ประมวลภาพ
ประมวลภาพ
ศาลอาญากรุงเทพใต้ ให้ประกันตัว "เบนจา-ป๊อกกี้" คดี ม.112 ใส่ครอปท็อปเดินพารากอน วงเงินคนละ 2 แสนบาท พร้อมเงื่อนไข
วันนี้ (29 มิ.ย. 64) ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ เขตยานนาวา กรุงเทพฯ ตามที่เวลา 10.00 น. น.ส.เบนจา อะปัญ สมาชิกกลุ่ม #แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม และนายภวัต หิรัณย์ภณ หรือ ป๊อกกี้ มีนัดฟังคำสั่งอัยการที่สำนักงานอัยการกรุงเทพใต้ ในคดี ม.112 จากกิจกรรม #ใครๆก็ใส่ครอปท็อป เดินพารากอน เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2563
ต่อมา เวลา 11.45 น. อัยการมีคำสั่งฟ้อง เบนจา และ ภวัต ต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ทนายความจึงยื่นประกันตัวทั้งสองระหว่างพิจารณาคดี โดยวางหลักประกันเป็นเงินสด 200,000 บาท
กระทั่ง เวลา 12.21 น. ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัวทั้งสองโดยให้วางหลักประกันเป็นเงินสดคนละ 200,000 บาท และกำหนดเงื่อนไขห้ามร่วมกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง และห้ามเดินทางออกนอกประเทศ และมาศาลตามนัด
ทั้งนี้ศาลได้เลื่อนอ่านคำสั่งฟ้องให้จำเลยรับทราบพร้อมกัน ในวันที่ 2 สิงหาคม 2564 เวลา 10.00 น .
สำหรับคดีนี้มีผู้ถูกดำเนินคดีทั้งหมด 7 คน ได้แก่ พริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน, ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง, ภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์, เบนจา อะปัญ, ภวัต หิรัณย์ภณ, ณัฐ (นามสมมติ) และธนกร (สงวนนามสกุล) ซึ่ง 2 รายสุดท้ายเป็นเยาวชนอายุไม่เกิน 18 ปี ซึ่งกิจกรรมในวันดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อรณรงค์การยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยคดีนี้มีประชาชนคือ ว่าที่ ร.ต.นรินทร์ ศักดิ์เจริญชัยกุล สมาชิกกลุ่มไทยภักดี เป็นผู้เข้าแจ้งความให้ดำเนินคดีนักกิจกรรมทั้งหมด
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์
"ตบส้นสูงบุกทำเนียบ" รวมพลพนักงานสถานบริการ อาบอบนวด อะโกโก้ บาร์ เรียกร้องเยียวยา 5 พันต่อเดือน หลังถูกสั่งปิดกิจการ อัดรัฐแก้ปัญหาแบบแก้ผ้าเอาหน้ารอด
วันนี้ (29 มิ.ย. 64) เวลา 09.00 น. หน้าทำเนียบรัฐบาล นำโดย นางสาวชัชลาวัณย์ เมืองจันทร์ มูลนิธิเอ็มพาวเวอร์ และตัวแทนพนักงานบริการในสถานบริการ อาบอบนวด อะโกโก้ บาร์ คาราโอเกะ และพนักงานบริการอิสระออนไลน์ รวมตัวเข้ายื่นหนังสือ ถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผ่านนายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรี ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะโฆษกประจำศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (โควิด-19) เพื่อเรียกร้องให้ภาครัฐดำเนินการเยียวยาพนักงานบริการ เนื่องจากคำสั่งปิดสถานบริการตามมาตรการของรัฐและศบค. เป็นจำนวนเงิน 5,000 บาทต่อเดือน จนกว่าสถานการณ์จะกลับมาปกติ
สำหรับกิจกรรมในครั้งนี้ "สั่งปิดได้ต้องเยียวยาด้วย ตบส้นสูงพบกันหน้าทำเนียบ" โดยนำรองเท้าส้นสูงจำนวน 30 คู่ โดยรองเท้าแต่ละคู่นั้นจะเขียนข้อความติดไว้ อาทิ การเยียวยารัฐไม่แก้ปัญหา แต่แก้ผ้าเอาหน้ารอด, สั่งปิดร้านอาหารสามารถขายเหล้าเบียร์ได้ แต่บาร์ถูกสั่งปิดต่อ คุณเอาส่วนไหนคิด, ภาษีเราก็เสียเหมือนคนอื่น ทำไมไม่เยียวยาเราบ้าง, ควรหยุดล่อซื้อเพื่อป้องกันโควิด
จากนั้นตัวแทน บาร์ คาราโอเกะ อาบอบนวด อิสระออนไลน์ สปานวด ได้ส่งตัวแทนพูดถึงความเดือดร้อนและข้อเรียกร้อง ต่อรัฐบาล
ลิลลี่ (นามสมมุติ) ตัวแทนจากธุรกิจอะโกโก้กล่าวว่า ตนทำงานอะโกโก้มา 3 ปี อยู่มาหลายที่อยู่มาหลายร้าน ภาพที่เห็นก็คือตอนนี้ทุกคนสู้กับความเงียบของถนนเส้นเดิมที่เคยมีนักท่องเที่ยวตลอดเวลา บางร้านพนักงานทำงานหลักร้อย ชวนนึกภาพว่าคนตกงานพร้อมกันทีเดียว 100 คนแล้วในถนนถนนหนึ่งมีร้านไม่ต่ำกว่า 20 ร้านบางร้านมีคนทำงานเยอะ บางร้านมีคนทำงานเป็นร้อยคนถ้าลองเฉลี่ยแค่โซน ๆ เดียวก็หลักหลายพัน นึกภาพดูว่าคนตกงานทั้งถนนพร้อมกันทีเดียวหลายพัน
ขณะที่ น.ส.ทันตา ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในฐานะตัวแทนพนักงานบริการอาบอบนวดกล่าวว่าในช่วงวิกฤตโควิดนี้ร้านถูกสั่งปิด พนักงานไม่มีสวัสดิการไม่มีประกันสังคม ตั้งแต่ปิดมายังไม่ได้รับการช่วยเหลือใด ๆ จากทางร้าน เงินเยียวยาก็ต้องยอมรับว่ามันไม่พอกับแม้กระทั่งค่าเช่าห้องด้วยซ้ำ โดยเฉพาะเมื่อเจอการระบาดรอบใหม่และการเยียวยาไม่ได้ให้เป็นเงินสดยิ่งทำให้ไม่สามารถนำไปใช้ให้ตรงตามความต้องการตามสภาพปัญหาของเราได้ ที่มาในวันนี้จึงอยากทราบคำตอบจากรัฐบาลว่าจะมีการเยียวยาเราในรูปแบบไหนเพิ่มเติมบ้าง
จากนั้นได้ร่วมกันอ่านแถลงการณ์กลุ่มก่อนที่จะยื่นหนังสือกับตัวแทนรัฐบาล โดยรองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี นายสมพาศ นิลพันธ์ ได้เป็นตัวแทนออกมารับมอบ
ช่วงท้ายของกิจกรรมได้มีการนำชุดบิกินี รองเท้าส้นสูง ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของพนักงานบริการ แต่ไม่ได้ใช้เนื่องจากถูกสั่งปิดกิจการ เพราะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 แล้วยังไม่ได้รับการเยียวยาจากรัฐบาลและศบค.นำมาแขวนที่หน้าประตูทำเนียบ
โดยทางกลุ่มจะเฝ้าติดตาม ทวงถาม ให้รัฐบาลดำเนินการเยียวยาให้กับพนักงานบริการตามข้อเรียกร้องดังกล่าวโดยเร่งด่วน พร้อมขอความชัดเจนในแนวทางแก้ไขปัญหาที่เป็นรูปธรรม ทั้งเรื่องวัคซีน การเปิด-ปิด สถานบริการ หากยังไม่ได้รับความชัดเจนยืนยันจะกลับมาใหม่
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์
#สั่งปิดได้ต้องเยียวยาด้วย
#โควิด19
#ขายตัวไม่ใช่อาชญากรรม
#ตบส้นสูงบุกทำเนียบ
ประมวลภาพ
นายกฯ จะฮาไปไหน
ชาวบ้านฉิบหายกันหมดแล้ว
โดย ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
ใน หัวใจไม่หยุดเต้น EP.48
การออกประกาศปิดแค้มป์ก่อสร้าง
ห้ามนั่งกินอาหารในร้านของรัฐบาลที่ลักหลับตอนตี 1 คืนวันเสาร์ที่ผ่านมา สร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วประเทศ
ทั้งจากคนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงและประชาชนที่รับไม่ได้กับวิธีบริหารจัดการ
ปีกว่า ๆ ที่ผ่านมา เราเห็นข่าวพัฒนาการของเชื้อโรคสายพันธุ์ต่าง
ๆ ที่น่าเจ็บปวดก็คือคนไทยไม่เคยเห็นพัฒนาการในการรับมือวิกฤตโรคระบาดของรัฐบาลนี้
เรื่องเดิม ๆ ปัญหาเก่า ๆ
ที่เราเคยวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลมาตลอดก็ยังคงเป็นปัญหาให้พูดถึงกันอยู่
ทั้งการจัดหา การกระจายวัคซีน การเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ
ท่าทีของผู้นำรัฐบาลและการสื่อสารของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งไม่มีความชัดเจน
ครบถ้วน และไม่ตรงไปตรงมากับประชาชน
ถึงวันนี้ยังไม่มีใครประเมินได้ว่าสถานการณ์วิกฤตโควิด-19
จะมีบทสรุปอย่างไร แต่ผมเชื่อว่าในใจคนไทยส่วนใหญ่สรุปแล้วล่ะครับว่ารัฐบาลชุดนี้
นายกรัฐมนตรีประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่มีปัญญาแก้ไขปัญหาได้แน่ ๆ
ไม่ได้ตั้งใจจะพูดให้ตกใจกันไปใหญ่โตนะครับ
แต่ที่ชี้ประเด็นให้เห็นกันตรง ๆ
เพราะถึงวันนี้รัฐบาลยังสร้างความเชื่อมั่นไม่ได้เลย
แต่ละเรื่องแต่ละมาตรการที่ประกาศเป็นเพียงคำพูดปากเปล่า ไม่มีแผนรองรับ
ไม่มีรูปธรรมคืบหน้าให้เห็นอย่างชัดเจน
การจัดซื้อวัคซีนที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ว่าทำไมไม่เข้าร่วมโคแวกซ์ ทำไมไม่จัดหาให้หลายหลายในยี่ห้อที่มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับ กลับพุ่งเป้าแต่ "แอสตร้า เซนเนก้า" ก็ได้รับคำชี้แจงว่าเป็นวัคซีน "ม้าเต็ง"
แต่วันนี้ “ม้าเต็ง” ที่พูดถึงกลายเป็นวัคซีน
“ม้าแกลบ” มาบ้าง ไม่มาบ้าง หยุด ๆ เลื่อน ๆ ไม่ได้จำนวนตามเป้า จากเดิม “แอสตร้า
เซนเนก้า” จะเป็นวัคซีนตัวหลัก ก็กลายเป็น “ซิโนแวค” ทำท่าจะเป็น “ม้ามืด” แซง “ม้าเต็ง”
เพราะมีการสั่งซื้อเพิ่มปริมาณขึ้นมาเรื่อย ๆ
ถามมากเข้าก็อ้างว่าการจัดหาวัคซีนไม่ใช่เรื่องง่าย
ๆ เพราะตลาดเป็นของผู้ขาย ผมว่าไม่ใช่ล่ะครับ ตลาดเป็นของผู้ซื้อที่มีวิสัยทัศน์
อ่านเกมขาด มีชั้นเชิงในการเจรจาและกล้าตัดสินใจมากกว่า แต่เมื่อรัฐบาลเลือกเดินทางนี้แล้วเกิดปัญหา
ก็พยายามแก้ปัญหาเฉพาะหน้าจนกลายเป็นวัคซีนสารพัดยี่ห้อเพิ่งมาขึ้นทะเบียนเอาเมื่อต้นปีที่ผ่านมา
แล้วจัดส่งได้ในช่วงปลายปีนี้
กรอบเวลา 120
วันที่นายกฯ ประกาศจะเปิดประเทศ จึงเป็นช่วงเวลาที่เราจะมีวัคซีนเพียง “แอสตร้า
เซนเนก้า” “ซิโนแวค” “ซิโนฟาร์ม” เพียงบางส่วนเท่านั้น “โมเดอร์นา” “ไฟเซอร์”
หรืออื่น ๆ ล้วนจะมาช่วงปลายปี ซึ่งเลยกรอบเวลา 120 วัน ทั้งการประกาศฉีดวัคซีนปูพรมตั้งแต่
7 มิถุนายน และเปิดประเทศ 120 วัน จึงเป็นเพียงความหวังลม ๆ แล้ง ๆ
ที่รัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรีใช้วิชากะล่อนศาสตร์ พูดให้ประชาชนเกิดความหวังไปวัน ๆ
มาวันนี้ปิดแคมป์คนงาน เบรคร้านอาหาร
ถ้าทำแล้วมันจบได้จริงก็พอมีความหวัง แต่นี่ทำแล้วก็ไม่มีหลักประกันนะครับ
เพราะหลายมาตรการหลายเหตุการณ์ที่ผ่านมาก็เห็นอยู่แล้วว่ารัฐบาลประกาศอะไรแล้วทำไม่ได้ตามนั้น
ที่สำคัญคือท่านคิดไม่เสร็จ นึกจะประกาศหยุดโน่นหยุดนี่ก็ทำ
แต่ไม่ได้มาพร้อมมาตรการเยียวยา สั่งปิดไปก่อนแล้วคิดเยียวยากันทีหลัง ถ้ามันเป็นรอบแรก
ๆ ยังพอว่า แต่นี่เขาเจ็บหนักมาแล้วปีกว่า ๆ
จะเหลือสักกี่รายกันที่รอดไปได้หลังจากมีการเปิดประเทศเปิดเศรษฐกิจ วิธีคิด วิธีทำ
ผิดฝาผิดตัว กลับหัวกลับหางกันไปหมด
ร้านอาหารถ้าคิดจะห้ามนั่งท่านควรสงสัญญาณให้เขาตั้งหลักล่วงหน้า
ไม่ใช่ย่องมาประกาศกันตอนตี 1 แบบนี้ใครเขาจะตั้งตัวทัน
ส่วนแคมป์คนงานดันบอกล่วงหน้า
2 วัน กว่าจะมีคำสั่งปิด แรงงานนับหลาย ๆ พันชีวิตคงกระจายออกจากกรุงเทพฯ
กลับภูมิลำเนากันไปทั่ว
ซึ่งตรงนี้คาดการณ์ว่าน่าจะเป็นเจตนาแท้จริงของรัฐบาลมากกว่า
คือการลดอัตราผู้ป่วยในกรุงเทพฯ จากคลัสเตอร์แคมป์คนงานก่อสร้าง
แล้วก็มีพื้นที่เวลาให้คนงานเหล่านั้นไหลไปต่างจังหวัด
ซึ่งก็ถือเป็นการไปตายเอาดาบหน้าเพราะกลับบ้านไปแล้วก็ไม่มีงานทำ
แต่ละพื้นที่เขาก็มีมาตรการควบคุมโรคของเขาอยู่เหมือนกัน
เกิดติดเชื้อขึ้นมาก็ไม่รู้ว่าแต่ละโรงพยาบาลแต่ละกลไกการแพทย์ซึ่งมีงานหนักอยู่แล้วในภูมิภาคจะรับมือกันไหว
เกิดเป็นปัญหาใหม่อีกหรือไม่? ทั้งหมดทั้งหลายเรื่องนี้มีเหตุสำคัญประการเดียว
คือรัฐบาลนี้ไม่สามารถจัดหาวัคซีนที่มีคุณภาพมาได้มากพอและทันเวลาทันสถานการณ์
บางคนก็บอกว่าวิพากษ์วิจารณ์อย่างเดียว
เสนอทางออก เสนอทางแก้ปัญหากันไปบ้างซิ ผมก็พูด หลาย ๆ
คนก็พูดมาต่างกรรมต่างวาระนะครับถึงข้อเสนอต่าง ๆ แต่ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ไม่อยากจะเสนออะไรแล้วเพราะไม่เห็นสมองของผู้นำรัฐบาล
โควิดน่ะมันกินปอดประชาชน
ไม่รู้ไปกินสมองผู้มีอำนาจเข้าไปด้วยหรือเปล่า?
ท่าทีที่แสดงออกก่อนวันที่จะมีประกาศราชกิจจานุเบกษายิ่งเป็นการไปตอกย้ำความเจ็บปวดให้กับประชาชน
การหัวเราะต่อกระซิกของนายกรัฐมนตรีและบรรดาคนใหญ่คนโตทั้งหลาย
การพูดเล่นพูดหัวราวกับว่าบ้านเมืองนี้ไม่มีใครกำลังเจ็บ ไม่มีใครกำลังรอความตาย
ไม่มีใครกำลังเจ๊งพินาศวอดวายจากความไร้ศักยภาพของรัฐบาล คำว่า “นะจ๊ะ”
ซึ่งเป็นคำสุภาพ เป็นคำหวาน จึงกลายเป็นคำน่ารังเกียจของชาวบ้านไปแล้วในปัจจุบัน
เอากันตรง ๆ เลยนะครับ ผมว่ามาถึงวันนี้รัฐบาลไม่ต้องไปคิดอะไรพิศดารแล้ว ไม่ต้องไปหามาตรการแก้ปัญหาโน่นนั่นนี่หลายมิติให้ประชาชนเวียนหัว เพราะถึงที่สุดท่านก็ทำไม่ได้ ฟันธง! กำปั้นทุบดินไปเลยครับ ไปเอาวัคซีนมา หาเข้ามาทันที หาเข้ามาเดี๋ยวนี้ หาเข้ามาให้หลายยี่ห้อ ไม่ใช่นั่งรอแต่ "แอสตร้า เซนเนก้า" แล้วสั่ง "ซิโนแวค" เข้ามาเพิ่มอยู่เรื่อย ๆ
ตกลงการที่มีบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์เป็นฐานการผลิต “แอสตร้า เซนเนก้า” อยู่ในประเทศไทยก็ไม่ได้เห็นว่าเป็นแต้มต่อที่จะทำให้คนไทยได้ฉีดวัคซีนเร็วขึ้นมากขึ้น ทางสยามไบโอไซเอนซ์เขาพูดชัดมาตลอดว่าเขาเป็นเพียงเอกชนผู้รับจ้างผลิตให้กับ “แอสตร้า เซนเนก้า” เท่านั้น ใครจะได้รับวัคซีนกี่โดสต่อเดือนต่อวันเป็นเรื่องระหว่างรัฐบาลกับ “แอสตร้า เซนเนก้า” สยามไบโอไซเอนซ์ไม่เกี่ยว
เรื่องนี้ถ้าเป็นแผนระยะยาวไม่มีใครว่าล่ะครับ
มีโรงงานผลิตวัคซีนอยู่ในประเทศไทยก็เป็นเรื่องดี
แต่สถานการณ์เฉพาะหน้าที่มันวิกฤตมากขึ้นมีคนตายมากขึ้นทุกวันแบบนี้รัฐบาลล้มเหลวในการวางแผนตั้งแต่ต้น
ณ วันที่พูดอยู่นี้ยังไม่รู้ว่ามาตรการเยียวยาจะออกมาอย่างไร
หรือต่อไปนี้จะมีการสั่งปิดพื้นที่ปิดกิจการประเภทใดอีกหรือไม่
แต่ขอให้นายกรัฐมนตรีได้ตระหนักรับรู้นะครับว่า ทุกนาทีที่ผ่านไป
ทุกความผิดพลาดที่ท่านทำ เป็นการซ้ำเติมชีวิตของประชาชนที่บาดเจ็บสาหัสอยู่แล้วให้หนักมากขึ้น
ๆ ทุกที
สถานการณ์มาถึงวันนี้ท่านยังหัวเราะกันอยู่ได้
ผมก็ไม่มีอะไรจะหวังเหมือนกันฮะ พูดเปิดใจกันเลยนะครับ ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากเปลี่ยนรัฐบาล
เปลี่ยนผู้นำประเทศ แต่คิดน่ะคิดได้ครับ จะเอาจริงนี่ยากแสนยาก
เพราะพล.อ.ประยุทธ์แกยืนยันตลอดเวลาว่ายังไงก็ไม่ออก เอาข้าวสารเสก
เอาไม้หวายลงยังไงก็ไม่ออก แถมกติกาคือรัฐธรรมนูญก็การันตีอำนาจเอาไว้ให้เสียด้วย
การจะแก้กติกาเลือกตั้งเป็น
“บัตรสองใบ” ก็ไม่แน่ว่าจะผ่านไปสำเร็จได้ เพราะร่างพรรคประชาธิปัตย์ที่สภาฯ
รับหลักการไปกลายเป็นจะมีปัญหา เพราะเสนอแก้ไขเพียง 2 มาตรา ทำให้การแบ่งเขตเลือกตั้ง
การนับคะแนน อาจจะขัดกันอยู่ในรัฐธรรมนูญ
พลังประชารัฐ, เพื่อไทย
เห็นตรงกัน นึกว่าจะง่าย ทำท่าจะไม่ง่ายซะแล้วล่ะครับ ดีไม่ดีไปแท้งกลางทาง
แต่ปรากฎการณ์แก้ไขรัฐธรรมนูญคราวนี้เราก็ได้เห็นนะครับว่าศูนย์อำนาจที่คุมเกม ส.ว.250
คน ไม่ได้เป็นที่เดียวกับที่คุมเกมในพรรคพลังประชารัฐ พูดกันชัด ๆ
ก็คือพลังประชารัฐเป็นพื้นที่ของพล.อ.ประวิตร ส่วนส.ว.250 คน เป็นพื้นที่ของพล.อ.ประยุทธ์
เท่ากับในรัฐสภา
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองใหญ่ที่สุด เพราะมีส.ว. 250
ที่นั่ง เมื่อกติกาปัจจุบันบัตรเลือกตั้งใบเดียวเป็นการการันตีอำนาจและนำพล.อ.ประยุทธ์มาเป็นนายกรัฐมนตรี
ก็เป็นไปได้สูงนะครับว่าในที่สุดการแก้ไขบัตรเลือกตั้งสองใบที่พลังประชารัฐกับเพื่อไทยต้องการอาจจะสวนทางกับความต้องการของพล.อ.ประยุทธ์ก็ได้
เพราะความหมายของการเลือกตั้ง “บัตรสองใบ” แม้พลังประชารัฐจะได้เปรียบทุกประตู
ทั้งอำนาจทุน อำนาจรัฐ กลไกต่าง ๆ ที่วางเอาไว้
แต่อย่าลืมว่ามันก็ทำให้เพื่อไทยกลับมามีโอกาสสู้มากขึ้น
<
แล้วในท่ามกลางกระแสความรู้สึกของประชาชนต่อผู้นำรัฐบาลในสถานการณ์โควิด-19
ลงไปในสนามเลือกตั้งอะไรก็เกิดขึ้นได้
ดังนั้นถ้าจะประเมินความเสี่ยงทางอำนาจจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยโฟกัสที่ประเด็นกติกาการเลือกตั้ง
หากเปลี่ยนจาก “บัตรใบเดียว” เป็น “บัตรสองใบ”
คนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงสูงสุดคือประยุทธ์ จันทร์โอชา
ถ้าชนะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีก็ถือว่าเสมอตัวนะครับ
แต่ถ้าแพ้แบบแลนด์สไลด์ก็ตัวใครตัวมัน!
จะมีถนนเดินหรือเปล่ายังไม่รู้?
ก็ต้องจับตาดูกันนะครับว่าถึงที่สุดสัญญาณสุดท้ายของส.ว.250
คน ที่จะตัดสินใจแก้หรือไม่แก้รัฐธรรมนูญ จะเอา “บัตรใบเดียว” หรือ “บัตรสองใบ”
ไม่ใช่ใครล่ะครับ อยู่ที่พล.อ.ประยุทธ์นั่นแหละ
นี่จึงเป็นรูปธรรมสำคัญอีกข้อหนึ่งที่เราจำเป็นจะต้องมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยสสร.จากการเลือกตั้งของประชาชน
เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีความหมายเพียงแค่เครื่องมือในการเข้าสู่อำนาจและรักษาอำนาจของพล.อ.ประยุทธ์กับพวกเท่านั้น
แล้วก็เป็นที่สังเกตได้นะครับว่าตัวพล.อ.ประยุทธ์ไม่ค่อยจะรู้สึกรู้สากับหัวจิตหัวใจประชาชนเท่าไหร่นัก
เพราะถ้าเป็นนักการเมืองจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยทั่วไปเขาจะไม่ทะลึ่งเล่นมุกสร้างอารมณ์ขันกับความเจ็บปวดสูญเสียกับประชาชนแบบนี้
แต่นี่มี 250 คะแนนแน่
ๆ ในสภาจากส.ว.ไงครับ แล้วการแก้ไขกติกา ถ้าตัวเองไม่ยอม
ไม่เห็นด้วยก็ทำไม่ได้นะครับ แกก็เลยอยู่นะจ๊ะ นะจ๊ะ ต่อเนื่องกันมาแล้ว 7 ปี
แล้วอยากจะอยู่นะจ๊ะ นะจ๊ะ ต่อไปอีกหลายปี
ผมว่าถึงเวลาที่ประชาชนต้องคิดให้เสร็จนะครับว่า
เราต้องการกติการฉบับใหม่ เราต้องการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ไม่ต้องร่างตามใจใครฝ่ายไหนล่ะครับ
ให้ประชาชนเลือกสสร.มายกร่างฯ แล้วลงประชามติกันหลังจากร่างเรียบร้อยแล้ว
ถึงวันนี้ใครยังมีความหวังกับพล.อ.ประยุทธ์อยู่อีก ผมจะเสนอให้สกัดเอา DNA มาทำวัคซีนต้านโควิดแล้วนะครับ ถือว่าภูมิต้านทานสูงมาก
พี่ว่าทำไมนายกฯ
เขาต้องมาประกาศอะไรตอนตี 1 วันเสาร์อย่างนี้? (ทีมงานถาม)
แกคงเพิ่งเชียร์บอลยูโรเสร็จมั้ง
แกอาจจะเป็นกองเชียร์เวลส์แล้วแพ้ไป 4:0
ตกใจเลยปิดโน่นปิดนี่ไปหมด...ไอ้เวลส์เอ๊ย!
"ราษฎร" มอบอุปกรณ์ป้องกันโควิด แก่ รพ.ราชทัณฑ์ "เพนกวิน" หวังผู้ต้องขังจะได้รับการดูแล และไม่ปล่อยให้เกิดคลัสเตอร์เรือนจำอีก
วันนี้ (28 มิ.ย. 64) เวลา 11.00 น. ที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ กลุ่ม #ราษฎร นำโดย นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน, น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ รุ้ง, นายพรหมศร วีระธรรมะจารี หรือ ฟ้า เดินทางมามอบอุปกรณ์ป้องกันโรคโควิด-19 อาทิ ชุดป้องกันความปลอดภัย PPE จำนวน 300 ชุด แอลกอฮอล์ หน้ากากอนามัย น้ำเกลือ แก่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ซึ่งเป็นจุดรักษาตัวผู้ต้องหาที่ติดเชื้อโควิดเพื่อใช้ในการจัดการปัญหาโควิคจากในเรือนจำ
ทั้งนี้ นายพริษฐ์ได้โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก เพนกวิน – พริษฐ์ ชิวารักษ์ Parit Chiwarak ว่า
มามอบชุด PPE แอลกอฮอล์ หน้ากากอนามัย และน้ำยาทำความสะอาดให้ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ หวังว่าจะดูแลผู้ต้องขังดี ๆ ไม่ปล่อยให้มีคลัสเตอร์เรือนจำอีกนะครับ
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์
ศาลอนุญาตให้ประกันตัวและถอดกำไล EM "โตโต้ ปิยรัฐ" คดี ม.112 ติดป้ายวิจารณ์วัคซีน ชี้จำเลยไม่มีพฤติการณ์หลบหนี ทั้งกำไล EM เป็นภาระเกินสมควรแก่จำเลย
วันนี้ (28 มิ.ย. 64) ที่ศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ นายปิยรัฐ จงเทพ หรือ โตโต้ เดินทางมาศาลพร้อมด้วยทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน โดยพนักงานอัยการฯยื่นฟ้องคดีต่อศาลคดี ม.112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ซึ่งในวันนี้จำเลยให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
ขณะที่ทนายความจำเลยได้ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวและขอให้ถอดอุปกรณ์ติดตามตัวอิเล็กทรอนิกส์ EM (อีเอ็ม)
ในเวลาต่อมา ศาลอนุญาตให้ประกันตัวและอนุญาตให้ถอดกำไล EM โดยให้เหตุผลว่า "พิเคราะห์แล้วเห็นว่าจำเลยไม่มีพฤติการณ์หลบหนี ทั้งการใช้อุปกรณ์ EM เป็นภาระเกินสมควรแก่จำเลย จึงอนุญาตให้ปลด EM ได้ แต่เงื่อนไขอื่นในการปล่อยขั่วคราวให้คงเดิมและให้จำเลยปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด"
ทั้งนี้ศาลนัดคุ้มครองสิทธิวันที่ 7 ก.ย. 64 เวลา 13.00 น. นัดตรวจพยานหลักฐานวันที่ 11 ต.ค. 64 เวลา 09.00 น.
ขอบคุณข้อมูล 📷 : ทนายนรเศรษฐ์ นาหนองตูม และ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์
ศาลนัดตรวจหลักฐาน "แอมมี่" คดีเผาทรัพย์หน้าเรือนจำ นัดสืบพยานโจทก์ครั้งแรก 1 มี.ค. 65 เจ้าตัวเผยไม่หวั่น แม้โดนยื่นถอนประกัน ยันไม่ได้ออกมาเพื่อเจตนาทำร้ายประเทศ ชี้อยากให้ประเทศดีขึ้นในระบบโครงสร้างที่ดี
วันนี้ (28 มิ.ย. 64) เวลา 09.00 น. ที่ห้องพิจารณา 716 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดตรวจหลักฐาน คดีดำ อ.1199/2564 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 5 เป็นโจทก์ฟ้อง นายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ หรือแอมมี่ เดอะบอททอมบลูส์ อายุ 32 ปี แนวร่วมกลุ่ม #ราษฎร เป็นจำเลยในฐานความผิดร่วมกันหมิ่นประมาทดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินีรัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์, ร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่น และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 33, 83, 91, 112, 217 พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 พ.ร.บ.การกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 ซึ่งจำเลยให้การปฏิเสธข้อกล่าวหาและขอต่อสู้คดี
ซึ่งวันนี้โจทก์และนายไชยอมร (จำเลย) พร้อมทนายจำเลยมาศาล โดยโจทก์ยื่นคำร้อง ขอให้นำสำนวนคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ 1271/2564 ของศาลนี้ ซึ่งเป็นผู้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยคดีนี้มีพยานหลักฐานเป็นบุคคล และพยานเอกสารชุดเดียวกัน หากรวมพิจารณาจะสะดวกและรวดเร็ว สอบถามฝ่ายจำเลยแล้วไม่คัดค้าน
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีดังกล่าวอยู่ระหว่างไต่สวนคำร้อง ว่าต้องส่งสำนวนคดีดังกล่าวไปพิจารณาพิพากษาที่ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางหรือไม่ ไม่แน่ว่าจะแล้วเสร็จเมื่อใด ฉะนั้นการรวมพิจารณาจึงไม่สะดวกและไม่รวดเร็วแก่การพิจารณาพิพากษาชั้นนี้จึงไม่อนุญาตให้รวมสำนวน
โจทก์จําเลย และทนายจำเลย แถลงไม่มีข้อเท็จจริงที่รับกันได้ โจทก์แถลงว่ายังคงติดใจสืบพยานรวม 28 ปาก ขอใช้เวลาสืบพยาน เป็นเวลา 7 นัด จำเลยและทนายจำเลยแถลงข้อต่อสู้ว่าไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้องมีพยานเข้าสืบ 5 ปากขอใช้เวลาสืบพยาน 1 นัด ซึ่งเริ่มสืบพยานนัดแรกวันที่ 1 มี.ค. 2565 เวลา 13.30 น.
จากนั้นนายไชยอมร ได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวต่อกรณีที่ถูกกลุ่มคนมายื่นคำร้องขอถอนประกันตัวว่า เป็นความคิดเห็นตามสิทธิทางรัฐธรรมนูญ เราออกมาเรียกร้องเพื่อสิ่งที่ดีกว่าไม่ได้ออกเพื่อเจตนาทำร้ายประเทศ เจตนาอยากให้ประเทศดีขึ้นในระบบโครงสร้างที่ดีขึ้นเท่านั้น
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์
ธิดา
ถาวรเศรษฐ : ผลการโหวตแก้รธน. บอกอะไรกับสังคมไทย!
วานนี้
(25 มิ.ย. 64) อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ ได้กลับมาสนทนากับท่านผู้ชมผ่านการทำเฟซบุ๊กไลฟ์ที่
โดยอ.ธิดากล่าวว่า ผลงานเมื่อวานนี้น่าตื่นเต้นเร้าใจ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่
24 มิถุนายน มีทั้งเหตุการณ์ในเวทีรัฐสภา นอกรัฐสภาหน้าทำเนียบ
แล้วก็รวมทั้งการที่มีกลุ่มคนที่เคยเป็นอดีตแกนนำก็มีการนำม็อบมา
กรณีนั้นก็คือขับไล่นายกรัฐมนตรี รวมทั้งกรณีม็อบของเยาวชนในนามของคณะราษฎร
ซึ่งเป็นคณะราษฎรยุคใหม่ ก็ได้มีการจัดงานตั้งแต่ย่ำรุ่งจนกระทั่งถึงกลางคืน ดังนั้นเมื่อวานจึงมีเรื่องราวที่เกิดขึ้นมากมาย
ดิฉันก็อดไม่ได้ที่ว่าวันนี้ก็มาพบกับท่านผู้ชมอีกครั้งหนึ่ง
ในบรรดาสามเรื่องนี้
มันก็จะเป็นเรื่องที่มันจะต้องมีเหตุการณ์ลำดับต่อไปข้างหน้าแต่ดิฉันคิดว่าจะขอเริ่มด้วยเรื่องในรัฐสภา
ฉะนั้นประเด็นวันนี้ที่จะคุยก็คือ
ผลการโหวตแก้รัฐธรรมนูญ
บอกอะไรกับสังคมไทย!
เมื่อวานนี้เราก็พอจะแบ่งเรื่องราวในรัฐสภาเป็นกลุ่มคนอยู่
3-4 กลุ่ม กลุ่มแรกที่มีความสำคัญสูงสุดคือวุฒิสมาชิก
วุฒิสมาชิกจะมีบทบาทสำคัญสูงสุด ซึ่งเรารู้ได้เลยก็คือการแก้รัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรานี้
อย่างต่ำต้องมีวุฒิสมาชิก 84 คน หมายความว่าถ้าวุฒิสมาชิกสนับสนุนร่างไหน
แล้วเสียงส.ส.ก็ได้มากพอ ร่างนั้นก็ผ่าน
ผลที่เกิดขึ้นก็คือ
เมื่อคืนวานนี้ผ่านร่างเดียว คือร่างของพรรคประชาธิปัตย์ เป็นร่างลำดับที่ 13
ซึ่งมีหลักการเดียวก็คือแก้ระบบเลือกตั้งบัตรสองใบ เรื่องราวตั้งแต่ต้นของพปชร.,
พรรคร่วมรัฐบาล และพรรคร่วมฝ่ายค้านในการนำเสนอทั้ง 13 ร่าง
ดิฉันเชื่อว่าท่านผู้ชมก็คงทราบแล้ว
ดิฉันก็อยากจะมาสรุป
มาวิเคราะห์ว่าปรากฏการณ์นี้บอกอะไรกับสังคมไทยบ้าง?
กลุ่มแรกที่ดิฉันอยากจะพูดถึงก็คือวุฒิสมาชิก เราจะเห็นบทบาทของวุฒิสมาชิกซึ่งในทัศนะของดิฉันนั้น น่าขำเจือสมเพชด้วย ดิฉันก็ต้องขอพูดตรง ๆ ไม่ใช่เรื่องหยาบคาย มันน่าขบขันที่มีการถกเถียง อย่างหนึ่งทำให้ดิฉันทราบว่าวุฒิสมาชิกซึ่งเราคิดว่าเขาควรจะมีความรู้สึก พูดกันตรง ๆ ว่าในจิตใจมันควรจะมีปมด้อยอยู่ว่า ตัวเองไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แล้วมาจากการแต่งตั้งของการทำรัฐประหาร แล้วก็มีการสืบทอดอำนาจ แล้วก็เข้ามาอยู่ในรัฐสภาโดยที่มีตัวเลขรายได้รวมทั้งผู้ช่วยอะไรต่าง ๆ จำนวนมาก ซึ่งเป็นเงินภาษีประชาชน แต่ตัวเองไม่ได้มาจากประชาชน ดิฉันนึกเอาว่าเขาควรจะต้องมีปมด้อยตัวนี้อยู่
แต่ว่าปรากฏการณ์ทีเกิดขึ้นเมื่อวานนี้แสดงว่าไม่มีปมด้อย
กลับมีปมเขื่อง นั่นก็คือในท่ามกลางเวทีการพูดนั้น
สิ่งที่พูดก็คือมีความเชื่อมั่นว่าตัวเองมาจากรัฐธรรมนูญซึ่งผ่านประชามติ ดังนั้นจะมาขับไล่หนึ่ง จะมาเหยียดหยามหนึ่ง
หรือว่าจะมาลดอำนาจในการเลือกนายกฯ
ดิฉันก็ขออภัยสำหรับส.ว.บางท่านซึ่งคิดว่ายอมลดอำนาจตรงนี้ส่วนหนึ่ง แต่ก็ไม่มากพอ
เพราะฉะนั้นการปิดสวิตช์ส.ว.จึงเป็นไปไม่ได้เลย
เพราะว่าส.ว.มองว่าทำไมต้องมาปิดสวิตช์ผม? พวกคุณก็ส.ส.ปัดเศษ อะไรอย่างนี้
ไม่หนำซ้ำก็คือเป็นครั้งแรกที่วุฒิสมาชิกชูประเด็นที่คัดค้านกับพรรครัฐบาลเต็มที่
ในกรณีที่มีการขอแก้ไขมาตรา 144 กับมาตรา 185
ซึ่งเขามองว่าอันนี้เป็นการเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ของนักการเมือง
ดังนั้นก็คือปัดตกทั้งยวง
เมื่อแพ็ครวมมาทั้งยวงก็ปัดตกตั้งยวง
ดังนั้นจึงเป็นการแสดงออกถึงการท้าทายระหว่างวุฒิสมาชิกที่มาจากการแต่งตั้ง
กับพรรคของรัฐบาลที่สืบทอดอำนาจ พูดตรง ๆ ว่าหัวของรัฐบาล
(หัวหน้ารัฐบาลและหัวหน้าพรรค) ก็คือผู้ที่แต่งตั้งวุฒิสมาชิกขึ้นมา
เพราะฉะนั้นพรรคพปชร.ก็อาจจะรู้สึกย่ามใจว่ามันก็นายเดียวกัน นายก็สั่งได้
ดังนั้นกระทั่งคนที่เป็นพวกสุดโต่งที่เอามาใช้ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ย่ามใจ
ก็จับมามัดรวมกันทั้งหมดเพราะเกรงว่าบางร่างอาจจะถูกปัดตก ดังนั้นก็มามัดรวม
ก็กะว่าได้หมด อันนี้ก็เรียกว่าเป็นความประมาทของพปชร.
แต่ก็เป็นการที่วุฒิสมาชิกแสดงตัวว่าฉันไม่ได้ขึ้นกับคุณนะ ฉันเป็นตัวของตัวเอง
คุณจะมาลดอำนาจฉัน ปิดสวิตช์ฉัน ฉันไม่เอา! แต่ว่าไปหนุนร่างของพรรคประชาธิปัตย์แทน
ซึ่งเขียนไว้นิดเดียว แล้วคุณสมชัย ศรีสุทธิยากรก็มีความเห็นต่อไปว่า
ร่างของประชาธิปัตย์ที่เตรียมไว้เป็นร่างหนุน ไม่ใช่เป็นร่างหลัก
ก็เขียนไว้แค่นิดเดียว น่าจะไปต่อไม่ได้
เพราะว่าถ้าคุณจะแก้ไขระบบการเลือกตั้งต้องแก้มาตราอื่น ๆ เติมเข้าไปด้วย
อันนั้นก็เป็นเรื่องของเขา
แต่ที่ดิฉันอยากจะพูดในที่นี้ว่า
การแสดงออกของวุฒิสมาชิกในการประชุมนี้ เป็นการแสดงออกที่ห้าวหาญ
แล้วก็รู้สึกว่าผยอง รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ขึ้นอยู่กับใคร ไม่รู้ว่ามีการพูดคุยกันหรือเปล่ากับพรรคประชาธิปัตย์
จึงสนับสนุนร่างเดียวค่อนข้างเป็นเอกภาพ ดูเหมือนจะเป็น 210 เสียงเลย ว่า
ส.ว.โหวตคว่ำร่างของพปชร.แทบ ไม่แตกแถว คือคว่ำแบบหมดเลย
แต่ว่ามาสนับสนุนร่างของพรรคประชาธิปัตย์เต็มที่ นี่คือการแสดงของส.ว.
นั่นหมายความว่าความหวังที่คิดว่าส.ว.ชุดนี้จะยอมลดอำนาจตัวเองแบบที่ส.ว.จำนวนหนึ่งพูด
ซึ่งมีสักประมาณ 20 คนที่ยอมปิดสวิตช์ ก็คือยังเป็นส.ว.อยู่นะ
แต่ว่ายอมสละอำนาจในการเลือกนายกฯ ความหวังนี้ไม่น่าจะมีอีกแล้ว พูดง่าย ๆ ว่า
ส.ว.ไม่ถอยเลย แล้วก็รู้สึกว่าตัวเองภาคภูมิใจ มาจากรัฐธรรมนูญที่ลงประชามติ หลายคนก็ท้าด้วยว่าไปทำประชามติว่า
เอา/ไม่เอา ส.ว.มั้ย? ประมาณนั้น ก็คือถือว่าตัวเองมาจากประชามติ
ส.ส.ต่างหากที่หลายคนเป็นส.ส.ปัดเศษหรือส.ส.ที่มาจากเรื่องอะไรก็ตาม
ก็คือเป็นการบลั๊ฟกัน
ดังนั้นเราพอจะสรุปได้ว่า
คุณจะไปโจมตีในหน้าสื่อ ในออนไลน์ หรือในเวทีรัฐสภา ไม่สะดุ้งสะเทือนเลยค่ะ
ไม่ยอมลดอำนาจ แล้วไม่ลาไปไหน จะอยู่จนครบ 5 ปีนั่นแหละ ก็คือภายใน 5 ปีนี้
ถ้ามีการเลือกนายกฯ อีก ก็จะเป็นพลังในการยกมือเลือกนายกฯ นี้อีก
และได้ทอดไมตรีกับพรรคประชาธิปัตย์เอาไว้ด้วย
เลือกที่จะมาสนับสนุนร่างของพรรคประชาธิปัตย์เฉพาะแก้บัตรสองใบ
เพราะในขณะนี้ก็มองแล้วว่าพรรคที่หนุนรัฐบาลนี้ พรรคที่หนุนระบอบ 3ป นอกจากพปชร.
ก็ถือว่าประชาธิปัตย์เป็นตัวสำคัญ เพราะประชาธิปัตย์เป็นพรรคอนุรักษ์นิยมดั้งเดิม
และเป็นพรรคที่ต่อต้านกับพรรคใหม่ที่มีนายทุนที่ถูกโจมตีเป็นทุนสามานย์ หรือแม้กระทั่งทุนไหน
ๆ ทุนใหม่ก็ตาม
พูดง่าย
ๆ ว่าพรรคประชาธิปัตย์จะเป็นพรรคอนุรักษ์นิยมที่ไว้ใจได้ ไม่ใช่มีแต่พปชร.ของ 3ป
เท่านั้น ก็แปลว่ามี 2 พรรค นี่ก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงจุดยืน ความรู้สึก แล้วก็ไม่ถอยแน่
อันนี้ก็คือส.ว. เพราะฉะนั้นไอ้ที่เราคิดว่าจะพูดกันอย่างโน้นอย่างนี้แล้วก็จะทำให้เขามีความละอายแก่ใจ
ยอมลดอำนาจนั้นน้อยมาก เป็นไปไม่ได้เลยสำหรับส.ว.
แต่ในทัศนะของดิฉันก็คือ
เราก็ต้องทำต่อไป ก็คือคุณอาจจะอยู่ได้ทางกฎหมาย แต่ว่าคุณอยู่ไม่ได้ในหัวใจประชาชน
ในวิกฤตแบบนี้ก็เป็นโอกาสที่ให้ทุกคนหันมาโจมตีวุฒิสมาชิกชุดนี้เต็มที่เลย
เพราะว่าเวทีรัฐสภาก็ยังทำอะไรไม่ได้
ก็ยังเหลือแต่เวทีของประชาชนนอกรัฐสภาที่จะจัดการกับวุฒิสมาชิกนี้
จัดการนั้นคงจะไม่มีใครไปทำอะไรในทางผิดกฎหมาย
ก็คือให้หาวิธีทุกอย่างในการที่จะรณรงค์ให้ประชาชนทั้งประเทศเข้าใจว่าส.ว.ชุดนี้จะมีปัญหากับพัฒนาการการเมืองการปกครองประเทศไทยต่อไปอย่างไร
ส่วนปัญหาอีกอันของวุฒิสมาชิกก็คือ
วุฒิสมาชิกต้องการจะแสดงออกว่าต่อให้คุณเป็นพรรคการเมืองที่มาจากนายเดียวกัน
ฉันก็ไม่สนคุณก็ได้ อันนี้เป็นปรากฏการณ์ซึ่งมันไม่เคยเกิดขึ้น ปรากฏการณ์นี้ก็แสดงให้เห็นถึงความรู้สึกของวุฒิสมาชิกว่ายิ่งใหญ่แค่ไหน
หันมามองพปชร.
ประมาท! แล้วก็คิดเอาว่าน่าจะเป็นพวกเดียวกัน แล้วก็หวังสูงเกินไป
ก็เลยเป็นที่มาว่าร่างของพปชร. พูดง่าย ๆ ว่าวุฒิสมาชิกต้องการสั่งสอน
อีกอย่างหนึ่งก็คือนายกรัฐมนตรีก็ส่งสัญญาณมาว่าไม่พอใจทั้งมาตรา 144 กับมาตรา 185
ที่จะขอแก้ด้วย
อีกอันซึ่งเป็นฝั่งรัฐบาลสุดกู่คือพรรครวมพลังประชาชาติไทย
พรรครวมพลังประชาชาติไทยนั้นไม่รับเลยสักร่าง
คือไม่เอาเลย ไม่แก้ไขเลย
เพราะถือว่ารัฐธรรมนูญนี้ล้ำเลิศประเสริฐศรีดีหมดเลยเหมือนที่คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ
เคยบอกมา พูดง่าย ๆ ว่าพรรคนี้ยังอยู่ในอุดมการณ์ของการสนับสนุนรัฐบาล 3ป
สนันสนุนระบอบประยุทธ์ สนับสนุนการสืบทอดอำนาจอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู
ไม่สนใจเรื่องแก้เก้ออะไร เอาตามนี้หมด นี่เป็นพรรคที่เรียกว่าสุดขั้วยิ่งกว่า เป็นพรรคที่ยิ่งกว่า
3ปอีก พรรคที่เชียร์ 3ป ที่เป็นยิ่งกว่า 3ป ก็ไม่รู้จะใช้คำว่าเป็นพวกอุลตร้าฟาสซิสต์
อุลตร้ารอยัลลิสต์ หรือยังไง? นี่ก็คือฝั่งที่เรียกว่าสนับสนุนรัฐบาล 3ป
แต่วุฒิสมาชิกสั่งสอนพรรคพปชร.ว่าอย่ามาทำอย่างนี้นะ และก็ไม่เห็นด้วย
สำหรับพรรคฝ่ายค้าน
ในปรากฏการณ์ร่วมอันหนึ่ง คือเราจะเห็นว่าระบบบัตรสองใบที่จากรัฐธรรมนูญ 40
จะมีพรรค 3 พรรคที่สนับสนุน ก็คือ พปชร. ประชาธิปัตย์ และเพื่อไทย นอกนั้นพรรคอื่น ภูมิใจไทยก็ไม่โอเค ก้าวไกลแน่นอนก็ไม่โอเค
เพราะก้าวไกลเขาบอกแล้วว่าเขาสนับสนุนอย่างเดียวก็คือให้แก้ ตัดอำนาจของวุฒิสมาชิก
ก็มีกองเชียร์เพื่อไทยจำนวนหนึ่งก็ตั้งข้อสงสัยเหมือนกันว่าทำไมหมวดอื่น ๆ
ไม่ยกมือ เพราะว่าเป็นหมวดที่สำหรับฝ่ายประชาชน ซึ่งอันนี้ดิฉันก็ไม่เข้าใจ อันนี้เป็นเรื่องที่ต้องไปถามพรรคก้าวไกลเอง
เช่นปัญหาเรื่องการประกันตัว เรื่องสิทธิเสรีภาพ
คือพรรคก้าวไกลอาจจะเอาประเด็นสำคัญ ก็คือประเด็น 272 ซึ่งประเด็น 272
ดิฉันเห็นด้วยว่าสำคัญ
แต่ว่านาทีนี้ทุกคนจะได้รู้เลยว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้มันเขียนมาให้แก้ไม่ได้ ถ้าส.ว.ไม่เห็นด้วย
ไม่มีทางผ่าน ยังไงก็ไม่มีทางผ่าน
เพราะฉะนั้นก็จะสามารถแก้ได้เฉพาะอันที่วุฒิสมาชิกเห็นด้วยเท่านั้น เพราะตั้ง 84
เสียง
นี่คือรัฐธรรมนูญฉบับที่แก้ไม่ได้
ที่หลายคนบอกว่า “ฉีกได้” แต่ “แก้ไม่ได้” มันก็เป็นอย่างนี้
เพราะนั้นพรรคใหญ่
3 พรรค ถามว่าทำไมพปชร.ถึงอยากได้
เพราะว่าก่อนหน้านี้พปชร.ก็น่าจะหนุนแบบในรัฐธรรมนูญ 60
แต่ดิฉันคิดว่าท่ามกลางเวลาที่ผ่านมา จากการใช้รัฐธรรมนูญมา พปชร.
ได้เติบใหญ่ด้วยการล่าส.ส.เขต และในการเลือกตั้งในพื้นที่ที่มีการเลือกตั้งซ่อม
พปชร.ก็ชนะเป็นส่วนใหญ่ แล้วการที่เอา “ธรรมนัส”
ไม่รู้ว่าจะเรียกตำแหน่งยศว่าอะไรดี มาเป็นเลขาธิการพรรค
ตัวนี้แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการที่จะล่าส.ส.
คือสามารถไปชนะในนครศรีธรรมราชได้ แล้วก็ไปประชุมที่ขอนแก่น
ดิฉันเชื่อว่าความหวังของพปชร. หวังเป็นพรรคใหญ่ หนึ่งล่าส.ส.เขตมาได้ จากนั้นค่อยมีไม้ประดับสวย
ๆ มาอยู่ในบัญชีรายชื่อ แล้วก็เชื่อมั่นว่าฝีมือของ “ธรรมนัส”
ไม่จำเป็นต้องง้อกลุ่มสามมิตรแล้ว สามารถที่จะทำให้พรรคนี้เติบโตขึ้นมาได้
โดยเฉพาะหัวหน้าพรรคแบบพล.อ.ประวิตร ซึ่งเรียกว่าเป็นหัวหน้าที่ดี
ให้การสนับสนุนเต็มที่ไม่ว่าจะเอาอะไร ทำอะไร ก็ได้หมด อาจจะไม่เกี่ยวกับคุณประยุทธ์
แต่ว่าเป็นหัวหน้าพรรคที่ดีก็แล้วกัน เหมาะสม พล.อ.ประวิตรเป็นหัวหน้าพรรค
แล้วก็คุณธรรมนัสเป็นเลขาธิการพรรค มันโอ้โหเลยแหละ ก็คือช่างเป็นพรรคที่ดูดีมาก ๆ
สำหรับส.ส.ที่ต้องการเข้ามาพึ่งใบบุญ ซึ่งแม้กระทั่งวุฒิสมาชิกยังไม่ค่อยสบายใจ
แล้วก็พรรคร่วมรัฐบาลโดยเฉพาะประชาธิปัตย์ ก็แน่นอน
คนของประชาธิปัตย์ถูกพปชร.ล่าไปเป็นจำนวนมาก เหมือนกับพรรคเพื่อไทย
เพราะฉะนั้นพปชร.หวังว่าเติบใหญ่แน่
“ประชาธิปัตย์”
หวังว่าจะฟื้นคืนชีพด้วยบัตรสองใบ
“พรรคเพื่อไทย”
ก็หวังว่าจะกลับมายิ่งใหญ่แบบเดิม เพราะว่าคนที่อยู่ในบัญชีรายชื่อมีเป็นจำนวนมาก
ไม่ได้เลย ได้แต่ส.ส.เขต จากเสียง 200 กว่าเสียงก็เหลือ 100 กว่าเสียง
แล้วก็วางแผนผิดในเรื่องไทยรักษาชาติไปด้วย
ดังนั้น
ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล ขณะนี้ก็คือพรรคที่คิดว่าตัวเองจะเป็นพรรคใหญ่ก็หนุนสองใบ
แล้วพรรคที่เป็นพรรคขนาดกลางหรือเล็กก็ไม่อยากได้ แต่ในทัศนะดิฉัน สองใบ
พรรคเล็กก็มีโอกาสที่จะเป็นพรรคที่เติบโตได้ คือคุณต้องมีส.ส.เขตอยู่ในมือแน่นอนอยู่จำนวนหนึ่ง
แล้วก็มีบัญชีรายชื่อตัวเด็ด ๆ อยู่จำนวนหนึ่ง ดิฉันคิดว่ามันแน่นอนกว่านะ
เพราะว่าคุณสามารถสร้างแรงดึงดูดที่บัญชีรายชื่อก็ได้
ในขณะเดียวกันคุณสามารถที่โฟกัสลงไปในพื้นที่ที่มีโอกาสได้แน่นอนอยู่จำนวนหนึ่ง
คุณสามารถใช้ทั้งสองทาง ในขณะที่บัตรใบเดียวนั้นเรียกว่าพรรคไหนเน้นส.ส.เขตก็เน้นไป
พรรคไหนที่เน้นเฉพาะบัญชีรายชื่อก็เน้นไป
อย่างครั้งที่แล้วพรรคอนาคตใหม่ไปเน้นที่บัญชีรายชื่อมีเสน่ห์ ส.ส.เขตมีน้อย
แต่ในกรณีนี้คุณสามารถที่จะเน้นได้ทั้งสองทาง โฟกัสไปที่เขตจำนวนหนึ่ง แล้วก็เอาตัวเด็ด
ๆ มาอยู่ที่บัญชีรายชื่อ
เพราะฉะนั้นพรรคกลาง
พรรคเล็ก ก็ไม่จำเป็นต้องผิดหวัง พรรคใหญ่เสียอีก ถ้าไม่มีหัวหน้าพรรคที่มีเสน่ห์
ไม่มีบัญชีรายชื่อที่มีเสน่ห์ 100 เสียงก็อาจจะไม่ได้ก็ได้ นี่สำหรับพรรคใหญ่
คุณได้แต่ส.ส.เขต แต่บัญชีรายชื่อคุณอาจจะปิ๋วเลยก็ได้ มันไม่เหมือนกับยุคก่อนที่ประชาธิปัตย์แข่งกับเพื่อไทยหรือไทยรักไทย
เพราะว่าไทยรักไทยเขามีเสน่ห์ทั้งสองทาง ส.ส.เขตเขาก็มีเพียบ
บัญชีรายชื่อเขามีก็เพียบ ดังนั้นมาถึงวาระนี้พวกหัว ๆ กระเด็นนี่
ใช้ภาษาแรงหน่อยก็ถูกถีบออกไปจากวงการการเมือง
ถูกให้ยุติบทบาทแล้วก็หลบลี้หนีหายไปเป็นจำนวนมาก ดังนั้นมันมีโอกาสที่เท่า ๆ กัน
อันนี้ไม่ใช่คำปลอบใจสำหรับพรรคเล็กนะ แต่ว่ามันเป็นความจริงอย่างนั้น
เพราะว่าสำหรับดิฉันก็อยากได้พรรคการเมืองหลายพรรค
ไม่ได้อยากให้มีพรรคใหญ่พรรคเดียว เพราะว่าถ้ามีพรรคใหญ่ฝ่ายประชาธิปไตยพรรคเดียว
บางทีก็ไม่เห็นหัวประชาชน ก็คือทุกอย่างก็ทำไปตามที่ตัวเองคิด ไม่ได้ฟังเสียง ประชาชน
เหมือนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
เรามีประสบการณ์แก้ไขรัฐธรรมนูญปี 50 สองรอบ
รอบหลังดิฉันเป็นคนรวบรวมเองได้เกือบแสนรายชื่อ
กองอยู่ที่บ้านก็มีหลังจากที่เขาเอาคืนมา คือต้องหาเอาไว้เกิน เขาบอก 5 หมื่น
คุณต้องหาเอาไว้เกินเพราะว่าบางทีเขาจะคัดออกเวลาเขาเอาไปตรวจสอบ ก็ต้องเตรียมไว้เกินไว้หน่อย
เหมือนกับที่ตอนที่พวกคุณเสนอเดี๋ยวนี้แหละ คือให้สสร.แก้ทุกมาตรา ให้สสรร.มาจากการเลือกตั้ง
แก้ได้ทุกมาตรา ไม่ผ่าน! พรรคการเมืองไม่เห็นด้วย
พรรคการเมืองที่เป็นรัฐบาลที่ร่วมต่อสู้กับเราไม่เห็นด้วย
เพราะเขาก็ต้องการรัฐธรรมนูญแบบที่รัฐบาลตอนนี้อยากจะทำ คือมีคณะร่างฯ
แต่ว่าในที่สุดจากการพูดคุยเขาก็จะรู้แล้วว่าคณะร่างฯ
ถ้ารัฐบาลเป็นคนตั้งยังไงก็ถูกด่า ต้องถูกด่าแน่นอน สู้โยนไปให้สสร. แล้วเอาคนไปแข่งขันกันที่โน่น
แล้วสสร.เขามาเลือก สสร.มาเลือกคณะกรรมการร่างฯ เขาไม่ถูกด่า
แต่ถ้ารัฐบาลตั้งคณะกรรมการร่างฯ ถูกด่าแน่นอน
เลิศประเสริฐศรียังไงก็ต้องมีข้อตำหนิให้ด่า แต่ว่ารัฐบาลยุคนั้นก็ไม่ได้ฟังเรา
นี่เล่าให้ฟังว่า แล้วมาบัดนี้นี่เหมือนกันเลย
ขณะนี้พรรคเพื่อไทยก็เสนอแบบเดียวกัน แต่ว่าของอาจารย์ไม่ได้เว้นหมวด 1 หมวด 2 นะ
ก็คือถ้าให้สสร.เขาร่างก็ต้องปล่อยให้เขาร่างทั้งหมด
เพราะฉะนั้นเรามีความเจ็บปวดกับการขอแก้ไขรัฐธรรมนูญมาหลายรอบ
แม้กระทั่งการทำประชามติของรัฐธรรมนูญ 60 อาจารย์ก็ออกมารณรงค์ด้วยกัน
แล้วก็ยังเข้าไปนั่งอยู่ในเรือนจำหญิงอยู่ 8 ชม. ก่อนที่เขาจะให้ปล่อยตัวออกมา
เพราะว่าไปรณรงค์ประชามติ อยากให้ข้อมูลอีกด้านหนึ่งกับประชาชน
เราก็ตั้งเป็นศูนย์ปราบโกงก็มีปัญหา
ดังนั้น
ในความเป็นจริงขณะนี้ยังไม่รู้ว่าระบบบัตรสองใบจะไปรอดหรือเปล่า อาจจะไปไม่รอด
เพราะว่าอันที่หนึ่งคุณไม่ได้เขียนแก้มาตราอื่น (ของฉบับประชาธิปัตย์)
อย่างที่คุณสมชัยบอก ของเพื่อไทยเขาเขียนแก้มาตราอื่น ๆ ไว้ด้วย
เพราะว่ามันต้องแก้มาเพื่อรองรับ
คุณจะแก้ให้ใช้ระบบบัตรสองใบโดยที่ไม่ได้คำนึงถึงมาตราอื่นที่เกี่ยวข้องไม่ได้
มันจะไปแค่ไหนก็ยังไม่รู้ อนาคตก็ยังไม่รู้
ดิฉันก็อยากจะเสนอแนะมาว่าพรรคฝ่ายค้านที่เป็นฝ่ายประชาธิปไตยด้วยกันก็ไม่เห็นจำเป็นจะต้องกินแหนงแคลงใจด้วยเรื่องบัตรสองใบ
บัตรใบเดียว แน่นอน พรรคใหญ่ไม่ว่าค้านหรือรัฐบาล
หรือว่าพรรคที่คิดว่าตัวเองจะเติบใหญ่ คิดว่าบัตรสองใบน่าจะดีกว่า
จะมีทั้งคนในบัญชีรายชื่อ จะมีทั้งส.ส.เขต อันนี้ก็เป็นอย่างนั้น แต่มันก็ไม่แน่ ๆ
ดังนั้นพรรคที่เป็นขนาดกลางหรือขนาดเล็ก
ถ้าสามารถสร้างกระแสดึงดูดในเรื่องของบัญชีรายชื่อ (นี่พูดอย่างที่เขาทำได้นะ
ซึ่งไม่รู้จะทำได้หรือเปล่า?) แล้วก็มีส.ส.เขตที่มีการคัดสรรแน่นอน
ในทัศนะของดิฉัน พรรคเล็กก็เกิดขึ้นได้ เป็นขนาดกลางก็ได้ แต่ถ้าคุณทำเป็น MMP เขาอาจจะตัดว่าเสียงไม่ถึง
5% เข้าสภาไม่ได้ ก็ได้ เพราะมันอาจจะเกิด Overhang
Mandate อย่างที่ดิฉันเคยพูดมาแล้ว
เพราะฉะนั้น
ผลอันนี้ ส.ส. ทั้งหลายควรจะได้เข้าใจตรงกันว่าวุฒิสมาชิกและการสืบทอดอำนาจของ 3ป
เป็นอุปสรรคร้ายแรงของสังคมไทย และด้วยกฎหมายและด้วยรัฐธรรมนูญฉบับนี้
วุฒิสมาชิกที่คาอยู่ไม่ยอมออก ไม่ยอมลดอำนาจใด ๆ ทั้งสิ้น ก็แปลว่าก็จะอยู่อย่างนี้แหละจนกระทั่ง
5 ปี ถ้ายุบสภาก่อนกำหนดก็มีโอกาสเลือกนายกฯ ได้อีกหลายรอบ
แต่ถ้ายุบสภาเมื่อครบกำหนด 4 ปี ก็แปลว่าเลือกนายกฯ ได้อีกครั้งหนึ่ง
จริง
ๆ ต้องไปเตรียมตรงนั้นว่า ส.ส.ทั้งหลายก็ต้องเห็นด้วยว่าทุกวันนี้เราพบวิกฤตสังคม
วิกฤตเศรษฐกิจ และวิกฤตการเมืองอย่างหนัก และรัฐบาลนี้แก้ปัญหาไม่ได้ วิกฤตโควิด เมื่อมีคนมาโจมตีว่าทำไมหมอถึงไม่ไปด่ารัฐบาล
คุณหมอบางคนก็บอกว่าคือเขาไม่อยากด่าแล้ว อันนี้ก็เป็นเหตุผลของเขาซึ่งจริง ๆ โจมตีได้
เขาบอกว่าเขาไม่เคยหวัง เขาไม่ผิดหวังเพราะเขาไม่เคยหวัง
เพราะว่าประมาณจะเอาปลาไปบิน หรือเอาไก่ไปว่ายน้ำ มันไม่ได้ เขาก็พูดแรงอยู่
แต่จริง ๆ ประชาชนทุกคน บุคลากรการแพทย์ทุกคนสามารถที่จะออกมาพูดโจมตีทั้งรัฐบาล
โจมตีทั้งกระทรวงสาธารณสุขได้
ความผิดไม่ได้เป็นของประชาชน
ประชาชนร่วมมือเต็มที่ บุคลากรการแพทย์ที่ทำงานก็ทำงานเต็มที่ แต่ปัญหาคือคนวางแผน
ดังนั้นเอาเฉพาะปัญหาโควิดมันพิสูจน์ให้เห็นฝีมือของรัฐบาลนี้แล้วว่ามันแก้ปัญหานี้ไม่ได้
แล้วยังไม่ต้องพูดเรื่องปัญหาเศรษฐกิจ ประเทศเล็ก ๆ เขามีผู้นำที่ฉลาด
ที่รักประชาชน ที่ต้องการให้ประเทศก้าวไปข้างหน้า เขาไม่ต้องการให้ประชาชนตาย
สูญเสีย “เงิน” แทนที่กู้มาแล้วเอามาแจกเฉย ๆ เขาทุ่มไปในสิ่งที่ควรทุ่มเต็มที่
เพราะฉะนั้นดิฉันมองแล้วว่าการแก้ปัญหาวิกฤตโควิดครั้งนี้มันพิสูจน์ให้เห็นถึงความล้มเหลวของรัฐบาลนี้อย่างเต็มที่
ดังนั้น ถ้าหากว่ายังอยู่ต่อไปเรื่อย ๆ คณะยุทธศาสตร์ก็เป็นยุทธศาสตร์เดิม หน่วยงานความมั่นคงซึ่งทำผิดพลาดมาทั้งหมด
ป้องกันชายแดนก็ไม่ได้ ป้องกันการนำเข้ามาทางเครื่องบินก็ไม่ได้ ทางบก
ทางน้ำก็ไม่ได้ ไม่รู้เรื่องปัญหาแรงงาน ไม่รู้ปัญหาเรี่องโครงสร้าง
ไปไม่รอดแน่นอนค่ะ
เพราะฉะนั้น
ส.ส.ทั้งหลาย ไม่ว่าคุณจะเป็นพรรครัฐบาลหรือพรรคฝ่ายค้าน
คุณไม่จำเป็นที่จะต้องมาเห็นด้วยกับม็อบของราษฎร
ไม่ต้องมาเห็นด้วยกับฝ่ายค้านแบบก้าวไกลหรือเพื่อไทยทั้งหมด
แต่ขอให้เห็นแก่ประเทศชาติว่าถ้าขืนให้อยู่สืบทอดอำนาจต่อ
แล้วถ้าขืนว่ารัฐธรรมนูญนี้แก้ไม่ได้
ประเทศชาติจะเสียหายยับเยินอย่างมากเลยทีเดียว
เมื่อคืนนี้มันเป็นอะไรที่ควรจะทำให้สังคมไทยเข้าใจว่า
ขนาดส.ส. ขนาดคุณไพบูลย์ นิติตะวัน ซึ่งเป็นพวกสุดโต่ง พวกอนุรักษ์นิยม แต่ว่าเผอิญเข้ามาอยู่ในพรรคการเมือง
มาเจอวุฒิสมาชิกแบบนี้ก็ยังไปไม่เป็นเลยเหมือนกัน
ดิฉันคิดว่าเวทีรัฐสภาควรจะมีความเห็นเป็นเอกภาพว่าจะทำอย่างไรประเทศไทยถึงจะไปรอด
เพราะขณะนี้ทั้งตัวรัฐบาล ตัวนายกฯ 3ป และวุฒิสมาชิก
เป็นเหมือนกลไกที่สำคัญที่ขัดขวางการเจริญเติบโตและความสุขของประชาชนค่ะ
แทนที่จะมานั่งจับผิดกันว่าใครเอาสองใบ ใครเอาใบเดียว เดินหน้าลดอำนาจแก้ปัญหาส.ว.
แก้ปัญหาประเทศชาติร่วมกันดีกว่าค่ะ อ.ธิดากล่าวในที่สุด
#แก้ไขรัฐธรรมนูญ
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์
วิปฝ่ายค้านส่งตัวแทนรับหมุดราษฎรขนาดยักษ์และรัฐธรรมนูญฉบับ 2475 จากผู้ชุมนุมกลุ่มราษฎร ก่อนตัวแทนราษฎร เข้าหารือวิปรัฐบาล-วิปฝ่ายค้าน
วันนี้ (24 มิ.ย. 64) ภายหลังจากกลุ่มราษฎร เดินขบวนจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย มายังรัฐสภา เกียกกาย เพื่อย้ำจุดยืนว่า รัฐธรรมนูญต้องมาจากประชาชน ไม่เอากลไก 250 ส.ว. โดยเดินเท้าตั้งแต่เวลาประมาณ 10.35 น. ก่อนถึงรัฐสภา เกียกกาย ในเวลาประมาณ 13.40 น. นั้น
ต่อมาในเวลา 14.00 น. ตัวแทนราษฎร อ่านจดหมายเปิดผนึกของราษฎร โดยมีใจความว่า รัฐธรรมนูญเผด็จการจงพินาศ รัฐธรรมนูญประชาราษฎร์จงเจริญ เนื่องในวันนี้ครบรอบ 89 ปี เปลี่ยนแปลงการปกครอง ถือเป็นการเปลี่ยนสถานะ จากไพร่ ทาส ด้วยประเด็นสำคัญของราษฎรที่ได้เกิดขึ้น ราษฎรจึงยื่นหนังสือฉบับนี้ เพื่อสืบสาน รักษา ที่ว่า อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน ต้องจัดทำให้ราษฎรมีอำนาจสูงสุด
จากนั้น นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ตัวแทนวิปฝ่ายค้านจากพรรคเพื่อไทย พร้อมชัยธวัช ตุลาธน เบญจา แสงจันทร์ รังสิมันต์ โรม และคณะ ส.ส. พรรคก้าวไกล มารับหมุดราษฎรขนาดยักษ์และรัฐธรรมนูญฉบับ 2475 จากผู้ชุมนุมกลุ่มราษฎร
นพ. ชลน่าน เป็นตัวแทนฝ่ายค้าน กล่าวกับกลุ่มผู้ชุมนุมที่มายื่นหนังสือที่รัฐสภาวันนี้ว่า ขั้นตอนหลังจากนี้ จะมีตัวแทนกลุ่มราษฎร 5 คน ซึ่งได้แก่นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน, น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ รุ้ง, นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดิน และนายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์ ระยอง รวมถึงตัวแทนสื่อจากราษฎร
เข้าไปในสภาเพื่อพูดคุยกับตัวแทน ส.ส. ทั้งฝ่ายค้านหรือรัฐบาลในรายละเอียดว่า ข้อเรียกร้อง 3 ข้อ ที่ต้องการรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่ได้จาก สสร. ที่มาจากประชาชนเปนผู้ยกร่าง ตัดการสืบทอดอำนาจ และเป็นรัฐธรรมนูญที่ทำได้ทุกอย่าง
นพ.ชลน่าน กล่าวต่อไปว่า ในฐานะตัวแทนประธานวิปฝ่ายค้าน ดร.สุทิน คลังแสง จะไปหารือต่อไป หลังจากนี้ ต้องรอกฎหมายประชามติบังคับใช้ ถ้าร่างคณะราษฎรเข้าชื่อ 50,000 ชื่อได้ ก็จะเข้าสู่สภา บรรจุเข้าสู่ระเบียบการประชุม ถ้าต้องการยกร่างใหม่ เป็นไปได้ว่า ทั้ง 130 ร่างทราบข่าวว่า จะผ่านบางร่างเท่านั้น ขั้นตอนนี้จะสามารถยื่นทำประชามติ ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ แต่ก่อนนี้ก็ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ก่อน คือความจำเป็นที่สมาชิกรัฐสภาต้องทำอย่างนี้ตามขั้นตอนทั่วไป
ขณะที่ นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวว่า ตนเห็นหมุดจำลองขนาดใหญ่ทางขวามือของเวที ทำให้มีความคิด ความฝันอย่างหนึ่งขึ้นมาว่า จริง ๆ แล้วรัฐสภาประเทศเรา วันหนึ่งข้างหน้าเมื่อเรามีประชาธิปไตยสมบูรณ์ หมุดคณะราษฎรจะต้องมาปรากฏอยู่ ณ หน้ารัฐสภาของประชาชน
คำประกาศคณะราษฎรในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ควรบรรจุในหนังสือเรียนทุกเล่ม ควรจะล้อมกรอบ เป็นคำประกาศที่สำคัญที่สุด อยู่ในรัฐสภาเช่นกัน นี่คือความฝันที่เราเห็นร่วมกัน
เฉพาะหน้าวันนี้ อยากให้พี่น้องราษฎร ร่วมกันจับตาการโหวต ว่าสุดท้ายการปิดสวิตซ์ ส.ว. จะสำเร็จหรือไม่ ก้าวไกลมองว่า หากแก้อะไรก็แล้วแต่ ไม่ปิดสวิตช์ ส.ว. นี่คือละครปาหี่ขนานใหญ่ ตบตาประชาชน และเส้นทางสร้างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ผมเห็นด้วยและจะรับข้อเสนอทั้งหมด ต้องผลักดัน กระทั่งกดดันรัฐบาล กดดันรัฐสภา ถ้าประชามติผ่าน ส.ส.ร.ต้องไม่จำกัดอำนาจประชาชน ที่ห้ามตัดหมวดนั้น หมวดนี้ เรายืนยันตรงนี้ เพราะเราเชื่อว่าถ้าเวที ส.ส.ร.ไม่เป็นพื้นที่ให้ประชาชนทุกกลุ่มให้ได้เข้าไปถกเถียง จะไม่สามารถสร้างฉันทามติใหม่ให้สังคมได้ขอบคุณที่มาตรงนี้ และทำให้วันที่ 24 มิถุนายน มีความหมาย นายชัยธวัชกล่าว
ต่อมา 14.25 น.นายสิระ เจนจาคะ ในฐานะส.ส.ฝ่ายรัฐบาลออกมารับจดหมายจากราษฎร โดยมีนายพริษฐ์ เป็นตัวแทนมอบรัฐธรรมนูญฉบับแรกแก่นายสิระ โดยกล่าว "วันนี้เป็นครบรอบปีที่ 89 ของการก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญและประชาธิปไตย หนังสือฉบับนี้คือรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่ถือเป็นเจตนารมณ์" แต่พูดไม่ทันจบ เสียงมวลชนโห่ร้องไล่สิระดังกลบ พริษฐ์จึงขอร้องมวลชนให้อยู่ในความสงบเพื่อให้ตัวแทนยื่นหนังสือให้เรียบร้อยก่อน
ต่อมา นายจตุภัทร์ เป็นผู้อ่านจดหมายเปิดผนึกถึงสมาชิกรัฐสภา แสดงจุดยืนว่า รัฐธรรมนูญเป็นของประชาชน การแก้ไขหรือร่างรัฐธรรมนูญจะต้องกระทำผ่านส.ส.ร. ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนทั้งหมด, รัฐธรรมนูญจะต้องไม่เป็นเครื่องมือสืบทอดอำนาจของเผด็จการประยุทธ์และคณะ และการแก้ไขรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่จะต้องร่างได้ทุกหมวดทุกมาตรา ไม่มีข้อยกเว้น
14.40 น. ตัวแทนราษฎรเข้าไปยื่นจดหมายเปิดผนึกภายในรัฐสภา
กระทั่งเวลา เวลา 16.10 น. ตัวแทนแกนนำราษฎร ได้แก่ ออกมาจากรัฐสภา ภายหลังพูดคุยแล้วเสร็จ
นายจตุภัทรกล่าวว่า เราเป็นตัวแทนเข้าไปพูดข้างในถึงหลักการรัฐธรรมนูญของประชาชน ที่ต้องมาจาก ส.ส.ร.และควรแก้ได้ทุกหมวด ทุกมาตรา เบื้องต้น พรรคการเมืองรับหลักการจะนำไปปฏิบัติ
"สิ่งที่เราทำวันนี้ ตั้งแต่ย่ำรุ่ง และเดินมารัฐสภา เสียงพวกเราได้ถูกรับฟังแล้ว ฉะนั้น ส.ว.ออกไป" นายจตุภัทรกล่าว
จากนั้น ประชาชนร่วมกันตะโกน “ส.ว. 250 ออกไป”
ต่อมานายจตุรภัทรกล่าว ขอบคุณทุกคนที่มายืนยันหลักการนี้ เดินเหนื่อยมาด้วยกัน แต่กิจกรรมยังไม่จบ 17.00 น. ใครยังมีพลังเหลือ ไปที่สกายวอล์ก แยกปทุมวัน วันนี้เป็นบรรยากาศที่ดีมาก ในการกลับมาของพวกเรา ขอให้บรรยากาศการต่อสู้เป็นไปอย่างสันติ ดูแลกันอย่างนี้ โดยเราจะมีการ์ดวีโว่คอยส่งพี่น้องจนคนสุดท้าย
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #89ปี2475 #ราษฎรยืนยันดันเพดาน #ม็อบ24มิถุนา
ประมวลภาพ