วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566

“วิโรจน์-อภิชาติ” นำทีม สส.ก้าวไกล ลงพื้นที่โครงการกองทัพ “หนองวัวซอโมเดล” หลังประชาชนร้องเรียนถูกหลอกให้เซ็นคิดว่าจะออกโฉนดให้ กลายเป็นบังคับเช่าที่ดิน ยันอยู่มาก่อนกองทัพใช้ประโยชน์

 


วิโรจน์-อภิชาติ” นำทีม สส.ก้าวไกล ลงพื้นที่โครงการกองทัพ “หนองวัวซอโมเดล” หลังประชาชนร้องเรียนถูกหลอกให้เซ็นคิดว่าจะออกโฉนดให้ กลายเป็นบังคับเช่าที่ดิน ยันอยู่มาก่อนกองทัพใช้ประโยชน์

 

วันที่ 30 พฤศจิกายน 2566 ที่บ้านหนองแวงยาว ต.หนองวัวซอ อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี วิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ประธานคณะกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วย อภิชาติ ศิริสุนทร สส.บัญชีรายชื่อ เลขาธิการพรรคก้าวไกล ประธานคณะกรรมาธิการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร ร่วมวงพูดคุยรับฟังปัญหาประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากการผลักดันโครงการ “หนองวัวซอโมเดล” ซึ่งเป็นต้นแบบของโครงการส่งมอบที่ดินของกองทัพให้ประชาชน ที่ดำเนินการโดยกองทัพ เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่มาบุกรุกที่ดินกองทัพโดยผิดกฎหมายให้มีสิทธิทำกินโดยไม่ต้องอยู่ในสถานะบุกรุก

 

อย่างไรก็ตาม ในกรณีหนองวัวซอโมเดล ประชาชนที่ถูกให้เข้าร่วมโครงการยืนยันว่าพวกตนเป็นผู้อยู่อาศัยและทำกินมาก่อนกองทัพเข้าใช้พื้นที่เป็นสถานที่ซ้อมยิงปืนใหญ่หลายชั่วอายุคนแล้ว และเรียกร้องให้มีการพิสูจน์สิทธิ์เพื่อความเป็นธรรม แทนที่การผลักดันโครงการหนองวัวซอโมเดลให้พวกตนต้องเป็นผู้เช่าที่ดินที่ควรจะเป็นของพวกตนโดยชอบธรรม ซึ่งก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2566 ชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้เดินทางมารับฟังปัญหานี้ก่อนแล้วครั้งหนึ่ง ก่อนแนะนำให้ประชาชนรวบรวมเอกสารหลักฐานทั้งหมดที่มีอยู่ เพื่อยื่นให้กับประธานคณะกรรมาธิการทั้งสองคณะในวันนีัไปดำเนินการในสภาต่อไป

 

ตัวแทนประชาชนหลายราย ได้ให้ข้อมูลยืนยันว่าพวกตนไม่ใช่ผู้บุกรุกแน่นอน เพราะอยู่มา 3-4 ชั่วอายุคนแล้ว แต่ที่ผ่านมาไม่เคยมีกระบวนการพิสูจน์หรือตรวจสอบเอกสารสิทธิ์ และก่อนหน้านี้ยังมีการมาหลอกยึดเอาเอกสารสิทธิ์ของประชาชนไปหลายครั้งโดยอ้างว่าจะเอาไปทำให้ใหม่ แต่ก็ไม่เคยนำมาคืนให้ ส่วนโครงการหนองวัวซอโมเดล ประชาชนระบุว่ามีการมาทำให้เข้าใจผิดว่าจะเป็นการพิสูจน์สิทธิ์เพื่อออกโฉนดให้ มีการเอาเอกสารมาให้ประชาชนลงชื่อ อ้างว่าถ้าไม่เซ็นจะเสียสิทธิในการพิสูจน์สิทธิ์ จนมาทราบทีหลังว่าเป็นการเซ็นยอมรับที่จะเป็นผู้เช่าที่ดินจากกรมธนารักษ์ ซึ่งประชาชนไม่เห็นด้วยและไม่สามารถยอมรับได้

 

ในส่วนของวิโรจน์ ระบุว่าก่อนมารับฟังข้อเท็จจริงจากประชาชนในวันนี้ ตนได้พูดคุยกับกรมธนารักษ์มาแล้วครั้งหนึ่งในเวทีกรรมาธิการ กรมธนารักษ์อ้างว่าได้มาลงพื้นที่ด้วยตัวเองแล้ว ประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วยและยินยอมลงนามรับหนังสือสัญญาเช่า แต่จากการได้มาพบประชาชนวันนี้ ได้ข้อเท็จจริงในอีกทางหนึ่ง ว่าประชาชนไม่ได้เข้าใจอย่างที่กรมธนารักษ์ชี้แจง

 

ดังนั้น เท่ากับว่าข้อเท็จจริงที่กรมธนารักษ์ชี้แจงต่อกรรมาธิการกับสิ่งที่ตนได้ฟังจากประชาชนวันนี้ไม่ตรงกัน และเป็นที่ชัดเจนว่าแนวทางที่ดีที่สุดวันนี้คือการเดินหน้าเข้าสู่กระบวนการพิสูจน์สิทธิ์ ซึ่งใครที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ รู้อยู่แล้วว่ามาทีหลัง ตนแนะนำว่าให้เดินหน้าสู่กระบวนการเช่าไป แต่กรณีที่อยู่มาก่อน มีพยานหลักฐาน มีเอกสารสิทธิ์ ควรต้องเดินเข้าสู่กระบวนการพิสูจน์สิทธิ์เพื่อความถูกต้อง

 

ทั้งนี้ ตนขอแนะนำให้ประชาชนส่งตัวแทนกลุ่มหนึ่งไปติดต่อกรมธนารักษ์เพื่อขอถอนความประสงค์และนำชื่อออกจากโครงการ ส่วนตนจะใช้เวที กมธ.การทหาร เพื่อเชิญทั้งกรมธนารักษ์ มณฑลทหารบกที่ 24 และตัวแทนประชาชน ให้มาร่วมกันหารือ โดยประเด็นสำคัญคือจะต้องมีการขอถอนชื่อออกจากสัญญาก่อน และการเดินหน้าเพื่อนำไปสู่กระบวนการพิสูจน์สิทธิ์ต่อไป

 

ในส่วนของอภิชาติ ระบุว่าจากการสืบค้นข้อมูลเบื้องต้น พื้นที่แห่งนี้เดิมมีการระบุให้เป็นเพียงที่รกร้าง มีการจำแนกในปี 2504 เมื่อกองทัพมาขอใช้ และเพิ่งเป็นของธนารักษ์ตามมติ ครม. เมื่อปี 2509 และเมื่อหน่วยงานราชการตรวจสอบสภาพสถานะก่อนหน้านั้น ก็ไม่มีกฎหมายอื่นใดที่เกี่ยวข้องนอกจาก พ.ร.บ.ที่ดินหวงห้าม 2478 ขณะที่ประวัติศาสตร์การตั้งหมู่บ้านตั้งอย่างเป็นทางการ มีบันทึกตั้งแต่ปี 2468

 

ดังนั้น เมื่อไล่เรียงไทม์ไลน์ได้เป็นเช่นนี้ ว่าประชาชนมีการตั้งรกรากมาก่อน พ.ร.บ.สงวนหวงห้ามที่ดิน 2478 ก็สามารถสันนิษฐานได้ว่าประชาชนอยู่มานานแล้วจริง แต่ที่ผ่านมาไม่เคยมีกระบวนการพิสูจน์สิทธิ์เกิดขึ้นมาก่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียว ดังนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดเป็นอับดับแรกคือการนำไปสู่กระบวนการพิสูจน์สิทธิ์ นี่คือแนวทางหนึ่งที่สามารถทำได้ ส่วนอีกแนวทางหนึ่ง หากเกิดการพิสูจน์สิทธิ์แล้ว มีผู้ที่ไม่สามารถพิสูจน์สิทธิ์ไปถึงขั้นได้รับกรรมสิทธิ์ได้ ประชาชนอาจร่วมกันขอให้รัฐมีนโยบายให้ราชพัสดุยกที่ให้ ส.ป.ก. เพื่อจัดรูปที่ดินได้หรือไม่

 

เราไม่คัดค้านโมเดลในการจัดสรรที่ดินกองทัพให้ประชาขน แต่ต้องเป็นโมเดลที่ยกระดับสิทธิให้พี่น้องได้จริง ไม่ใช่ลิดรอนสิทธิ ก่อนที่มันจะกลายเป็นโมเดลที่ไม่ถูกต้อง โมเดลต้องเป็นสิ่งที่ให้สิทธิที่ดีกว่าสำหรับประชาชน แก้ปัญหาของประชาชนได้อย่างตรงจุด” อภิชาตกล่าว

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ก้าวไกล #หนองวัวซอโมเดล



“กมธ.งบฯ” ถกปัญหาภัยแล้ง-งบสร้างฝาย “ณัฐพงษ์” เผยร่างงบฯ ปี 67 จี้รัฐบาล ให้ชัดพ.ร.บ.กู้เงิน 5 แสนล้านขัดกฎหมายหรือไม่ มองย้อนแย้ง บอกแก้หนี้ให้ประชาชนแต่กลับสร้างหนี้สาธารณะกู้เงินดิจิทัล

 


กมธ.งบฯ” ถกปัญหาภัยแล้ง-งบสร้างฝาย “ณัฐพงษ์” เผยร่างงบฯ ปี 67 จี้รัฐบาล ให้ชัดพ.ร.บ.กู้เงิน 5 แสนล้านขัดกฎหมายหรือไม่ มองย้อนแย้ง บอกแก้หนี้ให้ประชาชนแต่กลับสร้างหนี้สาธารณะกู้เงินดิจิทัล

 

วันนี้ (30 พฤศจิกายน 2566) นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยถึงวาระการพิจารณาในวันนี้ ว่า กมธ.จะพิจารณาแก้ไขปัญหาภัยแล้งอันเนื่องมาจากสถานการณ์เอลนีโญ่ ซึ่งงบส่วนใหญ่ที่ตั้งขึ้นมาจะเป็นเกี่ยวกับการสร้างฝายเก็บน้ำในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยตั้งเป้าพิจารณาเพื่อการใช้งบประมาณ ให้เกิดความรอบคอบและมีความคุ้มค่าสูงสุด

 

โดยที่ผ่านมาคณะอนุกรรมาธิการงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ได้เชิญหน่วยงานมาชี้แจงวงเงินที่ตั้งขอมา 5.8 ล้านล้านบาท แต่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) อนุมัติหลักการเหลือ 3.48 ล้านล้านบาท ส่วนรายละเอียดโครงการต่าง ๆ คาดว่าจะเสนอเข้าสู่การพิจารณาของครม.ในวันที่ 26 ธ.ค.นี้ โดยจะนำข้อมูลที่ได้จากหน่วยงานมาประกบข้อมูลที่ออกมาจากสำนักงบฯ เพื่อดูว่าการจัดสรรงบประมาณระหว่างคำของงบประมาณกับที่สำนักงบประมาณอนุมัติมีความเหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการของประชาชนหรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าว

 

เมื่อถามว่า งบประมาณปี 67 ยังไม่มีส่วนที่เกี่ยวกับการกู้เงิน 5 แสนล้านบาทใช่หรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ในตัวงบประมาณปี 2567 ไม่มีงบที่เกี่ยวข้องกับการกู้เงิน 5 แสนล้านบาท ที่รัฐบาลจะนำไปใช้ในโครงการแจกเงินดิจิทัล วอเล็ต 10,000 บาท และมีความชัดเจนมาอยู่แล้วว่าแหล่งที่มาของเงินของโครงการดังกล่าว ไม่สามารถใช้ในและเงินจากงบประมาณเป็นหลักได้ ซึ่งรัฐบาลได้ชี้แจงมาแล้วว่าจะออกเป็น พ.ร.บ.กู้เงิน ซึ่งมีปัญหาหลายอย่างตามที่ทราบกัน เช่นจะขัดต่อกฎหมายวินัยการเงินการคลัง และกฎหมายหนี้สาธารณะหรือไม่ ขณะนี้รอความชัดเจนจากกฤษฎีกา ซึ่งในฐานะกรรมาธิการและประชาชนต้องการความชัดเจนเรื่องนี้

 

จากข้อมูลที่ได้จากการเรียกหน่วยงานมาให้ข้อมูลการของบประมาณปี 2567 พบว่ายังมีเรื่องระเบียบกระทรวงการคลัง กรมบัญชีกลางเกี่ยวกับการแบ่งชั้นผู้รับเหมา ที่ชี้ชัดว่าผู้รับเหมาชั้นพิเศษ ของกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท ระเบียบดังกล่าวเอื้อให้เกิดการฮั้วประมูลหรือไม่ จึงตั้งข้อสังเกตว่าผู้รับเหมาที่ประมูลงานปีละหลาย 10,000 ล้านบาทอาจมีการฮั้วประมูล จึงเรียกหน่วยงานเข้ามาชี้แจง เพื่อแก้ไขระเบียบต่าง ๆ นายณัฐพงษ์ กล่าว

 

สำหรับการทำหน้าที่ของฝ่ายค้านตั้งเป้าที่จะเปิดเผยแผนการของงบประมาณปี 67 ของหน่วยงานในวงเงิน 5.8 ล้านล้านบาทที่จะเข้าวาระพิจารณาสภาฯ ต้นมกราคม 2567 ให้สส.ทั้ง 500 คนช่วยอภิปรายตรวจสอบ เพราะสำนักงบประมาณเป็นหน่วยงานเดียวที่พิจารณาจัดสรรงบประมาณ และใช้หลักเกณฑ์ใด ที่ตัดเหลือ 3.48 ล้าน อีกทั้งงบฯปี 2567 ล้าช้ามากว่าครึ่งปี ซึ่งจะกระทบต่องบประมาณการลงทุน โครงสร้างพื้นฐานหรือการกระตุ้นเศรษฐกิจไม่สามารถเบิกจ่ายได้ จึงคาดหวังให้ร่างกฏหมายงบประมาณผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรโดยเร็ว

 

นายณัฐพงษ์ กล่าวถึงนโยบายแก้หนี้นอกระบบของรัฐบาล ว่า การแก้หนี้ให้ประชาชนถือเป็นประโยชน์ แต่การดำเนินการของรัฐบาลมีความย้อนแย้งในตัวเอง เนื่องจากรัฐบาลบอกจะแก้หนี้ให้ประชาชน แต่ขณะเดียวกันรัฐบาลกำลังจะออกพระราชบัญญัติกู้เงินสร้างหนี้สาธารณะให้ประชาชน จึงอยากเชิญชวนประชาชนตั้งคำถามต่อรัฐบาลว่ามีความเหมาะสมหรือไม่ในโครงการดังกล่าว

 

นายณัฐพงษ์ กล่าวด้วยว่า ในส่วนร่างพ.ร.บ.งบประมาณปี 68 ที่จะเข้าต่อจากพ.ร.บ.งบฯ 67 ทางกมธ.ตั้งใจจะให้ร่างพ.ร.บ.งบประมาณ ปี 68 เป็นร่างที่ฝ่ายนิติบัญญัติเสนอประกบกับร่างของฝ่ายบริหาร ซึ่งเราได้ตัวอย่างจากหลาย ๆ ประเทศที่ใช้รูปแบบดังกล่าว จึงคิดว่าในช่วงปลายปีนี้ที่เป็นช่วงกำหนดส่งคำของบประมาณปี 68 ของทุกหน่วยงาน เราก็จะเรียกทุกหน่วยรับงบประมาณชี้แจงคำขอ แบบเดียวกับที่ทำกับงบประมาณปี 67 แต่จะแตกต่างกันเล็กน้อยตรงที่ทางกมธ.จะมีเวลาพิจารณาเพิ่มขึ้น และสามารถให้ข้อเสนอกับสำนักงบฯได้ว่าร่างพ.ร.บ.งบฯ ที่ส.ส.ในฐานะตัวแทนประชาชนอยากเห็นนั้นเป็นอย่างไร

 

ส่วนขั้นตอนของร่างพ.ร.บ.งบฯ ปี 68 นั้น ประมาณกลางมกราคมปี 67 เป็นกำหนดส่งคำของบประมาณ หลังจากนั้นสำนักงบฯจะรวบรวม เพื่อส่งให้ครม.อนุมัติ

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #กรรมาธิการงบฯ #ดิจิทัลวอลเล็ต

“ภูมิธรรม” เผย พรบ ประมงพร้อมแล้ว เตรียมยื่นเข้า ครม. เชื่อคืนความเป็นธรรมให้ชาวประมงและอุตสาหกรรมประมง ได้สำเร็จ

 


ภูมิธรรม” เผย พรบ ประมงพร้อมแล้ว เตรียมยื่นเข้า ครม. เชื่อคืนความเป็นธรรมให้ชาวประมงและอุตสาหกรรมประมง ได้สำเร็จ


วันนี้ (30 พฤศจิกายน 2566) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการประมงทะเล เพื่อฟื้นฟูการประมงทะเลและอุตสาหกรรมการประมง ร่วมด้วยนายปลอดประสพ สุรัสวดี ที่ปรึกษาของรองนายกรัฐมนตรี แถลงความคืบหน้าการจัดเตรียมร่างพระราชบัญญัติการประมงของรัฐบาล


โดยนายภูมิธรรม กล่าวว่าเพื่อเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาให้พี่น้องชาวประมง และอุตสาหกรรมประมงไทยตามที่พรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำรัฐบาลเคยให้คำมั่นสัญญาไว้ เราได้มีการนำร่างกฎหมายที่เคยจัดทำไว้ร่วมกันตั้งแต่สมัยรัฐบาลที่แล้ว ระหว่างพรรคเพื่อไทยและสมาคมประมงต่างๆ กลับมาพิจารณาเพิ่มเติม ปรับปรุง เพื่อให้ครบถ้วนและสมบูรณ์มากขึ้น ตามที่ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการอย่างเร่งด่วน ให้เสร็จสิ้นภายใน 99 วันแรก ของการเข้ามาบริหารงานของรัฐบาลชุดนี้ จนบัดนี้ร่างกฎหมายได้ดำเนินการจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปจะนำเข้าคณะกรรมการแก้ไขปัญหาประมงชุดนี้ เพื่อมีมติให้ส่งให้ คณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นชอบต่อไป เชื่อว่าจะได้เข้าสภาต้นปีหน้าแน่นอน


ด้านนายปลอดประสพ กล่าวว่า สาระสำคัญในเรื่องของการแก้ไขปัญหาให้พี่น้องชาวประมงที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการออกกฎหมายเพื่อแก้ไขปัญหา IUU Fishing พ.ศ. 2558 ซึ่งมีปัญหาในการบังคับใช้หลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็น การตราพระราชกำหนดขึ้นบังคับใช้อย่างเร่งด่วน และไม่ได้รับการศึกษาไตรตรองอย่างถี่ถ้วน ส่งผลให้มีผู้ประกอบการประมงถูกดำเนินคดีนับหมื่นราย และมีเรือประมงกว่า 3,000 ลำ ถูกบังคับให้ต้องจอดเรือ ทำให้ผู้ประกอบกิจการประมง รวมไปถึงลูกจ้าง ไม่สามารถประกอบอาชีพได้ มีการกำหนดบทลงโทษที่รุนแรงเกินกว่าเหตุ ซึ่งทั้งหมดทั้งมวล ส่งผลต่อห่วงโซ่อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เช่น โรงงานน้ำแข็ง ห้องเย็น สถานีน้ำมัน สะพานปลา ตลาดปลา แพปลา และท่าเทียบเรือ นับหมื่นราย นำมาสู่การประสานการทำงานเพื่อศึกษาและนำร่างกฎหมายที่พรรคเพื่อไทยและสมาคมประมงได้จัดทำร่วมกันตั้งแต่สมัยรัฐบาลที่แล้วมาดำเนินการเพื่อผลักดันสู่การประกาศใช้เพื่อบรรเทาปัญหาอย่างเร่งด่วน นอกจากนี้การดำเนินการของคณะกรรมการเองในช่วงที่ผ่านมาก็ได้มีการปรับปรุง และยกเลิก กฎหมายลูกหลายฉบับที่สามารถทำได้ก่อนไปแล้วด้วย


ขณะที่นายภูมิธรรมกล่าวเสริมว่า “การแก้กฎหมายประมงครั้งนี้ จะเป็นการยกเลิกพระราชกฤษฎีกาประมงที่บังคับใช้ขึ้นอย่างไม่เป็นธรรม การพิจารณากฎหมายในสภาจะดำเนินการควบคู่กับการเจรจากับต่างชาติให้ยอมรับในแนวทางของไทย เชื่อว่าหากทั้ง 2 ส่วนบรรลุตามเป้าหมาย เราจะสามารถคืนความเป็นธรรมให้ชาวประมง และฟื้นคืนชีวิตให้อุตสาหกรรมประมงได้สำเร็จ”

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรบประมง




“พวงเพ็ชร” Kick off 7,000 เทศบาล อบต. โหลดแอป OCPB Connect ของ สคบ. ยกระดับการคุ้มครองผู้บริโภค กระจายสู่ท้องถิ่น ร้องทุกข์ online

 


“พวงเพ็ชร” Kick off 7,000 เทศบาล อบต. โหลดแอป OCPB Connect ของ สคบ. ยกระดับการคุ้มครองผู้บริโภค กระจายสู่ท้องถิ่น ร้องทุกข์ online


วันนี้ (30 พฤศจิกายน 2566) เวลา 09.30 น. ณ ห้องประชุมสำนักงานรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เป็นประธานเปิดโครงการพัฒนาศักยภาพการคุ้มครองผู้บริโภคในส่วนท้องถิ่น ในกิจกรรมเสริมสร้างและพัฒนาศักยภาพการดำเนินงานคุ้มครองผู้บริโภคขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (รูปแบบออนไลน์) โดยมี นายกฤช เอื้อวงศ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายธสรณ์อัฑฒ์ ธนิทธิพันธ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) คณะเจ้าหน้าที่ สคบ. และผู้เข้ารับการอบรมจากเทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบลทั่วประเทศ กว่า 7,000 แห่ง จำนวนกว่า 30,000 คน เข้าร่วมผ่านระบบออนไลน์


นางพวงเพ็ชร กล่าวว่า โครงการนี้เป็นส่วนสำคคญในการขับเคลื่อนการดำเนินงานคุ้มครองผู้บริโภคให้มีประสิทธิภาพ ผ่านกลไกเครือข่ายและเจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เช่น เทศบาล อบต. ที่มีความใกล้ชิดประชาชน และเป็นไปตามแผนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและแผนปฏิบัติการ ที่กำหนดให้ สคบ.  ดำเนินการถ่ายโอนภารกิจการคุ้มครองผู้บริโภคให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคมีคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคประจำกรุงเทพมหานคร ประจำเมืองพัทยา  ประจำเทศบาล และประจำองค์การบริหารส่วนตำบล โดยมีอำนาจหน้าที่หลัก 3 ประการ คือ การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ การบังคับใช้กฎหมาย และการจัดการเรื่องราวร้องทุกข์แก่ประชาชนในพื้นที่ที่รับผิดชอบ


“รัฐบาลให้ความสำคัญกับภารกิจด้านการคุ้มครองผู้บริโภคในส่วนภูมิภาคและท้องถิ่น เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาให้ประชาชนในทุกพื้นได้อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม จากการถูกละเมิดสิทธิจากการใช้สินค้าหรือบริการ การประสานความร่วมมือครั้งนี้ เป็นมิติใหม่ที่นอกจากยกระดับการทำงานของ สคบ. ยังสร้างบทบาทให้ อปท. ทั่วประเทศได้มีส่วนในการช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนตามนโยบายของรัฐบาล”


โอกาสนี้ นางพวงเพ็ชร ยังได้บรรยายพิเศษ ในหัวข้อ “นโยบายและทิศทางการบริหารจัดการภารกิจด้านการคุ้มครองผู้บริโภคในส่วนภูมิภาคและท้องถิ่น” โดยได้เน้นย้ำให้ผู้ปฏิบัติงานคุ้มครองผู้บริโภคต้องสื่อสารสร้างความรู้ ความเข้าใจให้แก่ประชาชน รวมถึงแนะนำให้ประชาชนใช้แอปพลิเคชัน OCPB Connect เพื่อป้องกันการตกเป็นเหยื่อของกลุ่มผู้ประกอบการ และสามารถร้องทุกข์ ติดตามสถานะการร้องเรียนได้ เป็นการนำเทคโนโลยีมาใช้พัฒนางาน เพื่อให้บริการประชาชนได้อย่างสะดวก รวดเร็วยิ่งขึ้น


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #สคบ #ร้องทุกข์ออนไลน์




นิยายจากเรือนจำ 'อานนท์' เขียน“จากเรื่องจริงเพียงเสี้ยวหนึ่งของนักโทษทางการเมือง ที่มีฉากหลังเป็นการต่อสู้ของคนรุ่นใหม่ในช่วงสองถึงสามปีที่ผ่านมา”

 


นิยายจากเรือนจำ 'อานนท์' เขียน“จากเรื่องจริงเพียงเสี้ยวหนึ่งของนักโทษทางการเมือง ที่มีฉากหลังเป็นการต่อสู้ของคนรุ่นใหม่ในช่วงสองถึงสามปีที่ผ่านมา”

 

วันที่ 29 พฤศจิกายน 2566 ช่วงค่ำ เพจเฟซบุ๊ค อานนท์ นำภา ลงรูปจดหมายที่เขียนด้วยลายมือพร้อมข้อความระบุว่า “พล็อตนิยายนี้เกิดขึ้นจากเรื่องจริงเพียงเสี้ยวหนึ่งของนักโทษทางการเมือง ที่มีฉากหลังเป็นการต่อสู้ของคนรุ่นใหม่ในช่วงสองถึงสามปีที่ผ่านมา” จดหมายฉบับลงวันที่ 29 พ.ย. 66

 

หลังจากที่โสภณได้อ่านจดหมาย Domi-mail ฉบับนี้ เขาก็สัญญากับตัวเองว่าจะเลิกทำตัวซังกะตาย กลับมากินข้าว ออกกำลังกายและเลิกรับยากล่อมประสาทจากสถานพยาบาล จดหมายฉบับนั้นได้เปลี่ยนให้สู่คนกลับมาเป็นโสภณที่มีพลังจะเปลี่ยนเปลี่ยนแปลงสังคมอีกครั้งหลังจากนั้นอีกสามปีต่อมาเขาก็พ้นโทษได้รับการปล่อยตัวท่ามกลางข่าวว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทางการเมือง”

 

29 พฤศจิกายน 2566 ถึงปราณและอิสรานนท์ลูกรัก

 

พล็อตเรื่องของนิยายดูเหมือนจะจบลงตรงนี้ ทว่ามันก็เหมือนนิยายเรื่องใหม่ก็กำลังจะเริ่มเริ่มต้นเช่นกัน ในวันที่พ่อเขียนจดหมายฉบับนี้มีอยู่ เรายังมีนักโทษทางการเมืองที่ถูกขังในคุกรวม ๆ มากกว่า 40 คน มีคนที่โดนฟ้องและกำลังจะเดินเข้าคุกอีกหลายร้อย รวมทั้งมีผู้ลี้ภัยทางการเมืองอีกมากมายนัก

 

20 ปีของความขัดแย้งทางการเมือง ยิ่งนานวันยิ่งทวีอย่างรากลึกลงไปทุกทีแต่ยิ่งขยายและลงลึกเราก็ได้เห็นปัญหาในทุกมิติของสังคมนี้

 

พล็อตนิยายนี้เกิดขึ้นจากเรื่องจริงเพียงเสี้ยวหนึ่งของนักโทษทางการเมือง ที่มีฉากหลังเป็นการต่อสู้ของคนรุ่นใหม่ในช่วงสองถึงสามปีที่ผ่านมา ในนิยายโสภณอาจได้รับการปล่อยตัวไปแต่ในเรื่องจริงน้าเก็ทโสภณยังคงถูกดำเนินคดี 112 อีกหลายคดีและหากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงน้าเก็ทอาจต้องติดคุกมากกว่า 20 ปี

 

พวกเรานักโทษทางการเมืองในคุกไม่เคยเสียใจในการต่อสู้พวกเราดูแลกันและกันอ่านหนังสือกินข้าวออกออกกำลังกายเพื่อรอวันที่จะได้ออกไปต่อสู้ร่วมกับเพื่อน ๆ ข้างนอกอีก

 

ครั้งเช้านี้ยังมีนมเย็นสีชมพูถูกส่งมาเช่นทุกวันน้าเกโสภณน้าทีพ่อและนักโทษการเมืองทุกคนขอส่งพลังใจจากข้างในผ่านจดหมายโดยมีเมลฉบับนี้ ฝากผ่านปราณและอิสรานนท์ถึงเพื่อน ๆ ทุกคน จงมีพลังและสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมเอาไปพร้อมกับเราข้างใน

 

สำหรับ นายอานนท์ นำภา ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน นั้น ขณะนี้ถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ภายหลังศาลอาญาพิพากษาจำคุก 4 ปี ปรับเป็นเงิน 20,000 บาท โดยไม่รอลงอาญา ในคดี #มาตรา112 เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2566 เหตุจากการขึ้นปราศรัยใน #ม็อบ14ตุลา63 ได้

 

ทั้งนี้ 'อานนท์ นำภา' ได้เขียนเขียนจดหมายลงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2566 ระบุถึงการถอนคำร้องขอประกันที่เหลืออีก 20 คดี แม้ต้องติดคุกยาว 80 ปี โดยยืนยันว่านี่ 'ไม่ใช่การรับผิด' แต่เป็นการยืนยันหลักการว่า การต่อสู้ทางการเมืองตั้งแต่ 2563 เป็นต้นมาไม่ใช่ความผิดแต่แรก

 

ติดตามอ่าน พล็อตนิยายจากอานนท์ ฉบับแรก ลงวันที่ 24 พ.ย. 2566 ได้ที่ https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=951130759713922&id=100044510196415&mibextid=Nif5oz

 

ฉบับลงวันที่ 27 พ.ย. 2566 ตอนที่ 2 โสภณและนมชมพู อ่านได้ที่ https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=953233859503612&id=100044510196415&mibextid=Nif5oz

 

ฉบับลงวันที่ 28 พ.ย. 2566 ตอนที่ 3 โสภณที่รัก อ่านได้ที่ https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=953552242805107&id=100044510196415&mibextid=Nif5oz

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #อานนท์นำภา #คืนสิทธิประกันตัว

“ดีอี” ลุย Big Data เดินหน้าตั้ง “สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่” รองรับการเติบโตเศรษฐกิจดิจิทัลพร้อมเพิ่มความสามารถด้านดิจิทัล 7 ระดับให้บุคลากรทั้งภาครัฐและเอกชน

 


“ดีอี” ลุย Big Data เดินหน้าตั้ง “สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่” รองรับการเติบโตเศรษฐกิจดิจิทัลพร้อมเพิ่มความสามารถด้านดิจิทัล 7 ระดับให้บุคลากรทั้งภาครัฐและเอกชน


วันที่ 30 พฤศจิกายน 2566 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวเปิดงานและปาฐกถาพิเศษ ‘โครงการอบรมการป้องกันความปลอดภัย ข้อมูลคอมพิวเตอร์ ครั้งที่ 22  (Cyber Defense Initiative Conference) หรือ CIDC 2023 ว่า รัฐบาลให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการพัฒนาระบบดิจิทัลของประเทศ โดยมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล ผลักดันไทยเป็นรัฐบาลดิจิทัล ใช้เทคโนโลยียกระดับชีวิต เศรษฐกิจ และความโปร่งใสของภาครัฐ รวมถึงการจัดเก็บฐานข้อมูลในระดับภาพรวม ซึ่งมีความสำคัญในการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยกระทรวงดีอี ได้จัดตั้ง สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ Big Data Institute (Public Organization) หรือ BDI โดยมี คณะกรรมการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ เป็นผู้ดูแลและดำเนินภารกิจ


นายประเสริฐ กล่าวว่า BDI มีวัตถุประสงค์เพื่อการจัดทำยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนการใช้ประโยชน์ข้อมูลขนาดใหญ่ เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศต่อไป อย่างไรก็ตาม การใช้ข้อมูลเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมนั้นต้องทำควบคู่ไปกับการเคารพในสิทธิของข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชน จึงต้องส่งเสริมให้ภาครัฐและภาคเอกชน มีความรู้ด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Data Protection Act: PDPA) และเตรียมพร้อมรองรับการบังคับใช้ในเรื่องนี้ให้ทัดเทียมมาตรฐานสากล


นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนด้านดิจิทัลความร่วมมือในระดับประเทศและระดับนานาชาติ สอดคล้องกับแนวคิด UN Global Digital Compact (GDC) ของสหประชาชาติ โดยมี นโยบายการพัฒนาบุคคลกรทั้งในระดับประเทศ ระดับหน่วยงาน/องค์กร และระดับบุคคล ในเรื่อง ทักษะด้านดิจิทัล เพื่อให้มีขีดความสามารถและความพร้อมในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เกิดประโยชน์สูงสุด  ในส่วนนี้ได้มีการริเริ่มกลุ่มเป้าหมายที่เป็นบุคลากรภาครัฐ ทั้งนี้ ได้พัฒนาความสามารถของทักษะด้านดิจิทัล แบ่งเป็น 7 กลุ่มความสามารถ ได้แก่


กลุ่มที่ 1 Digital Literacy : ความสามารถด้านความเข้าใจและใช้เทคโนโลยีดิจิทัล

กลุ่มที่ 2 Digital Governance, Standard, and Compliance : ความสามารถ ด้านการควบคุมกำกับ และ การปฏิบัติตามกฎหมาย นโยบาย และมาตรฐานการจัดการด้านดิจิทัล

กลุ่มที่ 3 Digital Technology : ความสามารถด้านเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อยกระดับศักยภาพองค์กร

กลุ่มที่ 4 Digital Process and Service Design : ความสามารถด้านการออกแบบกระบวนการและการให้บริการด้วยระบบดิจิทัล

กลุ่มที่ 5 Strategic and Project Management : ความสามารถด้านการบริหารกลยุทธ์และการจัดการโครงการ

กลุ่มที่ 6 Digital Leadership : ความสามารถด้านผู้นำดิจิทัล

กลุ่มที่ 7 Digital Transformation : ความสามารถด้านการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงด้านดิจิทัล


นายประเสริฐ กล่าวว่า ทั้งหมดนี้ ถือเป็นวาระแห่งชาติ ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลและสังคมดิจิทัล โดยรัฐบาล กระทรวงดีอี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะเร่งดำเนินการขับเคลื่อนในมิติต่าง ๆ ทั้งด้านเทคโนโลยีดิจิทัลด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์และด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล สู่ความยั่งยืนในการสร้างคุณค่าและระบบนิเวศน์ด้านดิจิทัลของประเทศ


ปัจจุบันไทยยังขาดแคลนบุคลากรมีทักษะและความรู้ด้านดิจิทัล รัฐบาลต้องหามาตรการเพื่อกระตุ้นการพัฒนาทักษะดิจิทัล ที่จะเป็นกำลังสำคัญในอนาคต เพาะเมล็ดพันธุ์ดิจิทัล สร้างรากฐานอนาคตประเทศไทย ส่งเสริมเยาวชนให้มีทักษะที่จำเป็นในอนาคต และเติมเต็มสาขาขาดแคลน เพื่อรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศให้มีการเติบโตอย่างยั่งยืน รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมกล่าว


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #กระทรวงดีอี #BigData

วันพุธที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566

ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ ประกาศโปรดเกล้าฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นองคมนตรี

 


ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ ประกาศโปรดเกล้าฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นองคมนตรี


วันนี้ (29 พฤศจิกายน 2566) เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศ เรื่องแต่งตั้งองคมนตรี ความว่า


พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประกาศว่า ตามที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งองคมนตรีตามประกาศ ลงวันที่ 21 ตุลาคม พุทธศักราช 2665 แล้วนั้น 


บัดนี้ ทรงพระราชดำริเห็นเป็นการสมควรแต่งตั้งองคมนตรีเพิ่มขึ้น


อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 10 และมาตรา 11 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็น องคมนตรี


ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป


ประกาศ ณ วันที่ 29 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2566 เป็นปีที่ 8 ในรัชกาลปัจจุบัน


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ประยุทธ์จันทร์โอชา

กมธ.การเกษตรฯ รับหนังสือร้องเรียน กรณีทำลายเนื้อหมูเถื่อนส่อพิรุธ เรียกดีเอสไอให้ข้อมูลความคืบหน้าคดีสัปดาห์หน้า ยัน ต้องมีคนรับผิดชอบ หวั่นปมอธิบดีดีเอสไอถูกย้าย คนใหม่จะทำงานได้เต็มที่หรือไม่

 


กมธ.การเกษตรฯ รับหนังสือร้องเรียน กรณีทำลายเนื้อหมูเถื่อนส่อพิรุธ เรียกดีเอสไอให้ข้อมูลความคืบหน้าคดีสัปดาห์หน้า ยัน ต้องมีคนรับผิดชอบ หวั่นปมอธิบดีดีเอสไอถูกย้าย คนใหม่จะทำงานได้เต็มที่หรือไม่


วันที่ 29 พฤศจิกายน 2566 ศักดินัย นุ่มหนู สส.ตราด พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วย ณรงเดช อุฬารกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล และ ญาณธิชา บัวเผื่อน สส.จันทบุรี พรรคก้าวไกล ในฐานะกรรมาธิการ ร่วมรับหนังสือจากไทกร พลสุวรรณ ที่ร้องเรียนให้ กมธ.การเกษตรฯ ใช้อำนาจตรวจสอบการทำงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงการคลังเกี่ยวกับประเด็นหมูเถื่อน หลังพบพิรุธในการดำเนินการทำลายเนื้อหมู และผลกระทบจากการนำเนื้อหมูไปฝังกลบในพื้นที่ที่ยังไม่ได้รับฟังความเห็นของประชาชน เช่น สระแก้ว ปราจีนบุรี เข้าข่ายผิด พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 พ.ร.บ.การสาธารณสุข พ.ศ. 2535 กฎกระทรวงว่าด้วยการกำจัดมูลฝอยติดเชื้อ พ.ศ. 2545 และ พ.ร.บ. โรคระบาดสัตว์ พ.ศ.2558 รวมถึงความไม่เป็นธรรมในการบริหารราชการของนายกรัฐมนตรี 


ศักดินัย กล่าวว่า ในฐานะประธาน กมธ.การเกษตรฯ พร้อมเป็นกลไกหนึ่งในการทำหน้าที่เพื่อพี่น้องประชาชน แม้ขณะนี้่อยู่ในช่วงปิดสมัยประชุมสภาฯ แต่ยังมีกลไก กมธ. สามารถเร่งดำเนินการตรวจสอบ นัดหมายผู้ที่เกี่ยวข้องมาชี้แจง ทำเรื่องนี้ให้กระจ่างและหาคนรับผิดชอบให้ได้


โดยหลังจากนี้ กมธ.การเกษตรฯ จะดำเนินการ 3 เรื่องสำคัญ คือ (1) ตรวจสอบหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการนำหมูเถื่อนเข้ามาในประเทศ ว่าจะยกระดับการทำงานอย่างไร ทั้งกรมศุลกากรซึ่งเป็นด่านแรก กรมปศุสัตว์ กรมประมง (2) ติดตามแนวทางการทำลายเนื้อหมู หลังจาก รมว.เกษตรฯ ระบุว่าจะทำลายในทางลับ ส่งผลให้ประชาชนหลายพื้นที่ประท้วงและไม่ยอมให้ดำเนินการ (3) ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ ที่มีส่วนรู้เห็นเป็นใจในการทำผิดกฎหมาย 


โดย กมธ. จะติดตามเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง สัปดาห์ต่อไปมีการนัดหมายดีเอสไอเข้ามาให้ข้อมูลเกี่ยวกับคดีว่าคืบหน้าไปถึงไหน เหตุใดเมื่อวานนี้ (28 พ.ย.) จึงมีมติ ครม. ย้ายอธิบดีดีเอสไอ นอกจากนี้ อีกข้อสังเกตที่สำคัญ คือการลักลอบนำเข้าหมูจากต่างประเทศ สะท้อนว่าต้นทุนการผลิตของไทยสูงกว่ามาก กมธ.การเกษตรฯ กังวลเกี่ยวกับผลกระทบในการประกอบอาชีพของเกษตรกรรายย่อย 


ด้านณรงเดช กล่าวว่า การย้ายอธิบดีดีเอสไอหลังจากเข้าตรวจห้างขนาดใหญ่ เป็นการส่งสัญญาณที่ไม่ดี ข้าราชการคนต่อไปที่มารับผิดชอบอาจกังวลว่าถ้ามีการตรวจผู้ค้ารายใหญ่ จะสามารถทำงานได้เต็มที่หรือไม่ รวมถึงตอนนี้ที่ยังไม่มีอธิบดีคนใหม่ อาจทำให้เกิดสุญญากาศในการทำงาน แนวทางการทำงานหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร เช่น ที่อธิบดีคนเดิมเคยระบุว่าต้องมีการดำเนินคดีกับบริษัทห้างค้าปลีกค้าส่งเจ้าใหญ่ จะยังยึดแนวทางนี้หรือไม่ ส่วนการทำลายหมูเถื่อนจำนวน 140 ตู้ น่าสงสัยว่าเหตุใดต้องใช้วิธีลับ ในเมื่อหน่วยงานรัฐควรทำเรื่องนี้ให้ชัดเจนต่อสาธารณชน


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ 

#หมูเถื่อน

“ทนายแจม” ยินดี “เพื่อไทย” แสดงท่าทีเชิงบวกต่อร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมมากขึ้น ชี้เป็นจุดยืนที่ทั้งสองพรรคเห็นร่วมกันมาตั้งแต่การเซ็น MOU ประธานสภาฯ ย้ำรายละเอียดร่างฯ มุ่งคืนความเป็นธรรมให้แก่ทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียม

 


“ทนายแจม” ยินดี “เพื่อไทย” แสดงท่าทีเชิงบวกต่อร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมมากขึ้น ชี้เป็นจุดยืนที่ทั้งสองพรรคเห็นร่วมกันมาตั้งแต่การเซ็น MOU ประธานสภาฯ ย้ำรายละเอียดร่างฯ มุ่งคืนความเป็นธรรมให้แก่ทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียม


วันที่ 29 พฤศจิกายน 2566 ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สส.กรุงเทพฯ พรรคก้าวไกล ให้ความเห็นต่อกรณีที่สมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ให้สัมภาษณ์ว่าพรรคเพื่อไทยจะไม่ขัดขวางและพร้อมให้ความช่วยเหลือในการผลักดันร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมของพรรคก้าวไกล โดยระบุว่า ตนมีความยินดีที่พรรคเพื่อไทยมีท่าทีที่เป็นบวกมากขึ้นต่อร่างกฎหมายดังกล่าว เพราะเป็นจุดยืนที่ทั้งสองพรรคเห็นร่วมกันเมื่อครั้งจัดทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) เกี่ยวกับตำแหน่งประธานสภาฯ


ศศินันท์ย้ำว่า ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่พรรคก้าวไกลเสนอไม่ควรเป็นประเด็นปัญหาตั้งแต่ต้น เพราะหากได้อ่านในรายละเอียดของร่างฯ อย่างครบถ้วนแล้ว ก็จะเห็นได้ว่าเป็นไปเพื่อการนิรโทษกรรมให้กับทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม ไม่เลือกปฏิบัติกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง 


การนิรโทษกรรมจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการแก้ไขปัญหาและคลี่คลายความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากกระบวนการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือทางการเมืองในการเล่นงานฝ่ายตรงข้าม ขณะที่หลายบุคคลในพรรคร่วมรัฐบาลเวลานี้ก็เคยได้รับผลกระทบมาก่อน จึงเป็นเรื่องดีที่เราได้เห็นพรรคเพื่อไทยมีจุดยืนที่เป็นบวกมากขึ้น


ทั้งนี้ ตนเข้าใจว่าในพรรคร่วมรัฐบาลเองอาจมีความเห็นที่แตกต่างกันไปเกี่ยวกับการนิรโทษกรรม แต่ในเมื่อร่างกฎหมายฉบับนี้ไม่ได้ถูกเสนอโดย ครม. และไม่ได้มีผลต่อการร่วมรัฐบาลระหว่างพรรคต่าง ๆ สส.พรรคเพื่อไทยจึงสามารถแสดงความเห็นร่วมได้ โดยตนหวังว่าการตัดสินใจของ สส.พรรคเพื่อไทยต่อจากนี้จะเป็นไปในทิศทางบวกต่อร่างฯ นี้ด้วยเช่นกัน


“เป็นเรื่องน่าดีใจที่พรรคเพื่อไทยมีทิศทางที่เป็นบวกมากขึ้นต่อ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่พรรคก้าวไกลเสนอ เพราะนี่คือสิ่งที่ประชาชนที่ได้ไปลงคะแนนเลือกตั้งกันมา มีความคาดหวังต่อพวกเราทั้งสองพรรคที่ได้คะแนนสูงสุด ก็หวังว่ากระบวนการต่อจากนี้จะเป็นไปในทิศทางบวกมากขึ้น เพื่อคืนความเป็นธรรมให้แก่ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งทางการเมืองที่ผ่านมาต่อไป” ศศินันท์กล่าว


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #นิรโทษกรรมประชาชน

ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเอกฉันท์คดี 'ไอซ์ รักชนก' ผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ

 


ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเอกฉันท์คดี 'ไอซ์ รักชนก' ผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ

 

วันนี้ (29 พฤศจิกายน 2566) เวลา 09.30 น.ศาลรัฐธรรมนูญ นัดพิจารณาคดีแถลงด้วยวาจา ปรึกษาหารือและลงมติในกรณีที่ศาลอาญาส่งคำโต้แย้งของนางสาวรักชนก ศรีนอก จำเลยในคดีอาญา หมายเลขดำที่ อ 683/2565 เพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 212 ว่า พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 และมาตรา 34 หรือไม่

 

ผลการพิจารณา ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์วินิจฉัยว่า พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550  มาตรา 14 วรรคหนึ่ง (1) (2) และ (3) ไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 และมาตรา 34 วรรคหนึ่ง

 

สำหรับคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ 683/2565 เป็นคดีที่นางสาวรักชนก ซึ่งขณะนั้นเป็นสมาชิกกลุ่มคลับเฮ้าส์เพื่อประชาธิปไตย ถูกดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นประมาทกษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ จากกรณีโพสต์ข้อความวิจารณ์รัฐบาล ประเด็นการจัดซื้อจัดหาวัคซีนโควิด-19 และกรณีรีทวิตภาพถ่ายในการชุมนุม #16ตุลาไปแยกปทุมวัน ปี 2563 ซึ่งมีข้อความที่ถูกกล่าวหาว่าต่อต้านสถาบันกษัตริย์

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์  #ศาลรัฐธรรมนูญ

“ศุภโชติ” จี้รัฐบาลต่อเนื่อง ปมรับซื้อพลังงานสะอาด ทำไมปล่อย กฟผ. ทำสัญญากับเอกชน ทั้งที่ศาลสั่งทุเลาฯ เหตุกระบวนการส่อล็อกสเปก

 


ศุภโชติ” จี้รัฐบาลต่อเนื่อง ปมรับซื้อพลังงานสะอาด ทำไมปล่อย กฟผ. ทำสัญญากับเอกชน ทั้งที่ศาลสั่งทุเลาฯ เหตุกระบวนการส่อล็อกสเปก

 

เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2566 ศุภโชติ ไชยสัจ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้ความเห็นเพื่อติดตามกรณีการเซ็นสัญญารับซื้อพลังงานทดแทน ที่กำลังมีปัญหาความไม่โปร่งใสว่า เมื่อวันที่ 17 พ.ย. 2566 ตนและ วรภพ วิริยะโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ร่วมกับคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ นำโดย สิทธิพล วิบูลย์ธนากุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้เชิญการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เข้าร่วมชี้แจงข้อมูลเรื่องการเซ็นสัญญารับซื้อพลังงานทดแทนรอบล่าสุด ที่เกิดเป็นปัญหาและแสดงให้เห็นถึงความไม่โปร่งใส เห็นได้จากการที่ศาลปกครองกลางมีคำสั่งทุเลาการเซ็นสัญญารับซื้อไฟฟ้าพลังงานลม จำนวน 22 โครงการ กว่า 1,500 เมกะวัตต์ โดยให้เหตุผลว่า การที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ออกระเบียบการรับซื้อโดยไม่มีการประกาศหลักเกณฑ์การให้คะแนนที่ใช้ในการคัดเลือกอย่างชัดเจนนั้น นอกจากจะเหมือนกับล็อกผู้ชนะการประมูลแล้ว ยังเป็นการทำผิด พ.ร.บ.การประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 มาตรา 11(4) ที่บอกให้ กกพ. กำหนดระเบียบหลักเกณฑ์และให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย โดยตนได้แถลงข่าวเรื่องนี้ไปแล้วเมื่อ 12 พ.ย. ที่ผ่านมา

 

ศุภโชติกล่าวว่า สำหรับตัวเลขล่าสุดที่ได้รับแจ้งจาก กฟผ. คือมีการเซ็นสัญญารับซื้อพลังงานไฟฟ้าจากระเบียบที่เป็นปัญหานี้กับเอกชนแล้วบางส่วน แบ่งออกเป็น โครงการไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 8 โครงการจากทั้งหมด 39 โครงการ และโครงการไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ พร้อมระบบกักเก็บ 4 โครงการจากทั้งหมด 24 โครงการ

 

ดังนั้น คำถามที่ควรได้รับคำตอบจากรัฐบาลเศรษฐา คือ (1) เหตุใดยังปล่อยให้มีการเซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้าทั้ง 12 โครงการจากระเบียบที่ถูกศาลชี้ว่าไม่โปร่งใส ทั้งๆ ที่ศาลเพิ่งชะลอการเซ็นสัญญารับซื้อไฟฟ้าพลังงานลม จำนวน 22 โครงการไปเมื่อวันที่ 10 ต.ค. (2) อีก 51 โครงการที่มีกำหนดให้เซ็นสัญญาภายในวันที่ 19 เม.ย. 2568 จะมีมาตรการอย่างไรกับกลุ่มที่รอเซ็นสัญญา นายกฯ ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่สามารถทบทวนมติการรับซื้อนี้ได้ จะทำเป็นมองไม่เห็นอีกเช่นเคยหรือไม่

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์

“สมคิด” ไม่รู้ ปมเด้งอธิบดี DSI เซ่นหมูเถื่อน เชื่อ นายกฯ - รมว.ยุติธรรม พร้อมชี้แจง แจ้ง พท.ไม่เริ่มต้นนิรโทษ เหตุบาดแผลเรื่องนี้เพิ่งตกสะเก็ด แนะ“ก้าวไกล” อยากดัน ก.ม.สำเร็จ หัดหาพวกไว้เยอะ ๆ

 


สมคิด” ไม่รู้ ปมเด้งอธิบดี DSI เซ่นหมูเถื่อน เชื่อ นายกฯ - รมว.ยุติธรรม พร้อมชี้แจง แจ้ง พท.ไม่เริ่มต้นนิรโทษ เหตุบาดแผลเรื่องนี้เพิ่งตกสะเก็ด แนะ“ก้าวไกล” อยากดัน ก.ม.สำเร็จ หัดหาพวกไว้เยอะ ๆ

 

วันนี้ (29 พฤศจิกายน 2566) นายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง กล่าวถึงการโยกย้าย พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล พ้นจากอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ซึ่งหลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการเลือกปฏิบัติ เพราะเรื่องหมูเถื่อนเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงานว่า รายละเอียดการโยกย้ายไม่ทราบ โดยเรื่องหมูเถื่อนไม่ได้เกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้ แต่เป็นปัญหามา 2 ปีแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินการมาแล้ว จึงพอเข้าใจรายละเอียด เรามาแก้ปัญหา หากดำเนินการเช่นนี้ไปจนถึงเดือนมกราคม หมูเป็นของพี่น้องเกษตรกรจะขึ้นราคา จาก 50-60 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 90 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้พี่น้องเกษตรกรพออยู่ได้

 

นายสมคิด ย้ำว่าเรื่องการย้ายอธิบดี DSI ไม่ทราบจริง ๆ ว่าเกิดจากอะไร รู้พร้อมสื่อมวลชน เพราะสัปดาห์ก่อนยังทำงานด้วยกันดีอยู่ ส่วนจะเป็นการเลือกปฏิบัติหรือไม่นั้น ไม่ทราบ เพราะแนวทางการทำงาน DSI ได้เร่งรัดการทำงานแล้ว ทั้งนี้ที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับผู้ประกอบการรายใหญ่นั้น คงไม่ใช่เพราะเรื่องนี้เกิดมานานแล้ว ในรายละเอียด DSI รู้หมดว่าใครเกี่ยวข้องบ้าง บริษัทต่าง ๆ ก็รู้หมด ตนเองก็พอทราบ เพราะมีการแจ้งในที่ประชุมลับว่ามีบริษัทใดบ้าง ยืนยันว่าไม่เกี่ยวกับบริษัทใหญ่ แต่เป็นบริษัทการนำเข้าต่าง ๆ ซึ่งที่ไม่ประกาศออกไปเพราะ ปปง.กำลังเช็คเส้นทางเงิน ทำงานในทางลับอยู่ ไม่น่าเกี่ยวกับร้านใหญ่ น่าจะมีองค์ประกอบหลายเรื่องมารวมกัน ส่วนที่พรรคก้าวไกลไล่บี้เรื่องนี้ เราก็พร้อมชี้แจงไม่มีปัญหา เป็นหน้าที่ของพรรคก้าวไกล หากไม่ไล่บี้ก็แปลก เชื่อว่านายกรัฐมนตรี และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จะตอบได้

 

ส่วนเรื่องนิรโทษกรรมที่พรรคก้าวไกลระบุว่า พรรคเพื่อไทยไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ นายสมคิด กล่าวว่า ความจริงเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้ประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเชิญทุกพรรคการเมือง มาประชุมหารือกัน ซึ่งพรรคเพื่อไทยมีบาดแผลอยู่ จึงขออย่าให้พรรคเพื่อไทยเป็นผู้เริ่มต้นเลย เพราะไม่รู้ว่ากลุ่มอื่นๆ จะว่าอย่างไร จึงได้พูดในที่ประชุมขอให้ทุกพรรคการเมืองไปพูดคุยกับวิปรัฐบาล โดยตนเองจะอาสาเป็นผู้ประสานงานให้ ส่วนในรายละเอียดค่อยไปหารือกันอีกครั้ง ยืนยันพรรคเพื่อไทยจะไม่เริ่มต้นกฎหมายนิรโทษกรรมแต่ไม่เคยคิดจะขัดขวาง หรือไม่เห็นด้วย และไม่ได้ละเลยเรื่องนี้ พรรคเพื่อไทยได้เริ่มพูดคุยกันเรื่องนี้มาสองสัปดาห์แล้ว ว่าจะเดินหน้าอย่างไร พร้อมย้ำว่าหากพรรคก้าวไกลจะเป็นผู้เริ่มต้น พรรคเพื่อไทยยินดีจะเป็นผู้ดูแลช่วยเหลือ แต่จะต้องไปพูดกับทุกพรรคการเมืองด้วยกัน ไม่ใช่ให้พรรคเพื่อไทยออกหน้า

 

อะไรที่เคยตกลงกับพรรคก้าวไกล กฎหมายอะไรที่มีความเห็นตรงกัน ก็ช่วยกันสนับสนุน อาทิกฎหมายสมรสเท่าเทียม กฎหมายไหนที่เห็นขัดแย้งกันก็สามารถหารือกันได้ ยินดีที่จะร่วมมือกัน ซึ่งไม่ได้เห็นตรงกันทุกเรื่อง“

 

อย่างไรก็ตามนายสมคิด ยอมรับว่า ได้รับร่างกฎหมายนิรโทษกรรมของพรรคก้าวไกล และร่างของภาคประชาชนแล้ว ซึ่งมีทั้งจุดดีและจุดด้อย และได้มีการพูดคุยว่าหากดำเนินการตามข้อเสนอไม่ได้ทั้งหมดจะทำอย่างไร โดยเฉพาะ การนิรโทษกรรมนักโทษในคดี 112 ให้เตรียมไปคุยกับพวกพรรคการเมืองจึงจะผ่านไปได้

 

ส่วนตัวเห็นด้วยกับ พรบ.นิรโทษกรรม และเชื่อว่าจะเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรทันสมัยการประชุมนี้ จึงอยากให้ทุกฝ่ายไปพูดคุยกับวิปรัฐบาลก่อนจะปิดสมัยประชุม แต่ในพรรคเพื่อไทยไม่ได้พูดคุยกันเรื่องนี้เพราะรอฟังความเห็นจากทุกพรรคการเมืองก่อน หากเสียงส่วนใหญ่มีแนวทางอย่างไรก็เป็นไปตามนั้น ไม่ใช่ว่าเราเลี่ยง ย้ำว่าพรรคเพื่อไทยไม่ขัดขวางและพร้อมให้การสนับสนุน

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #หมูเถื่อน #นิรโทษกรรมประชาชน

ตามต่อ นิยายจากเรือนจำ โดยอานนท์ เรื่องเล่าของโสภณ ตอนที่ 3 “โสภณที่รัก”

 


ตามต่อ นิยายจากเรือนจำ โดยอานนท์ เรื่องเล่าของโสภณ ตอนที่ 3 “โสภณที่รัก”

 

ตามที่เพจเฟซบุ๊ค อานนท์ นำภา โพสจดหมายที่เขียนด้วยลายมือจากเรือนจำฉบับลงวันที่ 28 พ.ย. 2566 ซึ่งนับเป็นจดหมายจากทนายอานนท์ ที่เขียนเรื่องเล่าของโสภณ เป็นตอนที่ 3 ชื่อตอน โสภณที่รัก โดยมีใจความทั้งหมดว่า

 

ขณะที่นายได้อ่านจดหมาย Domimail ฉบับนี้เราคงอยู่คนละโลกแล้ว เราเขียนจดหมายฉบับนี้ตอนที่รอเข้าห้องผ่าตัดครั้งสุดท้ายก่อนจบการรักษาและเมื่อยาสลบออกฤทธิ์ เราก็ไม่รู้จะมีพรุ่งนี้สำหรับเราอีกไหม

 

เรายังคิดถึงวันแรกที่เจอนายที่แยกปทุมวันในการชุมนุมเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2563 นายคงจำเราไม่ได้ เราคือนักศึกษาที่ไปร่วมชุมนุม ยืนอยู่ระหว่างคฝ.กับผู้ชุมนุม ตอนคฝ.ฉีดน้ำสลายการชุมนุม พวกเราระดมร่มจากเพื่อน ๆ “ขอร่มหน่อย ๆ” นายคือคนที่คว้าร่มที่โยนลงมาจากสะพานลอยมากันน้ำให้เรา

 

เรายังจำภาพนายได้เด็กหนุ่มในชุดนักศึกษาแพทย์ตัวผอม แว่นหนา ท่าทางดูเก้งก้างแต่ดูกล้าหาญดีจากวันนั้นการชุมนุมขยายตัวไปทั่วประเทศ เราได้เจอนายอีกครั้งในวันที่ 17 ของเดือนถัดมาที่หน้ารัฐสภาแยกเกียกกาย ท่ามกลางกระสุนยางและแก๊สน้ำตา

 

นายโดนแก๊สน้ำตาจนเผลอทำแว่นหล่นหายในที่ชุมนุมเราคือผู้หญิงที่วิ่งจุงมือนายมาล้างตาที่รถแพทย์อาสา นายดูบ้าดีที่อุ้มเป็ดยางอัดลมไปกันน้ำที่ฉีดมาจากรถจีโน่ ตอนที่แพทย์อาสาถามชื่อนายเราจึงรู้ว่านายชื่อโสภณและเย็นวันนั้นเราจึงไปแอบส่อง Facebook ของนายจนรู้ว่านายจะไปชุมนุมอีกครั้งในช่วงปีใหม่จัดโดยวีโว่ เราจึงตั้งใจไปเจอนาย ไปขายกุ้งกับนาย

 

ขอบคุณสำหรับทุกเรื่องที่เราผ่านพ้นมาด้วยกัน การต่อสู้ของคนรุ่นเรามันไม่ง่ายเลย เราอยากให้นายมีพลังและรักษาพลังไว้ต่อสู้ เรารู้ว่าหากวันนี้เราเป็นอะไรไปนายคงเสียใจมากจนอาจทำอะไรบ้า ๆ ในคุก เราจึงขอให้น้องสาวช่วยเขียนจดหมาย Domimail แทนเราให้เหมือนว่าเรายังมีชีวิตอยู่ ส่วนนมชมพูเราสั่งซื้อกับร้านค้าให้ส่งให้นายในคุกตลอด5 ปีที่อยู่ข้างในเพื่อแทนความคิดถึงและให้เหมือนว่าเราได้อยู่ใกล้ ๆ กันทุกวัน

 

ถ้าพรุ่งนี้สำหรับเราไม่อาจมี นายต้องรับปากว่าจะรักษาชีวิตเอาไว้เพื่อต่อสู้เปลี่ยนแปลงสังคมที่แข็งแกร่งให้เป็นสังคมที่งดงามมีเสรีภาพให้คนมีความเท่าเทียมกัน อยากบอกว่าเรารักนายและจะรักตลอดไป

 

สำหรับ นายอานนท์ นำภา ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน นั้นขณะนี้ถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ภายหลังศาลอาญาพิพากษาจำคุก 4 ปี ปรับเป็นเงิน 20,000 บาท โดยไม่รอลงอาญา ในคดี #มาตรา112 เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2566 เหตุจากการขึ้นปราศรัยใน #ม็อบ14ตุลา63 ได้

 

ทั้งนี้ 'อานนท์ นำภา' ได้เขียนเขียนจดหมายลงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2566 ระบุถึงการถอนคำร้องขอประกันที่เหลืออีก 20 คดี แม้ต้องติดคุกยาว 80 ปี โดยยืนยันว่านี่ 'ไม่ใช่การรับผิด' แต่เป็นการยืนยันหลักการว่า การต่อสู้ทางการเมืองตั้งแต่ 2563 เป็นต้นมาไม่ใช่ความผิดแต่แรก

 

ติดตามอ่าน พล็อตนิยายจากอานนท์ ฉบับแรก ลงวันที่ 24 พ.ย. 2566 ได้ที่ https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=951130759713922&id=100044510196415&mibextid=Nif5oz

 

ฉบับลงวันที่ 27 พ.ย. 2566 ตอนที่ 2 โสภณและนมชมพู อ่านได้ที่ https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=953233859503612&id=100044510196415&mibextid=Nif5oz

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #คืนสิทธิประกันตัว #อานนท์นำภา

วันอังคารที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566

“ศักดินัย” เล็งเรียกดีเอสไอ-ศุลกากร-กรมการค้าภายใน-ปศุสัตว์ ชี้แจงใน กมธ.เกษตรฯ หลังมติ ครม. เด้งฟ้าผ่าอธิบดีดีเอสไอ คาดสืบเนื่องคดีหมูเถื่อน

 


“ศักดินัย” เล็งเรียกดีเอสไอ-ศุลกากร-กรมการค้าภายใน-ปศุสัตว์ ชี้แจงใน กมธ.เกษตรฯ หลังมติ ครม. เด้งฟ้าผ่าอธิบดีดีเอสไอ คาดสืบเนื่องคดีหมูเถื่อน 


วันที่ 28 พฤศจิกายน 2566 ศักดินัย นุ่มหนู สส.ตราด ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติย้ายอธิบดีกรมสืบสวนคดีพิเศษ (DSI) ไปดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงยุติธรรม ทำให้สังคมตั้งข้อสังเกตว่าอาจเกี่ยวข้องกับการสืบสวนคดีคดีลักลอบนำเข้าหมูที่กำลังดำเนินอยู่ ว่าตนตั้งข้อสังเกต 2 ประการ ข้อแรก เรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในวาระการประชุม ครม. ตั้งแต่แรก เหตุใดจู่ๆ จึงมีคำสั่งออกมา ทำให้มองได้ว่านายกรัฐมนตรีในฐานะประธานการประชุม นำเรื่องนี้เป็นวาระด่วนเข้าไปหรือไม่ ข้อสอง การโยกย้ายอธิบดีดีเอสไอครั้งนี้ เกิดขึ้นเพียงวันเดียวหลังจากดีเอสไอนำกำลังเข้าตรวจค้นและขอหลักฐานเพิ่มเติมจากบริษัทค้าปลีกค้าส่งเจ้าใหญ่ของประเทศเมื่อ 27 พ.ย. เมื่อพิจารณาทั้ง 2 ข้อนี้ จึงน่าสงสัยว่าการโยกย้ายอธิบดีดีเอสไอเกี่ยวข้องกับนายกฯ คิดเป็นอื่นได้ยาก


ศักดินัยกล่าวต่อว่า ทั้งกรณีลักลอบนำเข้าหมูและการโยกย้ายอธิบดีดีเอสไอ เป็นเรื่องสำคัญที่ประชาชนให้ความสนใจ ตนซึ่งติดตามเรื่องนี้มาตลอดก็ยังมีคำถาม โดยเฉพาะเกี่ยวกับการขยายผลคดี ความคืบหน้าการดำเนินการทำลายสินค้าของกลาง ดังนั้น ในการประชุม กมธ.การเกษตรฯ พรุ่งนี้ (29 พ.ย.) ซึ่งมีวาระพิจารณาที่กำหนดไว้แล้วล่วงหน้า ตนในฐานะประธานฯ จะยกเรื่องนี้ขึ้นหารือด้วย เพื่อให้มีการเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงโดยเร็ว ประกอบด้วย กรมสอบสวนคดีพิเศษ กรมศุลกากร กรมการค้าภายใน และกรมปศุสัตว์


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #หมูเถื่อน #DSI #กมธเกษตร

“ชัยวัฒน์” มองแนวทางแก้ปัญหาหนี้นอกระบบของรัฐบาลยังวนเวียนอยู่ในวิธีการเดิม-ขาดรายละเอียดสำคัญหลายเรื่อง ชี้ต้องบังคับใช้กฎหมายจัดการเจ้าหนี้นอกระบบจริงจัง-เพิ่มโอกาสเข้าถึงสินเชื่อในระบบ

 


“ชัยวัฒน์” มองแนวทางแก้ปัญหาหนี้นอกระบบของรัฐบาลยังวนเวียนอยู่ในวิธีการเดิม-ขาดรายละเอียดสำคัญหลายเรื่อง ชี้ต้องบังคับใช้กฎหมายจัดการเจ้าหนี้นอกระบบจริงจัง-เพิ่มโอกาสเข้าถึงสินเชื่อในระบบ


วันที่ 28 พฤศจิกายน 2566 ชัยวัฒน์ สถาวรวิจิตร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้ความเห็นต่อการแถลงข่าวของรัฐบาลในวาระการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ โดยระบุว่า เป็นเรื่องน่ายินดีที่นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ให้ความสนใจต่อการแก้ปัญหาหนี้ โดยเฉพาะหนี้นอกระบบซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังของสังคมไทย 


อย่างไรก็ตาม วิธีการที่รัฐบาลจะนำมาใช้แก้ปัญหาหนี้นอกระบบครั้งนี้ มีการปฏิบัติมาแล้วหลายครั้งในหลายรัฐบาล แต่ปัญหากลับไม่ได้คลี่คลายลง อีกทั้งการแถลงข่าวในวันนี้มีองค์ประกอบ 4 ส่วนที่ยังคงขาดรายละเอียดและความชัดเจนว่าแตกต่างจากมาตรการเดิม ๆ ที่ผ่านมาอย่างไร คือ


1) ผู้กำกับและและนายอำเภอในฐานะผู้ไกล่เกลี่ย จะมีบทบาทหน้าที่อย่างไร และผู้ช่วยวางแผนการเงินจะเป็นใคร


2) การปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อแปลงหนี้นอกระบบส่วนที่สามารถแปลงได้ ให้เป็นหนี้ในระบบ จะใช้งบประมาณจากส่วนใด เป็นวงเงินเท่าไหร่


3) การสร้างระบบสินเชื่อที่เปิดให้ลูกหนี้นอกระบบเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้อีกครั้งเพื่อตัดตอนหนี้นอกระบบ มีรายละเอียดอย่างไร


4) การปรับปรุงข้อด้อยต่าง ๆ ของธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัด (pico finance) และสินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพ (nano finance) เดิม เพื่อให้เกิดแรงจูงใจต่อเจ้าหนี้นอกระบบให้เข้าสู่ระบบ มีรายละเอียดอย่างไร


นอกจากนี้ ถึงแม้สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะมีการตั้งศูนย์ป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบ (สายด่วน 1599) มาตั้งแต่วันที่ 8 มิถุนายน 2563 แต่ปัญหาหนี้นอกระบบก็ไม่ได้ลดลง ซึ่งในส่วนนี้ต้องขอให้นายกฯ ลงไปดูในรายละเอียดว่าการแก้ปัญหาไม่มีประสิทธิภาพเพราะอะไร โดยมาตรการของรัฐบาลในรอบนี้ได้เพิ่มบทบาทให้ผู้กำกับสถานีตำรวจและนายอำเภอลงไปทำงานระดับท้องถิ่นด้วย ซึ่งก็ต้องมีการติดตามต่อไปว่าจะแก้ปัญหาเดิมได้หรือไม่


ชัยวัฒน์กล่าวสรุปว่า ในฐานะฝ่ายค้านเชิงรุก พรรคก้าวไกลมีข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลในเรื่องการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ ซึ่งประกอบไปด้วยกระดุม 5 เม็ดที่ต้องติดตั้งแต่เม็ดแรกให้ถูกต้อง คือ


1) เจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ปกครองต้องทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ไม่รับส่วย ซึ่งเกี่ยวพันกับปัญหาที่ต้องได้รับการปฏิรูป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าตอบแทนที่น้อยจนทำให้ต้องใช้อำนาจแสวงหาประโยชน์ การแต่งตั้งโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรม การแทรกแซงจากผู้มีอิทธิพลและนักการเมือง ค่านิยมและระบบที่ปฏิบัติต่อ ๆ กันมา และการขาดมาตรการตรวจสอบและลงโทษอย่างจริงจัง


2) การดำเนินคดีอย่างจริงจังกับเจ้าหนี้นอกระบบที่ผิดกฎหมาย ผ่านการบังคับใช้ พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2560 ซึ่งมีบทลงโทษจําคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ


3) ลดภาระหนี้ด้วยการไกล่เกลี่ยประนอมหนี้ระหว่างเจ้าหนี้และลูกหนี้ ให้อยู่ภายใต้เงื่อนไขดอกเบี้ยที่กฎหมายกำหนด


4) เพิ่มทักษะ เพิ่มรายได้ เพื่อเพิ่มศักยภาพการชำระหนี้ของลูกหนี้นอกระบบ


5) การเพิ่มช่องทางและโอกาสการเข้าถึงสินเชื่อในระบบ


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #แก้หนี้นอกระบบ #ก้าวไกล

อานนท์ เขียนจดหมายจากเรือนจำ ถึงเรื่องราวของโสภณและนมชมพู ตอนที่ 2

 


อานนท์ เขียนจดหมายจากเรือนจำ ถึงเรื่องราวของโสภณและนมชมพู ตอนที่ 2 


ตามที่เมื่อวันที่ นายอานนท์ นำภา ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ซึ่งขณะนี้ถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ภายหลังศาลอาญาพิพากษาจำคุก 4 ปี ปรับเป็นเงิน 20,000 บาท โดยไม่รอลงอาญา ในคดี #มาตรา112 เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2566 เหตุจากการขึ้นปราศรัยใน #ม็อบ14ตุลา63 ได้ส่งจดหมายจากเรือนจำ ฉบับลงวันที่ 24 พ.ย. 2566 ระบุถึงเรื่องราวของ โสภณและนมชมพู ตอนที่ 1 อ่านได้ที่ https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=951130759713922&id=100044510196415&mibextid=Nif5oz


ต่อมา เพจเฟซบุ๊ค อานนท์ นำภา โพสจดหมายที่เขียนด้วยลายมือจากเรือนจำฉบับลงวันที่ 27 พ.ย. 2566 ระบุความว่า 


ต่อจากฉบับที่แล้วเรื่องพล็อตนิยายเรื่องนมเย็นสีชมพู คงมีหลายคนเดาว่าหลังจากที่โสภณพ้นโทษก่อนกำหนดและได้รู้เรื่องราวทั้งหมด โสภณกับน้องสาวของคนรัก เขาอาจสานสัมพันธ์กันต่อเพราะทั้งสองได้คุยกันผ่านจดหมาย Domimail กว่าหนึ่งปีแต่เรื่องมันไม่ได้จบแบบง่ายง่ายขนาดนั้นเพราะหลังจากโสภณพ้นโทษได้เพียงสองเดือน เขาถูกจับและถูกส่งตัวมาที่แดน 4 อีกครั้ง 


ในวันที่โสภณเข้าแดนพวกเรารู้สึกแปลกใจและแปลกตามากเค้าดูผอมโซสายตาเหม่อลอยพวกเราถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้นเขาทอดสายตาเหม่อลอยแล้วเล่าให้พวกเราฟังว่า หลังจากที่เขาพ้นโทษออกไปเขารู้สึกสับสนและหมดหวังรวมทั้งรู้สึกผิดต่อการจากไปของคนรัก เค้าอยากกลับมาติดคุกเพื่อรอรับของฝากที่คนรักของเค้าซื้อให้มันคือสิ่งเดียวที่เสมือนความรู้สึกที่ส่งผ่านกาลเวลามาถึงเขาตอนนี้


อย่างน้อยก็เป็นช่วงเวลาสั้นสั้นสุดท้ายที่นมเย็นสีชมพูจะได้ทำหน้าที่ของมันเค้าเล่าต่อไปว่าเขาได้เจอกันกับคนรักครั้งแรกในกิจกรรมขายกุ้งของวีโว่ที่สนามหลวงในช่วงปีใหม่ปี 2564 คนรักของเขาเป็นอาสาสมัครมาร่วมทีมขายกุ้งกับเขา 


ในวันนั้น มีการสลายการชุมนุมทั้งสองวิ่งหนีคฝ. โสภณถูกจับในเย็นวันนั้นคนรักของเขาวิ่งหนีไปได้ตกเย็นมีการควบคุมตัวคนที่ถูกจับที่สโมสรตำรวจคนรักของเขากลับมาเยี่ยมและซื้อนมเย็นสีชมพูมาให้ จากนั้นทั้งสองจึงขอแอด Facebook กัน ร่วมกันชุมนุมอีกหลายครั้งและรักกันในที่สุด


โสภณรู้ดีว่านมเย็นสีชมพูจะถูกส่งมาในทุกเช้าอีกแค่ 10 เดือนซึ่งก็คือวันสุดท้ายที่เค้าจะพักโทษจริงๆในคดีแรกที่ได้รับการพักโทษไปและนมชมพูจากคนรักของเขาก็ถูกส่งมาในทุกเช้าจริงๆ ในทุกเช้าจะมีเสียงประกาศหน้าแดนให้โสภณมารับนมเย็นสีชมพูที่ต่างจากช่วงสี่ปีแรกคือวันนี้ไม่มีจดหมาย Domimail แล้ว


ความรักความคิดถึงของคนสองคนถูกส่งผ่านกาลเวลาตลอด 10 เดือนแต่อีกด้านหนึ่งโสภณเริ่มมีอาการเหม่อลอยมากขึ้นและต้องอาศัยยาจากสถานพยาบาล ร่างกายเริ่มทรุดลงทุกวันเค้าเดินเหมือนคนเสียสติรอบแดนและเริ่มพูดกับตัวเองคนเดียวกระทั่งครบวันสุดท้ายที่นมเย็นสีชมพูจะถูกส่งมา เสียงประกาศจากหน้าแดนให้มารับนมเย็นแก้วสุดท้ายแต่คราวนี้นมเย็นสีชมพูมาพร้อมกับจดหมาย Domimail ฉบับหนึ่ง…?


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #อานนท์นำภา #คืนสิทธิประกันตัว

รมว.ยุติธรรม แจงย้าย พ.ต.ต.สุริยา อธิบดีดีเอสไอ นั่งรองปลัดยุติธรรม เพื่อไปช่วยขับเคลื่อนงานสำคัญ


รมว.ยุติธรรม แจงย้าย พ.ต.ต.สุริยา อธิบดีดีเอสไอ นั่งรองปลัดยุติธรรม เพื่อไปช่วยขับเคลื่อนงานสำคัญ

 

กรณีมีข่าวเผยแพร่ว่าคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2566 ย้ายพันตำรวจตรี สุริยา สิงหกมล จากอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ไปเป็นรองปลัดกระทรวงยุติธรรม นั้น

 

พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ชี้แจงว่าเหตุที่ต้องมีการเสนอโยกย้ายในครั้งนี้ สืบเนื่องจาก พันตำรวจโท วรรณพงษ์ คชรัตน์ ได้ถูกย้ายไปดำรงเลขาธิการ ศอ.บต. ทำให้ตำแหน่งอธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนว่างลง จึงจำเป็นต้องเสนอย้าย พันตำรวจโท ประวุธ วงศ์สีนิล รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ไปดำรงตำแหน่งดังกล่าว และเนื่องจากตำแหน่งรองปลัดกระทรวงยุติธรรม มีความสำคัญที่จะต้องขับเคลื่อนงานนโยบายของกระทรวงในภาพรวม กำกับงานของกรมในกลุ่มภารกิจ รวมทั้งประสานงานหน่วยงานต่างกระทรวง ซึ่งพันตำรวจตรี สุริยาฯ มีประสบการณ์ผ่านงานระดับอธิบดี ที่ปรึกษาหลายหน่วยงาน เช่น กรมสอบสวนคดีพิเศษ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ สำนักงาน ป.ป.ส. และสำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม จึงเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ เหมาะสมกับตำแหน่งรองปลัดกระทรวงที่ว่างจากการเสนอแต่งตั้งในครั้งนี้ โดยเฉพาะการยกระดับหลักนิติธรรมของประเทศ และการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม

 

ส่วนข้อกังวลในการดำเนินคดีสำคัญตามนโยบายรัฐบาลในภารกิจของกรมสอบสวนคดีพิเศษนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า จะไม่ส่งผลกระทบกับการดำเนินคดีดังกล่าว โดยการพิจารณาดำเนินการจะยังคงเป็นไปตามพยานหลักฐาน กฎหมายที่เกี่ยวข้อง และปฏิบัติตามมาตรฐานการทำงานของกรมสอบสวนคดีพิเศษทุกประการ

 

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวยืนยันว่า “กระทรวงยุติธรรมจะมุ่งมั่นสร้างศักยภาพและความเชี่ยวชาญของกรมสอบสวนคดีพิเศษด้านการสืบสวนสอบสวน ยกระดับในการป้องกันปราบปรามการกระทำผิดของผู้ทรงอิทธิพลและการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบในทุกรูปแบบ เพื่อปกป้องคุ้มครองและสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชน..” ที่ พันตำรวจตรี สุริยาฯ เป็นส่วนหนึ่งในทีมบริหารของกระทรวงยุติธรรม ด้วย

 

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวทิ้งท้ายว่า “การแต่งตั้งโยกย้ายของกระทรวงยุติธรรมในครั้งนี้ ได้คำนึงถึงความรู้ความสามารถของผู้รับแต่งตั้งโยกย้าย รวมถึงเอกภาพและความรู้ความสามารถในการบังคับบัญชา โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนและส่วนรวมเป็นสำคัญ ไม่มีการกลั่นแกล้งหรือมีอคติใด ๆ รวมทั้งไม่เกี่ยวข้องกับคดีที่เป็นที่สนใจของสังคม ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษกำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ คือ คดีหมูเถื่อน โดยคดีดังกล่าวจะมีการดำเนินคดีอย่างตรงไปตรงมาจนถึงที่สุด และครอบคลุมผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดโดยยึดหลักกฎหมายเป็นสำคัญ”

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #หมูเถื่อน