วยหัวหน้าสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการกรุงเทพมหานคร (ก.ก.) กล่าวว่า กทม.ได้ส่งเรื่องดังกล่าวไปยังสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อดำเนินการต่อตามความผิดทางอาญา ตาม พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542

 

ส่วนของ กทม.จะตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง กำหนดให้คณะกรรมการสอบสวนนับจากวันที่ประธานได้เรียกประชุมครั้งแรก โดยมีกำหนด 120 วัน และสามารถขยายได้ไม่เกิน 60 วัน รวมถึงการตั้งคณะกรรมการพิจารณาความรับผิดทางละเมิดเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อให้มีการชดเชยทางแพ่ง โดยใช้ระยะเวลาไม่เกิน 180 วัน

 

ด้าน นายเอกวรัญญู อัมระปาล โฆษกกรุงเทพมหานคร กล่าว ยืนยันว่า กทม.ไม่นิ่งเฉยกับการทุจริต เป็นนโยบายหลักของผู้บริหารชุดนี้ที่ยอมรับไม่ได้ ในช่วงที่ผ่านมาตั้งแต่ผู้ว่าฯชัชชาติเข้ามารับตำแหน่ง มีการไล่ออกข้าราชการ กทม.ไปแล้ว 29 ราย เป็นเรื่องความผิดฐานทุจริตโดยตรง 12 ราย แบ่งเป็นเรียกรับสินบน 6 ราย จัดซื้อจัดจ้าง 3 ราย เอาเงิน กทม.ไปใช้ 3 ราย ส่วนอีก 17 รายเป็นเรื่องอื่น ๆ

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #กทม #ทุจริตเครื่องออกกำลังกาย

"พริษฐ์" ขออย่าด่วนสรุป "ก้าวไกล" ถูกยุบยันไม่ถอดใจ เดินหน้าทำงานต่อ เผย "พิธา-ชัยธวัช" เตรียมแถลงสู้คดีโค้งสุดท้าย 2 ส.ค. นี้

 


"พริษฐ์" ขออย่าด่วนสรุป "ก้าวไกล" ถูกยุบยันไม่ถอดใจ เดินหน้าทำงานต่อ เผย "พิธา-ชัยธวัช" เตรียมแถลงสู้คดีโค้งสุดท้าย 2 ส.ค. นี้

 

วันที่ 30 ก.ค.2567 เวลา 09.50 น. ที่รัฐสภา นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงแนวทางของพรรคก้าวไกล ในการต่อสู้คดียุบพรรค ว่า ในวันที่ 2 ส.ค.เวลา 15.00 น.นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกลและนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค จะแถลงต่อสาธารณะถึงคำแถลงปิดคดีเพื่อมายืนยันอีกครั้ง ถึงแนวทางที่พรรคฯดำเนินการต่อสู้และปกป้องพรรคฯเป็นอย่างไรบ้าง

 

ยืนยันไม่ได้ถอดใจว่าพรรคจะถูกยุบและไม่อยากให้สังคมด่วนสรุปว่า พรรคจะถูกยุบ และเราจะพยายามทำเต็มที่เพื่อปกป้องพรรค” นายพริษฐ์ กล่าว

 

นายพริษฐ์ กล่าวต่อว่า ภาพรวมในตอนนี้ พรรคก้าวไกลโฟกัสและให้ความสำคัญ 2 เรื่อง คือ พยายามทำเต็มที่ภายใต้ช่องทางที่เหลือเพื่อทำให้พรรคไม่ถูกยุบ อีกส่วนหนึ่งพรรคก็เดินหน้าทำงานต่อ โดยผ่านกลไกของสภาผู้แทนราษฎร ในเรื่องของการผลักดันกฏหมาย ใช้กลไกของคณะกรรมาธิการฯ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลง รวมทั้งกลไกกระทู้ต่างๆ เพื่อตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล และเดินหน้าทำงานระดับท้องถิ่นด้วยเช่นกัน ซึ่งสนามการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วน จังหวัดราชบุรี น่าจะเป็นสนามแรกที่พรรคส่งลงเลือกตั้ง

 

เมื่อถามว่าเนื้อหาสาระในการแถลง โฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวว่า จะเป็นการเผยแพร่และสรุปคำแถลงปิดคดี ที่เรายื่นให้กับศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นข้อมูลชุดเดียวกันกับที่เรายื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยเป็นความพยายามจะยืนยันแนวทางการต่อสู้อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งแบ่งเป็น 9 ข้อตามที่นายพิธาได้เคยแถลงไว้ ทั้งเรื่องการต่อสู้เรื่องกระบวนการที่เรามองว่าไม่ชอบในการยื่นเรื่องของการยุบพรรคโดย คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) รวมถึงการสู้ในเชิงเนื้อหาสาระด้วย

 

"ยืนยันว่าสิ่งที่เราทำไปไม่ได้เป็นการล้มล้างการปกครองหรืออะไรที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข คงมีการสรุปแนวทางอีกรอบหนึ่งรวมถึงการชี้แจง และตอบข้อสงสัยที่ดำเนินการในช่วงที่ผ่านมา"นายพริษฐ์ กล่าว

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ก้าวไกล #ศาลรัฐธรรมนูญ #กกต

“คลัง” ดูดแรงงานหัวกะทิไทยกลับประเทศ ลดภาษีเงินได้เหลือ 17% นายจ้างหักค่าจ้างได้อีก 1.5 เท่า

 


“คลัง” ดูดแรงงานหัวกะทิไทยกลับประเทศ ลดภาษีเงินได้เหลือ 17% นายจ้างหักค่าจ้างได้อีก 1.5 เท่า


วันที่ 30 กรกฎาคม 2567 ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า โจทย์อีกข้อหนึ่งคือการดูดแรงงานศักยภาพสูงทั่วโลกเข้าไทย รวมทั้งคนไทยศักยภาพสูง (หัวกะทิไทย) ที่ทำงานอยู่ต่างประเทศ คนกลุ่มนี้เก่ง แต่ปัจจุบันทำงานต่างประเทศ ไม่ได้ช่วยสร้างเศรษฐกิจไทย ถ้าดึงกลับมาจะช่วยพัฒนาเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทย และยังสร้างรายได้ภาษีที่แต่ก่อนไทยไม่เคยได้รับอีกด้วย


วันนี้ ครม. อนุมัติมาตรการภาษีในการสนับสนุนคนไทยที่มีศักยภาพที่ทำงานในต่างประเทศให้กลับเข้ามาทำงานในประเทศ ซึ่งเป็นมาตรการด้านภาษีดูดหัวกะทิไทยที่ทำงานอยู่ต่างประเทศ และเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมาย ให้กลับบ้าน มาทำงานในไทย ซึ่งจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ทั้งผู้ถูกจ้างเองและนายจ้าง ดังนี้


สิทธิประโยชน์

1. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ลูกจ้าง)

สำหรับลูกจ้างตามคุณสมบัติที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในการหักภาษี ณ ที่จ่ายสูงกว่าร้อยละ 17 ให้ลดเหลือร้อยละ 17 ของเงินได้ สำหรับเงินได้พึงประเมินที่ได้รับเนื่องจากการจ้างแรงงานของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ประกอบกิจการอุตสาหกรรมเป้าหมายตามกฎหมายกำหนด โดยต้องเป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับตั้งแต่วันที่กฎหมายมีผลใช้บังคับถึง 31 ธันวาคม 72


2. ภาษีเงินได้นิติบุคคล (นายจ้าง)

บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ประกอบกิจการอุตสาหกรรมเป้าหมายตามกฎหมายกำหนด สามารถหักรายจ่ายที่จ่ายเงินเดือนตามสัญญาจ้างแรงงานของลูกจ้างตามคุณสมบัติ ระหว่างวันที่กฎหมายมีผลใช้บังคับถึงวันที่ 31 ธันวาคม 72 ได้จำนวน 1.5 เท่า


คุณสมบัติ
1. สัญชาติไทย มีวุฒิการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรี

2. ทำงานในต่างประเทศไม่ต่ำกว่า 2 ปี

3. กลับเข้าไทยตั้งแต่วันที่กฎหมายมีผลใช้บังคับถึง วันที่ 31 ธันวาคม 68

4. เป็นลูกจ้างตามสัญญาจ้างแรงงานในบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในอุตสาหกรรมเป้าหมายตามกฎหมายกำหนด และได้รับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) แห่งประมวลรัษฎากร

5. ไม่เคยทำงานในไทยในปีภาษีที่มีการเริ่มใช้สิทธิลดหย่อนอัตราภาษีเงินได้

6. ต้องไม่ได้เข้ามาอยู่ไทยก่อนปีภาษีที่ใช้สิทธิอย่างน้อย 2 ปี หรือถ้าอยู่ต้องอยู่เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งหรือหลายระยะเวลารวมทั้งหมดไม่ถึง 180 วันในปีภาษีนั้นๆ

7. ในปีภาษีที่ใช้สิทธินั้น ต้องอยู่ไทยรวมเวลาทั้งหมดไม่น้อยกว่า 180 วัน เว้นแต่ปีภาษีแรกและปีภาษีสุดท้าย ที่ใช้สิทธิจะอยู่ในไทยน้อยกว่า 180 วันก็ได้


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #แรงงานหัวกะทิไทย 

“ชัยธวัช“ ส่ง “ชัยรัตน์ ศักดิ์อิสระพงศ์“ สมัครเลือกตั้งนายก อบจ.ราชบุรี มั่นใจชาวราชบุรีต้องการการเปลี่ยนแปลง-เบื่อหน่ายการเมืองบ้านใหญ่ พาก้าวไกลคว้าชัยชนะได้แน่

 


ชัยธวัช“ ส่ง “ชัยรัตน์ ศักดิ์อิสระพงศ์“ สมัครเลือกตั้งนายก อบจ.ราชบุรี มั่นใจชาวราชบุรีต้องการการเปลี่ยนแปลง-เบื่อหน่ายการเมืองบ้านใหญ่ พาก้าวไกลคว้าชัยชนะได้แน่

 

วันที่ 30 กรกฎาคม 2567 ที่โรงยิมเนเซียมจังหวัดราชบุรี อ.เมือง จ.ราชบุรี ชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล ร่วมสังเกตการณ์พร้อมเป็นสักขีพยานการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายก อบจ.ราชบุรี และการจับเบอร์ผู้สมัคร ของ ชัยรัตน์ ศักดิ์อิสระพงศ์ ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายก อบจ.ราชบุรี พรรคก้าวไกล ซึ่งจะมีการเลือกตั้งในวันที่ 1 กันยายน 2557 นี้

 

ชัยธวัชและชัยรัตน์ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนก่อนเข้าร่วมกระบวนการรับสมัคร โดยชัยธวัชระบุว่าพรรคก้าวไกลต้องการชัยชนะในการเลือกตั้ง อบจ. ครั้งนี้ และมีความมั่นใจว่าพรรคก้าวไกลจะได้รับความไว้วางใจจากชาวราชบุรีให้เข้าไปบริหาร อบจ. ที่เรามั่นใจเพราะการเลือกตั้ง อบจ. ที่จะเกิดขึ้นก่อนกำหนด ประชาชนราชบุรีเห็นและรู้ดีว่าเป็นการเมืองแบบที่ไม่มีประชาชนในสมการ ด้วยการที่นายก อบจ. คนเดิมประกาศลาออกแล้วมาสมัครอีก เพียงเพื่อใช้เทคนิคทางการเมืองช่วงชิงความได้เปรียบ ไม่ได้ตัดสินใจบนผลประโยชน์ของประชาชน ไม่เห็นหัวประชาชน และทำให้ประชาชนรับไม่ได้

 

อีกทั้งชาวราชบุรีเบื่อหน่ายทนไม่ได้กับความไม่เปลี่ยนแปลงของราชบุรี ทั้งการเมืองระดับชาติและท้องถิ่นที่ถูกผูกขาดและควบคุมโดยบ้านใหญ่ไม่กี่ตระกูลทำให้จังหวัดที่ควรมีศักยภาพกลับหยุดนิ่ง การเมืองทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่นไม่ตอบโจทย์ความต้องการของชาวราชบุรี ทำให้คนราชบุรีอยากเห็นการเปลี่ยนแปลง และจะให้ความไว้วางใจพรรคก้าวไกลที่ทำงานด้วยความมุ่งมั่น มีความสามารถ นโยบาย และวิสัยทัศน์ ไม่ได้เอาผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นตัวตั้ง แต่เอาประชาชนเป็นตัวตั้งในที่สุด

 

ชัยธวัชกล่าวต่อไป ว่าแม้การเลือกตั้งครั้งนี้จะไม่ได้ง่าย เพราะเป็นการปะทะระหว่างพรรคก้าวไกลกับบ้านใหญ่ทั้งหมดที่รวมตัวกันต่อต้านความเปลี่ยนแปลง แต่ตนก็มีความมั่นใจว่าชาวราชบุรีพร้อมแล้ว และทางพรรคก้าวไกลเองก็พร้อม ทั้งในการเตรียมนโยบายในการนำเสนอกับประชาชน ไม่ว่าจะเป็นด้านโครงสร้างพื้นฐาน หรือเกษตรกรรม ที่ขาดบทบาทการเมืองท้องถิ่นในการสนับสนุน รวมถึงนโยบายการพัฒนาแหล่งน้ำ และการท่องเที่ยว รวมถึงการแก้ไขปัญหาด้านสาธารณสุข การศึกษา เป็นต้น

 

ซึ่งพรรคก้าวไกลเชื่อมั่นว่าทีมนโยบายของพรรคที่ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างส่วนกลางกับท้องถิ่น มีความพร้อมที่จะผลักดันและบริหารนโยบายเหล่านี้ และยิ่งถ้าสามารถเปลี่ยนแปลงราชบุรีได้ในครั้งนี้ การเมืองท้องถิ่นที่สู้กันต่อไปจะยิ่งตอบโจทย์ของประชาชนมากขึ้น แม้ในการเลือกตั้งทั่วไปที่ผ่านมา พรรคก้าวไกลจะยังไม่ได้รับคะแนนมากพอที่จะชนะ สส.เขต แต่คะแนนบัญชีรายชื่อก็มาเป็นอันดับหนึ่ง เป็นพื้นฐานว่าราชบุรีพร้อมสนับสนุนพรรคก้าวไกล

 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าการวินิจฉัยคดียุบพรรคก้าวไกลวันที่ 7 สิงหาคม 2567 จะกระทบกับการเลือกตั้งครั้งนี้หรือไม่ ชัยธวัชระบุว่าไม่กระทบอะไร และการหาเสียงก็จะดำเนินต่อไป เพราะเราเชื่อว่าไม่ว่าผลการตัดสินจะออกมาอย่างไร ประชาชนชาวราชบุรีก็ยังต้องการการเปลี่ยนแปลงเหมือนเดิม อีกทั้งการเลือกตั้งท้องถิ่นก็ไม่ได้บังคับว่าผู้สมัครต้องสังกัดพรรค ทั้งนี้ แกนนำและ สส.พรรคได้วางแผนไว้แล้วว่าจะมาช่วยหาเสียงอย่างเต็มที่ ในฐานะที่เป็นศึกนายก อบจ. แรกของพรรคก้าวไกลอย่างเป็นทางการ

 

ผู้สื่อข่าวถามต่อว่าการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการหยั่งเสียงหรือไม่ ชัยธวัชกล่าวว่าแม้การเลือกตั้งครั้งนี้เกิดขึ้นก่อนกำหนด แต่พรรคก้าวไกลก็ไม่ได้ส่งเลือกตั้งแบบเล่นๆ แต่ลงเพราะเตรียมพร้อมมาแต่แรกอยู่แล้ว อีกทั้งราชบุรีเป็นจังหวัดที่มีทีมงานที่มีศักยภาพ เมื่อการเลือกตั้งเกิดขึ้นโดยไม่มีประชาชนในสมการ แต่เกิดจากความต้องการช่วงชิงความได้เปรียบทางการเมือง พรรคก้าวไกลก็ยิ่งต้องส่งลงแข่ง ไม่ใช่เพื่อหยั่งเสียง แต่เพื่อพิสูจน์ว่าชาวราชบุรีไม่ได้ต้องการอยู่กับที่เดิม เป็นโอกาสที่ชาวราชบุรีจะสั่งสอนการเมืองแบบเดิม พรรคก้าวไกลต้องการเข้ามาบริหารเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลง และเชื่อมั่นว่าว่าที่นายก อบจ. ของพรรคก้าวไกลมีความพร้อม เป็นคนราชบุรีมาแต่เกิด เติบโต ศึกษา และทำธุรกิจที่ราชบุรี เข้าใจความเจ็บปวดและความต้องการของราชบุรีที่มีศักยภาพหลายอย่างแต่หยุดนิ่งไม่เปลี่ยนแปลงมานาน

 

ด้านชัยรัตน์ ระบุว่าตนมีความมุ่งมั่นตั้งใจ ต้องการเปลี่ยนราชบุรีสู่อนาคตที่ดีกว่า การสู้กับการเมืองเก่าบ้านใหญ่ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้การเมืองเก่าที่ต้องการชิงความได้เปรียบจะทำให้เหลือเวลาแค่ 30 วันในการทำการบ้าน แต่ตนและทีมงานก็พร้อมที่จะเข้าหาชาวราชบุรีเพื่อทำความเข้าใจในนโยบายที่ได้คิดไว้เพื่อชาวราชบุรี แม้จะมีเวลาน้อยแต่ตนจะตั้งใจทำงานเพื่อความเปลี่ยนแปลงราชบุรีจากที่ถูกแช่แข็งจากการเมืองเก่ามานาน

 

หลังให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ชัยรัตน์ ได้เข้าสู่กระบวนการการรับสมัครพร้อมจับเบอร์ผู้สมัคร โดยจับได้เบอร์ 1 จากนั้นจึงพากันเดินทางพร้อมหัวหน้าพรรคก้าวไกล ไปร่วมกิจกรรมหาเสียงโดยแห่รถและลงเดินแจกแผ่นพับประชาสัมพันธ์ไปรอบตัวเมืองราชบุรี ท่ามกลางการตอบรับจากประชาชนและผู้สัญจรตลอดทั้งสองข้างทาง

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #อบจราชบุรี #ก้าวไกล