วันที่
29 ตุลาคม 2567 ที่เพจ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
รายงานว่า เวลา 09.00 น. ศาลอาญา นัดฟังคำพิพากษาคดีของ
“เก็ท” โสภณ สุรฤทธิ์ธำรง ในข้อหา #มาตรา112 และ #พรบเครื่องขยายเสียงฯ เหตุปราศรัยในกิจกรรมวันแรงงานสากล
#แจกน้ำยาให้หมามันกิน ที่หน้าทำเนียบรัฐบาล
เมื่อวันที่ 1 พ.ค. 2565 โดยมีเนื้อหาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการจัดการวัคซีนโควิด-19
และการใช้งบประมาณของสถาบันกษัตริย์
ก่อนหน้านี้
เมื่อวันที่ 29
ส.ค. 2567 ศาลได้นัดฟังคำพิพากษาในคดีนี้
แต่เนื่องจากทนายจำเลยคัดค้านการอนุญาตให้แก้ไขเพิ่มเติมฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับการนับโทษต่อหลังการสืบพยานเสร็จสิ้นแล้ว
นอกจากนี้ จำเลยยังยื่นคำร้องขอให้ยุติการใส่โซ่ตรวนเมื่อถูกนำตัวมาที่ศาล ตาม
พ.ร.บ.ป้องกันการทรมานและอุ้มหายฯ พ.ศ. 2565 ซึ่งศาลต้องวินิจฉัยข้อคัดค้านและคำร้องดังกล่าวก่อน
จึงให้เลื่อนการอ่านคำพิพากษาออกมา
ศาลพิพากษาว่ามีความผิดตามมาตรา
112 ให้ลงโทษจำคุก 3 ปี
จำเลยให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา มีเหตุลดโทษ 1 ใน 3
คงจำคุก 2 ปี และยกฟ้องในข้อหา
พ.ร.บ.เครื่องขยายเสียงฯ โดยให้นับโทษต่อในคดีส่วนของศาลอาญา
ส่วนศาลอื่นนั้นไม่ได้นับโทษต่อ
ส่วนการใส่ชุดนักโทษและเครื่องพันธนาการ
ศาลเห็นว่าเป็นไปตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ ไม่ถือว่าเป็นการกระทำที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม
หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ จึงไม่มีคำสั่งยุติการกระทำดังกล่าว
คดีนี้มี
ร.ต.อ.ทองธาดา การะเกด รองสารวัตรสืบสวน สน.นางเลิ้ง เป็นผู้กล่าวหา
โดยเมื่อวันที่ 20
พ.ค. 2565 โสภณถูกพนักงานสอบสวนเข้าไปแจ้งข้อกล่าวหา
“หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ขณะถูกคุมขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพ
หลังจากนั้นในวันที่
3 มี.ค. 2566 โสภณเดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหาเพิ่มเติมที่
สน.นางเลิ้ง ในข้อหา “ใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาตฯ” ตาม
พ.ร.บ.เครื่องขยายเสียงฯ และต่อมาในวันที่ 15 มี.ค. 2566
พนักงานอัยการได้มีคำสั่งยื่นฟ้องโสภณต่อศาลอาญาในทั้งสองข้อหา
โสภณให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
ศาลจึงได้นัดสืบพยานทั้งสิ้น 5 นัด ในระหว่างวันที่ 26-28 มิ.ย และ 2-3 ก.ค. 2567 ฝ่ายโจทก์นำสืบว่า
ถ้อยคำปราศรัยของโสภณเป็นการใส่ร้ายต่อสถาบันกษัตริย์และรัชกาลที่ 10 ด้วยข้อความอันเป็นเท็จ ทำให้ประชาชนที่ได้รับฟังรู้สึกเกลียดชัง
และทำให้สถาบันกษัตริย์ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง
ส่วนฝ่ายจำเลยมีข้อต่อสู้ว่า
สิ่งที่ปราศรัยล้วนเป็นข้อเท็จจริง
เป็นการวิพากษ์วิจารณ์การดำเนินงานของรัฐบาลในช่วงโควิด
โดยมีเจตนาเรียกร้องสิทธิให้กับผู้ใช้แรงงาน
อีกทั้งการปราศรัยถึงเจ้าฟ้าหญิงสิริวัณณวรีไม่ผิดมาตรา 112 เนื่องจากไม่ใช่บุคคลที่มาตรา
112 คุ้มครอง นอกจากนี้
ประชาชนต้องวิพากษ์วิจารณ์ธุรกิจที่กษัตริย์ถือหุ้นได้
หากเข้ามาเกี่ยวข้องกับนโยบายสาธารณะที่ส่งผลกระทบต่อประชาชน
หลังการสืบพยานเสร็จสิ้น
ศาลได้นัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 29 ส.ค. 2567 แต่ในวันดังกล่าว
ทนายความได้แถลงคัดค้านการที่ศาลอนุญาตให้แก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้องของโจทก์
ในส่วนของรายละเอียดหมายเลขคดีแดงในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ภายหลังการสืบพยานเสร็จสิ้นแล้ว
อีกทั้งยังมี
พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผู้อำนวยการมูลนิธิผสานวัฒนธรรม
ได้เป็นตัวแทนยื่นคำร้องขอให้ยุติการใส่โซ่ตรวนจำเลยตาม
พ.ร.บ.ป้องกันการทรมานและอุ้มหายฯ พ.ศ. 2565 ของจำเลย,ครอบครัว และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องรวม 6 ฉบับ
เพื่อขอให้ศาลยุติการกระทำการปฏิบัติหรือการลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม
หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
ซึ่งศาลจำต้องวินิจฉัยข้อคัดค้านและคำร้องดังกล่าว
จึงเลื่อนนัดฟังคำพิพากษาเป็นวันนี้
ทั้งนี้
ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 707
มีประชาชนและนักกิจกรรมเดินทางมารอให้กำลังใจ “เก็ท” โสภณ
สำหรับการอ่านคำพิพากษา พร้อมทั้งมีเจ้าหน้าที่จากสถานทูตเนเธอร์แลนด์
องค์กรภาคประชาสังคม สื่อพลเมือง นักกิจกรรม ครอบครัว และประชาชนจำนวนมาก
มานั่งจนเต็มห้องพิจารณาคดี และหน้าห้องมีตำรวจศาลดูแลความปลอดภัยประมาณ 2 คน ในเวลาต่อมาโสภณถูกนำตัวมาถึงห้องพิจารณาคดี
จึงได้ทักทายกับผู้ที่มารอให้กำลังใจได้พักหนึ่ง
ผู้พิพากษาออกนั่งบัลลังก์ในเวลา
09.36 น. และก่อนเริ่มอ่านคำพิพากษาในคดีนี้ โสภณเดินเข้ามาบริเวณคอกพยาน
และถอดเสื้อนักโทษสีน้ำตาลออก เผยให้เห็นรอยกรีดที่บริเวณหน้าอก เป็นตัวเลข 112
ก่อนที่จะขออนุญาตศาลแถลงในประเด็นเกี่ยวกับความผิดปกติในกระบวนการพิจารณาคดีมาตรา
112
ตอนหนึ่งโสภณได้กล่าวว่า
ในสิ่งที่ตนถอดเสื้อและใช้มีดกรีดอก อาจเป็นเรื่องผิดปกติ
แต่สิ่งที่ผิดปกติยิ่งกว่าคือการที่มีคนถูกจับเข้าคุกไปดำเนินคดีมาตรา 112 สำนักพระราชวังหรือกษัตริย์ก็ไม่ได้เป็นโจทก์ร่วมในคดี
บางคนไม่ได้รับสิทธิประกันตัว บางคนโดนถอนประกันตัว
และอยากให้คำตัดสินของศาลในวันนี้สั่งสอนโสภณและรวมถึงประชาชนที่มาสังเกตการณ์ในวันนี้ด้วย
ในขณะที่โสภณกำลังแถลงต่อศาล
ได้มีตำรวจศาล และ รปภ. ศาล จำนวน 5 คน
มาดูแลความสงบเรียบร้อยในห้องพิจารณาคดี
กรณีจำเลยยื่นคำร้องขอให้ยุติการใส่โซ่ตรวนออกศาล
ศาลยกคำร้อง ชี้เป็นไปตามกฎหมาย ไม่ถือว่าเป็นการกระทำที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม
หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หลังจากนั้น
ศาลจึงเริ่มอ่านคำร้องที่จำเลยยื่นขอให้ยุติการใส่โซ่ตรวน ก่อนที่จะอ่านคำพิพากษา
โดยสรุปเป็นใจความสำคัญได้ดังนี้
ในประเด็นที่จำเลยยื่นคำร้องขอให้ยุติการใส่โซ่ตรวนจำเลยตาม
พ.ร.บ.ป้องกันการทรมานและอุ้มหายฯ พ.ศ. 2565 ศาลยกคำร้อง
โดยพิเคราะห์แล้วเห็นว่า
การที่เจ้าหน้าที่เรือนจำควบคุมจำเลยมาศาลด้วยชุดนักโทษพร้อมกุญแจเท้าที่ขาสองข้างขึ้นห้องพิจารณาคดี
และในระหว่างพิจารณาคดี ตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 21
บัญญัติห้ามใช้เครื่องพันธนาการแก่ผู้ต้องขัง เว้นแต่กรณีต่อไปนี้
ใน (4) ผู้ต้องขังต้องถูกควบคุมตัวออกไปนอกเรือนจำและเจ้าหน้าที่รัฐผู้มีหน้าที่ควบคุม
เห็นเป็นการสมควรที่จะต้องใช้เครื่องพันธนาการ
เพื่อป้องกันการหลบหนีหรือป้องกันเหตุอื่นที่อาจเกิดขึ้น
อีกทั้งกุญแจเท้าทั้งสองข้างก็ไม่ปรากฏว่ามีลักษณะและขนาดแตกต่างจากที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง
และผู้ต้องขังอื่นก็มีการปฎิบัติลักษณะเช่นเดียวกัน
ซึ่งถือว่าเป็นความจำเป็นตามสมควร ในการควบคุมดูแลและผู้ต้องขังภายนอกเรือนจำ
ซึ่งมีจำนวนหลายคนที่มีการพิจารณาในแต่ละวัน
การใส่ชุดนักโทษและเครื่องพันธนาการ
จึงเป็นไปตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 21 (4) เมื่อการดำเนินการเป็นไปตามกฎหมาย จึงไม่ถือว่าเป็นการกระทำที่โหดร้าย
ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
จึงไม่มีเหตุที่ศาลจะมีคำสั่งยุติการกระทำดังกล่าว
แต่ถ้าหากจำเลยเห็นว่ากฎหมายหรือการกระทำดังกล่าวมีปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
ก็ให้ไปดำเนินการต่อศาลที่มีอำนาจพิจารณาในเรื่องดังกล่าว
ศาลเห็นว่าจำเลยกล่าวถึงชื่อ
ร.10 เมื่อพิจารณาโดยรวมกับคำปราศรัยเห็นว่าเป็นการใส่ความกษัตริย์ ลงโทษจำคุก 3
ปี แต่ให้การเป็นประโยชน์ ลดเหลือ 2 ปี
ในส่วนคำพิพากษาในคดีนี้
โดยสรุปศาลเห็นว่ามีเรื่องที่ต้องพิจารณา 2 ประเด็นคือ ในข้อหาตาม
พ.ร.บ.เครื่องขยายเสียงฯ และ ข้อหามาตรา 112
ในข้อหา
“ใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาตฯ” ตาม พ.ร.บ.เครื่องขยายเสียงฯ
เห็นว่าตาม
พ.ร.บ.เครื่องขยายเสียงฯ ผู้ที่จะทำการโฆษณา (หรือผู้จัด)
โดยใช้เครื่องขยายเสียงและกำลังไฟฟ้า จะต้องขออนุญาตเจ้าพนักงานก่อน
แต่ทางนำสืบโจทก์ได้ความเพียงว่ามีการใช้รถยนต์ที่มีเครื่องขยายเสียง
ไม่มีการขออนุญาตต่อเจ้าพนักงานเท่านั้น ไม่ปรากฏแน่ชัดว่าบุคคลใดเป็นผู้ริเริ่มจัดให้มีการโฆษณาและจัดหารถยนต์ติดเครื่องเสียง
อีกทั้งปรากฏว่าจำเลยเป็นหนึ่งในผู้ที่ขึ้นปราศรัยบนเวที
โดยไม่ปรากฏว่าเป็นแกนนำหรือผู้มีส่วนสั่งการในกลุ่มดังกล่าว
ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบมาไม่สามารถรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้จัดให้มีการใช้รถยนต์ติดเครื่องขยายเสียง
จึงให้ยกฟ้องในข้อหานี้
ในข้อหา
“หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
เห็นว่าตามรัฐธรรมนูญฯ
มาตรา 2 บัญญัติว่าประเทศไทยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข
และในมาตรา 6 วรรคแรก
บัญญัติว่ากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดไม่ได้
อันเป็นการวางหลักการเพื่อปกป้องระบอบการปกครองของไทย
ส่วนประมวลกฎหมายอาญามาตรา
112 หากผู้ใดกระทำผิดต้องรับโทษตามกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ
และรองรับหลักการระบอบการปกครองของประเทศไทยปกครอง
เพื่อรักษาเกียรติยศของกษัตริย์และรักษาคุณลักษณะสำคัญของระบอบการปกครอง
ซึ่งมีที่มาทางประวัติศาสตร์ชาติไทย
สำหรับองค์ประกอบความผิดตามมาตรา
112 ต้องตีความตามนัยยะเดียวกันกับข้อหา “หมิ่นประมาท” ตามมาตรา 326 และต้องตีความโดยเคร่งครัดตามหลักการทางอาญา
การกระทำที่เป็นความผิดต้องเป็นการกระทำต่อกษัตริย์ที่ทรงครองราชย์อยู่
ส่วนรัชทายาท หมายถึงทายาทของกษัตริย์ที่จะสืบทอดราชสมบัติและสืบสันติวงศ์
ตามกฎมณเฑียรบาลฯ
เมื่อพิจารณาถ้อยคำปราศรัย
จะเห็นได้ว่าจำเลยกล่าวถึงชื่อรัชกาลที่ 10 ซึ่งเป็นกษัตริย์องค์ปัจจุบัน
เมื่อพิจารณาโดยรวมกับที่ปราศรัยเรื่องวัคซีนที่ไม่เป็นธรรม
และพาดพิงถึงบุคคลในราชวงศ์ ย่อมสื่อความหมายได้ว่ารัชกาลที่ 10 ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทที่วัคซีน Aztrazeneca มีส่วนในการทำให้เครือข่ายได้รับวัคซีน ในขณะที่ประชาชนยังไม่ได้รับ
เป็นการกล่าวหาหรือยืนยันข้อเท็จจริงว่ารัชกาลที่ 10 ขโมยสวัสดิการและอำนาจอธิปไตยจากประชาชน
อีกทั้งยังเป็นการกล่าวปราศรัยต่อหน้าสาธารณชน
ผู้ฟังอาจเชื่อและคล้อยตามว่ารัชกาลที่ 10 มีส่วนในการจัดสรรวัคซีนที่ไม่เป็นธรรมต่อประชาชน
ทั้งที่ความจริงไม่ปรากฏว่าเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่
ประกอบกับในภายหลังก็ปรากฏว่ามีการจัดสรรวัคซีนให้กับประชาชนจนเกินไปและเกินความต้องการภายในประเทศ
ลักษณะคำพูดของจำเลยจึงเป็นการแสดงความเห็นที่มีอคติ เป็นการใส่ความต่อรัชกาลที่ 10
ทำให้เกิดความเสื่อมเสีย
ส่วนที่ฝ่ายจำเลยนำสืบว่า
จำเลยแสดงความเห็นตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 34 ทั้งนี้
รัฐธรรมนูญของแต่ละรัฐมีการบัญญัติแตกต่างกันตามสังคม ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม
และวิถีการดำเนินชีวิตของประชาชน
และในประเทศไทยมีการบัญญัติให้กษัตริย์ทรงดำรงฐานะพิเศษต่างจากบุคคลทั่วไป
เนื่องจากเป็นประมุขของรัฐ และศูนย์รวมทางจิตใจของคนไทย ซึ่งมีประวัติศาสตร์ความเป็นมาแตกต่างกันกับรัฐอื่น
ดังนั้น
พระมหากษัตริย์จึงต้องได้รับความคุ้มครองเป็นกรณีพิเศษยิ่งกว่าบุคคลทั่วไป
หากจำเลยประสงค์จะเรียกร้องสิทธิในการได้รับวัคซีนก็ไม่จำเป็นต้องกล่าวในลักษณะเช่นนั้น
การพูดของจำเลยเป็นการใส่ความต่อกษัตริย์ตามมาตรา 112 อีกทั้งบทบัญญัติไม่มีให้ยกเว้นความผิดหรือยกเว้นโทษเหมือนกับความผิดฐานหมิ่นประมาทบุคคลทั่วไป
การปราศรัยของจำเลยจึงไม่ใช่การใช้เสรีภาพในการแสดงความเห็นโดยสุจริต
จึงรับฟังได้ว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 112
พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา
112 ให้ลงโทษจำคุก 3 ปี
จำเลยให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา มีเหตุลดโทษ 1 ใน 3
คงจำคุก 2 ปี และยกฟ้องในข้อหา
พ.ร.บ.เครื่องขยายเสียงฯ ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
จำเลยให้การว่าเป็นบุคคลเดียวกัน ในส่วนคดีของศาลอาญา หลังนำสำนวนมาตรวจสอบ
เห็นว่าเป็นดุลพินิจที่จะนับโทษต่อได้ ส่วนในคดีของศาลอื่นไม่อาจนับโทษจำคุกต่อได้
หลังจากศาลอ่านคำพิพากษาเสร็จสิ้นแล้ว
โสภณแถลงต่อศาลว่า “สักวันหนึ่งสังคมก็ต้องเปลี่ยน แต่มันไม่ได้เปลี่ยนเพราะเวลา
มันเปลี่ยนเพราะคน”
และหันหลังจากนั้นประชาชนที่มาฟังคำพิพากษาในวันนี้ก็ร่วมกันร่วมให้กำลังใจ
และมีการร้องเพลง “หัวใจเสรี” ของวงไททศมิตร
หลังจากนั้นโสภณถูกนำตัวลงไปคุมขังที่ห้องเวรชี้
ก่อนที่จะต้องถูกนำตัวไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ด้วยโทษจำคุกใน 3 คดี
ที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้วเป็น 8 ปี 6 เดือน และไม่ได้รับสิทธิประกันตัวในระหว่างชั้นอุทธรณ์ จนถึงวันนี้ (29
ต.ค. 2567) เขาถูกขังมาแล้วถึง 433 วัน
กรณีของโสภณนั้น
ถูกพิพากษาให้มีความผิดตามมาตรา 112 มาแล้วทั้งสิ้น 3 คดี
ในคดีแรก
กรณีปราศรัยในกิจกรรม #ทัวร์มูล่าผัว ศาลอาญาพิพากษาจำคุก 3
ปี ในข้อหาตามมาตรา 112 และจำคุก 6 เดือน ในข้อหาใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต
ทั้งที่กฎหมายกำหนดโทษปรับไม่เกิน 200 บาท
และศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตให้ประกันตัวในระหว่างอุทธรณ์
ในคดีที่สอง
กรณีปราศรัย “ใครฆ่าพระเจ้าตาก” ศาลอาญาธนบุรีพิพากษาจำคุก 3 ปี
ในข้อหาตามมาตรา 112 และลงโทษปรับในข้อหาตาม
พ.ร.บ.เครื่องขยายเสียงฯ 200 บาท และคดีที่สาม
ในวันนี้ถูกศาลอาญาพิพากษาจำคุก 2 ปี
ทั้งนี้
ในวันที่ 12
พ.ย. 2567 นี้
เก็ทยังจะถูกเบิกตัวไปที่ศาลแขวงพระนครใต้เพื่อฟังคำพิพากษาในคดีปรับพินัย ในข้อหา
พ.ร.บ.ชุมนุมฯ และ พ.ร.บ.เครื่องขยายเสียงฯ จากเหตุกิจกรรม “WHAT HAPPENED
IN THAILAND” เดินขบวนจากแยกอโศกไปงาน APEC2022 ยื่นจดหมายบอกให้ผู้นำโลกรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในไทย
ขอบคุณข้อมูล
: ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #เก็ทโสภณ #มาตรา112