วันเสาร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2566

“ทนายแอน” และ “ทนายจูน” จากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รับรางวัล อัลบี อวอร์ดส์ (Albie Awards) จากมูลนิธิคลูนีย์เพื่อความยุติธรรม ในฐานะองค์กรที่ทำงานเพื่อปกป้องนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในไทย

 




"ทนายแอน" และ "ทนายจูน" จากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รับรางวัล อัลบี อวอร์ดส์ (Albie Awards) จากมูลนิธิคลูนีย์เพื่อความยุติธรรม ในฐานะองค์กรที่ทำงานเพื่อปกป้องนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในไทย

เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2566 เว็บไซต์ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้รายงานว่า ที่ นครนิวยอร์ก “ภาวิณี ชุมศรี” และ “ศิริกาญจน์ เจริญศิริ” สองทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ร่วมเดินพรมเข้าพิธีมอบรางวัล ‘ดิ อัลบี้’ (The Albies) จากมูลนิธิคลูนีย์เพื่อความยุติธรรม (Clooney Foundation for Justice หรือ CFJ) ในฐานะองค์กรที่ทำงานเพื่อปกป้องสิทธินักเรียนนักศึกษา นักกิจกรรม และสื่อมวลชนที่ถูกจับกุมจากการชุมนุมและการแสดงออกอย่างสันติในไทย


คำแถลงรับรางวัล The Albies 2023 โดยศิริกาญจน์ เจริญศิริ ตัวแทนจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ณ หอสมุดประชาชนนิวยอร์ก (New York Public Library) 28 กันยายน 2023 มีความว่า


เรียนทุกท่าน


ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณ คุณอมาล คุณจอร์จ มูลนิธิคลูนีย์เพื่อความยุติธรรม และทุกๆ ท่านที่มาร่วมงานในคืนนี้ เพื่อมอบพื้นที่ให้เราได้เล่าเรื่องงานของเราและสถานการณ์ในเมืองไทย ในห้วงแห่งความมืดมน ทุกท่านเป็นดั่งแสงอาทิตย์ที่ทำให้วันอันยากเข็ญของเราสว่างไสวขึ้นและโดดเดี่ยวน้อยลง


หลายท่านคงเคยไปเยี่ยมเยียนประเทศไทยแล้ว ดินแดน “สยามเมืองยิ้ม” หาดสวย อาหารอร่อย


ทุกวันเราใช้ชีวิตกับรอยยิ้มที่สวยงาม แต่เรามีดวงตาที่แสวงเสาะหาความยุติธรรม เราหัวเราะกันมากเพียงเพื่อให้รู้สึกมีพลัง ในขณะที่ผู้มีอำนาจมักต้องการให้เรารู้สึกอ่อนแอ


ท่านทราบหรือไม่ว่าในประเทศไทย การพูดถึงราชวงศ์หรือเรียกร้องการปฏิรูปเพื่อประชาธิปไตยนั้นอาจถูกจำคุกได้ เหตุการณ์ที่ดูเหลือเชื่อเหล่านี้ล้วนคือความจริงของเรา


ดิฉันขอเริ่มด้วยการเล่าเรื่องเกี่ยวกับเพื่อนรักและเพื่อนร่วมงานที่ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ทนายอานนท์ นำภา ผู้ที่ถูกจำคุกอยู่ ณ ขณะนี้ เพราะเขาถูกดำเนินคดีจากการปราศรัยทางการเมืองและการประท้วงโดยสันติ


เขาถูกส่งเข้าเรือนจำไปเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ในข้อหาหมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ การกระทำนี้ถือเป็นอาชญากรรมอันที่มีโทษจำคุกได้สูงสุด 15 ปี


ทนายอานนท์เป็นพ่อของลูกชายอายุสิบเดือนและลูกสาวตัวน้อย


มีครั้งหนึ่งที่ทนายอานนท์ออกจากเรือนจำเพื่อถูกนำตัวไปศาล เขาเดินเข้าศาลเท้าเปล่า ในชุดนักโทษสีน้ำตาล


เขาหันมาถามเราว่า “ครุยทนายผมอยู่ไหน”


จากนั้นเขาก็สวมครุยนั้นทับชุดนักโทษ และทำหน้าที่ทนายของเขาต่อไป เพื่อปกป้องสิทธิของนักเคลื่อนไหวรุ่นใหม่ที่ถูกดำเนินคดีร่วมกัน จากการพูดความจริงต่อผู้มีอำนาจ


เมื่อรัฐใช้กฎหมายเป็นอาวุธ ทนายจึงต้องยืนหยัดต่อสู้กับความรุนแรงนี้ เพื่อปกป้องนิติรัฐ และระบอบประชาธิปไตย


ทว่าแม้ประชาธิปไตยของไทยจะถดถอยไปมากในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา


สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงได้มาถึงแล้ว


เราได้เห็นคลื่นลูกใหม่ของขบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย พวกเขาชูสามนิ้วเป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อต้าน เยาวชนจำนวนมากเข้าร่วมการต่อสู้ในครั้งนี้ หลายคนเสียสละมหาศาลให้กับการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย


ตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา มีเยาวชนเกือบ 300 คนถูกดำเนินคดีด้วยกฎหมายที่กดขี่ เพียงเพราะพวกเขาต่อสู้เพื่อต้องการอนาคตที่ดีกว่า ลูกความที่เด็กที่สุดของเรามีอายุเพียง 12 ปี เขาถูกจับกุมในที่ชุมนุม ทั้ง ๆ ที่เขาเพียงขี่จักรยานจากบ้านเพื่อไปสังเกตการณ์เท่านั้น


เราพร่ำกล่าวว่าเยาวชนคืออนาคตของชาติ แต่ประเทศไทยกลับกระชากอนาคตของเยาวชน ออกไปจากมือพวกเขา


ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนคงไม่มีวันนี้ หากคนไทยไม่ได้ลุกขึ้นมาสู้กับรัฐเผด็จการที่ซ่อนตัวอยู่ในที่แจ้ง ในสถาบันตุลาการ ในกฎหมาย และในรัฐธรรมนูญที่มาจากรัฐประหาร


เรายังต้องเดินทางกันไปอีกไกลเพื่อไปให้ถึงประชาธิปไตยที่แท้จริง


การต่อสู้เพื่อความยุติธรรมนั้นไม่เคยง่าย


แต่เวลาย่ำรุ่งจะมาถึงเสมอ


การเปลี่ยนแปลงเพื่ออนาคตที่ดีกว่าอยู่ในมือของเราเอง


เราจะเดินหน้าต่อไปจนกว่าความหวังจะกลายเป็นความจริง


เรายังต้องการความรักและการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากทุกท่าน


โปรดอย่าลืมนึกถึงพวกเราและสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในเมืองไทย


ขอบคุณค่ะ


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #TLHR

ด่วน! ศาลอุทธรณ์ไม่ให้ประกัน ‘อานนท์’ คดี ม.112 ระบุพฤติการณ์ร้ายแรง หากปล่อยตัวชั่วคราว มีเหตุเชื่อว่าจะหลบหนี จึงไม่อนุญาต

 


ด่วน! ศาลอุทธรณ์ไม่ให้ประกัน ‘อานนท์’ คดี ม.112 ระบุพฤติการณ์ร้ายแรง หากปล่อยตัวชั่วคราว มีเหตุเชื่อว่าจะหลบหนี จึงไม่อนุญาต

 

วันนี้ (30 กันยายน 2566) ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานผ่าน X ระบุว่า ด่วน! ศาลอุทธรณ์ไม่ให้ประกันอานนท์ นำภา

 

พิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหาและพฤติการณ์แห่งคดีประกอบพยานหลักฐานในสำนวนแล้ว การกระทำของจำเลยกระทบกระเทือนและสร้างความเสียหายต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พฤติการณ์เป็นเรื่องร้ายแรง ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุก 4 ปี หากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวมีเหตุเชื่อว่าจำเลยจะหลบหนี จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยระหว่างอุทธรณ์ ให้ยกคำร้อง

 

ส่วนที่จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลอุทธรณ์ไต่สวนพยานผู้ร้องก่อนมีคำสั่งในคำร้องขอปล่อยชั่วคราวนั้น เนื่องจากพยานหลักฐานในสำนวนเพียงพอต่อการวินิจฉัยแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องไต่สวนพยานผู้ร้องอีก ให้ยกคำร้องในส่วนนี้

 

สำหรับ อานนท์ นำภา ถูกศาลอาญาพิพากษาจำคุก 4 ปี ไม่รอลงอาญา ในคดีมาตรา 112 ปรับอีก 20,000 บาท กรณีชุมนุม 14 ต.ค. 63 ขัดพ.ร.ก.ฉุกเฉิน -พ.ร.บ.จราจรทางบก เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2566 โดยอานนท์ถูกส่งเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ระหว่างรอฟังคำสั่งประกันตัวในชั้นอุทธรณ์ ทำให้วันนี้ 'อานนท์ นำภา' ถูกควบคุมตัวในเรือนจำเข้าวันที่ 5 แล้ว

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ม112 #อานนท์นำภา

วันศุกร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2566

"ทนายอานนท์"ยังต้องถูกคุมตัวที่เรือนจำต่อระหว่างรอคำสั่งศาลอุทธรณ์จะให้ประกันตัวหรือไม่ ด้วยศาลอาญาเพิ่งส่งคำขอประกันตัวไปยังศาลอุทธรณ์ในวันนี้ (29 ก.ย.) เพราะเหตุขัดข้องทางธุรการ

 


"ทนายอานนท์"ยังต้องถูกคุมตัวที่เรือนจำต่อระหว่างรอคำสั่งศาลอุทธรณ์จะให้ประกันตัวหรือไม่ ด้วยศาลอาญาเพิ่งส่งคำขอประกันตัวไปยังศาลอุทธรณ์ในวันนี้ (29 ก.ย.) เพราะเหตุขัดข้องทางธุรการ

 

ตามที่ เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2566 ศาลอาญา พิพากษาจำคุก 4 ปี "อานนท์ นำภา" ทนายความจากศูนย์ทนายเพื่อสิทธิมนุษยชน ปรับเป็นเงิน 20,000 บาท ไม่รอลงอาญา คดี ผิด ม.112 กรณีชุมนุมทางการเมือง เมื่อปี 63 #ม็อบ14ตุลา63 โดยทนายความได้ยื่นประกันตัวทันที ต่อมา ศูนย์ทนายความฯรายการว่าศาลอาญามีคำสั่งส่งให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาคำสั่งประกันตัว ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาอีก 2-3 วัน ทำให้อานนท์ต้องถูกนำตัวไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 26 ที่ผ่านมา นั้น

 

คืบหน้าล่าสุดวันนี้ (29 ก.ย.66) ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานว่า 16.30 น. สิ้นสุดเวลาราชการ เจ้าหน้าที่แจ้ง ศาลอุทธรณ์ยังไม่มีคำสั่ง ให้ประกันตัวชั่วคราวและคำสั่งขอให้ไต่สวนคำร้องขอประกันตัวฯ ของ #อานนท์ นำภา #ม็อบ14ตุลา

โดยวันนี้ล่วงเข้าวันที่ 4 ตั้งแต่วันที่ 26 ก.ย. 66 ที่อานนท์ถูกคุมขังระหว่างรอการพิจารณาจากศาลอุทธรณ์ว่าจะให้ประกันตัวในชั้นอุทธรณ์หรือไม่

 

ทนายได้รับแจ้งว่าศาลอาญาเพิ่งส่งคำขอประกันตัวไปยังศาลอุทธรณ์ในวันนี้ จากเหตุขัดข้องทางธุรการ

 

อย่างไรก็ตาม ตามข้อบังคับของประธานศาลฎีกาว่าด้วยการปล่อยชั่วคราวฯ พ.ศ. 2565 กำหนดให้ #อำนาจศาลชั้นต้น มีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยได้เอง เมื่อจำเลยถูกพิพากษาลงโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และจำเลยเคยได้รับการปล่อยชั่วคราวในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น และจำเลยไม่มีพฤติการณ์จะหลบหนีใด


ข้อมูล : ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #อานนท์นำภา #สิทธิประกันตัวประชาชน


"พิธา-เดชรัต" บรรยายราชภัฏเชียงใหม่ เปิดเบื้องหลังละเอียดยิบ ที่มา 300 นโยบายเปลี่ยนประเทศของก้าวไกล ชูสโลแกน “การเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต” ทำชนะเลือกตั้ง

 


"พิธา-เดชรัต" บรรยายราชภัฏเชียงใหม่ เปิดเบื้องหลังละเอียดยิบ ที่มา 300 นโยบายเปลี่ยนประเทศของก้าวไกล ชูสโลแกน “การเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต” ทำชนะเลือกตั้ง

 

วันที่ 29 กันยายน 2566 ที่โรงแรมเมอร์เคียว อ.เมือง จ.เชียงใหม่ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล และเดชรัต สุขกำเนิด ผู้อำนวยการ Think Forward Center ร่วมบรรยายในประเด็นทางวิชาการเกี่ยวกับนโยบายของพรรคการเมืองที่ได้รับคะแนนเสียงเป็นอันดับหนึ่ง ว่ามีกระบวนการกำหนดนโยบายอย่างไรบ้าง โดยมีนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเข้าร่วมรับฟังกว่า 250 คน

 

โดยพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และเดชรัต สุขกำเนิด เริ่มเกริ่นจากการเปิดเว็บไซต์ election66.moveforwardparty.org/policy เพื่อชี้ให้เห็นว่าพรรคก้าวไกลมีนโยบายที่ใช้หาเสียงเลือกตั้งกว่า 300 นโยบาย ครอบคลุมในทุกภาคส่วนของสังคม เช่น ชุดนโยบายประชาธิปไตย สวัสดิการครบวงจร การกระจายอำนาจ ราชการเพื่อราษฎร เกษตรก้าวหน้า ปฏิวัติการศึกษา สิ่งแวดล้อมยั่งยืน และเศรษฐกิจเพื่อทุกคน เป็นต้น เพื่อชี้ให้เห็นว่ากว่าจะมาเป็นนโยบายที่ครอบคลุม ละเอียด และค้นหาได้ง่าย พร้อมทั้งมีการสื่อสารนโยบายที่มีประสิทธิภาพ ทำให้พรรคก้าวไกลได้รับการเลือกตั้งมาเป็นอันดับ 1 นั้นมีที่มาที่ไปอย่างไรบ้าง

 

โดยการออกแบบนโยบายแบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1.การค้นหาประเด็นนโยบาย/ปัญหาในพื้นที่ 2.การออกแบบรายละเอียดนโยบาย 3.การทดสอบความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้อง และ 4.การรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง

 

โดยการค้นหาประเด็นนโยบายหรือปัญหาต่างๆ ในพื้นที่ ก็สามารถค้นคว้าได้จากหลายช่องทาง เช่น การค้นหาจากประชาชนในพื้นที่(Primary) การค้นหาจากข่าวสาร ข้อเขียน งานวิจัยที่เคยมีอยู่แล้ว(Secondary) การค้นหาจากการนำเสนอของประชาชน(Crowdsourcing) และการค้นหาจากประสบการณ์และนโยบายต่างประเทศ

 

อย่างไรก็ตาม การกลั่นกรองนโยบายต้องคำนึงถึงความเป็นไปได้รอบด้านควบคู่กันด้วย ได้แก่ 1.ความเป็นไปได้เชิงเทคนิค 2.ความเป็นไปได้ในทางการบริหาร/ทางกฎหมาย 3.ความเป็นไปได้ทางการเงิน 4.ความเป็นไปได้ทางการเมือง

 

ตัวอย่างเช่น ร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม ไม่ได้มีปัญหาในข้อ 1-3 เลย แต่ยังมีข้อติดขัดในข้อ 4 ความเป็นไปได้ทางการเมือง เพราะยังมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่ง มีวิถีชีวิต ความเชื่อทางศาสนาที่แตกต่างกันและไม่เข้าใจนโยบายนี้ หน้าที่เราคือพยายามอธิบายว่านี่เป็นเรื่องของการดูแลกันด้วยพันธะทางกฎหมายให้คุ้มครองทุกคนเสมอภาคกัน แต่เรื่องรสนิยมและความเชื่อก็เป็นเรื่องส่วนบุคคล

 

หรือสมมติว่าหากเราอยากแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษ PM2.5 แล้วคิดอย่างสุดโต่ง ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง จะเอายานอวกาศมาดูดฝุ่นไปให้หมดจากโลก ก็เป็นไปไม่ได้ทั้ง 4 ข้อ เราก็เรียกนโยบายแบบนี้ว่ายูนิคอร์นในทุ่งลาเวนเดอร์

 

เดชรัต สุขกำเนิด เปิดเผยตัวเลขสถิติเบื้องหลังการทำงานนโยบายพรรคก้าวไกลว่าตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง เรามีบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับงานนโยบายถึง 200 คน มีทั้งคณะทำงานประจำ และคณะทำงาน อาสาสมัคร ที่อยู่ในแต่ละพื้นที่ ทำหน้าที่สะท้อน ชี้เป้าปัญหาให้เราออกแบบเป็นนโยบาย มีการทำงานมากกว่า 4,200 ชั่วโมง มีการลงพื้นที่นับร้อยครั้ง รวมระยะทางอย่างน้อย 45,358 กิโลเมตร ทั่วประเทศ จนกลั่นกรองมาเป็น 300 นโยบาย “การเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต” พรรคก้าวไกลได้สำเร็จ

 

แต่ความสำเร็จนั้นเกิดขึ้นจากการสื่อสารนโยบายที่มีประสิทธิภาพ ด้วยการอบกรมผู้ลงสมัครเลือกตั้งเป็น สส. ของพรรคก้าวไกล และแกนนำพรรคทุกคน ให้เข้าใจนโยบายทุกนโยบายอย่างถ่องแท้ มีการทำสมุดและเว็บไซต์ลงรายละเอียด 300 นโยบายโดยละเอียด เวลาไปขึ้นเวทีดีเบตนโยบายทุกครั้งก็ไม่มีใครตายเวที สามารถตอบได้เป็นทิศทางเดียวเหมือนกันหมด

 

ที่สำคัญ เรามีการปิดจุดอ่อนที่คิดว่าจะถูกโจมตี เช่นความเป็นไปได้ทางการเงินของทุกนโยบายที่เรานำเสนอ โดยเฉพาะ “นโยบายสวัสดิการก้าวหน้าตั้งแต่เกิดจนตาย” เราจึงมีการเปิดเผยเบื้องหลังการคำนวณงบประมาณและแหล่งงบประมาณที่เราจะนำมาใช้ในโครงการสวัสดิการต่างๆ หากก้าวไกลเป็นรัฐบาลรวมกว่า “650,000 ล้านบาท มีเงินจ่าย ทำได้จริง” ด้วยสารสื่อสารอินโฟกราฟฟิกให้ประชาชนเข้าใจง่าย และหากถูกสอบถามที่ไหนพวกเราทุกคนก็สามารถอธิบายให้กระจ่างได้ชัดเจน

 

โดยตลอดการบรรยาย ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักศึกษา โดยมีการถามตอบประเด็นรายละเอียดนโยบายต่างๆ ที่นักศึกษาสนใจ โดยชุดนโยบายที่ได้รับความสนใจเป็นพิเศษ ได้แก่ ชุดนโยบายกระจายอำนาจ ชุดนโยบายการศึกษา ชุดนโยบายสวัสดิการถ้วนหน้าและนโยบายคนทำงาน

 

โดยพิธามีกำหนดการร่วมกับ สส. พรรคก้าวไกล จัดเวที “ก้าวต่อไปเชียงใหม่ท้องถิ่น" ที่สนามฟุตบอลหญ้าเทียม เทศบาลเมืองแม่เหียะ จ.เชียงใหม่ วันศุกร์ที่ 29 กันยายน 2566 เวลา 15.00 น. เป็นต้นไป

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ก้าวไกล




"หมออ๋อง" ย้ำทุกสิ่งที่ทำตรงไปตรงมาด้วยเหตุผล ยันการตัดสินใจไปพรรคไหน ต้องมีอุดมการณ์ตรงกัน ไม่ข้ามขั้วแน่นอน


"หมออ๋อง" ย้ำทุกสิ่งที่ทำตรงไปตรงมาด้วยเหตุผล ยันการตัดสินใจไปพรรคไหน ต้องมีอุดมการณ์ตรงกัน ไม่ข้ามขั้วแน่นอน

 

วันนี้ (29 กันยายน 2566) ที่อาคารรัฐสภา นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ได้ตอบคำถามผู้สื่อข่าว ภายหลังแถลงข่าวแนวทางการทำงาน เนื่องจากวานนี้ (28 ก.ย.) พรรคก้าวไกลมีมติให้พ้นจากสมาชิกภาพ

 

โดยนายปดิพัทธ์ ระบุว่า การตัดสินใจของพรรคก้าวไกลไม่ได้ตัดสินใจในระยะสั้น โดยได้มีการพูดคุยถึงทางเลือกต่าง ๆ ร่วมกัน แต่ว่าการพูดคุยสิ้นสุดแล้ว เพราะตนเองได้มอบฉันทามติให้พรรคก้าวไกลว่าพร้อมรับมติพรรค นับจากนี้ให้เป็นการตัดสินใจของตนเองว่าจะอยู่ที่พรรคไหน และแน่นอนต้องเป็นพรรคที่มีอุดมการณ์สอดคล้องกันกับตน และไม่ข้ามขั้วแน่นอน พร้อมยืนยันว่าขณะนี้ยังไม่มีการคุยอย่างเป็นทางการกับพรรคอื่น ๆ 

 

นายปดิพัทธ์ยังกล่าวอีกว่า ยังมีเวลา 30 วัน ตอนนี้เพิ่งจะวันที่ 1 ตอนนี้สิ่งที่ต้องการคือการกลับไปจังหวัดพิษณุโลก อยู่กับครอบครัว อยู่กับพื้นที่ และพูดคุยทำความเข้าใจกันกับคนพิษณุโลก ยังมีเวลาอีก 30 วัน ในการตัดสินใจอนาคตทางการเมือง

 

ซึ่งทุกอย่างสามารถชี้แจงได้ ไม่มีเงื่อนงำ ทุกอย่างที่พูดตรงไปตรงมาว่าทำด้วยเหตุผลอะไรบ้าง ผลการทำงานที่ผ่านมาและอนาคตจะเป็นบทพิสูจน์ว่าได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนหรือไม่ นายปดิพัทธ์ กล่าว

 

อ่านรายละเอียด เหตุผล 3 ข้อที่ต้องนั่งรองประธานสภาฯต่อ ได้ที่ https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=918793369614328&id=100044510196415&mibextid=Nif5oz

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #หมออ๋อง

นายกฯ เปิดอาคาร SAT-1 ชม “รบ.ทักษิณ” วิสัยทัศน์กว้างไกล วางโครงสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ ช่วยประหยัดงบประมาณ ต่อเติมได้รวดเร็ว เผยเตรียมเปิดรันเวย์ 3 ในปีหน้า

 


นายกฯ เปิดอาคาร SAT-1 ชม “รบ.ทักษิณ” วิสัยทัศน์กว้างไกล วางโครงสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ ช่วยประหยัดงบประมาณ ต่อเติมได้รวดเร็ว เผยเตรียมเปิดรันเวย์ 3 ในปีหน้า


วันนี้ (29 กันยายน 2566) ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จังหวัดสมุทรปราการ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานในพิธีเปิดให้บริการอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (Satellite 1: SAT-1) แบบ Soft Opening ณ อาคาร SAT-1 ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยมี สมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี, สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม, กีรติ กิจมานะวัฒน์ ผู้อำนวยการใหญ่ AOT และเจ้าหน้าที่ให้การต้อนรับ


นายกฯ กล่าวก่อนพิธีเปิดอาคาร SAT-1 ว่า สนามบินสุวรรณภูมิหลาย 10 ปีที่แล้ว ในการก่อสร้างสนามบิน โชคดีที่เราสร้างอุโมงค์ไว้ก่อน ทำให้การต่อเติมเป็นไปได้ง่ายขึ้น ซึ่งงบประมาณสมัยก่อนในการดำเนินการสร้างอุโมงค์ก็มีราคาถูก ตอนนี้ก็สามารถเชื่อมต่อกับ SAT-1ได้ดี ทำได้เร็วและเป็นประโยชน์มาก ซึ่งสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ทำไว้ก่อน เป็นวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล ทำให้ตอนนี้ประหยัดงบประมาณได้มาก ปัจจุบันถือว่าดีมาก และบังเอิญที่ประจวบเหมาะกับเวลาที่เราเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว ซึ่งเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ผ่านการท่องเที่ยว ถือว่าการท่าฯ ทำไว้ดีมาก ส่วนรถไฟฟ้า (APM) เชื่อมต่อจากสนามบิน แห่งที่ 1 มา SAT-1 ระยะทาง 1 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 1.5 นาที ซึ่งเมื่อวันที่ 28 กันยายน ได้เปิดวันแรกทดสอบนักท่องเที่ยวแล้ว


โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวเปิดงานช่วงหนึ่งว่า รู้สึกเป็นเกียรติและมีความความยินดีในการเปิดอาคาร SAT-1 วันนี้ รัฐบาลให้ความสำคัญกับการท่าอากาศยานไทยทั่วประเทศให้มีประสิทธิภาพ เนื่องจากเป็นหนึ่งในนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นหรือที่ตนใช้บ่อยว่าควิกวินผ่านการกระตุ้นการใช้จ่าย จุดประกายให้เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจให้กลับมาเติบโตอีกครั้ง 


การพัฒนาสนามบินเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวไม่เพียงแต่สร้างโอกาสให้กับเศรษฐกิจ  และเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เนื่องจากการท่องเที่ยวคือแหล่งรายได้ที่สำคัญและสามารถกระจายสู่ภาคประชาชนได้อย่างรวดเร็ว สามารถสร้างงานสร้างอาชีพและธุรกิจบริการที่เกี่ยวเนื่องกับภาคการท่องเที่ยวมากมาย การเปิดให้บริการอาคาร SAT-1 จะเพิ่มขีดความสามารถให้กับท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้อย่างต่อเนื่องควบคู่กับการเปิดรันเวย์3 ในปีหน้า


นอกจากนี้ขอให้ดูการบริหารและการบริการในสนามบินไม่ให้ติดขัด เพียงพอกับการรองรับผู้โดยสารที่จะเข้ามาจำนวนมาก ตนขอฝากผู้บริหารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดดูตรงนี้ด้วย เพราะตนเชื่อว่าการพัฒนาดังกล่าวจะส่งเสริมศักยภาพการบินในภูมิภาคและจะเกิดประโยชน์แก่ทุกภาคส่วนทั้งผู้ใช้บริการสายการบินและอุตสาหกรรมการผลิต ตลอดจนรองรับการค้าการลงทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในระยะยาว


หวังว่าทุกสิ่งที่รัฐบาลกำลังพยามพยามทำอยู่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้พัฒนาขึ้นและผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์การบินแห่งภูมิภาคในระยะเวลาอันใกล้ ทุกสิ่งที่รัฐบาลพยายามทำจะช่วยให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการบินระดับภูมิภาคในระยะเวลาอันใกล้ และให้ความมั่นใจนักท่องเที่ยวว่า ตั้งแต่คราวแรกที่เข้ามาในประเทศประเทศไทยและการก้าวออกไปเป็นประสบการณ์ที่มีคุณค่าและกลับมาเยือนประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง รัฐบาลนี้ให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวในทุกมิติและจะไม่หยุดยั้งการพัฒนาในส่วนนี้


โดยนายกรัฐมนตรีได้นำบัตรโดยสารจำลองวางบนเครื่องทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ และเยี่ยมชมร้าน ค้าโครงการหลวงภายในสนามบิน

                

สำหรับอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (อาคาร SAT-1) มีพื้นที่ใช้สอยภายในอาคาร 251,400 ตารางเมตร มีพื้นที่ลานจอดอากาศยานรวมกว่า 260,000 ตารางเมตร เป็นอาคารสูง 4 ชั้น มีชั้นใต้ดิน 2 ชั้น เชื่อมต่อกับ Main Terminal ด้วยอุโมงค์ใต้ดินระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตรทั้งขาออกและขาเข้าประเทศ ซึ่งคาดว่าจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารของสนามบินสุวรรณภูมิจาก 45 ล้านคนต่อปี เป็น 60 ล้านคนต่อปี


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #เศรษฐาทวีสิน 

#รัฐบาลเศรษฐา1 #สุวรรณภูมิ







"หมออ๋อง" แถลงชี้แจงและกำหนดท่าที หลังจากพรรคก้าวไกลมีมติขับออกจากพรรค

 


“หมออ๋อง” แถลงชี้แจงและกำหนดท่าทีหลังจากพรรคก้าวไกลมีมติขับจากพรรค


วันนี้ (29 กันยายน 2566) ที่อาคารรัฐสภา ปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาฯ คนที่ 1 แถลงข่าวสืบเนื่องจากพรรคก้าวไกลมีแถลงการณ์และมีมติของทางพรรคได้ขับ  “ปดิพัทธ์” ออกจากการเป็นสมาชิก โดยวันนี้จะมีการชี้แจงและกำหนดท่าทีหลังจากนี้ไป


โดยปดิพัทธ์กล่าวว่า “สืบเนื่องตั้งแต่พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ประกาศลาออกจากการเป็นหัวหน้าพรรค เพื่อเปิดทางให้ที่ประชุมใหญ่ของพรรคก้าวไกลได้หัวหน้าพรรคคนใหม่ เพื่อให้พรรคก้าวไกลสามารถทำหน้าที่ฝ่ายค้านได้อย่างสมบูรณ์ ด้วยเงื่อนไขนี้ทำให้ผมไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่เป็นรองรองประธานสภาในฐานะสมาชิกพรรคก้าวไกลได้”


แม้อีกทางเลือกหนึ่งคือการลาออกจากตำแหน่งรองประธานสภาฯ เพื่อกลับไปเป็น แต่หลังจากการพิจารณาอย่างถ้วนถี่ ถ้าเลือกการลาออกจากตำแหน่งรองประธานสภาฯ จะส่งผลกระทบต่อการขับเคลื่อนวาระที่ผมได้ให้คำมั่นสัญญาไว้กับประชาชนและสภาผู้แทนราษฎร เพราะฉะนั้นผมจึงตัดสินใจหลังจากที่พรรคก้าวไกลได้มีกรรมการบริหารชุดใหม่ ผมจึงแสดงความจำนงว่าผมต้องการจะทำหน้าที่ในฐานะรองประธานสภาฯ คนที่ 1 ต่อไป ทำให้ผมไม่สามารถเป็นสมาชิกพรรคก้าวไกลได้อีกต่อไป


ปดิพัทธิ์ ได้กล่าวถึงเหตุผลที่ใช้ประกอบการตัดสินใจมีอยู่ 3 ส่วน ประการแรก ต้องการใช้วาระที่เหลือของสภานี้ ขับเคลื่อนนโยบายเพื่อยกระดับการทำงานของสภาผู้แทนราษฎรให้มีความโปร่งใส มีประสิทธิภาพสูง และเป็นของประชาชนตามที่ตนได้แถลงเอาไว้แต่ต้น


เรื่องสภาที่โปร่งใสนั้น ปดิพัทธ์ระบุว่าจะขับเคลื่อนให้มีการจัดเก็บและเผยแพร่ข้อมูลตามมาตรฐานสากล รวมถึงการเผยแพร่ข้อมูลที่เกี่ยวกับการทำงานของสภาทุกอย่าง เพื่อทำให้ทุกภาคส่วน สามารถนำไปวิเคราะห์ได้ และเป็นรูปแบบของ machine readable (แนวทางการจัดเก็บข้อมูลที่สามารถนำไปใช้ประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์ต่อได้) ทั้งหมด เช่น ในสภานะของร่างกฎหมาย ผลการลงมติ รายงานประชุม งบประมาณสภา ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะต้องทำให้โปร่งใสให้ได้


และในปีหน้า เมื่อมีความพร้อมในการตรวจรับสภามากขึ้น ปดิพัทธ์จะยกระดับการตรวจจับใบหน้า หรือ ‘face detection’ เพื่อป้องกันปัญหาการเสียบบัตรแทนกันในสภา


ส่วนของสภาประสิทธิภาพสูง ปดิพัทธ์กล่าวว่า จะขับเคลื่อนให้สภานำเทคโนโลยีทันสมัยมาประยุกต์ใช้ในการทำงาน ผ่านการออกนโยบาย ‘cloud first policy’ นำไปสู่การประหยัดต้นทุนด้านธุรการและความปลอดภัยในการเก็บเอกสาร


ทั้งปดิพัทธ์ยังต้องการที่จะขับเคลื่อนสภา โดยคิดถึงความยั่งยืนในการบริหารจัดการ ส่งเสริมการผลิตและใช้พลังงานสะอาดในอาคารรัฐสภา เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับเจ้าหน้าที่และผู้ใช้บริการในการใช้ยานพาหนะที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุด


ในส่วนสภาของประชาชน ที่ปดิพัทธ์กล่าวถึงนั้น ก็จะเป็นการขับเคลื่อนให้สภายึดโยงกับประชาชนและฟื้นฟูความเชื่อมั่นของประชาชนต่อการเมืองไทยในระบบรัฐสภา ผ่านการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยเฉพาะเยาวชน การเปิดใช้พื้นที่รองรับกิจกรรมและการแสดงออกทางการเมือง อย่างลานประชาชนจะเปิดใช้ในวันที่ 10 ธันวาคมนี้


ปดิพัทธ์กล่าวต่อว่า ต้องการขับเคลื่อน ‘สภาสรรจร’ เพื่อนำพากลไกลของสภาไปใกล้ชิดกับประชาชนทุกพื้นที่ โดยเฉพาะผู้ที่ไม่มีสิทธิเลือกตั้ง หรือผู้ที่อยู่ชายขอบซึ่งเป็นพลเมืองของประเทศไทย และจะเดินหน้าในการตรวจรับสภาให้ไม่มีการทุจริต ให้มีความรับผิดชอบต่อความล่าช้า และจะทำให้ประชาชนรู้ว่างบประมาณจากภาษีของประชาชนนั้นเป็นประโยชน์ของใคร


ข้อที่ 2 ปดิพัทธ์ยังต้องการปฏิบัติหน้าที่รองประธานสภาอย่างเป็นกลางต่อทุกพรรคการเมืองในสภาและต่อประชาชนทุกชุดความคิดไม่ว่าตนจะสังกัดพรรคใดก็ตาม ดังนั้นการที่ต้องเปลี่ยนพรรคต้นสังกัดจึงจะไม่ส่งผลกระทบต่อหน้าที่และแผนงานในฐานะรองประธานสภา


ข้อที่ 3 มั่นใจว่าพรรคก้าวไกลมีบุคลากรและมีความพร้อมในการจะดูแลความทุกข์ร้อนของงประชาชนชาวพิษณุโลกเขต 1 แน่นอน โดยเขาจะยังเป็น สส.ที่ได้รับความไว้วางใจจากชาวพิษณุโลก และการตัดสินใจครั้งนี้ตนก็ได้สอบถามพี่น้องประชาชนในเขตและทั่วประเทศอย่างคร่าว ๆ เรียบร้อยแล้ว “ผมมั่นใจว่าการทำหน้าที่ในการเป็นร้องประธานสภาฯ ของตนนั้น เป็นประโยชน์ต่อการดูแลทุกข์สุขของชาวพิษณุโลกเฉกเช่นเดิม “


แต่ในการทำงานในฐานะพรรค พรรคจะต้องตัดสินใจเอง และปดิพัทธ์เชื่อว่าพรรคก้าวไกลจะมีบุคลการในฐานะของพรรคก้าวไกลในพิษณุโลกเขต 1 ได้ ซึ่งพรรคยังมี สส.พรรคก้าวไกลในพิษณุโลกอีก 1 คน และทีมงานที่อยู่กับทีมจังหวัดของพิษณุโลก ก็จะทำงานร่วมกับตนเหมือนที่เคยรับผิดชอบมาก่อน


ปดิพัทธ์กล่าวต่อว่า “ผมขอน้อมรับมติของพรรคก้าวไกลที่ต้องการทำหน้าที่ฝ่ายค้านให้สมบูรณ์แบบ และพรรคก้าวไกลได้ตัดสินใจให้สมาชิกภาพของผมในฐานะสมาชิกก้าวไกลนั้นได้ยุติลง"


จากนี้เป็นต้นไปนะครับ ไม่ว่าผมจะไปสังกัดพรรคการเมืองใด ผมจะผลักดันการทำงานของสภาอย่างเต็มที่ ตามที่ได้ให้คำมั่นสัญญาเอาไว้ ในฐานะรองประธานที่เป็นกลางต่อทุกพรรคและเป็นรองประธานสภาฯ ของพี่น้องประชาชนทุกคนครับ” ปดิพัทธ์กล่าวในที่สุด


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #หมออ๋อง #ก้าวไกล

ประกาศแยกทาง 'ก้าวไกล' ออกแถลงการณ์ขับ'ปดิพัทธ์ สันติภาดา' ออกจากสมาชิกพรรค ย้ำ พรรคขอเดินหน้าเป็น“ฝ่ายค้านโดยสมบูรณ์”

 


ประกาศแยกทาง 'ก้าวไกล' ออกแถลงการณ์ขับ'ปดิพัทธ์ สันติภาดา' ออกจากสมาชิกพรรค ย้ำ พรรคขอเดินหน้าเป็น“ฝ่ายค้านโดยสมบูรณ์”


วันนี้ (28 กันยายน 2566) พรรคก้าวไกล ออกแถลงการณ์กรณีให้ นายปดิพัทธ์ สันติภาดา สส.พิษณุโลก เขต 1 พ้นจากสมาชิกภาพของพรรคก้าวไกล โดยมีใจความระบุว่า


เรียนพี่น้องประชาชนผู้ทรงอำนาจสูงสุดในประเทศ


นับจากนี้ไป พรรคก้าวไกลจะมุ่งมั่นเดินหน้าทำงานเต็มที่ในฐานะ “ฝ่ายค้าน” เราจะทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลอย่างตรงไปตรงมา พร้อมกับผลักดันวาระการเปลี่ยนแปลงที่ก้าวหน้า และเตรียมความพร้อมในการเป็นรัฐบาลที่ดีของประชาชนในการเลือกตั้งครั้งถัดไป


ในวันนี้ (28 กันยายน 2566) คณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่และผู้แทนราษฎรของพรรคก้าวไกลจึงได้ประชุมร่วมกัน เพื่อวางแนวทางการทำงานที่รองรับเป้าหมายของพรรค ดังต่อไปนี้ :


1. ที่ประชุมร่วมฯ เห็นตรงกันว่า พรรคก้าวไกลควรเดินหน้าเป็น “ฝ่ายค้านโดยสมบูรณ์” ตามเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน โดยให้หัวหน้าพรรคคนใหม่ ชัยธวัช ตุลาธน รับตำแหน่ง “ผู้นำฝ่านค้านในสภาผู้แทนราษฎร” เพื่อกำกับทิศทางการทำหน้าที่ในสภาฯ ของฝ่ายค้าน


2. ที่ประชุมร่วมฯ เข้าใจว่า การตัดสินใจดังกล่าวจะทำให้ สส. จากพรรคก้าวไกล ไม่สามารถดำรงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรหรือรองประธานสภาผู้แทนราษฎรได้ ตามที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญ มาตรา 106


3. ที่ประชุมร่วมฯ รับทราบจากหัวหน้าพรรคว่า ทางคณะกรรมการบริหารพรรคได้หารือประเด็นดังกล่าวกับ ปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคก้าวไกลแล้ว โดย ปดิพัทธ์ ได้แสดงความประสงค์ว่าต้องการทำหน้าที่ในฐานะรองประธานสภาผู้แทนราษฎรต่อไป เพื่อผลักดันให้สภา มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และยึดโยงกับประชาชนมากขึ้น ตามนโยบายที่ได้แถลงไว้ก่อนหน้า รวมถึงเพื่อช่วยผลักดันให้กระบวนการตรวจรับอาคารรัฐสภา ซึ่งมีสัญญาก่อสร้างมูลค่ากว่า 12,000 ล้านบาท มีความโปร่งใส


4. ที่ประชุมร่วมฯ เห็นด้วยว่าภารกิจที่ปดิพัทธ์ ตั้งใจขับเคลื่อนจะนำไปสู่การยกระดับการทำงานของสภา และเป็นการปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน แต่ที่ประชุมร่วมฯ ยังคงยืนยันถึงความสำคัญของการทำหน้าที่เป็น “ฝ่ายค้านโดยสมบูรณ์” ซึ่งจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้หาก ปดิพัทธ์ ยังคงดำรงสถานะเดิมในฐานะรองประธานสภา จากพรรคก้าวไกล


5. ที่ประชุมร่วมฯ จึงมีมติว่า ในเมื่อ ปดิพัทธ์ ยังคงยืนยันความประสงค์จะทำงานในฐานะรองประธานสภาต่อ พรรคก้าวไกลจึงจำเป็นต้องให้ปดิพัทธ์ออกจากการเป็นสมาชิกพรรคของพรรคก้าวไกล ตามบทบัญญัติแห่งข้อบังคับพรรคก้าวไกลและรัฐธรรมนูญ เพื่อให้พรรคก้าวไกลสามารถทำหน้าที่เป็น “ฝ่ายค้านโดยสมบูรณ์” ได้ อันเป็นเงื่อนไขที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อการทำงานของพรรคหลังจากนี้


6. ที่ประชุมร่วมฯ หวังว่า แม้ ปดิพัทธ์ จะไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคก้าวไกลอีกต่อไป แต่เขาจะยังขับเคลื่อนนโยบายตามที่ได้เคยให้คำมั่นสัญญาไว้ก่อนถูกรับเลือกโดยสภาผู้แทนราษฎร และต้องวางตนเป็นกลางต่อทุกพรรคการเมืองในการปฏิบัติหน้าที่ตามที่ถูกกำหนดในรัฐธรรมนูญ มาตรา 80


พรรคก้าวไกลขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนทุกคน มาร่วมกับเราในการเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ไปด้วยกัน


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #หมออ๋อง #ก้าวไกล

วันพฤหัสบดีที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2566

“โรม” ชงเปลี่ยนระบบเลือก ผบ.ตร.ใหม่ บังคับแสดงผลงาน-วิสัยทัศน์-ให้ ตร.โหวตผ่านแพลตฟอร์ม มั่นใจขจัดปัญหาตั๋วและเส้นสายได้

 


“โรม” ชงเปลี่ยนระบบเลือก ผบ.ตร.ใหม่ บังคับแสดงผลงาน-วิสัยทัศน์-ให้ ตร.โหวตผ่านแพลตฟอร์ม มั่นใจขจัดปัญหาตั๋วและเส้นสายได้ 


วันที่ 28 กันยายร 2566 รังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ได้ร่วมยื่นญัตติด่วนตามข้อบังคับข้อที่ 54 เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาปัญหาความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อส่งความเห็นและข้อร้องเรียนให้คณะรัฐมนตรีเพื่อนำไปสู่การปฏิรูปตำรวจต่อไป  


รังสิมันต์ ได้อภิปรายโดยยกกรณีปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในวงการตำรวจที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องมีการปฏิรูปตำรวจ โดยในช่วงหนึ่ง รังสิมันต์ ได้อภิปรายถึงข้อเสนอ 3 วิธีการเลือก ผบ.ตร. ให้มีความโปร่งใส โดยระบุว่าสามารถทำโดยอาศัย พ.ร.บ.ตำรวจปัจจุบันได้ ไม่ต้องแก้กฎหมาย


โดยทั้ง 3 ข้อเสนอนั้น ประกอบด้วย 1) การเปิดให้รอง ผบ.ตร. ที่ต้องการเป็น ผบ.ตร. ต้องสมัครรับเลือก พร้อมเอกสารแสดงผลงานประกอบการพิจารณา เพื่อนำมาแสดงให้กรรมการกลั่นกรองได้ใช้ดุลพินิจและให้ความเห็น


2) การแสดงวิสัยทัศน์ต่อสังคม ประชาชน และตำรวจ ได้เห็นว่าผู้สมัครแต่ละคนมีวิสัยทัศน์อย่างไร จะเปลี่ยนแปลงองค์กรตำรวจอย่างไร จะทำให้ชีวิตของตำรวจดีขึ้นอย่างไร ให้ตำรวจทั่วประเทศได้รับรู้ และสังคมได้แสดงความคิดเห็น


3) จัดทำแพลตฟอร์มออนไลน์ ให้ตำรวจสามารถลงคะแนนเลือก รอง ผบ.ตร. ที่แต่ละคนเห็นว่าสมควรได้เป็น ผบ.ตร. มากที่สุด โดยไม่ต้องถึงขั้นให้การลงคะแนนนี้เป็นตัวชี้วัดก็ได้ แต่ให้อย่างน้อยเป็นการหยั่งเสียงของตำรวจชั้นผู้น้อย ให้นายกรัฐมนตรีได้ข้อมูลนำไปประกอบการพิจารณาต่อไป


รังสิมันต์อภิปรายต่อไป ว่าสามขั้นตอนนี้ถ้าทำได้ องค์กรตำรวจจะหมดข้อครหาเรื่องตั๋ว เส้นสาย และการเลือกคนมาเป็น ผบ.ตร. ที่ไม่มีความชอบธรรม นี่คือสิ่งที่นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้บังคับบัญชาของตำรวจ สามารถทำได้ทันที ซึ่งตนเชื่อว่าจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงให้องค์กรตำรวจดีขึ้นได้


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์  #ปฏิรูปตำรวจ #ก้าวไกล  #ประชุมสภา

‘รมว.กลาโหม ’เคลียร์ 3 ปม ‘น้ำมันทหาร 2 แสนลิตร’ หาย สัปดาห์หน้ารู้ข้อเท็จจริง ยันมีคนผิดต้องรับผิดชอบ ด้าน ‘เรือดำน้ำ’ ขอรอ ‘ผบ.ทร.’ ส่งรายงาน ขณะที่การ ‘กู้เรือหลวงสุโขทัย’ ยันไม่เอื้อประโยชน์ใคร

 


รมว.กลาโหม’ เคลียร์ 3 ปม ‘น้ำมันทหาร 2 แสนลิตร’ หาย สัปดาห์หน้ารู้ข้อเท็จจริง ยันมีคนผิดต้องรับผิดชอบ ด้าน ‘เรือดำน้ำ’ ขอรอ ‘ผบ.ทร.’ ส่งรายงาน ขณะที่การ ‘กู้เรือหลวงสุโขทัย’ ยันไม่เอื้อประโยชน์ใคร

 

วันที่ 28 กันยายน 2566 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานที่ประชุม

 

นายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม ลุกขึ้นตอบกระทู้ถามสดต่อที่ประชุมสภาฯ กรณีน้ำมันของหน่วยงานทหารที่ จ.สระบุรี หาย จำนวน 2 แสนลิตร ซึ่งตั้งถามโดยนายจิรัฎฐ์ ทองสุวรรณ สส.ฉะเชิงเทรา พรรคก้าวไกล ว่า กองทัพได้ตรวจสอบ และพบว่ามีเบาะแสรวมถึงความพิรุธ เบื้องต้นพบว่าน้ำมันดีเซลหาย 2.5 แสนลิตร ส่วนที่ตั้งข้อสังเกตว่ามีความล่าช้านั้น เป็นกระบวนการตรวจสอบที่ต้องทำให้รอบคอบก่อนจะลงโทษผู้กระทำผิด โดยภายในสัปดาห์สรุปผลเสนอ ผบ.ทบ. ได้ โดยผู้กระทำผิดต้องได้รับโทษทางวินัย และทางอาญา รวมถึงสิ่งของทางราชการต้องได้คืนในทางแพ่ง เพื่อให้ได้คนที่ทำผิดจริง การสอบสวนต้องละเอียด ซึ่งไม่ใช่ความล่าช้า เมื่อมีของหายปี 2565 และตรวจพบในปี2566 ตนมองว่าไม่ล่าช้า

 

ในการทำงานของผมยึดหลักคนดีก็ชม คนไม่ดีต้องจัดการ หากพบว่าสิ่งใดที่ทำมาในสิ่งที่ต้องการให้กำลังใจ หากทำนอกเหนือจากนั้นไม่ต้องปกป้อง ต้องดูต่อไป ทั้งนี้ผมไม่มีเจตนาปกป้องกองทัพ หรือให้ร้ายใครหากไม่อยู่ในฐานที่มีความผิดจริง ซึ่งมาตรการลงโทษที่เอาจริงจะเป็นการปรามไม่ให้เกิดเหตุอีก พร้อมกับกำชับการตรวจสอบภายในที่ต้องเข้มแข็ง คือ ระหว่างหน่วย, การส่งกำลังบำรุงและการใช้จริง, ใช้กรรมการตรวจจากจเรรทหาร และชุดตรวจพิเศษ ซึ่งผมจะกำกับให้เป็นมาตรการที่จะใช้อย่างจริงจังต่อไป” นายสุทิน กล่าว

 

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า นายจิรัฎฐ์ ได้ถามกระทู้สดนอกเหนือประเด็นที่ตั้งคำถาม คือ ประเด็นปัญหาการจัดซื้อเรือดำน้ำ ของ กองทัพเรือ หลังจากที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ และรมว.คลัง ได้หารือกับทางเยอรมันเพื่อแก้ปัญหากับเครื่องยนต์ รวมถึงได้ซักถามถึงกรณีที่กองทัพ ตั้งงบ 300 ล้านบาท เพื่อนำมาใช้ในระบบสื่อสาร ทั้งที่ควรเป็นระบบที่ติดตั้งมาพร้อมกับเรือ รวมถึงปัญหาของระดับความลึกในทะเลที่ไม่เหมาะสม พร้อมกับเสนอแนะให้ยกเลิกโครงการ

 

นายสุทิน ชี้แจงว่า เรือดำน้ำสั่งซื้อจากจีน แต่เครื่องยนต์ไม่ตรงสเปค คือ คนจัดซื้อและกองทัพเรือ ซึ่งต้องรอให้กองทัพเรือพิจารณาก่อนส่งต่อมายังตนฐานะรมว.กลาโหมให้พิจารณา หากตนไม่เห็นด้วยจะส่งให้ ครม. พิจารณา ทั้งนี้ในขั้นตอนขณะนี้อยู่ในกระบวนการของกองทัพเรือที่ต้องพิจารณาและมีข้อสรุป โดยขณะนี้ยังไม่มีประเด็นที่ส่งมายังตนให้พิจารณา

 

ผมทราบว่า ผบ.ทร. คนที่จะเกษียณ ว่าสรุปว่าจะเดินหน้าต่อ ซึ่งผมยังรอเรื่องที่เป็นข้อสรุปจากกองทัพเรืออีกครั้ง ดังนั้นผมยังไม่สามารถให้คำตอบใดๆ ได้ หากผมด่วนสรุปจะไม่เป็นไปตามขั้นตอน ทั้งนี้ กรอบการดำเนินการการจัดซื้อระหว่างประเทศ คือ จีนกับเยอรมันมีกรอบอยู่ที่เดือนธันวาคม ดังนั้นยังมีรายละเอียดที่พอพิจารณาได้ 2-3เดือน” นายสุทิน กล่าว

 

รมว.กลาโหม ชี้แจงด้วยว่า ส่วนกรณีที่นายกฯ เจรจากับประเทศเยอรมันนั้น เป็นมาตรการเสริม ทางใดที่รักษาประโยชน์ของประเทศมากที่สุด ในภาวะปกติ จะเจรจากับผู้ขายไม่ได้ แต่ขณะนี้ไม่ปกติ เพราะทราบว่าจะไม่เกิดตามสัญญาทำให้ไทยเสียประโยชน์ ดังนั้นทางใดที่เป็นประโยชน์จึงต้องดำเนินการเพื่อไม่ให้กองทัพเสียประโยชน์ ส่วนรายละเอียดที่นายกฯ ไปเจรจาตนยังไม่ทราบรายละเอียด

 

รมว.กลาโหม ยังตอบคำถามถึงการกู้เรือหลวงสุโขทัยล่ม ด้วยว่า เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นในรัฐบาลที่ผ่านมา ส่วนตนรับตำแหน่ง 2-3เดือน ดังนั้นต้องติดตามเรื่อง ทั้งนี้ตนให้ฝ่ายจเรทหารสอดส่องดูแลหากพบความไม่ชอบมาพากล หรือ นอกเหนือระเบียบราชการ หรือเอื้อประโยชน์ให้กับใคร ตนจะจัดการแน่นอน ไม่ปล่อย

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #รมวกลาโหม #ประชุมสภา

“มานพ” แสดงความผิดหวังคดี “ชัยวัฒน์” อุ้มฆ่า “บิลลี่” ตัดสินแค่โทษ 157 แต่ยกฟ้องอุ้มฆ่าอำพรางศพ ทั้งที่เป็นหัวใจหลักของคดี หวัง พ.ร.บ.อุ้มหาย ได้บังคับใช้จริงจัง กันเหตุอุ้มฆ่าไม่ให้เกิดขึ้นอีก

พิธาร่วมกิจกรรมคัดค้านเหมืองถ่านหินอมก๋อย ประชาชนแห่ต้อนรับอบอุ่น

 


พิธาร่วมกิจกรรมคัดค้านเหมืองถ่านหินอมก๋อย ประชาชนแห่ต้อนรับอบอุ่น

 

วันที่ 28 กันยายน 2566 พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ร่วมเสวนากิจกรรม "ชัยชนะจะสมปองต้องต่อสู้ : 4 ปี แห่งการไม่สยบยอมให้อมก๋อยกลายเป็นเหมืองถ่านหิน" ที่ภาคประชาสังคมและประชาชนในพื้นที่อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ ร่วมกันจัดขึ้น

 

โดยพิธา กล่าวว่าในฐานะพรรคการเมือง หน้าที่แรกของเราในกระบวนการนิติบัญญัติ คือการเสนอร่างกฎหมายเปลี่ยนแปลงประเทศ ในประเด็นนี้เราแบ่งเป็น 4 มิติ นั่นคือ

 

เราเห็นความไม่ยุติธรรมในการจัดสรรทรัพยากร มีที่ดินป่าสงวน ที่อุทยาน ฯลฯ นับล้านไร่ที่ประชาชนและหน่วยงานท้องถิ่นไม่สามารถทำอะไรได้ ไม่สามารถก่อสร้างถนน เดินสายไฟฟ้า แต่เมื่อเป็นนายทุนก็สามารถขออนุญาตสัมปทานรัฐทำเหมืองแร่ได้ไม่ยาก สุดท้ายก็คือ คนอื่นอยู่ได้แต่คนในพื้นที่อยู่ไม่ได้ นี่คือความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงทรัพยากร โดยเพาะอย่างยิ่งในกลุ่มชนเผ่าพื้นเมือง พรรคก้าวไกลจึงเสนอชุดกฎหมายปฏิรูปที่ดินทั้งระบบให้ประชาชนได้รับความเป็นธรรม นี่คือมิติแรก

 

มิติที่สอง คือร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการกำกับดูแลรักษาและส่งเสริมสิ่งแวดล้อม เช่นร่าง พ.ร.บ.เหมืองแร่ - สิ่งแวดล้อม - การรายงานการปลดปล่อยและการเคลื่อนย้ายมลพิษ (PRTR)

 

มิติที่สาม ในขณะที่ตนกำลังพูดอยู่นััน ศาลก็กำลังอ่านคำพิพากษาเจ้าหน้าที่อุทยานแก่งกระจานที่อาจมีความผิดในคดีการเสียชีวิตของบิลลี่ พอละจี รักจงเจริญ นักปกป้องสิทธิมนุษยชนกะเหรี่ยงบางกลอย เหตุการณ์ทำนองนี้ยังเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นมิติที่สามจึงมีความสำคัญ สำหรับการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของผู้ที่ออกมาวิจารณ์คัดค้านโครงการต่างๆ ของรัฐ เช่นกฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปากหรือ Anti-SLAPP รวมถึงกฎหมายป้องกันและปราบปรามการอุ้มหายซ้อมทรมาน ที่ผ่านสภาได้สำเร็จในสภาชุดที่แล้ว

 

ส่วนในมิติที่สี่ คือประเด็นที่เกี่ยวข้องในการยกระดับคุณภาพชีวิตและความเสมอภาคของพี่น้องประชาชน เช่น ร่างกฎหมายการศึกษา การพัฒนาสาธารณูปโภค น้ำประปาดื่มได้ ความเสมอภาคทางเพศ ชาติพันธุ์ สิทธิของชนเผ่าพื้นเมือง ฯลฯ

 

ทั้งหมดนี้คือเรื่องที่ผ่านมา แต่ผมจะขอพูดเรื่องอนาคตบ้าง ในทิศทางภาพใหญ่ของโลก รัฐบาลไทยควรต้องประกาศได้แล้วว่าอย่างช้าที่สุด ภายในปี 2578 จะปลดระวางถ่านหินให้หมดไปจากประเทศไทย

 

และเราสามารถเริ่มใช้และเพิ่มสัดส่วนใช้พลังงานสะอาดได้ทันที และพี่น้องประชาชนสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดขายเข้าระบบโดยได้ราคาเป็นธรรมได้ เช่นโซลาร์พาวเวอร์ นั่นคือหลักการของประชาธิปไตยทางพลังงาน”

 

โดยหลังจากวงเสวนา พิธาได้ร่วมชมนิทรรศการการต่อสู้และร่วมกับประชาชนเพื่อเดินรณรงค์ปกป้องพื้นที่ทำกินของพี่น้องปนะชาชน

 

โดยหลังจากนี้ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค มีกำหนดการร่วมกับ สส. พรรคก้าวไกล จัดเวที “ก้าวต่อไปเชียงใหม่ท้องถิ่น" ที่สนามฟุตบอลหญ้าเทียม เทศบาลเมืองแม่เหียะ จ.เชียงใหม่ วันศุกร์ที่ 29 กันยายน 2566 เวลา 15.00 น. เป็นต้นไป

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #คัดค้านเหมืองแร่ #อมก๋อย #พิธา




“จิรัฏฐ์” ถาม “สุทิน” กลางสภา กรณีน้ำมันหาย-เรือดำน้ำ-กู้รล.สุโขทัย ติงชมกองทัพทั้งที่เรื่องฉาวไม่คืบ

 


จิรัฏฐ์” ถาม “สุทิน” กลางสภา กรณีน้ำมันหาย-เรือดำน้ำ-กู้รล.สุโขทัย ติงชมกองทัพทั้งที่เรื่องฉาวไม่คืบ

 

วันที่ 28 กันยายน 2566 ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร จิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ สส. ฉะเชิงเทรา พรรคก้าวไกล ได้ตั้งกระทู้สดด้วยวาจา ถามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สุทิน คลังแสง ในสามประเด็นใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับกองทัพ

 

ในประเด็นแรก จิรัฏฐ์ได้ถามถึงกรณีน้ำมันและกระสุน หายไปจาก มทบ.18 จ.สระบุรี โดยระบุว่าปัญหาของหายจากกองทัพไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก เมื่อข้อมูลหลุดออกมาครั้งหนึ่งก็จะมีการตั้งคณะกรรมการสอบ แต่ที่ทำให้ตนกังวล คือที่ผ่านมาไม่เคยมีการเปิดเผยถึงความคืบหน้าในการสืบสวนสอบสวนออกมาหลังจากนั้นเลย

 

เป็นที่ทราบอยู่แล้ว ว่าการที่น้ำมันหายไปกว่า 2 แสนลิตร ไม่ใช่การหายไปเฉยๆ แน่นอนอยู่แล้ว ต้องมีผู้ที่รับผิดชอบ ซึ่งแน่นอนว่าต้องเป็นระดับผู้บังคับบัญชาเท่านั้นที่สามารถทำให้หายได้จำนวนมากขนาดนี้ แต่ตนก็ต้องผิดหวังกับคำสัมภาษณ์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมที่ออกมาเมื่อวานนี้ ที่ระบุว่าต้องชื่นชมที่กองทัพกำลังดำเนินการสอบสวนอยู่

 

จิรัฏฐ์กล่าวต่อไป ว่าที่ตนไม่สบายใจเพราะไม่มีการปราม น้ำมันหายไปตั้งแต่ ก.ย. 2565 เพิ่งจะตั้งกรรมการเมื่อ มิ.ย. 2566 เท่ากับว่า 8 เดือนเพิ่งจะรู้ว่าน้ำมันหายไป 2 แสนลิตร เอกสารบอกจะส่งผลการตรวจสอบให้ ผบ.ทบ. ในเดือน พ.ค. 2566 ผ่านไปอีก 4 เดือนมาจนถึงวันนี้ รัฐมนตรียังบอกว่าสอบสวนไม่ทราบความคืบหน้าอีกอย่างนั้นหรือ และยังบอกว่าเขาทำดีอยู่แล้ว

 

รัฐมนตรีต้องทำได้มากกว่าแค่การออกมาปกป้องกองทัพ สามารถกำหนดมาตรการได้ว่าต้องเสร็จภายในกี่วัน จึงขอถามว่าในฐานะที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ท่านคิดจะทำอะไรนอกจากการชื่นชมบ้าง และมีมาตรการป้องกันไม่ให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกอย่างไร

 

ด้าน สุทิน ได้ตอบคำถามในประเด็นนี้ โดยระบุว่าในคำให้สัมภาษณ์ของตน ที่ว่าเป็นการตรวจสอบภายในที่กองทัพทำดีอยู่แล้วก็จริง แต่ตนก็ย้ำว่าสุดท้ายก็ต้องดูต่อไป ถ้าไม่ลงโทษกันหรือจบแค่นี้ก็มาว่ากัน ซึ่งหมายความว่าเราก็ต้องลงโทษเอง ไม่ได้ปล่อยปละละเลย กรณีที่เกิดขึ้นเป็นกระบวนการตรวจสอบของกองทัพที่ทำเป็นปกติ เป็นขั้นตอนจากการตรวจสอบภายใน ตรวจแล้วใช้ชุดจเรทหารลงไปตรวจอีก เมื่อตรวจแล้วก็ได้ผลอย่างที่ทราบว่ามีความสูญหายไป 2 แสนกว่าลิตร

 

สุทินยังกล่าวต่อไป ว่าการตรวจสอบนี้ถือว่าไม่ล่าช้าแล้วเมื่อเทียบกับการตรวจสอบที่หลายหน่วยงานรัฐเคยดำเนินการมา และจะเห็นการลงโทษภายในไม่นานนี้แน่นอน ขอให้ติดตามต่อไปว่าเมื่อตรวจสอบถึงขั้นนั้นแล้ว ตนจะปกป้องหรือลงโทษผู้กระทำผิดหรือไม่

 

คำถามต่อมา จิรัฏฐ์ได้ถามถึงความคืบหน้าในการเจรจาจัดซื้อเรือดำน้ำจากจีน ซึ่งเกิดปัญหาเครื่องยนต์จีนไม่เป็นไปตามสัญญา โดยระบุว่าเรื่องนี้ตนเฝ้ารอคำตอบมาตั้งแต่ที่รัฐมนตรีได้ดำรงตำแหน่งแล้ว ท่านยืนยันว่ามีคำตอบในใจแล้วว่าจะเอาอย่างไร เมื่อไม่นานนี้นายกรัฐมนตรีก็พูดในสภาอีกว่าจะไปเจรจากับนายกรัฐมนตรีเยอรมนี แต่ก็ไม่ทราบว่าได้รับคำตอบมาอย่างไรบ้าง

 

นี่เป็นเรื่องผลประโยชน์ของประเทศ ผบ.ทร. ก็เพิ่งลงนามอนุมัติเครื่องยนต์จีนก่อนเกษียณแค่ไม่กี่สัปดาห์ ประชาชนอยากได้คำตอบเพราะประเทศไทยกำลังจะได้เรือดำน้ำที่ใช้เครื่องยนต์รุ่นนี้เป็นลำแรกของโลก และที่นายกรัฐมนตรีจะไปเจรจากับจีน จะไปเจรจาว่าอย่างไร จะยกเลิกสัญญาขอค่าชดเชย หรือไปเจรจาแล้วยังได้เครื่องยนต์จีนอยู่เหมือนเดิม เรื่องของเครื่องยนต์เป็นเรื่องสำคัญ ถ้าผิดพลาดอาจมีคนตายได้

 

จิรัฏฐ์อภิปรายต่อไปว่านอกจากนี้ ข้อตกลงนี้ไม่ใช่ข้อตลงที่ดีที่สุด เพราะไม่มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีอะไรเลย ระบบสื่อสารก็เป็นคนละระบบกับระบบนาโต้ที่ประเทศไทยใช้อยู่ ความลึกอ่าวไทย เฉลี่ย 45 เมตร เรือของจีนมีระดับความลึกที่ปลอดภัยถึง 60 เมตร ยังมีข้อเสนอที่ดีกว่านี้มาก เช่นเรือดำน้ำที่อินโดนีเซียซื้อจากเกาหลีใต้ มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีเกิดขึ้น ย้อนไปเมื่อเกาหลีใต้ซื้อเรือดำน้ำจากฝรั่งเศส ก็ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากฝรั่งเศส ในอนาคตอินโดนีเซียก็อาจจะผลิตเรือดำน้ำของตัวเองได้จากการได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยี

 

ดังนั้น จะเห็นได้ว่าสิ่งที่ควรจะทำคือการทวงเงินคืน ในเมื่อเป็นการผิดสัญญาก็ยกเลิกได้ นำเงินที่จ่ายไปแล้วกลับมาซื้ออย่างอื่นหรือทำอย่างอื่น กรณีนี้จีนผิดสัญญาเต็มๆ คำถามคือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมีแนวทางอย่างไรกันแน่ และผลของการเจรจากับเยอรมนีของนายกรัฐมนตรีเป็นอย่างไร

 

ในส่วนของสุทิน ได้ตอบคำถามดังกล่าว โดยระบุว่ากรณีนี้ต้องเป็นไปตามขั้นตอน เริ่มต้นจากคนที่อยากใช้และคนจัดซื้อจัดจ้าง เบื้องต้นเรื่องอยู่ที่กองทัพเรือ เมื่อได้ข้อสรุปอย่างไรก็จะเสนอมาที่กระทรวงกลาโหม ถ้าเห็นชอบหรือไม่อย่างไรก็จะไปจบที่คณะรัฐมนตรี แต่จากข่าวคราวทั้งหมด ทุกอย่างยังคงเป็นขั้นตอนแรกที่กองทัพเรือเท่านั้น ยังมาไม่ถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เมื่อเรื่องนี้มาถึงตนก็จะตัดสินใจอีกครั้งแน่นอน

 

ทั้งนี้ ตนได้ทราบล่าสุดว่าทางกองทัพเรือมีข้อสรุปแล้วว่าจะเดินหน้าต่อ จะรายงานมาที่ตนอีกครั้ง ซึ่งตนก็รออยู่ยังมาไม่ถึง จะไปด่วนสรุปว่าจะยกเลิกหรือเดินหน้าต่อก็คงไม่ได้ แต่ถ้าเรื่องมาถึงเมื่อไหร่จะรีบศึกษาและตัดสินใจอีกครั้ง

 

ส่วนการเจรจาของนายกรัฐมนตรีกับนายกเยอรมนี เป็นเพียงมาตรการเสริม หากเป็นภาวะปกติการจะไปคุยแทนผู้ขายก็คงจะทำไม่ได้ แต่นี่คือภาวะที่ไม่ปกติ เรากำลังจะเสียประโยชน์ ดังนั้น เพื่อการปกป้องประโยชน์ของประเทศ ทางใดที่ทำได้ก็อยากจะทำ แต่ผลของการเจรจาเป็นอย่างไรนั้น ตนยังไม่ได้รับทราบ

 

จิรัฏฐ์ ยังได้ถามต่อไปในคำถามที่สาม ถึงกรณีการกู้เรือหลวงสุโขทัย โดยระบุว่าจากข้อมูลที่ออกมาในขณะนี้ เชื่อได้ว่ากองทัพเรือไม่ได้อยากกู้จริงๆ เพราะตั้งเงื่อนไข TOR ที่เกินความเหมาะสมไปมาก เช่น ต้องมีประสบการณ์ 10 ปี ในการทำงานที่ความลึก 50 เมตร ทั้งโลกมีเพียง 2 บริษัทเท่านั้นที่ทำได้ บริษัทที่เสนอราคาเข้ามามีบริษัทหนึ่งที่เป็นบริษัทร่วมทุนกับบริษัทที่เข้าเกณฑ์ดังกล่าว แต่อยู่ดีๆ ก็เกิดการล้มการประมูลและยังไม่เปิดใหม่มาจนถึงวันนี้ โดยอ้างว่าเอกสารไม่ครบ ทั้งที่ความสำคัญคือเทคนิคกับราคา ทั้งหมดนี้เป็นเพราะไม่อยากให้มีการกู้เรือเกิดขึ้นจริง และเป็นการดึงเรื่องให้เข้าหน้ามรสุมหรือไม่ จึงอยากถามว่าเรื่องนี้ทางรัฐมนตรีได้เข้าไปติดตามอย่างไรหรือไม่

 

ในส่วนของสุทิน ระบุว่าทั้งเรื่องของเรือดำน้ำและเรือหลวงสุโขทัยเกิดขึ้นในรัฐบาลก่อน ตนที่เพิ่งรับตำแหน่งได้สองสัปดาห์ก็ได้พยายามที่จะสืบสาวราวเรื่องราวเพื่อแก้ปัญหาให้ดีที่สุด เรื่องของการหาผู้กู้เป็นขั้นตอนของกองทัพเรือที่กำลังดำเนินการอยู่ แต่วันนี้ตนก็ได้ให้ฝ่ายเจรลงไปสอดส่องดูแลแล้ว ว่าถ้าเกิดความไม่ชอบมาพากล เดี๋ยวทางกระทรวงกลาโหมจะดำเนินการเอง อยากให้ทั้งสภาและตนได้ช่วยตรวจสอบกันต่อไป

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ก้าวไกล