วันอังคารที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2567

“คริษฐ์” ฉะรัฐเร่งรีบขนย้ายกากแคดเมียม ไร้ความพร้อม บอกทดสอบมาดีแต่สุดท้ายโซ่ขาด ยิ่งทำให้ประชาชนไม่ไว้วางใจ จี้ทบทวนแผนด่วน

 


คริษฐ์” ฉะรัฐเร่งรีบขนย้ายกาก #แคดเมียม ไร้ความพร้อม บอกทดสอบมาดีแต่สุดท้ายโซ่ขาด ยิ่งทำให้ประชาชนไม่ไว้วางใจ จี้ทบทวนแผนด่วน

 

วันที่ 30 เมษายน 2567 คริษฐ์ ปานเนียม สส.ตาก เขต 1 พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกระบวนการขนย้ายกาก #แคดเมียม จากจังหวัดต่าง ๆ กลับไปที่ จ.ตาก ซึ่งเช้าวันนี้ขบวนรถบรรทุกพ่วงชุดแรกไปถึงที่หมายแล้ว แต่เพิ่งเกิดเหตุโซ่ขาดระหว่างการทดลองลำเลียงถุงบิ๊กแบ็กว่า สิ่งที่เกิดขึ้นน่ากังวล สะท้อนว่าภาครัฐเร่งรีบขนย้ายทั้งที่ไม่มีความพร้อมอะไรเลย ไม่ว่าจะเป็นโรงพักคอยที่ไม่ได้มาตรฐาน การลำเลียงที่ไม่ได้คิดมาอย่างรอบคอบ แทนที่จะทดลองลำเลียงด้วยวิธีอื่น กลับทดลองด้วยกากแคดเมียมจริง

 

ก่อนหน้านี้รัฐรับปาก ยืนยันเป็นมั่นเหมาะว่ามีการทดสอบมาอย่างดี แต่พอถึงคราวทำจริง กลับเห็นแต่ความหละหลวม รัฐมนตรีสั่งการรีบเร่ง คณะทำงานฯ ก็เออออ ปราศจากการบีบบังคับให้โรงงานเตรียมความพร้อมด้วยมาตรการสูงสุด นี่คือการสุกเอาเผากินบนความเดือดร้อนของประชาชนตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง” สส.ตากกล่าว

 

คริษฐ์กล่าวว่า พรรคก้าวไกลเคยเตือนแล้วให้เข้มงวดกับกระบวนการขนย้ายกลับและปรับปรุงโรงพักคอยให้สมบูรณ์ก่อนดำเนินการขนย้าย แต่รัฐไม่รับฟัง ในที่สุดความผิดพลาดก็เกิดขึ้นจริงๆ ดังนั้นหลังจากนี้ขอให้ภาครัฐเร่งทบทวนแผนการขนย้าย กวดขันเรื่องความปลอดภัย ปรับสภาพโรงพักคอยและบ่อฝังกลบให้ได้มาตรฐาน อย่าให้เรื่องเช่นนี้เกิดซ้ำ เพราะจะยิ่งทำให้ประชาชนหมดความไว้วางใจ หากเป็นเช่นนั้น การทำงานของรัฐที่ไม่ราบรื่นอยู่แล้ว จะยิ่งดำเนินการได้ยากกว่าเดิม

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ก้าวไกล 




วันจันทร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2567

“เพื่อไทย” ประกาศจัดงานใหญ่ “10 เดือนที่ไม่รอ ทำต่อให้เต็ม 10” สรุปผลงานรัฐบาลเศรษฐา 3 พ.ค. นี้ พร้อมเปิดตัวผู้สมัคร อบจ. ฉายภาพประเทศไทยปี 70

 


เพื่อไทย” ประกาศจัดงานใหญ่ “10 เดือนที่ไม่รอ ทำต่อให้เต็ม 10” สรุปผลงานรัฐบาลเศรษฐา 3 พ.ค. นี้ พร้อมเปิดตัวผู้สมัคร อบจ. ฉายภาพประเทศไทยปี 70

 

วันที่ 29 เมษายน 2567 เวลา 10.00 น.ที่ พรรคเพื่อไทย นายสรวงศ์ เทียนทอง สส.สระแก้ว และเลขาธิการพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย ทพญ.ศรีญาดา ปาลิมาพันธ์ สส.บัญชีรายชื่อ และรองเลขาธิการพรรค น.ส. ขัตติยา สวัสดิผล สส.บัญชีรายชื่อ และรองโฆษกพรรค นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ สส.บัญชีรายชื่อ และรองโฆษกพรรค ร่วมแถลงข่าวเตรียมจัดงาน “10 เดือนที่ไม่รอ ทำต่อ ให้เต็ม 10” ในวันศุกร์ที่ 3 พ.ค. 2567


โดยนายสรวงศ์ กล่าวว่า นับตั้งแต่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ เข้ารับตำแหน่ง จากวันวันที่ 1 ก.ย. 2566 จนถึงวันนี้ นับเป็นเวลา 242 วัน เกือบ 9 เดือนและกำลังเดินหน้าสู่เดือนที่ 10 ที่พรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง ไม่รอให้ สว.หมดวาระ ในเดือนพ.ค. 2567 หากเรารอ ปัญหาต่าง ๆ และความสำเร็จที่ทยอยออกดอกผลวันนี้ คงไม่เกิดขึ้น ทั้งหมดคือที่มาของการจัดงานในวันที่ 3 พ.ค. 2567 นี้


นอกจากนี้ ภายในงานจะมีการเปิดวิสัยทัศน์นายเศรษฐา ทวีสิน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมวิสัยทัศน์ในนโยบายหลักของพรรคเพื่อไทย เช่น น.ส.จิราพร สินธุไพร รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง รวมทั้งเปิดตัวผู้สมัคร นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) ในนามของพรรคเพื่อไทยส่วนหนึ่ง เพื่อประกาศความพร้อม และความสำเร็จในการทำงานที่ผ่านมาของนายก อบจ.ในนามของพรรคเพื่อไทยในสมัยที่ผ่านมา ที่เคยได้รับความไว้วางใจและตอบสนองต่อความต้องการของพี่น้องประชาชนในท้องถิ่นได้เป็นอย่างดี พร้อมทั้งจะมีการเปิดตัว PheuThai Party Academy อย่างไม่เป็นทางการอีกด้วย


“10 เดือนที่ไม่รอ ทำต่อให้เต็ม 10 เพราะเวลาคือสิ่งที่มีค่ามากที่สุด เวลาคือค่าใช้จ่ายราคาแพง เพื่อไทยทำงานแข่งกับเวลา ใช้ทุกวินาที ทุกนาทีให้คุ้มค่า พร้อมทำงาน เติมทุกนโยบายที่หาเสียงเอาไว้ให้เต็ม 10” นายสรวงศ์ กล่าว


ด้านทพญ.ศรีญาดา กล่าวว่า ประเด็นหลักภายในงานจะมีการบอกเล่าถึงโครงการ 30 บาทรักษาทุกที่ ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายเรือธงของพรรคเพื่อไทย ที่เราได้ประกาศหาเสียงเอาไว้ นำร่องใน 4 จังหวัดแรกสำเร็จ เป็นของขวัญปีใหม่ปี 2567 ให้กับประชาชนได้ การย้ายโรงพยาบาลที่ไม่จำเป็นต้องซักประวัติใหม่ ไม่ต้องเริ่มต้นใหม่ สร้างความลำบากให้ประชาชน ก้าวที่เรากำลังเดินไปไม่เคยหยุด และก้าวต่อไปของนโยบายนี้ เราจะเดินให้ไวและไกลกว่าเดิม เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้รับความสะดวก ลดต้นทุนในการรักษา ที่สำคัญคือค่าเดินทางให้มากที่สุด อีกเรื่องที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้ คือ ซอฟต์พาวเวอร์เป็นนโยบายสำคัญที่จะเปลี่ยนการสร้างรายได้ของประเทศ สู่ภาคเศรษฐกิจจากวัฒนธรรมสร้างสรรค์ เป็นนโยบายที่เราทำก่อนหาเสียง และเราทำจริง และจะทำอย่างเป็นระบบ ด้วยการออกกฎหมายฉบับใหม่ สร้างองค์กรและองค์ความรู้รองรับ เพื่อให้ซอฟต์พาวเวอร์สร้างรายได้ให้กับประชาชนในระยะยาวและยั่งยืน


ขณะที่ น.ส.ขัตติยา กล่าวว่า รัฐบาลเพื่อไทยภายใต้การนำของนายเศรษฐา จะใช้เวลาทุกวินาทีในการบริหารประเทศอย่างคุ้มค่าที่สุด และจะเดินหน้าผลักดันให้เกิดรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนตามที่สัญญากับพี่น้องประชาชนเอาไว้ให้ได้ ภารกิจผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน เป็นนโยบายที่พรรคเพื่อไทยได้ให้ไว้กับประชาชน โดยในการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งแรก ที่ประชุม ครม. ได้ตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติเพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญ ซึ่งที่ประชุมครม.มีมติเห็นชอบจัดให้มีการออกเสียงประชามติ 3 ครั้ง ตามข้อเสนอของคณะกรรมการโดยมั่นใจว่า หากรัฐบาลพรรคเพื่อไทยเดินหน้าอย่างมียุทธศาสตร์ และได้รับการสนับสนุนจากพลังของพี่น้องประชาชนอย่างท่วมท้น ก็จะมีโอกาสเห็นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เป็นประชาธิปไตยเกิดขึ้นภายในระยะเวลา 4 ปีของรัฐบาลชุดนี้อย่างแน่นอน


ส่วนนายชนินทร์ กล่าวว่า ในวันที่ 3 พ.ค.2567 จะสรุปผลงานการเดินหน้าเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางด้านคมนาคมอย่างเป็นระบบ เป็นวิสัยทัศน์ของพรรคเพื่อไทยตั้งแต่ในอดีต และได้เริ่มอย่างเป็นรูปธรรมแล้วในสมัยรัฐบาลนี้ โดยใน 10 เดือนนี้ เราได้ประกาศจุดยืนเพื่อ Logistic Hub ที่สำคัญของเอเชีย เดินหน้าเชื่อมต่อการขนส่งผ่านระบบ รถ-เรือ-ราง และรันเวย์ ผ่านการเดินหน้ารถไฟความเร็วสูง เร่งรัดโครงข่ายรถไฟรางคู่ ขยายท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง และเสริมศักยภาพสนามบินนานาชาติทั้ง 4 แห่ง เพื่อเร่งดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ ส่งเสริมการขนส่งสินค้า และการเดินทางระหว่างเมืองของประชาชน พร้อมกับความสำเร็จของการนำร่องโครงการรถไฟฟ้า 20บาทตลอดสาย


และการเดินหน้าไปถึงเป้าหมายทุกเส้นทางในปี 2568 เพื่อลดค่าครองชีพให้ประชาชน รวมถึงการแสวงหาความร่วมมือทุกทาง เดินหน้าโครงการเติมเงิน 10,000 บานผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล ที่จะเป็นจุดเริ่มต้นครั้งสำคัญของการรดน้ำหน้าบ้านทุกครัวเรือน กระตุ้นกำลังซื้อ กระตุ้นการลงทุน ให้เศรษฐกิจฐานรากโตทุกชุมชน วางรากฐานประเทศไปสู่ Digitall economy และคืนศักดิ์ศรีประเทศไทยในเวทีโลกได้อีกครั้ง

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #เพื่อไทย

สั่งจำคุก "อานนท์" อีก 3 ปี 1 เดือน คดี #ม112 ม็อบแฮร์รี่พอตเตอร์2 ลานหอศิลป์ เมื่อปี 64 ลดโทษ 1 ใน 3 เหลือจำคุก 2 ปี 20 วัน รวมที่ติดคุกอยู่แล้ว 2 คดี เป็น 3 คดี ทำให้โทษรวมเป็น 10 ปี 20 วัน

 


สั่งจำคุก "อานนท์" อีก 3 ปี 1 เดือน คดี #ม112 ม็อบแฮร์รี่พอตเตอร์2 ลานหอศิลป์ เมื่อปี 64 ลดโทษ 1 ใน 3 เหลือจำคุก 2 ปี 20 วัน รวมที่ติดคุกอยู่แล้ว 2 คดี เป็น 3 คดี ทำให้โทษรวมเป็น 10 ปี 20 วัน

 

วันนี้ (29 เมษายน 2567) ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานผ่าน X ระบุว่า ศาลอาญากรุงเทพใต้พิพากษาสั่งจำคุก 3 ปี 1 เดือน คดี มาตรา 112 ซึ่งเป็นคดีที่ 3 ของ "อานนท์ นำภา" จากกรณีปราศรัยถึงข้อเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ใน #ม็อบแฮร์รี่พอตเตอร์2 ที่ ลานหอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2564

 

สำหรับคดีนี้ศาลพิพากษาว่า อานนท์มีความผิด ทุกข้อหา ได้แก่ ม.112, ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, พ.ร.บ.โรคติดต่อ และใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต

 

ความผิดฐานตาม ม.112 ศาลเห็นว่า จำเลยวิจารณ์ ร.10 โดยตรง เมื่อพิจารณาคำปราศรัยแล้ว ไม่มีเหตุที่จะยกสถาบันกษัตริย์อันเป็นที่เคารพมาทำให้เสื่อมเสีย เป็นการทำให้ประชาชนเข้าใจว่า ร.10 มีความโลภ เป็นการใส่ความให้เสื่อมเสียเกียรติยศ ถูกดูหมิ่น เกลียดชัง และด้อยค่า ทั้งจากการสืบพยานของจำเลยไม่สามารถหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้

 

ศาลพิพากษาจำคุกในข้อหามาตรา 112 จำนวน 3 ปี ส่วนความผิดฐานฝ่าฝืน พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ และ พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ ให้ลงโทษตามข้อหา พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จำคุก 1 เดือน และความผิดฐานไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้เครื่องขยายเสียงฯ ลงโทษปรับ 150 บาท

 

อย่างไรก็ตาม ศาลลดโทษให้ 1 ใน 3 ทำให้คงเหลือโทษจำคุกรวมทั้งสิ้น 2 ปี 20 วัน และปรับ 100 บาท

 

ศูนย์ทนายได้ระบุอีกว่า ทำให้ปัจจุบันอานนท์ถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ อยู่ในคดี ม.112 รวม 3 คดีด้วยกัน รวมโทษจำคุกหลังลดหย่อนของทั้ง 3 คดีแล้วอยู่ที่ 10 ปี 20 วัน

 

ทั้งนี้ อานนท์ถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 จากการปราศรัยและโพสต์ข้อความในช่วงปี 63-64 รวมทั้งสิ้น 14 คดี

 

อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า มวลชนที่ร่วมรับฟังการตัดสินในห้องพิจารณาคดีกว่า 50 คน ร่วมกันบริจาคคนละ 5 บาท 10 บาท ช่วยจ่ายค่าปรับทนายอานนท์ จำนวน 100 บาท

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #อานนท์นำภา

วันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2567

อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ ร่วมพิธีฌาปนกิจนายอนุวัฒน์ ทินราช (กำนันอนุวัฒน์) อดีตแกนนำนปช.โคราช

 


อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ ร่วมพิธีฌาปนกิจนายอนุวัฒน์ ทินราช (กำนันอนุวัฒน์) อดีตแกนนำนปช.โคราช


วันที่ 28 เมษายน 2567 เวลา 15.00 น. อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ ทอดผ้าไตรบังสุกุล ในงานฌาปนกิจศพ นายอนุวัฒน์ ทินราช (กำนันอนุวัฒน์) อดีตแกนนำนปช.โคราช ณ เมรุวัดหนองบัวลาย อ.บัวลาย จ.นครราชสีมา 


โดยเมื่อทราบข่าวการเสียชีวิตของกำนันอนุวัฒน์ อ.ธิดา ได้โพสข้อความแสดงความเสียใจต่อการจากไปของ "อนุวัฒน์ ทินราช" อดีตประธาน นปช.โคราช ในตอนหนึ่งว่า "ดิฉันขอคารวะดวงวิญญาณของท่านกำนัน อนุวัฒน์ ทินราช ที่ท่านได้ร่วมต่อต้านรัฐประหารและระบอบเผด็จการกับประชาชนอย่างเข้มแข็ง ไม่มีการต่อรองเอาอำนาจผลประโยชน์ใด ๆ เราได้จัดการประชุมแกนนำนปช.ทั่วประเทศ ที่โคราชหลายครั้งก็ด้วยการสนับสนุนของท่าน


และครั้งสุดท้ายที่ประชุมเวที “นปช. ลั่นกลองรบ” ท่านได้เป็นประธานผู้ประสานงาน นปช. ภาคอีสาน ในการนำเสนอข้อแนะนำจากแกนนำอีสานในการต่อต้านรัฐประหาร โดยท่านยืนอ่านผลงานที่เสนอในวันนั้นบนเวที เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2557 ผลจากนั้น ท่านถูกดำเนินคดีมาตรา 112 ศาลตัดสินจำคุก 3 ปี แต่ถูกจำคุกจริง 1 ปี 4 เดือน และป่วยจากนั้นมาตลอด


สำหรับกำนันอนุวัฒน์ นั้น พ.ศ. 2523-2535 เป็นกรรมการสุขาภิบาลบัวลาย 3 สมัย พ.ศ. 2535 กำนันตำบลบัวลาย พ.ศ. 2544 รองประธานชมรมกำนันผู้ใหญ่บ้าน จ.นครราชสีมา และกำนันดีเด่น กิ่งอำเภอบัวลาย พ.ศ.2555-57 รวมถึงเป็นอดีตรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) นครราชสีมา 


โดยกำนันอนุวัฒน์ ได้เสียชีวิตจากภาวะหัวใจล้มเหลว เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2567 สิริอายุ 70 ปี


ขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวและแสดงความไว้อาลัย ขอดวงวิญญาณนายอนุวัฒน์ ทินราช (กำนันอนุวัฒน์) อดีตแกนนำ นปช. โคราช สู่สุคติในสัมปรายภพเทอญ


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #คนเสื้อแดง #นปช #นปชโคราช














โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง "ครม.เศรษฐา 1/1" นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ยกเลิกการควบ รมว.คลัง ด้าน พิชัย" คุม "คลัง" ขณะที่ "สมศักดิ์" นั่ง สาธารณสุข แทน"ชลน่าน" - สุชาติ นั่ง รมช.พาณิชย์

 


โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง "ครม.เศรษฐา 1/1" นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ยกเลิกการควบ รมว.คลัง ด้าน พิชัย" คุม "คลัง" ขณะที่ "สมศักดิ์" นั่ง สาธารณสุข แทน"ชลน่าน" - สุชาติ นั่ง รมช.พาณิชย์ 


วันนี้ (28 เม.ย. 67) เวบไซต์ราชกิจจานุเบกษา ราชกิจจานุเบกษา ลงประกาศเรื่อง ให้รัฐมนตรีพ้นจากความเป็นรัฐมนตรีและแต่งตั้งรัฐมนตรี


พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า ตามที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี ตามประกาศลงวันที่ 22 สิงหาคม พุทธศักราช 2566 แล้ว และแต่งตั้งรัฐมนตรีเพื่อบริหารราชการแผ่นดิน ตามประกาศลงวันที่ 1 กันยายน พุทธศักราช 2566 นั้น


บัดนี้ นายกรัฐมนตรีได้กราบบังคมทูลว่า สมควรปรับปรุงรัฐมนตรีบางตำแหน่งเพื่อความเหมาะสมและบังเกิดประโยชน์ต่อการบริหารราชการแผ่นดิน อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 158 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รัฐมนตรีพ้นจากความเป็นรัฐมนตรีและแต่งตั้งรัฐมนตรี ดังต่อไปนี้


ให้รัฐมนตรีพ้นจากความเป็นรัฐมนตรี ดังต่อไปนี้


1. นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี


2. นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี


3. นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี


4. นายเศรษฐา ทวีสิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี


5. นายจักรพงษ์ แสงมณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี


6. นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี


7. นายไชยา พรหมา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตร และสหกรณ์ พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี


8. นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี


9. นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี


10. นายชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี


ให้แต่งตั้งรัฐมนตรี ดังต่อไปนี้


1. นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นรองนายกรัฐมนตรีอีกตำแหน่งหนึ่ง


2. นายพิชัย ชุณหวชิร เป็นรองนายกรัฐมนตรี

และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง


3. นายจักรพงษ์ แสงมณี เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี


4. นายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี


5. นางสาวจิราพร สินธุไพร เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี


6. นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง


7. นายปานปรีย์ พหิทธานุกร เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ


8. นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา


9. นายอรรถกร ศิริลัทธยากร เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์


10. นายสุชาติ ชมกลิ่น เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์


11. นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม


12. นายสมศักดิ์ เทพสุทิน เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข


ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป


ประกาศ ณ วันที่ 27 เมษายน พุทธศักราช 2567 เป็นปีที่ 9 ในรัชกาลปัจจุบัน


ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ

เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์

วันเสาร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2567

“อ.ธิดา” ชี้ ปิด Voice TV เหตุขาดทุนทางการเมืองและสังคม หนักกว่าขาดทุนเป็นจำนวนเงิน และเป็นอุทาหรณ์สำหรับ “สายด่า” ของพรรคเพื่อไทย

 


“อ.ธิดา” ชี้ ปิด Voice TV เหตุขาดทุนทางการเมืองและสังคม หนักกว่าขาดทุนเป็นจำนวนเงิน และเป็นอุทาหรณ์สำหรับ “สายด่า” ของพรรคเพื่อไทย


วันนี้ 27 เมษายน 2567 อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ ได้โพสต์ผ่านเพจเฟซบุ๊ก กรณี Voice TV ได้ประกาศยุติการออกอากาศและทำรายการผ่านโซเชียลมีเดียทุกแพลตฟอร์ม ดังที่เป็นข่าวดังในทุกวงการเมื่อวานนี้ โดย อ.ธิดา ได้แสดงความคิดเห็นมีใจความว่า


เรื่องการปิด Voice TV ได้รับการโจษจันกันมาก เพราะ Voice TV อยู่มานานแล้ว และการเริ่มต้นก็คล้ายวิถีทางของคนเสื้อแดง คือต่อต้านเผด็จการ สนับสนุนระบอบประชาธิปไตย ก็ได้รับความนิยมชมชื่นจากประชาชนผู้รักประชาธิปไตย และหมู่คนเสื้อแดง หมู่คนรักเพื่อไทย รักทักษิณ ยอดผู้นิยมชมชื่นก็ค่อนข้างสูง และเป็นสื่อที่ถือว่าอยู่ฝ่ายประชาธิปไตยทีเดียว


ในทางเศรษฐกิจ แน่นอนว่าขาดทุนมายาวนานและขาดทุนมากตอนประมูลช่องดิจิทัลทีวี รวม ๆ น่าจะนับพันล้าน แต่ก็ยังพยายามรักษาช่องไว้ได้ โดยเฉพาะทางโลกออนไลน์และเคเบิลทีวี แต่หลังจากเกิดการที่พรรคเพื่อไทยมาเป็นรัฐบาล ทำให้ผู้จัดรายการและพิธีกรจำนวนหนึ่งไม่อาจยอมรับสถานการณ์ใหม่ได้ เพราะถ้าอยู่ต่อก็เท่ากับสนับสนุนจุดยืนรัฐบาลที่ผสมข้ามขั้ว จากฝั่งประชาธิปไตยกับฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่สืบทอดอำนาจเผด็จการรัฐประหาร


แน่นอนว่าประชาชนจำนวนมากก็ถอยห่างจาก Voice TV เช่นกัน แต่ที่เป็นเอามากคือมีผู้จัดรายการบางคนต่อว่าผู้เห็นต่างถึงขั้นใช้คำด่าทอรุนแรง ทำให้ Voice TV สร้างศัตรูให้กับรัฐบาลมากยิ่งขึ้น เพิ่มความเกลียดชัง แทนที่จะเพิ่มความนิยมชมชื่น นี่น่าจะเป็นเหตุผลหลักที่ครอบครัวชินวัตรต้องยุติ Voice TV เพราะไม่เพียงขาดทุนเงิน มองไม่เห็นอนาคตสื่อที่จะทรงอิทธิพลอีกต่อไป ซ้ำร้าย ขาดทุนทางการเมืองและสังคม นี่หนักกว่าขาดทุนเป็นจำนวนเงิน


เรื่องนี้น่าจะเป็นอุทาหรณ์ให้กับสายด่าของพรรคเพื่อไทยนะ


มีอีกเรื่องหนึ่งที่ดิฉันเห็นคน Voice TV ออกมาปกป้องตัวเองว่า เป็นแดงมาก่อน ปัจจุบันก็เป็นแดง แต่คนที่เคยเป็นแดงเปลี่ยนเป็นส้ม เป็นพวกกลับกลอก ปลิ้นปล้อน เป็นพวกที่แปรเปลี่ยนทางการเมือง ไม่ใช่แดงเหมือนเดิม


ดิฉันอยากทำความเข้าใจซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า สีแดงและคนเสื้อแดง ไม่ใช่เป็นของพรรคเพื่อไทย พรรคไทยรักไทย หรือพรรคพลังประชาชน สีแดงถูกใช้เป็นสีสัญลักษณ์ของนักต่อสู้ฝ่ายประชาธิปไตย ไม่เอารัฐประหาร ไม่เอาผลพวงของการรัฐประหาร ในเวลานั้นคือรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550


พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชน จนถึงพรรคเพื่อไทย แต่ไหนแต่ไรไม่เคยใช้สีแดงเป็นสัญลักษณ์พรรค แต่ถือเป็นแนวร่วมทางรัฐสภาของคนเสื้อแดง เพิ่งจะมามีแคมเปญ “ครอบครัวเพื่อไทย” และการรณรงค์หาเสียงการเลือกตั้งปี 2566 นี่แหละที่มาใช้สีแดงเป็นสีของพรรค


ดังนั้น เลิกพูดว่าคนเสื้อแดงคือ FC พรรคเพื่อไทยอย่างเดียว นี่คือการด้อยค่าคนเสื้อแดงให้กลายเป็นเพียงกองเชียร์พรรคเพื่อไทยอย่างเซื่อง ๆ ไม่มีเกียรติยศชื่อเสียงของนักต่อสู้เสียเลย คนเสื้อแดงที่เน้นอุดมการณ์ ต่อต้านเผด็จการรัฐประหารและทวงคืนอำนาจประชาชนเป็นหลัก เขาจึงมีสิทธิ์ที่จะเป็น Voter ของพรรคฝ่ายประชาธิปไตยใดก็ได้ที่มีแนวทางอุดมการณ์ใกล้เคียงมากที่สุด และมีสิทธิ์ที่จะกล่าวโทษการข้ามขั้วทางการเมือง ซึ่งแกนนำพรรคเพื่อไทยก็ย่อมรู้ดีว่า การตัดสินใจเช่นนี้จะเกิดผลสะเทือนต่อประชาชนที่เคยกอดคอร่วมต่อสู้กันมา พวกเขาต้องพยายามแก้ปัญหา ไม่ใช่สร้างปัญหาเพิ่ม โดยสนับสนุนให้บริวารเที่ยวด่าทอผู้อื่น


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #voicetv

วันศุกร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2567

Thumb Rights จัดกิจกรรม Stand Together Episode 6 คนรอก็ท้อหัวใจ ฟังประสบการณ์ ‘รอ‘ คนที่รักออกจากเรือนจำ จากการถูกดำเนินคดีทางการเมือง

 


Thumb Rights จัดกิจกรรม Stand Together Episode 6 คนรอก็ท้อหัวใจ ฟังประสบการณ์ ‘รอ‘ คนที่รักออกจากเรือนจำ จากการถูกดำเนินคดีทางการเมือง

 

วันนี้ (26 เมษายน 2567) ที่ประชาบาร์ ชั้น 2 ร้านประชาธิปไตยกินได้ ถนนสี่พระยา เขตบางรัก Thumb Rights จัดกิจกรรม Stand Together Episode 6 คนรอก็ท้อหัวใจ

 

ร่วมฟังประสบการณ์ ‘รอ‘ คนที่รักออกจากเรือนจำ จากการถูกดำเนินคดีทางการเมือง ผู้ร่วมสนทนา โดย เทียน - คนที่เคยรอ สมยศ พฤกษาเกษมสุข กว่า 7 ปี ที่คุณพ่อถูกพิพากษา จำคุก ในข้อหา 112 ด้วยนามสกุล พฤกษาเกษมสุข ตอนเป็น นศ.ปี 1 โดนกลั้นแกล้งต่าง ๆ โดนคนข้อความมาด่า โดนเหมารวมว่าทำตัวแย่เหมือนพ่อ เคยถูกพาตัวไปปรับทัศนคติ และถูกจับตาจากเจ้าหน้าที่รัฐ ทำให้ต้องเปลี่ยนชื่อเฟสบุ๊คเป็น“กูรู้มรึงดูอยู่ 555” ซึ่งในปัจจุบันรู้สึกดีขึ้นเยอะ ไม่โดดเดียวเหมือนแต่ก่อน เพราะมีองค์กรณ์ต่างๆช่วยเหลือ ซึ่งความเจ็บปวดที่ผ่านมาได้หล่อหลอมให้เทียนมาทำงานด้านสิทธิมนุษยชนในปัจจุบัน และฝากถึงพ่อในตอนนี้ว่า ไม่ต้องเป็นห่วง ตอนนี้รู้แล้วว่าต้องทำอย่างไร ขอให้ยืนหยัดในอุมการณ์ต่อไป

 

นุ่น - คนที่เคยรอ บอย ธัชพงศ์ ความเคยชินที่ไม่ชิน กำลังใจตอนนั้นมาจากคนรอบตัว ที่ยังสู้อยู่ข้างนอก นุ่นยังถูกคุกคามจากเจ้าหน้าที่รัฐถึงบ้าน เราโดนคนข่มขู่ ขู่ฆ่า นุ่นอยากบอกทุกๆคนที่อยู่ในเรือนจำว่า คุณไม่ได้ต่อสู้อย่างเดียวดาย อยากเป็นกำลังใจให้ทุกครอบครัว และกำลังใจที่สำคัญที่สุดของคนที่เราถูกคุมขังคือ เรายังเชื่อมั่นในตัวเค้า ในกรณีนิรโทษกรรมประขาชนนั้น นุ่นอยากให้มี การคืนอิสรภาพให้ทุกคน ซึ่งก็เหมือนคืนชีวิตให้เค้า

 

ปิดท้ายกิจกรรมด้วยบทเพลงจาก ณัฐชนน ไพโรจน์และกวี โดยติ๊ดตี่ จากคนที่กำลังรอ โดยกิจกรรม เริ่ม เวลา 16.00 น. และยุติกิจกรรม เวลา 17.30 น.

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์





Voice TV ประกาศปิดกิจการทุกแพลตฟอร์ม 31 พ.ค. นี้ ออกอากาศเป็นวันสุดท้าย

 


Voice TV ประกาศปิดกิจการทุกแพลตฟอร์ม 31 พ.ค.นี้ ออกอากาศเป็นวันสุดท้าย

วันนี้ (26 เมษายน 2567) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ฝ่ายบริหาร Voice TV สถานีข่าวออนไลน์ และแพลตฟอร์มต่าง ๆ ในโซเชียลมีเดีย ทั้งยูทูบ เฟซบุ๊ก ได้ประกาศปิดกิจการอย่างเป็นทางการ โดยจะออกอากาศและเผยแพร่รายการวันสุดท้ายในวันที่ 31 พ.ค. 2567 โดยจะเป็นการเปิดกิจการในการออกอากาศทุกแพลตฟอร์ม

ทั้งนี้ เมื่อเวลา 16.30 น. ได้มีการเผยแพร่ประกาศอำลาผู้ชมจากทีมงานวอยซ์ ความว่า


15 ปี ที่ผ่านมา วอยซ์เป็นสื่อมืออาชีพที่สร้างสรรค์แนวทางการนำเสนอใหม่ๆ ผลักดันให้สังคมตั้งคำถามกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ และกระตุ้นให้เกิดการตื่นรู้ มีความหวัง และเลือกใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ เพื่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และประชาธิปไตย 

เราผ่านภาวะวิกฤตมามากมาย ผ่านเหตุการณ์สำคัญ ผ่านความรัก และความปลุกปั่นเกลียดชัง ทั้งทางการเมือง การชุมนุมและการรัฐประหาร ผ่านวิกฤตโควิด และวิกฤต disruption ของวงการสื่อ จากดาวเทียม สู่ดิจิทัลทีวี สู่ออนไลน์และแพลตฟอร็มโซเชียล 

เราฝ่าฟันอุปสรรค เพื่อมุ่งสร้างกิจการให้มั่นคงตลอดมา ทุกครั้งที่เราเห็นผู้ประกอบการหลายรายพยายามฝ่าภาวะวิกฤตจากผลประกอบการ และหยุดกิจการไป เราก็ยังปักหลักปรับเปลี่ยนการบริหาร จัดการจากข้อจำกัดต่างๆ เพื่อมุ่งสู่การแสวงหากำไรความยั่งยืนให้กับ Voice TV เพื่อเป็นหลักให้ผู้สื่อข่าวและผู้ปฏิบัติงานทุกคนได้มีโอกาสทำหน้าที่ตามปรัชญาสื่อมวลชน ท่ามกลางการลดขนาดกิจการ เราประเมฯสถานการณ์ตัวเองและเลือกที่ฝ่าฟันเดินหน้า


วันนี้ ผู้บริหาร ผู้ถือหุ้น ประเมินกิจการและภาวะวิกฤตในอุตสาหกรรมอย่างรอบด้านแล้ว มีความเห็นสรุปปิดกิจการ เนื่องจากกลไกตลาด เทคโนโลยีแพลตฟอร์มมีผู้ผลิตมากมายและหลากหลาย ที่สามารถสานต่อภาระกิจสังคมต่างๆ ได้ ขณะที่ประชาธิปไตยกำลังลงหลักเพื่อเริ่มต้นต่อไปได้ จากนี้ทางบริษัทจะมีการจ่ายชดเชยให้พนักงานทุกคนตามกฎหมายอย่างเป็นธรรม โดยเราจะทยอยหยุดออกอากาศทั้งบนทีวีและออนไลน์ภายในเดือนพฤษภาคมนี้

15 ปี เราภาคภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมผลิตผลงานเพื่อสังคม รวมถึงผู้ถือหุ้น กรรมการ ผู้บริหาร พนักงาน อดีตพนักงาน ผู้สื่อข่าว ผู้ดำเนินรายการ ทั้งที่อยู่ปัจจุบัน และที่เคยมีส่วนร่วมสร้างมาด้วยกัน เราภาคภูมิใจในการสร้างคุณประโยชน์ต่อสังคม เราภูมิใจในสิ่งที่เราเป็นและสิ่งที่เราทำตลอดมา

26 เมษายน 2567


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #voicetv

“ศุภโชติ” ทวงมาตรการรื้อ-ลด-ปลด-สร้างราคาพลังงาน ทำไปถึงไหน ยันรัฐบาลทำได้มากกว่านี้เพื่อแก้ปัญหาค่าไฟ ลดภาระประชาชนอย่างยั่งยืน


 

“ศุภโชติ” ทวงมาตรการรื้อ-ลด-ปลด-สร้างราคาพลังงาน ทำไปถึงไหน ยันรัฐบาลทำได้มากกว่านี้เพื่อแก้ปัญหาค่าไฟ ลดภาระประชาชนอย่างยั่งยืน 


วันที่ 26 เมษายน 2567 ศุภโชติ ไชยสัจ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงการแก้ปัญหาค่าไฟแพงของรัฐบาลว่า เวลานี้เป็นช่วงที่ประเทศไทยอากาศร้อนมาก จึงเป็นปกติที่ความต้องการใช้พลังงานจะสูงตาม ค่าไฟเลยสูงขึ้นไปด้วย ประชาชนบางคนต้องหาวิธีลดค่าไฟ เช่นกำหนดอุณหภูมิเปิดแอร์คู่กับเปิดพัดลม ตามที่เผยแพร่เป็นข่าว 


ตนเห็นว่าการมีวิธีใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าในช่วงหน้าร้อนหรือการสนับสนุนให้ประชาชนลดการใช้พลังงานเพื่อประหยัดทรัพยากร โดยหลักการเป็นเรื่องที่ดีแน่นอน แต่อีกมุมหนึ่งต้องไม่ให้เรื่องนี้กลายเป็นการผลักภาระให้ประชาชนเป็นผู้รับผิดชอบอย่างเดียว ทั้งๆ ที่รัฐบาลสามารถแก้ไขได้ เพราะเป็นปัญหาเรื้อรังมายาวนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือค่าไฟของคนไทยตอนนี้ยังไม่มีความเป็นธรรม รัฐบาลยังไม่ได้แก้ไขปัญหาให้ตรงจุด เอาแต่ใช้มาตรการยืดหนี้ แบกหนี้ ทำให้ค่าไฟไม่สะท้อนความเป็นจริง ล่าสุดคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เคาะค่าไฟงวดเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2567 ที่ 4.18 บาทต่อหน่วย ซึ่งก็เท่ากับงวดปัจจุบัน ทั้งที่ต้นทุนค่าไฟที่แท้จริงที่ประชาชนควรได้รับนั้นไม่ถึง 4 บาทต่อหน่วย 


ศุภโชติกล่าวว่า พรรคก้าวไกลพูดมาตลอดว่าการแก้ไขปัญหาค่าไฟอย่างยั่งยืนต้องแก้ที่โครงสร้าง ซึ่งต้องใช้เวลา แต่สิ่งที่ตั้งคำถามคือรัฐบาลอยู่ไปอยู่มาก็ใกล้จะครบ 1 ปี ตอนนี้เริ่มทำแล้วหรือยัง ที่ รมว.พลังงาน เคยประกาศแผน “รื้อ ลด ปลด สร้าง” ตั้งเป้าว่าปี 2567 ราคาพลังงานต้องมั่นคง เป็นธรรม ยั่งยืนนั้น ตอนนี้ทำไปถึงไหน จึงขอย้ำข้อเสนอของตนและพรรคก้าวไกลว่า “รื้อ ลด ปลด สร้าง” ของแท้ ควรเป็นอย่างไร


"รื้อ" คือ ควรมีการรื้อสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่ไม่เป็นธรรมกับประชาชน หยุดการนำเงินไปจ่ายให้กลุ่มทุนเจ้าของโรงไฟฟ้าฟรี ๆ เป็นหมื่นล้านบาทต่อปี ทั้งที่โรงไฟฟ้านั้นเดินเครื่องบ้าง ไม่เดินเครื่องบ้าง 


"ลด" คือ วางแผนลดการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานประเภทฟอสซิล และสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดผ่านการร่างแผนพลังงานชาติฉบับใหม่ เพื่อลดความผันผวนของราคาเชื้อเพลิงอย่างก๊าซธรรมชาติ และ มุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) 


"ปลด" คือ ปลดโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่หมดอายุการใช้งานและไม่มีประสิทธิภาพ เพื่อลดต้นทุนส่วนเกิน รวมถึงสนับสนุนการสร้างโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก เพื่อให้สามารถบริหารความเสี่ยงจากการลงทุนในภาคพลังงานได้ดียิ่งขึ้น 


"สร้าง" คือ สร้างตลาดพลังงานเสรี ที่มีการกำกับดูแลอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการผูกขาดภาคพลังงาน รวมไปถึงการปลดล็อกสายส่งที่จะเป็นการเพิ่มภาวะการแข่งขันในภาคพลังงาน และเป็นการสร้างตัวเลือกให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าในการเข้าถึงไฟฟ้าที่มีราคาถูก 


“ถ้ารัฐบาลทำเรื่องรื้อ ลด ปลด สร้าง นี้อย่างถูกวิธี ค่าไฟจะลดลงอย่างยั่งยืน รัฐบาลเองก็พูดได้เต็มปากว่านี่คือการลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน ที่ไม่ใช่แค่มาตรการระยะสั้นแบบที่ผ่านมา แต่ถ้าท่านไม่ทำ ประชาชนก็มีสิทธิ์คิดว่ามีอยู่เหตุผลเดียวเท่านั้น คือเสียงของกลุ่มทุนดังกว่าเสียงของประชาชน รัฐบาลนี้ไม่กล้าชนผลประโยชน์ของกลุ่มทุน แต่กล้าที่จะให้ประชาชนถูกเอาเปรียบผ่านบิลค่าไฟไปเรื่อย ๆ” ศุภโชติกล่าว


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์

ทอท.ชี้ทำไม่คุ้ม ลังเลรับพื้นที่สนามงู ระบุเอามาก็ทำอะไรไม่ได้มาก เหตุพื้นที่แคบ ด้าน "จิรายุ" ปธ.กมธฯ ชี้ต้องเรียกชี้แจงอีกครั้งเนื่องจากเป็นนโยบายท่านนายกฯ ให้เพิ่มศักยภาพสนามบิน

 


ทอท.ชี้ทำไม่คุ้ม ลังเลรับพื้นที่สนามงู ระบุเอามาก็ทำอะไรไม่ได้มาก เหตุพื้นที่แคบ ด้าน "จิรายุ" ปธ.กมธฯ ชี้ต้องเรียกชี้แจงอีกครั้งเนื่องจากเป็นนโยบายท่านนายกฯ ให้เพิ่มศักยภาพสนามบิน


วันที่ 26 เมษายน 2567 นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาพิจารณาการถ่ายโอนธุรกิจของกองทัพฯ เปิดเผยว่าสัปดาห์ที่ผ่านมาคณะกรรมาธิการฯ ได้สอบถามผู้แทนจาก การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย หรือ AOT ในการรับพื้นที่สนามงูหรือสนามกอล์ฟกานตรัตน์ที่อยู่กลางสนามบินดอนเมือง ว่ายังยืนยันจะรับมอบและนำไปใช้ประโยชน์ ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีที่เคยพูดคุยกับผู้บัญชาการทหารอากาศไว้ในเรื่องการคืนพื้นที่นำไปพัฒนาต่อยอดให้กับสนามบินดอนเมือง เพื่อรองรับกับการเติบโตของการใช้ท่าอากาศยานของประเทศไทยหรือไม่

     

โดยผู้แทนจาก การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย AOT มาชี้แจงซึ่งได้รับคำตอบอย่างไม่เป็นทางการว่า หากรับคืนสนามกานตรัตน์ กลางรันเวย์สนามบินดอนเมืองมา  ในเบื้องต้นอาจไม่สามารถนำไปพัฒนาเพิ่มเติมได้ อีกทั้งจำนวนเงินที่จะต้องคืนให้กับกองทัพอากาศยังไม่ได้ข้อสรุปเนื่องจากเมื่อนำกลับคืนมาแล้วอาจไม่คุ้มค่าต่อการจ่ายเงินชดเชย

      

นายจิรายุ กล่าวต่อไปว่า เรื่องนี้ท่านนายกรัฐมนตรีได้ให้นโยบายไปแล้วว่าควรจะต้องนำไปพัฒนาเพิ่มเติม ซึ่งหากเป็นเช่นนี้การคืนสนามกอล์ฟของกองทัพอากาศให้กับการท่าอากาศยานอาจไม่เป็นประโยชน์หรือคุ้มค่า ตามที่ผู้แทนของ AOT ชี้แจง ทำให้คณะกรรมาธิการฯ ต้องนำกลับมาพิจารณาโดยละเอียดเพื่อนำเสนอต่อนายกรัฐมนตรี กระทรวงกลาโหม และรัฐสภาต่อไป


ผู้แทนการท่าอากาศยานระบุว่าขนาดของสนามกอล์ฟกางรันเวย์แคบเกินไป หากเลิกสนามกอล์ฟก็ไม่สามารถที่จะทำเป็นรันเวย์เพิ่มเติมได้จึงจำเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบโดยเฉพาะเรื่องการจ่ายค่าตอบแทนคืนให้กองทัพอากาศ“


ท้้งนี้ กรรมาธิการฯ ได้กำหนดการพิจารณาเรื่องดังกล่าวใหม่อีกครั้งในวันอังคารที่ 30 เมษายนนี้โดยจะเชิญผู้แทนจากกองทัพอากาศผู้แทนจากการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยผู้แทนจากสถาบันการบินพลเรือนและหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเข้าชี้แจง เพื่อหาข้อสรุปอีกครั้งต่อไป


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #สนามงู #สนามกอล์ฟกานตรัตน์

“ภูมิธรรม” ยันไม่มี “ทักษิณ” ร่วมวงกินมื้อเที่ยงที่โรงแรม เผยคุย “เศรษฐา” เรื่องเตรียมเดินทางไปจันทบุรี ไม่ใช่การนำรายชื่อ ครม.ใหม่ไปหารือ ย้ำเป็นอำนาจนายกฯ

 


ภูมิธรรม” ยันไม่มี “ทักษิณ” ร่วมวงกินมื้อเที่ยงที่โรงแรม เผยคุย “เศรษฐา” เรื่องเตรียมเดินทางไปจันทบุรี ไม่ใช่การนำรายชื่อ ครม.ใหม่ไปหารือ ย้ำเป็นอำนาจนายกฯ

 

วันนี้ (26 เมษายน 2567) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ยืนยันว่า การเดินทางไปโรงแรมโรสวูดเมื่อวานนี้ (25 เม.ย.) ว่าเป็นการนัดรับประทานอาหารร่วมกันกับนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยไม่มีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯร่วมวงด้วย และไม่มีอะไรเลย คุยกัน 2 คน เป็นการคุยเรื่องงานหลายเรื่อง รวมถึงเรื่องที่จะเดินทางไปจังหวัดจันทบุรีในวันพรุ่งนี้ (27 เม.ย.) เพื่อดูเรื่องทุเรียน

 

เมื่อถามว่ามีการนำรายชื่อคณะรัฐมนตรีที่มีการปรับเข้าปรับออกหารือกับนายทักษิณ หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวยืนยันว่าไม่มี อยู่ที่นายกรัฐมนตรีจะตัดสินใจอย่างไร ตนไม่รู้เพราะท่านเป็นผู้ประสานงาน

 

เมื่อถามย้ำว่าเมื่อวานนี้มีนพ.พรหมมินทร์ เลิศสุริยะเดช เลขาธิการนายกฯเข้าร่วมทานอาหารเที่ยงด้วย มีการนำรายชื่อไปตรวจสอบคุณสมบัติหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า เป็นการพูดคุยเรื่องการทำ FTA แก้ไขปัญหา IUU โดยจะมอบตัวแทนไปพูดคุยกับ EU เพื่อเคลียร์ปัญหาที่ค้างอยู่ เนื่องจากเป้าหมายสำคัญคือการทำ FTA กับ EU ให้สำเร็จมากขึ้น จึงมีการหารือกันทั้ง 3 คน

 

เมื่อถามว่าไม่มีการพูดคุยเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรีใช่หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวย้ำว่า คุย 3 คนไม่มี ส่วนที่มีการไปพูดคุยแบบสองต่อสองระหว่างนายกฯ กับนายทักษิณ หรือไม่ นายภูมิธรรม ยืนยันอีกครั้งว่าไม่มี ไม่เห็นเลย

 

ผู้สื่อข่าวถามย้ำชัดๆอีกครั้ง ว่าการเดินทางไปเมื่อวานนี้ไม่มีนายทักษิณร่วมวงใช่หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ไปคุยกันนี่ ไม่มีนายทักษิณ เราไม่ได้พบนายทักษิณ

 

เมื่อถามถึงความคืบหน้าเรื่องการปรับครม.จะแล้วเสร็จเมื่อใดนั้น นายภูมิธรรม กล่าวว่าเป็นเรื่องของนายกรัฐมนตรี ที่จะดูเรื่องการบริหารราชการ โดยดูการทำงานของครม.ทั้งหมด ถ้าดำเนินการได้ดีก็เดินหน้าต่อไป หากมีปัญหาก็ต้องหารือกัน แต่ขณะนี้ยังไม่มีการหารือที่ชัดเจน มีแต่ข่าวที่ออกมาว่าจะมีการปรับ แต่ยอมรับว่าตนได้มีการหารือกับพรรคร่วมรัฐบาลบ้าง ซึ่งเป็นการพูดคุยกันธรรมดาปกติ และเห็นว่าหากไม่มีอะไรจำเป็นก็ไม่ต้องปรับอะไรมาก การจะปรับขึ้นอยู่กับสถานการณ์และการตัดสินใจและการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรี

 

เมื่อถามว่าพรรคร่วมรัฐบาลมีการเสนอขอปรับคณะรัฐมนตรีในส่วนไหนหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ยังไม่มี เนื่องจากเพิ่งทำงานได้ส่วนหนึ่ง ตอนนี้กำลังประเมิน ซึ่งพรรครวมรัฐบาลจะต้องเป็นผู้ประเมินกันเอง หากมีความชัดเจนก็คงเสนอขึ้นมา

 

เมื่อถามว่าจะมีการปรับโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ครม.ยังไม่ปรับ จะไปปรับโฆษกได้อย่างไร ถ้าคณะรัฐมนตรีปรับชัดเจนเมื่อไหร่ ก็อาจจะมีเพราะการปรับโฆษกฯ เป็นเรื่องเล็กกว่า ครม.

 

เมื่อถามว่าจะเป็นการปรับโฆษกฯ คนเดียวหรือทั้งคณะ นายภูมิธรรม กล่าวว่ายังไม่ได้พิจารณาเรื่องโฆษก หากมีจริงก็ต้องรอให้ปรับคณะรัฐมนตรีเรียบร้อยก่อน

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #เพื่อไทย #รัฐบาลเศรษฐา

"อานนท์" เขียนถึงลูก เล่าการเดินทางจากเรือนจำฯกรุงเทพฯ - เชียงใหม่, เรือนจำเชียงใหม่ - กรุงเทพฯ เผย การเดินทางไกลเพื่อต่อสู้ยืนยันความจริงของพ่อดำเนินไปอย่างช้า ๆ การขึ้นศาลสำหรับพ่อเป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้อย่างภาคภูมิ

 


"อานนท์" เขียนถึงลูก เล่าการเดินทางจากเรือนจำฯกรุงเทพฯ - เชียงใหม่, เรือนจำเชียงใหม่ - กรุงเทพฯ เผย การเดินทางไกลเพื่อต่อสู้ยืนยันความจริงของพ่อดำเนินไปอย่างช้า ๆ การขึ้นศาลสำหรับพ่อเป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้อย่างภาคภูมิ


วันที่ 25 เมษายน 2567 เพจเฟสบุ๊ค"อานนท์ นำภา" โพสรูปจดหมายจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ พร้อมข้อความระบุว่า


9 ชั่วโมงบนรถตู้เรือนจำพิเศษกรุงเทพ 15 ชั่วโมงบนรถหกล้อเรือนจำเชียงใหม่ และ 15 วันเต็มที่โดนกักตัว เย็นวานนี้พ่อจึงได้ย้ายกลับมาแดน 4 เช้านี้นั่งจิบกาแฟ เขียนจดหมายถึงลูกทั้งสอง หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง


25 เม.ย. 2567 ถึงปราณและขาล ลูกรักทั้งสอง


การเดินทางไกลเพื่อต่อสู้ยืนยันความจริงของพ่อดำเนินไปอย่างช้า ๆ การขึ้นศาลสำหรับพ่อเป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้อย่างภาคภูมิ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการได้ถามความเพื่อชี้แจงแสดงเหตุผลของพวกเรากลุ่มราษฎรต่อช้อเสนอเมื่อปี 2563 ในชั้นศาล ต่อหน้าผู้พิพากษาและผู้เข้าร่วมรับชมการพิจารณา ยิ่งตอกย้ำความจริงในสิ่งที่พ่อปราศรัย และแสดงให้เห็นถึงความจริงใจต่อประเทศชาติ ความเหน็ดเหนื่อยจึงเป็นเรื่องขี้หมามาก ๆ สำหรับพ่อ ในทางตรงข้ามมันยิ่งเติมเชื้อไฟในการต่อสู้ เป็นเหมือนลมใต้ปีกและเป็นสิ่งย้ำเตือนว่าเรากำลังต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างแท้จริง


การได้เดินทางไปขึ้นศาลที่เชียงใหม่ครั้งนี้ มีเพื่อนมิตรที่รักมาต้อนรับและมาให้กำลังใจ มิตรภาพนี้คือสิ่งที่เป็นพลังให้พ่อต่อสู้เสมอมา รวมถึงมิตรภาพของเรือนจำเชียงใหม่ ทั้งผู้คุมและเพื่อนผู้ต้องขัง ขอได้รับคำขอบคุณและฝากลูกทั้งสองขอบคุณบรรดาลุงป้าน้าอาเหล่านั้นแทนพ่อด้วย


ขากลับ รถเรือนจำเชียงใหม่มีเพื่อนผู้ต้องขังติดรถมาด้วย 9 คน เป็นนักโทษประหารที่ติดรถมาลงเรือนจำบางขวาง 6 คน อีก 3 คนทยอยลงตามลำพูนและเรือนจำลำปาง ฝากให้กำลังใจเพื่อน ๆ ผู้ต้องขังเหล่านั้นให้ต่อสู้คดีด้วย


รักและคิดถึงลูกทั้งสองคน

อานนท์ นำภา แดน 4


สำหรับ อานนท์ นำภา ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน นั้น ขณะนี้ถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ภายหลังศาลอาญาพิพากษาจำคุก 4 ปี ปรับเป็นเงิน 20,000 บาท โดยไม่รอลงอาญา ในคดี #มาตรา112 เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2566 เหตุจากการขึ้นปราศรัยใน #ม็อบ14ตุลา63


ต่อมา 17 ม.ค. 67 ศาลอาญาสั่งจำคุก "อานนท์ นำภา" เพิ่มอีก 4 ปี จากคดีมาตรา 112 กรณีโพสต์เฟซบุ๊กปี 2564 โดยให้บวกโทษเก่าอีก 4 ทำให้อานนท์มีโทษจำคุกรวมแล้ว 8 ปี


โดยเมื่อ วันที่ 9-11 เม.ย. 2567 ที่ผ่านมา ศาลจังหวัดเชียงใหม่นัดสืบพยานคดีมาตรา 112 ของอานนท์ นำภา กรณีปราศรัยที่ลานหอศิลป์ มช. เมื่อวันที่ 23 พ.ย. 63


โดยศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานว่าอานนท์ถูกนำตัวจากกรุงเทพฯ ไปคุมขังที่เรือนจำกลางเชียงใหม่ในช่วงก่อนวันขึ้นศาล


ทั้งนี้เมื่อวันที่ 9 เมษายน ศาลจังหวัดเชียงใหม่ได้เลื่อนสืบพยานคดี #ม112 ของอานนท์ นำภา กรณีปราศรัยที่หอศิลป์ มช. ไปเป็นวันที่ 10 เมษายน 2567


เนื่องจาก จนท.ราชทัณฑ์ เพิ่งนำตัวอานนท์เดินทางจากกรุงเทพฯ ในช่วงเช้าวันที่ 9 เมษายน และได้นำตัวไปถึงเรือนจำกลางเชียงใหม่ช่วงเย็น


ต่อมา วันที่ 10 เมษายน ศาลจังหวัดเชียงใหม่สืบพยานคดีมาตรา 112 ของอานนท์ นำภา กรณีปราศรัยที่หอศิลป์ มช. เมื่อวันที่ 23 พ.ย. 63 โดยสืบพยานโจทก์ได้ 2 ปาก และให้เลื่อนไปสืบพยานต่อในวันที่ 11 เมษายน 


สำหรับบรรยากาศ ศูนย์ทนายฯรายงานว่า เจ้าหน้าที่ศาลอนุญาตให้มีผู้เข้าฟังในห้องได้ 5 คน โดยมีการตั้งแผงเหล็กกันทางเข้าไปห้องพิจารณา แต่ได้จัดห้องถ่ายทอดสดการพิจารณาให้ผู้เข้าฟังคนอื่น ๆ ได้ติดตามการสืบพยาน


โดยมีตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบจำนวนกว่า 30 นาย จัดกำลังอยู่บริเวณศาล


จากนั้น 11 เมษายน 2567 ศาลจังหวัดเชียงใหม่สืบพยานคดีมาตรา 112 ของอานนท์ นำภา กรณีปราศรัยหอศิลป์ มช. เป็นวันที่ 2 โดยสืบพยานโจทก์ได้อีก 1 ปาก เป็นนักวิชาการภาษาไทย จาก ม.แม่โจ้


ฝ่ายโจทก์ยังเหลือพยานอีก 3 ปาก ขณะฝ่ายจำเลยแถลงขอสืบพยาน 4 ปาก ศาลกำหนดวันนัดสืบพยานเพิ่มวันที่ 24 - 25 ธ.ค. 2567


อานนท์ถูกนำตัวกลับไปคุมขังที่เรือนจำกลางเชียงใหม่ และถูกส่งตัวกลับเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ในช่วงวันหยุดสงกรานต์ เนื่องจากมีนัดสืบพยานคดี #คนอยากเลือกตั้ง UN62 ที่ศาลอาญา วันที่ 18-19 เม.ย. 2567


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #อานนท์นำภา #นิรโทษกรรมประชาชน

วันพฤหัสบดีที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2567

“รังสิมันต์” เสนอรัฐบาลรับมือสถานการณ์ในเมียนมา ระยะสั้น-กลาง-ยาว ชี้อนาคตของเมียนมาสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาในประเทศ ไทยควรมีบทบาทเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการสร้างสันติภาพ

 


“รังสิมันต์” เสนอรัฐบาลรับมือสถานการณ์ในเมียนมา ระยะสั้น-กลาง-ยาว ชี้อนาคตของเมียนมาสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาในประเทศ ไทยควรมีบทบาทเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการสร้างสันติภาพ  


วันที่ 25 เมษายน 2567 ที่รัฐสภา รังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะประธาน กมธ.ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ พร้อมด้วย ปิยรัฐ จงเทพ สส.กรุงเทพฯ (เขตบางนา พระโขนง) พรรคก้าวไกล ในฐานะโฆษก กมธ. ร่วมแถลงข่าวกรณีติดตามความคืบหน้าสถานการณ์ในเมียนมา โดยรังสิมันต์กล่าวว่า ในฐานะ กมธ. ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด มีการประชุมเพื่อพูดคุยเตรียมความพร้อมหลายครั้ง ตลอดจน กมธ. มีมติไปยังกระทรวงการต่างประเทศและ ครม. ในช่วงเวลาที่ผ่านมา


รังสิมันต์กล่าวว่า ปัญหาในเมียนมาถือเป็นปัญหาของประเทศไทย ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยทั้งเชิงเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าแนวทางของรัฐบาลต่อสถานการณ์ในเมียนมา โดยเฉพาะพื้นที่เมียวดี มีพัฒนาการอย่างมีนัยสำคัญ ตนขอชื่นชมทั้งฝ่ายความมั่นคง สาธารณสุข ทิศทางของกระทรวงการต่างประเทศ ที่ทำงานก้าวหน้าเป็นลำดับ อย่างไรก็ดี ตนมองว่ายังต้องการการทำงานที่เพิ่มขึ้นในหลายส่วนและรอบด้าน โดยแบ่งแนวทางการทำงานออกเป็น 3 ระยะ ระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว เพื่อให้เห็นภาพรวม 


สำหรับการแก้ปัญหาระยะสั้นที่เป็นเรื่องเร่งด่วน กมธ. ได้ประชุมร่วมกับสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) แจ้งให้ทราบว่าจะมีระเบียบปฏิบัติ (SOP) ฉบับใหม่เพื่อรองรับผู้หนีภัยที่ทะลักเข้าไทยหลักแสนคน ซึ่งขณะนี้ต้องรอการอนุมัติจากรัฐบาล กมธ. มองว่าเรื่องดังกล่าวเป็นวาระเร่งด่วน รัฐบาลควรเร่งพิจารณาเพื่อเป็นแนวทางในการทำงานที่เท่าทันต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น


ต่อมาในการดำเนินการด้านสิทธิมนุษยชนและการช่วยเหลือทางมนุษยธรรม (Humanitarian Aids) ที่ผ่านมา กระทรวงการต่างประเทศได้ส่งความช่วยเหลือไปยังเมียนมา ครอบคลุมการช่วยเหลือเพียง 20,000 คน หากต้องการให้ความช่วยเหลือดังกล่าวยั่งยืน จำเป็นต้องทำงานร่วมกับมิตรประเทศและภาคประชาสังคม เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่หนีการสู้รบและรอคอยความช่วยเหลืออยู่ วิธีนี้จะช่วยไม่ให้ประชาชนหนีทะลักข้ามแดนมายังประเทศไทย โดยสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้อพยพทะลักข้ามแดนคือการโจมตีทางอากาศ กรณีนี้ประเทศไทยต้องมีการพูดคุย เนื่องจากการโจมตีทางอากาศอาจจะละเมิดสิทธิมนุษยชน อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างมีนัยสำคัญ  


นอกจากนี้ กมธ. พบข้อมูลการซื้อขายน้ำมันจากประเทศไทยประมาณ 15% ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าน้ำมันบางส่วนถูกใช้กับอากาศยานเพื่อใช้โจมตีและปฏิบัติการทางการทหาร สิ่งนี้สามารถเป็นหนึ่งในอำนาจต่อรองที่สำคัญ ที่ประเทศไทยใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างสันติภาพและเพิ่มดุลการเจรจากับรัฐบาลทหารเมียนมาได้ ซึ่งหากทำได้ก็จะสอดรับกับมติของกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ (G7) ที่ออกมาว่าไม่ควรมีการขายนํ้ามันอากาศยาน (jet fuel) ให้รัฐบาลเมียนมาอีกต่อไป 


รังสิมันต์กล่าวต่อว่า ข้อเสนอระยะกลาง มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ประเทศไทยต้องเจรจากับทุกฝ่าย ผ่านการส่งสิ่งของที่จะสนับสนุนด้านสิทธิมนุษยชนและการยกระดับการพูดคุย เพราะอนาคตของเมียนมามีความสำคัญต่อประเทศไทย ทุกวันนี้เรามีความท้าทายหลายเรื่อง ต้องยอมรับว่าปัญหายาเสพติด คอลเซนเตอร์ สแกมเมอร์ ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตัวคนเดียว การเจรจาจึงเป็นหมุดหมายเพื่อปูทางไปสู่การแก้ปัญหาต่างๆ 


โดยตัวเลขผู้หนีภัยการสู้รบเข้ามาในประเทศไทยนับตั้งแต่การรัฐประหารเมียนมา อาจจะมากถึงหลักล้านคน จำนวนไม่น้อยต้องจ่ายส่วยให้เจ้าหน้าที่รัฐของไทย ดังนั้นวิธีการหนึ่งที่ทำได้ทันที คือการออกบัตรประชาชนรหัสพิเศษ​ ซึ่งไม่ได้หมายถึงการให้สถานะคนไทย แต่เพื่อให้สามารถจัดการและตรวจสอบติดตามผู้ลี้ภัยได้ หรือข้อเสนอจากอนุ กมธ. ให้ ครม. พิจารณาใช้อำนาจตามมาตรา 17 พ.ร.บ.คนเข้าเมือง 2522 ให้ความเห็นชอบให้ผู้ลี้ภัยเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่จำเป็นต้องได้รับอนุญาต หรือการอนุญาตสิ้นสุดลงและมีความจำเป็นต้องทำงานเลี้ยงชีพศึกษาต่อ ก็ให้อยู่อาศัยและทำงานได้เป็นการชั่วคราว เพื่อเข้าสู่การบริหารจัดการตามกฎหมายในอนาคต เพราะปัจจุบันประเทศไทยต้องพึ่งพาแรงงานข้ามชาติ กลไกเช่นนี้จะเป็นโอกาสแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นตามชายแดน แก้ปัญหาคอร์รัปชันในภาคราชการ และตอบสนองต่อความจำเป็นทางเศรษฐกิจ 


นอกจากนี้ กมธ. ได้เตรียมตั้งคณะทำงานและอนุ กมธ. เพื่อตรวจสอบกรณีที่มีความเป็นไปได้ว่าอาจมีปฏิบัติการบางอย่างที่ทำให้ประเทศไทยเป็นฐานการฟอกเงินของเครือข่ายที่จะนำไปสู่การซื้ออาวุธที่ใช้ในปฏิบัติการในเมียนมา พร้อมทั้งสร้างความร่วมมือกับกลุ่มชาติพันธุ์บริเวณชายแดนไทยบนพื้นฐานการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมในพื้นที่ชายแดน เพื่อสร้างเสถียรภาพและสันติภาพในการแก้ไขปัญหาธุรกิจอาชญากรรม การค้ามนุษย์ รวมถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมฝุ่นควัน สามารถจัดตั้งเป็น Township Border Committee ขึ้นมาแทนศูนย์ประสานงานเดิมที่ไม่ได้มีตัวแทนจากฝ่ายรัฐบาลทหารเมียนมา รับกับข้อเท็จจริงปัจจุบันที่ว่าในหลายพื้นที่ ตัวแทนทหารเมียนมาไม่ได้มีอำนาจในทางปฏิบัติแล้ว 


รังสิมันต์กล่าวว่า ส่วนสุดท้าย ข้อเสนอระยะยาว จำเป็นต้องมีการพูดคุยถึงอนาคตของเมียนมา จากบทเรียนของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประเทศไทยสามารถเข้าไปมีบทบาทในการเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการสร้างสันติภาพ และจากการทำหน้าที่ของ กมธ. ที่ผ่านมา เชื่อว่าไทยสามารถพูดคุยกับกลุ่มต่างๆ ได้ โดยสิ่งที่ตนอยากเห็น คือกระทรวงการต่างประเทศและรัฐบาล ดำเนินการในลักษณะดังกล่าว โดยกระทรวงการต่างประเทศเปลี่ยนแนวทางทางการทูตให้มีบทบาทเชิงรุกมากขึ้น เพราะท้ายที่สุดผลประโยชน์ของประเทศไทยกับฝ่ายต่างๆ จะถูกทำลายลงอย่างแน่นอนหากไม่มีการทำงานเชิงรุกมากกว่านี้


ด้าน ปิยรัฐ แถลงในฐานะโฆษก กมธ. กล่าวสรุปสั้นๆ ว่าคณะทำงานของ กมธ. เตรียมเดินหน้าตามแผนเชิงรุก เดินทางไปยังพื้นที่เพื่อศึกษาและรับฟังปัญหาโดยตรง ณ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ระหว่างวันที่ 12-14 พฤษภาคม และหลังจากนั้นมีกำหนดการเดินทางไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สมช. ซึ่งเป็นหน่วยงานสำคัญในการประเมินสถานการณ์ และกระทรวงการต่างประเทศในลำดับต่อไป 


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์

สิ้น "อนุวัฒน์ ทินราช" ประธานผู้ประสานงาน นปช.ภาคอีสาน สิริอายุ 70 ปี กำหนดสวดอภิธรรม เวลา 19.00 น. วันที่ 24-27 เม.ย และฌาปนกิจศพ เวลา 15.00 น. วันที่ 28 เม.ย ที่เมรุวัดหนองบัวลาย โคราช

 


สิ้น "อนุวัฒน์ ทินราช" ประธานผู้ประสานงาน นปช.ภาคอีสาน สิริอายุ 70 ปี กำหนดสวดอภิธรรม เวลา 19.00 น. วันที่ 24-27 เม.ย และฌาปนกิจศพ เวลา 15.00 น. วันที่ 28 เม.ย ที่เมรุวัดหนองบัวลาย โคราช

 

ตามที่วานนี้ ( 24 เม.ย. 67) เวปไซต์ koratdaily.com รายงานข่าวว่า ที่ห้องเก็บศพ โรงพยาบาลมหาราช นครราชสีมา นายถนอมพงษ์ ทินราช นายกเทศมนตรีตำบล (ทต.) หนองบัวลาย อ.บัวลาย จ.นคราชสีมา พร้อมญาติได้เดินทางมาติดต่อขอรับร่าง นายอนุวัฒน์ ทินราช อายุ 70 ปี อดีตรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) นครราชสีมา และประธานผู้ประสานงานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เสียชีวิตจากภาวะหัวใจล้มเหลว

 

โดยนำไปตั้งบำเพ็ญกุศลตามประเพณีที่บ้าน ต.บัวลาย อ.บัวลาย จ.นครราชสีมา กำหนดสวดอภิธรรม เวลา 19.00 น. วันที่ 24 - 27 เมษายน และจะมีพิธีฌาปนกิจศพ เวลา 15.00 น. วันที่ 28 เมษายน ที่เมรุวัดหนองบัวลาย

 

สำหรับ นายอนุวัฒน์ หรือกำนันอนุวัฒน์ นั้นเป็นผู้มีประสบการณ์ทางการเมืองตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2523 - 2535 เป็นกรรมการสุขาภิบาลบัวลาย 3 สมัย พ.ศ. 2535 กำนันตำบลบัวลาย พ.ศ. 2544 รองประธานชมรมกำนันผู้ใหญ่บ้าน จ.นครราชสีมา และกำนันดีเด่น กิ่งอำเภอบัวลาย พ.ศ.2555-57 รองนายก อบจ.นครราชสีมา ซึ่งอยู่เบื้องหลังช่วยผู้สมัคร ส.ส พื้นที่ อ.บัวใหญ่ จนได้เป็น ส.ส หลายคน

 

ทั้งนี้กำนันอนุวัฒน์ แกนนำ นปช.โคราช ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานผู้ประสานงาน นปช.ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการจากอาจารย์ธิดา ถาวรเศรษฐ ซึ่งเป็นประธานนปช.ในเวลานั้น

 

และเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2557 นปช. จัดประชุมแกนนำจากทั่วประเทศ เวที“นปช.ลั่นกลองรบ” ที่ อาคารลิตปพัลลภ สนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา อ.เมือง จ.นครราชสีมา โดยมีกลุ่มแกนนำ นปช.จากภาคต่าง ๆ เดินทางมาร่วมชุมนุมกันเป็นจำนวนมาก ซึ่งกำนันอนุวัฒน์ก็เป็นเรี่ยวแรงสำคัญในการจัดงาน

 

ด้านสุขภาพ นายอนุวัฒน์มีปัญหาสุขภาพทั้งเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ฯ เคยขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูน ช่วงวิกฤตโควิดระบาด จึงเก็บตัวอยู่แต่ภายในบ้านพักแต่ยังโทรศัพท์พูดคุยส่งข้อความทางไลน์กับผู้ที่รู้จักมักคุ้นทุกวัน กระทั่งจากไปอย่างสงบด้วยภาวะหัวใจล้มเหลว เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2567 สิริอายุ 70 ปี

 

สำนักข่าวยูดีดีนิวส์ - UDDnews ขอแสดงความไว้อาลัย และขอดวงวิญญาณ"อนุวัฒน์ ทินราช" (กำนันอนุวัฒน์)ไปสู่สุคติยังสัมปรายภพเทอญ

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #คนเสื้อแดง #นปช