วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

พรรคประชาชนจัดเต็มเวทีปราศรัย “คำตอบสุดท้าย อบจ.รับใช้ประชาชน” ขอโอกาสชาวอุดรเลือกเพื่อเปลี่ยนเป็นอุดรธานีสีส้ม ชูนโยบายยกระดับคุณภาพชีวิต น้ำประปาดื่มได้-เบบี้บ็อกซ์-หมอตู้ เชื่อมั่น “คณิศร ขุริรัง” ชัดและพร้อมเป็นนายก อบจ.อุดรธานี

 


พรรคประชาชนจัดเต็มเวทีปราศรัย “คำตอบสุดท้าย อบจ.รับใช้ประชาชน” ขอโอกาสชาวอุดรเลือกเพื่อเปลี่ยนเป็นอุดรธานีสีส้ม ชูนโยบายยกระดับคุณภาพชีวิต น้ำประปาดื่มได้-เบบี้บ็อกซ์-หมอตู้ เชื่อมั่น “คณิศร ขุริรัง” ชัดและพร้อมเป็นนายก อบจ.อุดรธานี 


วันที่ 22 พฤศจิกายน 2567 พรรคประชาชนเปิดเวทีปราศรัยโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งนายก อบจ.อุดรธานี “คำตอบสุดท้าย อบจ.รับใช้ประชาชน” ณ ลานหลังที่ว่าการอำเภอกุมภวาปี ถนนติดแม่น้ำ อ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี โดยมีแกนนำ สส. และผู้ช่วยหาเสียงร่วมปราศรัยให้กับ “คณิศร ขุริรัง” ผู้สมัครนายก อบจ.อุดรธานี เบอร์ 1 ของพรรคประชาชนอย่างคับคั่ง


[ คนอุดรไม่ได้เปลี่ยน จุดยืนประชาธิปไตยมั่นคง ]


ปิยบุตร แสงกนกกุล ผู้ช่วยหาเสียง กล่าวว่า คนอุดรธานีขึ้นชื่อเรื่องจุดยืนประชาธิปไตย หลายคนบอกว่าที่นี่คือเมืองหลวงประชาธิปไตย แต่ไม่กี่วันที่ผ่านมานักการเมืองอาวุโสเริ่มตั้งคำถามว่าคนอุดรธานีเปลี่ยนไปหรือไม่ สีแดงเข้มๆ ตกเป็นสีส้มหรือเปล่า ตนต้องบอกว่าจริงๆ แล้วคนอุดรธานีไม่ได้เปลี่ยน จุดยืนประชาธิปไตยอย่างไรก็อย่างนั้น แต่พวกเขาต่างหากที่เปลี่ยนไปเอง เปลี่ยนจากจุดยืนประชาธิปไตยไปเข้าหาอำนาจนิยม เปลี่ยนจากเดิมที่ต้องยืนตรงทะนงองอาจต่อสู้กับอำนาจอยุติธรรม ไปเป็นสยบยอมกับอำนาจเพื่อแลกกับการเป็นรัฐมนตรีเป็นรัฐบาล 


ตั้งแต่ปี 2548 พี่น้องคนอุดรธานีด้วยจุดยืนประชาธิปไตย จึงเลือกพรรคเดียวยกจังหวัด เป็นอย่างนี้มาเกือบ 20 ปี จนกระทั่งการเลือกตั้ง 2566 เมื่อมีพรรคก้าวไกล ชาวอุดรรู้สึกว่ารักพี่เสียดายน้อง ในเมื่อสองพรรคบอกว่ามีจุดยืนเหมือนกัน จะเข้าไปต่อต้านการสืบทอดอำนาจเหมือนกัน ไม่เอา 3 ป.เหมือนกัน ก็เลยแบ่งคะแนนกันไปคนละใบ พรรคก้าวไกลจึงได้ สส. เขตมา 1 คน แต่คะแนนบัญชีรายชื่อได้มาเกือบ 300,000 คะแนน เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ราวกับว่าพี่น้องแบ่งบัตรบัญชีรายชื่อให้อดีตพรรคก้าวไกลด้วยหวังว่าพรรคพี่พรรคน้องจะมารวมกันตั้งเป็นรัฐบาล แต่ที่ไหนได้ก้าวไกลถูกเตะเป็นฝ่ายค้าน


เมื่อมีการตั้งรัฐบาล อดีตพรรคก้าวไกลถูกยุบพรรคตัดสิทธิ์มาเป็นพรรคประชาชน จนมาถึงวันที่ 24 พฤศจิกายนที่ชาวอุดรจะได้ใช้สิทธิ์อีกครั้ง พี่น้องชาวอุดรธานีจึงมีโอกาสเป็นที่แรกที่จะส่งสัญญาณต่อไปว่าไม่เอาการตั้งรัฐบาลแบบที่ผ่านมา ไม่เอาการยุบพรรคตัดสิทธิ์ และเชื่อมั่นว่าพรรคสีส้มวันนี้คือพรรคประชาชนยังยืนหยัดเคียงคู่กับคนอุดรธานีในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย รอบนี้บัตรมีใบเดียว แบ่งกันไม่ได้อีกแล้ว ขอโอกาสครั้งนี้ส้มทั้งอุดรธานี เลือกคณิศรหมายเลข 1 สถานเดียว 


[ เงินสะสมเพิ่มได้ ถ้านายก อบจ. บริหารเป็น ]


ต่อมา ชัยธวัช ตุลาธน ผู้ช่วยหาเสียง กล่าวชี้แจงกรณีวิเชียร ขาวขำ อดีตนายก อบจ.อุดรธานี แถลงระบุหัวหน้าพรรคประชาชนเข้าใจผิดเรื่องงบประมาณ อบจ.อุดรธานีไม่ได้มีเงินเยอะ ตอนนี้เงินสะสมติดลบอยู่ 80 ล้านบาท โดยชัยธวัชกล่าวว่า ตนก็ตกใจ ถ้าติดลบจริงต้องถามว่าท่านใช้เงินอย่างไร จึงรีบไปหาเอกสารก่อนขึ้นเวทีปราศรัยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าตัวเลขงบประมาณล่าสุดเป็นอย่างไร ทำให้เห็นว่าเงินสะสมของ อบจ. มีอยู่ 1,500 ล้านบาท ซึ่งทราบอยู่แล้วว่าในจำนวนนี้อาจไม่ใช่เงินสดทั้งหมดแต่เป็นทรัพย์สินด้วย แต่เนื่องจากเอกสารที่ตนมี ไม่มีรายละเอียด จึงขอไปดูรายละเอียดก่อนแล้วค่อยมาพูดต่อ เรื่องเป็นแบบนี้


จนเมื่อไม่กี่วันก่อน วิเชียรแถลงว่าพวกตนอ่านงบไม่เป็นแล้วจะบริหารประเทศได้อย่างไร แต่ตนยืนยันว่าพวกเราอ่านงบประมาณเป็น หัวหน้าพรรคก็เป็นอดีตประธานกรรมาธิการติดตามงบประมาณ เพียงแต่เรามีข้อจำกัดเพราะเอกสารที่อดีตนายกวิเชียรเอามาชี้แจง ไม่ใช่เอกสารที่เผยแพร่ทั่วไป แต่เป็นเอกสารที่ อบจ. ต้องส่งรายงานให้กระทรวงมหาดไทย ถึงอย่างนั้นก็ดีแล้วที่อดีตนายกวิเชียรออกมาชี้แจง ถ้าคณิศรจากพรรคประชาชนได้รับการเลือกตั้งเป็นนายก อบจ. จะเข้าไปบริหารงบประมาณให้มีประสิทธิภาพ หารายได้ เงินจะได้เยอะขึ้น


ตนยืนยันว่าเงินสะสมเพิ่มได้ถ้าบริหารเป็น จะเพิ่มเงินสะสมต้องเพิ่มรายได้หรือใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ เช่นการจัดซื้อจัดจ้างต้องเป็นไปอย่างโปร่งใส ไม่ฮั้วประมูล ถ้าคณิศรได้เป็นนายก อบจ.อุดรธานี จะให้เข้าไปตรวจสอบตรงนี้ให้หมด ดังนั้นถ้าพี่น้องเชื่อว่า อบจ.อุดรธานีที่ผ่านมาใช้เงินภาษีอย่างโปร่งใสมีประสิทธิภาพแล้ว ไม่ต้องเลือกพวกตน แต่ถ้าคิดว่าอุดรธานีต้องดีกว่านี้ ใช้เงินภาษีคุ้มค่าโปร่งใสมีประสิทธิภาพมากกว่านี้ 24 พฤศจิกายนขอให้เลือกเบอร์ 1 คณิศรจากพรรคประชาชน


[ ชูผลงานยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนทุกท้องถิ่น ]


จากนั้น ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวว่า ถ้าเราได้นายก อบจ. ที่ใช้เงินทุกบาทด้วยความคุ้มค่าและโปร่งใส นโยบายดีๆ หลายอย่างเกิดขึ้นได้ ตนขอยกตัวอย่าง 3 ผลงานที่คณะก้าวหน้าทำงานร่วมกับท้องถิ่น เป็นนโยบายที่จะทำให้ชีวิตพี่น้องประชาชนดีขึ้น (1) น้ำประปาสะอาด เช่นที่เทศบาลตำบลอาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ด เราใช้เทคโนโลยีและความใส่ใจไปยกระดับระบบกระบวนการผลิตน้ำประปาในโรงประปา มีระบบเซ็นเซอร์ปริมาณสารเคมีให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ก่อนจำหน่ายไปยังบ้านเรือนประชาชน และไม่กี่วันก่อนเราลงพื้นที่ทันทีเมื่อมีประชาชนบางคนร้องเรียนเรื่องน้ำประปาที่บ้านเขา นี่คือการทำการเมืองอย่างตรงไปตรงมา เมื่อประชาชนร้องเรียนเราก็ไปพิสูจน์


เราจะนำสมาร์ทมิเตอร์มายกระดับน้ำประปาให้ดีขึ้น ทำให้น้ำประปาสะอาดและมีความสะดวก ประชาชนได้รับบิลค่าน้ำจ่ายทางออนไลน์ได้เลย ในอนาคตอุดรธานีอาจเป็นแห่งที่สองที่จะมีสมาร์ทมิเตอร์หน้าบ้าน เร็วกว่ากรุงเทพฯ โดยจะเป็นการทยอยติดตั้ง เมื่อน้ำประปาที่โรงผลิตน้ำประปาสะอาด สมาร์ทมิเตอร์จะตามมาในอนาคต


(2) “หมอตู้” หรือ Telemedicine อยู่ตรงไหนก็ใกล้หมอ ไม่ต้องเดินทางไกลไปโรงพยาบาล ลดภาระประชาชน ลดความแออัดในโรงพยาบาล (3) กล่องรับขวัญแรกเกิด (Baby Box) เพื่อส่งเสริมเด็กแรกเกิดให้มีพัฒนาการที่ดี เป็นการลงทุนกับมนุษย์ซึ่งมีความสำคัญกับอนาคตชาวอุดรธานีและของประเทศไทย


หัวหน้าพรรคประชาชนทิ้งท้ายว่า เรามีอีกหลายชุดนโยบายที่จะขับเคลื่อนให้พี่น้องชาวอุดรธานีมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี บางนโยบายแม้ อบจ. ไม่ได้มีอำนาจโดยตรง แต่สามารถใส่เงินอุดหนุนและใช้การประสานงาน ขอเพียงผู้บริหาร อบจ. มีวิสัยทัศน์และเห็นความสำคัญ อีกสองวันต่อจากนี้คือวันกำหนดอนาคตของชาวอุดร ช่วยกันบอกต่อให้กาเบอร์ 1 คณิศรเป็นนายก อบจ. ส่งสัญญาณไปถึงทุกจังหวัดทั่วประเทศโดยเฉพาะจังหวัดที่พรรคประชาชนส่งผู้สมัครนายก อบจ.


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #อบจอุดร




วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

‘จุลพันธ์‘ เผยตัวเลขโอนเงิน 10,000 บาท ซ้ำครั้งที่ 2 พบโอนไม่สำเร็จ 43,699 ราย ขอผู้มีสิทธิ์กลุ่มตกหล่นรีบผูกพร้อมเพย์ก่อน 16 ธ.ค. นี้

 


จุลพันธ์‘ เผยตัวเลขโอนเงิน 10,000 บาท ซ้ำครั้งที่ 2 พบโอนไม่สำเร็จ 43,699 ราย ขอผู้มีสิทธิ์กลุ่มตกหล่นรีบผูกพร้อมเพย์ก่อน 16 ธ.ค. นี้


วันที่ 22 พฤศจิกายน 2567 นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงภาพรวมการโอนเงิน 10,000 บาท ของโครงการเติมเงินผ่านดิจิทัลวอลเล็ตในรอบจ่ายซ้ำ (Retry) ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 21 พ.ย. 2567 โดยมีการโอนไปแล้วทั้งสิ้น 73,967 ราย แบ่งเป็นผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 59,568 ราย และผู้พิการ 14,399 ราย


นายจุลพันธ์กล่าวว่า ในจำนวนดังกล่าวโอนสำเร็จไปแล้วจำนวน 30,268 ราย และโอนไม่สำเร็จอีก 43,699 ราย โดยแบ่งเป็นผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 39,399 ราย และผู้พิการอีก 4,300 ราย ซึ่งสาเหตุหลักของการโอนเงินไม่สำเร็จนั้น ส่วนใหญ่เกิดจากการที่ผู้มีสิทธิ์ยังไม่ผูกบัญชีพร้อมเพย์จำนวน 40,157 ราย รองลงมาคือบัญชีธนาคารของผู้มีสิทธิ์ไม่มีความเคลื่อนไหว บัญชีธนาคารถูกปิดไปแล้ว ไม่มีบัญชีธนาคาร เลขบัญชีธนาคารไม่ถูกต้อง และบัญชีธนาคารติดเงื่อนไขอื่นๆ ตามลำดับ


นายจุลพันธ์ยังได้เน้นย้ำให้ผู้มีสิทธิ์ทั้งผู้ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและผู้พิการดำเนินการผูกบัญชีพร้อมเพย์กับเลขประจำตัวประชาชนภายในวันที่ 16 ธ.ค. 2567 ส่วนผู้พิการนั้น หากบัตรประจำตัวผู้พิการหมดอายุหรือสูญหายให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 3 ธ.ค. 2567 เพื่อให้ทันต่อรอบการจ่ายซ้ำครั้งที่ 3 ในวันที่ 19 ธ.ค. 2567 หาก


ทั้งนี้ นายจุลพันธ์กล่าวว่าหากพ้นกำหนดการ Retry ครั้งที่ 3 แล้ว ทางกรมบัญชีกลางโดยกระทรวงการคลังจะยุติการจ่ายเงินให้แก่กลุ่มผู้มีสิทธิ์และถือว่ากลุ่มผู้มีสิทธิ์ไม่ประสงค์รับเงินภายใต้โครงการดังกล่าว


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ 

พรรคประชาชนปูพรมโค้งสุดท้ายเลือกตั้งนายก อบจ.อุดรฯ ดาวกระจาย 6 สายทั่วอุดรฯ “ธนาธร” เยือนบ้านผือที่มั่นนายกวิเชียร ประชาชนแห่ต้อนรับคึกคัก “คณิศร-ปิยบุตร” ขอโอกาสปักธงนายก อบจ.อุดรธานี ที่แรก ก่อนเย็นนี้เปิดเวทีปราศรัยที่กุมภวาปี

 


พรรคประชาชนปูพรมโค้งสุดท้ายเลือกตั้งนายก อบจ.อุดรฯ ดาวกระจาย 6 สายทั่วอุดรฯ “ธนาธร” เยือนบ้านผือที่มั่นนายกวิเชียร ประชาชนแห่ต้อนรับคึกคัก “คณิศร-ปิยบุตร” ขอโอกาสปักธงนายก อบจ.อุดรธานี ที่แรก ก่อนเย็นนี้เปิดเวทีปราศรัยที่กุมภวาปี


วันที่ 22 พฤศจิกายน 2567 ที่ จ.อุดรธานี แกนนำ สส. และผู้ช่วยหาเสียงพรรคประชาชน ร่วมปูพรมหาเสียงในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งนายก อบจ.อุดรธานี ในวันที่ 24 พฤศจิกายนนี้ ซึ่งพรรคประชาชนได้ส่ง คณิศร ขุริรัง หมายเลข 1 เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายก อบจ.อุดรธานีในการเลือกตั้งครั้งนี้ โดยขบวนหาเสียงของพรรคประชาชนได้กระจายตัวออกเป็น 6 สายเดินทางไปพบปะประชาสัมพันธ์การเลือกตั้งทั่วทั้ง จ.อุดรธานี ประกอบด้วยเส้นทาง อ.หนองแสง-อ.โนนสะอาด, อ.กุดจับ-อ.บ้านผือ, อ.หนองหาน, อ.บ้านดุง, อ.ประจักษ์ และ อ.เพ็ญ


ในส่วนของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า และผู้ช่วยหาเสียงพรรคประชาชน ร่วมกับ พนิดา มงคลสวัสดิ์ สส.สมุทรปราการ พรรคประชาชน และ คำพอง เทพาคำ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้ร่วมหาเสียงไปบนเส้นทาง อ.กุดจับ-บ้านผือ โดยขึ้นรถแห่ประชาสัมพันธ์ เดินพบปะประชาชนตามชุมชน แจกเอกสารประชาสัมพันธ์ผู้สมัคร และปราศรัยตามจุดต่างๆ ไปตลอดเส้นทางการหาเสียง


โดยจุดที่น่าสนใจคือการหาเสียงในพื้นที่ อ.บ้านผือ ซึ่งเป็นฐานที่มั่นสำคัญและบ้านเกิดของ วิเชียร ขาวขำ อดีตนายก อบจ.อุดรธานี สังกัดพรรคเพื่อไทย คู่แข่งหลักของพรรคประชาชนในการเลือกตั้งครั้งนี้ ซึ่งตลอดเส้นทางการหาเสียงเช้านี้ มีประชาชนและผู้สนับสนุนพรรคเข้าพบปะพูดคุย ให้กำลังใจ และขอถ่ายรูปด้วยเป็นจำนวนมาก


ขณะที่ คณิศร ขุริรัง ผู้สมัครนายก อบจ.อุดรธานี เบอร์ 1 จากพรรคประชาชน พร้อมด้วย ปิยบุตร แสงกนกกุล ผู้ช่วยหาเสียง, ณัฐพงษ์ พิพัฒน์ไชยศิริ สส.อุดรธานี เขต 1 และ ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สส.กรุงเทพฯ เขต 11 ร่วมขึ้นรถแห่ปราศรัยบนเส้นทาง อ.หนองหาน-กุมภวาปี มีประชาชนส่งเสียงเชียร์เบอร์ 1 ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นตลอดทาง


ช่วงหนึ่งปิยบุตรกล่าวว่า การเลือกตั้งนายก อบจ.อุดรธานีครั้งนี้ ไม่ใช่แค่การแสดงพลังของคนอุดรธานีหรือคนอีสานเท่านั้น แต่คือการแสดงถึงการเมืองแบบใหม่ที่พรรคประชาชนยืนอยู่หัวแถวตั้งใจนำเสนอต่อประชาชน เมื่อ 20 ปีที่แล้วพี่น้องเคยเลือกพรรคหนึ่งยกจังหวัด ผ่านมา 20 ปีรอบนี้ขอโอกาสปักธงสีส้มนายก อบจ.อุดรธานีเป็นที่แรก และต่อไปจะเลือกยกจังหวัดให้อุดรธานีเป็น ‘อุดรธานีสีส้ม’


ทั้งนี้ พรรคประชาชนจะเปิดเวทีปราศรัย “คำตอบสุดท้าย อบจ.รับใช้ประชาชน” ณ ลานหลังที่ว่าการอำเภอกุมภวาปี ถนนติดแม่น้ำ อ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี ตั้งแต่เวลา 16.30 น. เป็นต้นไป


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #อบจอุดร








กลุ่ม Thumb Rights และแนวร่วม จัดกิจกรรม อวยพรวันเกิด “อัญชัญ” หน้าทัณฑสถานหญิงกลาง ชี้การเขียนจม.ถึงผตข.มีความสำคัญ และเรียกร้องให้นิรโทษกรรมประชาชนโดยรวมมาตรา 112 ด้วย

 


กลุ่ม Thumb Rights และแนวร่วม จัดกิจกรรม อวยพรวันเกิด “อัญชัญ” หน้าทัณฑสถานหญิงกลาง ชี้การเขียนจม.ถึงผตข.มีความสำคัญ และเรียกร้องให้นิรโทษกรรมประชาชนโดยรวมมาตรา 112 ด้วย


วันนี้ (22 พฤศจิกายน 2567 เวลา 09.30 น. กลุ่ม Thamb Rights – ทำไรท์ และแนวร่วม ได้ร่วมกันจัดกิจกรรมอวยพรวันเกิดปีที่ 69 ของ “อัญชัญ ปรีเลิศ” ณ หน้าทัณฑสถานหญิงกลาง กรุงเทพมหานคร โดยภายในงาน ตัวแทนจาก Amnesty Thailand ได้อ่านจดหมายจาก “อัญชัญ” ถึงทุกคนในสังคม ความว่า

 

อัญชัญ ปรีเลิศ (ป้าเล็ก) อายุ 69 ปี


โดยปกติแล้ววันเกิดคือวันธรรมดาวันหนึ่งในชีวิต ตอนที่อยู่ข้างนอกก็ไปทำบุญตักบาตร ทำอาหารทานกับครอบครัว เมื่อต้องเข้ามาอยู่ในเรือนจำความแตกต่างของวันเกิดคือการที่เป็นวันธรรมดาแบบในเรือนจำ ตื่นตี 4 ตี 5 ครึ่ง สวดมนต์ และบอกกับตัวเองว่านี่เป็นปีที่เท่าไหร่แล้วที่ต้องมีวันเกิดในเรือนจำ 20 พฤศจิกายน 2567 นี้ จึงเป็นปีที่ 6 ที่ต้องฉลองวันเกิดข้างในเรือนจำ จริง ๆ ไม่มีใครรู้หรอกว่าเป็นวันเกิดเรา จนเมื่อปีที่แล้ว แอมเนสตี้ประเทศไทย ได้ฉลองวันเกิดให้เราผ่านเค้กมะพร้าวที่เราชอบ วันนี้เมื่อปีที่แล้วเพื่อนในเรือนจำจึงมาร่วมร้องเพลง Happy Birhtday ให้กับเรา รวมถึงยังได้อ่านข้อความที่หลายคนร่วมอวยพรวันเกิดมาให้


ในฐานะที่วันนี้เป็นวันเกิด เราจึงอยากจะขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลก ช่วยบอกกับผู้มีอำนาจให้ถือเสียว่านี่คือการทำบุญทำกุศลปล่อยคนที่ถูกจับกุมคุมขังเพื่อให้ทุกคนและเราได้กลับไปอยู่กับครอบครัว และพื้นที่เพิ่มให้กับเรือนจำ ไม่มีใครอยากกลับมาอยู่ข้างในหรอกนะ ทำบุญทำทานให้กับพวกเราได้เป็นอิสระ จะได้ไม่ต้องเปลืองงบประมาณ และเราอยากฝากบอกกับทุกคนที่มาร่วมอวยพรวันเกิดให้ที่หน้าเรือนจำวันนี้ หรือทุกคนที่คิดถึงป้า อยากจะบอกว่า ขอบคุณทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำงานตรงนี้ อยากจะบอกว่า ขอให้สิ่งดี ๆ กลับไปสู่ทุกคน ขอบคุณทุกคนมาก ๆ ที่ไม่ลืมป้าอัญชัญนะคะ มันต้องมีสักวันแหละที่จะได้รับการปล่อยตัวและออกไปมีอิสรภาพข้างนอก นอกจากนี้ขอบคุณจดหมายและโปสการ์ดทุกฉบับ ป้าได้รับแล้วนะที่ทางแอมเนสตี้ส่งมาเมื่อช่วงต้นเดือนตุลาคม ขอบคุณมาก เขียนมาเยอะมาก ดีใจที่มีคนเขียนถึง เวลาที่ได้นั่งอ่านข้อความหรือจดหมายของทุกคน มันทำให้ป้ามีกำลังใจขึ้นมาก และบอกกับตัวเองอยู่เสมอว่าต้องทำให้ร่างกายและจิตใจของตัวเองแข็งแรง เพื่อมีชีวิตรอดไปอยู่ข้างนอกกับครอบครัวและคนที่เรารัก”

 

นอกจากนี้ Amnesty Thailand ได้โพสต์ผ่าน X ข้อความที่ผู้เป็นสามีของ “อัญชัญ” ได้เขียนถึงเธอ ความว่า


"สวัสดี แม่ที่รักของพ่อ ทนเอานะแม่ สักวันหนึ่งเราต้องออกมาแล้วเจอกัน พ่อก็รอวันที่แม่ออกมา"


จนถึงวันนี้ เป็นเวลาเกือบหนึ่งทศวรรษ ที่พวกเขาไม่ได้เจอกัน แต่สามีของอัญชัญยังเรียกเธอเหมือนวันวาน "แม่" และแทนตัวเองว่า "พ่อ"


ต่อมาตัวแทนกลุ่ม Thumb Rights กล่าวอวยพรวันเกิด “อัญชัญ” และ ทนายเมย์ พูนสุข พูนสุขเจริญ ตัวแทนจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน กล่าวถึงข้อมูลจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ระบุว่า ในวันที่ 22 พ.ย. 2567 มีผู้ต้องขังคดีทางการเมืองอยู่ในเรือนจำรวม 33 ราย เป็นผู้ที่ถูกดำเนินคดีในมาตรา 112 จำนวน 25 ราย คิดเป็นร้อยละ 75 ของผู้ต้องขังทั้งหมด เครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชนเห็นว่าการนิรโทษกรรมจะเป็นจุดเริ่มต้นในการคลี่คลายความขัดแย้งได้ ก่อนที่จะก้าวไปสุ่ปัญหาที่มีความซับซ้อนมากกว่าการนิรโทษกรรม ประเด็นข้อกังวลที่ว่าการนิรโทษกรรมโดยรวมคดี 112 จะเป็นการเพิ่มความขัดแย้งมากขึ้น เครือข่ายนิรโทษกรรมเห็นว่า การนิรโทษกรรมคดีการเมืองในคดีอื่น ๆ ไปโดยไม่รวมคดีมาตรา 112 กลับจะเป็นการเน้นย้ำปัญหาความขัดแย้งประเด็นสถาบันกษัตริย์ให้มากยิ่งขึ้น


สุดท้าย ทนายเมย์กล่าวว่า เครือข่ายนิรโทษกรรมสนับสนุนให้เกิดการพูดคุยทำความเข้าใจเพื่อให้เกิดการนิรโทษกรรมเพื่อคลี่คลายความขัดแย้ง โดยการเร่งนำกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการนิรโทษกรรมเข้าไปพิจารณาในสภา รับหลักการของทุกร่างพ.ร.บ.


ประวัติของ “อัญชัญ ปรีเลิศ”


เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2564 อัญชัญ ปรีเลิศ อดีตข้าราชการพลเรือน ถูกตัดสินจําคุก 87 ปี ในข้อหาหมิ่นประมาทกษัตริย์จำนวน 29 กระทงเนื่องจากคลิปเสียงที่เธออัปโหลดและเผยแพร่บนโซเชียลมีเดีย ที่เจ้าหน้าที่เห็นว่าเป็นการหมิ่นประมาทกษัตริย์ไทย โทษจําคุกของเธอลดลงเหลือ 43 ปี 6 เดือนเนื่องจากรับสารภาพ ศาลพิพากษาให้อัญชัญจำคุกที่ทัณฑสถานหญิงกลางในกรุงเทพ


อัญชัญถูกจับกุมเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2558 และถูกควบคุมตัวที่ค่ายทหารเป็นเวลาห้าวัน ก่อนถูกพิพากษา อัญชัญถูกฝากขังเป็นเวลาสามปีกับ 281 วัน ในตอนแรกคดีของเธอถูกพิพากษาโดยศาลทหาร ซึ่งปฏิเสธคําขอประกันตัวหลายรอบ แต่ในที่สุดอัญชัญก็ได้รับการประกันตัวชั่วคราวเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2561 อย่างไรก็ตาม คดีหมิ่นประมาทกษัตริย์ของเธอยังคงอยู่ภายใต้เขตอํานาจศาลของศาลทหารกรุงเทพ จนกระทั่งเดือนกรกฎาคม 2562 คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้มีคำสั่งให้ส่งคดีของพลเรือนในศาลทหารไปยังศาลพลเรือน


ข้อมูลจาก : ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน และ Amnesty Thailand

ขอบคุณภาพจาก : Thumb Rights – ทำไรท์


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #FreeAnchan #FreeRatsadon #นิรโทษกรรมประชาชน #นิรโทษกรรมรวม112




ด่วน !! ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้อง ยกทุกประเด็น ทักษิณ ล้มล้างการปกครอง

 


ด่วน !! ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้อง ยกทุกประเด็น ทักษิณ ล้มล้างการปกครอง


วันนี้ (22 พฤศจิกายน 2567) เวลา 09.30 น. สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีการประชุมประจำสัปดาห์ ซึ่งจะมีการหยิบยกคำร้องของ นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร (ผู้ร้อง) ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 กล่าวอ้างว่า นายทักษิณ ชินวัตร (ผู้ถูกร้องที่ 1) และพรรคเพื่อไทย (ผู้ถูกร้องที่ 2) ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ เพื่อพิจารณารับหรือไม่รับคำร้องนี้ไว้วินิจฉัย


โดยศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้มีหนังสือถึงอัยการสูงสุดเพื่อขอทราบ ว่าได้ดำเนินการตามคำร้องของผู้ร้องไปแล้วอย่างไร และรวบรวมพยานหลักฐานได้เพียงใด โดยให้จัดส่งต่อ ศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ ซึ่งอัยการสูงสุดได้รับหนังสือเมื่อวันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม ต่อมาเมื่อวันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน และวันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน สำนักงาน ศาลรัฐธรรมนูญได้รับหนังสือสำนักงานอัยการสูงสุด ลับ ด่วนที่สุด ส่งเอกสารตามหนังสือเรียกเอกสาร หลักฐาน หรือบุคคลของศาลรัฐธรรมนูญ ตามลำดับ


สำหรับคำร้อง ที่นายธีรยุทธ ยื่นมี 6 ประเด็น ประกอบด้วย


ประเด็นที่ 1 นายทักษิณ สั่งการรัฐบาลผ่านกระทรวงยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลตำรวจ ให้เอื้อประโยชน์แก่นายทักษิณ ให้พักอาศัยอยู่ห้องพัก ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ในระหว่างรับโทษจำคุก เพื่อให้ไม่ต้องรับโทษในเรือนจำ ทั้งที่ไม่พบว่ามีอาการป่วยขั้นวิกฤต


ประเด็นที่ 2 นายทักษิณ สั่งการรัฐบาลให้เอื้อประโยชน์แก่อดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศกัมพูชา ให้มีการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลเพื่อแบ่งผลประโยชน์ก๊าซธรรมชาติและทรัพยากรใต้ทะเลในเขตอธิปไตยทางทะเลของประเทศไทยให้แก่ประเทศกัมพูชา


ประเด็นที่ 3 นายทักษิณ สั่งการให้พรรคเพื่อไทย ร่วมมือเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญกับพรรคประชาชน ซึ่งเป็นพรรคที่ก่อตั้งโดยกลุ่มการเมืองของพรรคก้าวไกลเดิม ที่ต้องคำวินิจฉัยศาลรัฐธธธรรมนูญว่ามีพฤติการณ์ล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข


ประเด็นที่ 4 นายทักษิณ สั่งการแทนพรรคเพื่อไทย โดยเจรจากับแกนนำของพรรคการเมืองอื่นที่ร่วมรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อหารือการเสนอชื่อบุคคลผู้สมควรเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ที่บ้านพักส่วนตัวของนายทักษิณ


ประเด็นที่ 5 นายทักษิณ สั่งการให้พรรคเพื่อไทย มีมติขับพรรคพลังประชารัฐออกจากพรรคร่วมรัฐบาล


ประเด็นที่ 6 นายทักษิณ สั่งการให้พรรคเพื่อไทย นำนโยบายของนายทักษิณ ที่แสดงวิสัยทัศน์ไว้ไปดำเนินการให้เป็นนโยบายของคณะรัฐมนตรีที่แถลงต่อรัฐสภา


ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาโดยการอภิปรายแล้วเห็นว่า คดีนี้แม้ผู้ร้องจะใช้สิทธิยื่นคำร้องต่ออัยการ สูงสุดแล้วและอัยการสูงสุดไม่ดำเนินการภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำร้องขอ อันทำให้ผู้ร้องมีสิทธิยื่นคำร้อง โดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ก็ตาม แต่การพิจารณาว่า บุคคลใดจะใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง จะต้องปรากฏ ข้อเท็จจริงชัดเจนเพียงพอที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งหมาย และความประสงค์ระดับที่วิญญูชนคาดเห็นได้ว่าน่าจะทำให้เกิดผลเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพ เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยการกระทำนั้น จะต้องกำลังดำเนินอยู่และไม่ห่างไกลเกินกว่าเหตุ


ข้อกล่าวอ้างในประเด็นที่ 1 และประเด็นที่ 3 ถึงประเด็นที่ 6 ยังไม่มีน้ำหนักพยานหลักฐานเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าการกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสอง น่าจะทำให้เกิดผลเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง ดังนั้น กรณีไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเอกฉันท์ ไม่รับไว้พิจารณาวินิจฉัยในประเด็นที่ 1 และประเด็นที่ 3 ถึงประเด็นที่ 6


สำหรับประเด็นที่ 2 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติโดยเสียงข้างมาก (7 ต่อ 2) มีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย


ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก จำนวน 7 คน คือ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ นายปัญญา อุดชาชน นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม นายวิรุฬห์ แสงเทียน นายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ นายอุดม รัฐอมฤต และนายสุเมธ รอยกุลเจริญ เห็นว่า ยังไม่มีน้ำหนักพยานหลักฐานเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าการกระทำ ของผู้ถูกร้องทั้งสองน่าจะทำให้เกิดผลเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง


ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างน้อย จำนวน 2 คน คือ นายจิรนิติ หะวานนท์ และ นายนภดล เทพพิทักษ์ เห็นว่า มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าการกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสองน่าจะทำให้เกิดผล เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพ เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะรับไว้พิจารณาวินิจฉัยได้


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ศาลรัฐธรรมนูญ #ทักษิณ

ธิดา ถาวรเศรษฐ : วิกฤตการเมืองเป็นสาเหตุของวิกฤตเศรษฐกิจและสังคมไทย แจกเงินอย่างเดียว แก้ปัญหาประเทศไม่ได้!!!

 


ธิดา ถาวรเศรษฐ : วิกฤตการเมืองเป็นสาเหตุของวิกฤตเศรษฐกิจและสังคมไทย แจกเงินอย่างเดียว แก้ปัญหาประเทศไม่ได้!!!



[ถอดเทป] คนดังนั่งเคลียร์ "พรรคประชาชน" ท้ารบ "ทักษิณ" ศึกนี้แพ้ไม่ได้!!
ออกอากาศวันที่ 19 พ.ย. 67 ทาง ช่อง 8
ดำเนินรายการโดย เมย์ ชนิตร์นันทน์ ปุณณะนิธิ
ลิ้งค์ยูทูป : https://www.youtube.com/watch?v=1SYCcukqPSM


***พูดถึงการเลือกตั้งใหญ่ คุณทักษิณพูดว่า “ครั้งที่แล้วเป็นอุบัติเหตุทางการเมือง ครั้งหน้า 200 เสียงแน่นอน” อาจารย์ว่าอย่างไร?***



อาจารย์ก็ไม่อยากจะไปปรามาสหรือทำนายอะไรใคร อาจารย์พูดในเชิงหลักการว่า ฐานเสียงของคุณทักษิณเดิมเป็นฐานเสียงของประชาชนฝ่ายประชาธิปไตย จะดีจะชั่วสส.บางเขต ไม่ชอบแต่เขาก็เลือกนะ บางทีเขาเกลียดนะ สส.ที่พรรคเพื่อไทยเอาไปลง แต่เขาก็จำเป็นต้องเลือก แต่อย่างไรก็ตาม ขณะนี้คุณทักษิณมาให้น้ำหนักกับการเมืองแบบเก่ามากขึ้น ก็คือระบบบ้านใหญ่ ก็จะต้องเน้นที่สส.เขต สส.เขตก็จะมาเชื่อมกับท้องถิ่น เขาจะมองว่าฐานเสียงของท้องถิ่น สมมุติชนะอบจ.อุดรฯ ก็หวังว่าจะทำให้สส.เขตในการเลือกตั้งครั้งหน้าน่าจะอุ่นหนาฝาคั่งไม่เสียไปแบบเดิม



คุณทักษิณกลับมาใช้ระบบเดิม แต่ว่าประชาชนเปลี่ยนไป ถามว่ายังมีผลมั้ย? มันก็มีผลอยู่พอควรเพราะคนยังผูกพันในพื้นที่ ไม่อย่างนั้นพรรคภูมิใจไทยเขาก็ได้เสียงมา 70 กว่าเสียง ภูมิใจไทย พลังประชารัฐ เพราะฉะนั้นการใช้ระบบบ้านใหญ่ที่เขาจะปะทะจริง ๆ คือภูมิใจไทยนะ เพราะเป็นยุทธศาสตร์แบบเดียวกัน ไม่สามารถที่จะไปหาเสียงในระดับประเทศในบัญชีรายชื่อได้ เขาจะเจอภูมิใจไทย พลังประชารัฐก็อาจจะอ่อนลงไปแล้ว แต่ภูมิใจไทยสำคัญมาก ส่วน popular vote ทั่วไปเขาต้องมาแข่งกับพรรคประชาชน ในขณะที่พรรคประชาชนเขาคิดถูกก็คือเขาก็ลงพื้นที่ด้วย เพราะโอกาสสส.เขต อาจารย์ก็นึกไม่ถึงเที่ยวที่แล้วนะ ก็คงนึกว่าได้บัญชีรายชื่อมา สส.เขตคงได้ไม่มาก ปรากฏว่าได้มามาก ก็ตกใจ! ก็คือประชาชนเปลี่ยนเร็วไงจนกระทั่งเราทำนายผิด จากมากไปน้อย จากน้อยไปมากประชาธิปัตย์” อาจารย์ก็นึกไม่ถึงว่าจะลงขนาดนั้น แล้ว “ก้าวไกล” ก็นึกไม่ถึงว่าจะมากขนาดนั้นนะ



แปลว่าเราไปมองประชาชนหยุดนิ่งอยู่กับที่ ในขณะที่ประชาชนมีการเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาเลย ถ้ายังกลับไปใช้วิธีแบบเก่า ที่คุณทักษิณจะต้องเจอคือพรรคภูมิใจไทยนะ อาจารย์มอง พรรคประชาชนก็เป็นส่วนหนึ่งที่มีการแบ่งคะแนนกับพรรคเพื่อไทย ดี/ไม่ดี ภูมิใจไทยก็จะสอดแทรกมา เพราะฉะนั้นยุทธศาสตร์บ้านใหญ่จริง ๆ แล้วเขาต้องสู้กับภูมิใจไทยมากกว่า โดยเฉพาะภาคอีสาน อาจารย์คิดอย่างนั้นนะ แต่ว่าพอดีอุดรฯ เป็นสนามที่เหลือ 2 พรรค มันเลยจะโยงไปถึงยุทธศาสตร์ชาติด้วยไง ดังนั้นเราจึงเห็นเรื่องราวในระดับที่มันเลยอุดรฯ ที่มีการพูดบนเวที เพราะว่าถ้าแข่งกับพรรคประชาชนก็ต้องพูดแบบนั้น ถ้าแข่งกับภูมิใจไทยก็อาจจะต้องพูดอีกแบบหนึ่ง



ชนะหรือแพ้อาจารย์ว่าก็เป็นจุดที่จะต้องเริ่มต้นทั้งนั้น และต้องเป็นการสะสม ต้องติดตามความเข้าใจกับประชาชนอย่างใกล้ชิด ความเชื่อมั่นเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าความเชื่อมั่นบนพื้นฐานของข้อมูลที่ไม่ถูกต้องก็ทำให้พังได้



***อาจารย์มีอะไรในใจที่อยากจะพูดถึงใครก็ได้ มีอะไรอยากจะทิ้งท้ายไว้มั้ยคะ?***



คือเมืองไทยยังมีวิกฤตการเมืองอยู่และเป็นสาเหตุของวิกฤตเศรษฐกิจและสังคม เราถูกถอยหลังมายาวนาน ขณะนี้วิกฤตประเทศสูง คุณไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างเดียว แม้กระทั่งปัญหายาเสพติด หรือคุณจะแจกเงินอย่างเดียวแล้วจะแก้ปัญหาประเทศไม่ได้ ประเทศนี้ต้องการการเปลี่ยนแปลง แต่ก่อนที่จะเปลี่ยนแปลงได้อย่างเป็นจริง ที่สำคัญก็คือความคิดของประชาชน จะต้องเป็นความคิดที่ก้าวหน้า และเข้าใจว่าปัญหาของประเทศอยู่ที่ไหน และต้องการการเปลี่ยนแปลง ต้องจับมือกัน เพราะว่าอำนาจนิยมจารีตนิยมในประเทศไทยนั้นมันครอบงำอยู่สูงมาก และเป็นด้านหลักของปัญหาอยู่มาตลอด เมื่อเป็นเช่นนั้นถ้าประชาชนไม่ตื่นตัวทางการเมืองและจับมือกันอย่างจริงจัง ประเทศชาติมีแต่จะย่อยยับ เพราะในขณะนี้ก็ย่อยยับมากแล้ว



แต่แน่นอน พรรคการเมืองก็จะเป็นส่วนสำคัญที่จะสามารถทำให้การเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นไปได้อย่างราบรื่น แต่ว่ามันยาก สมมุติว่าถ้ามีพรรคการเมืองเช่นพรรคก้าวไกลได้แลนด์สไลด์ แม้กระทั่งเพื่อไทยก็ตามแลนสไลด์ แล้วทำให้ระบอบเดิมไม่สามารถที่จะควบคุมรัฐบาลได้ เราก็จะมีรัฐประหารมาอีก อย่าคิดว่าไม่มี เพราะฉะนั้น ความคิดสำคัญมาก ตอนนี้ก็ดีใจที่ว่าประชาชน พ.ศ. นี้เปลี่ยนไปจากเดิมเยอะแล้ว แต่ยังไม่พอ เพราะยังมีส่วนหนึ่งที่คิดว่าแก้อะไรไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็แก้เศรษฐกิจได้ มันจะดึงเวลาไปเรื่อย ๆ และประเทศจะดำดิ่งลงมากขึ้นเรื่อง ๆ ในขณะที่คนอื่นเขาเดินหน้า



สิ่งที่ขอก็คือ ขอให้ประชาชนตระหนักถึงปัญหาที่แท้จริงว่าวิกฤตของประเทศไทยเป็นวิกฤตทางการเมือง และประชาชนจำเป็นต้องเดินไปในเส้นทางที่มีอนาคต ก็คือ ต้องเป็นระบอบประชาธิปไตยที่อำนาจเป็นของประชาชนอย่างแท้จริงเท่านั้น ไม่ใช่เป็นอำนาจของคนส่วนน้อย อาจจะเป็นการต่อสู้ที่ยืดเยื้อ แต่ถ้าเรามั่นคงและปักหลัก จุดยืนไม่มีการเปลี่ยนแปลง ชัยชนะก็ต้องเป็นของประชาชนอย่างแน่นอน



#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ทักษิณ #เพื่อไทย #อบจอุดร

วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

กมธ.พัฒนาเศรษฐกิจ แถลงความคืบหน้า 'นักสืบทุนเทา' เปิดตัว 1 เดือน ประชาชนร้องเรียนกว่า 500 เรื่อง เกือบครึ่งเป็นปัญหานอมินี กทม.-ภูเก็ต ร้องเยอะสองอันดับแรก

 


กมธ.พัฒนาเศรษฐกิจ แถลงความคืบหน้า 'นักสืบทุนเทา' เปิดตัว 1 เดือน ประชาชนร้องเรียนกว่า 500 เรื่อง เกือบครึ่งเป็นปัญหานอมินี กทม.-ภูเก็ต ร้องเยอะสองอันดับแรก


วันที่ 21 พฤศจิกายน 2567 สิทธิพล วิบูลย์ธนากุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ แถลงความคืบหน้าโครงการ "นักสืบทุนเทา" แพลตฟอร์มรับเรื่องร้องเรียนปัญหาสินค้าต่างชาติและการประกอบธุรกิจของชาวต่างชาติผิดกฎหมาย ผ่านแพลตฟอร์ม Traffy Fondue ซึ่งทาง กมธ. ทำงานร่วมกับสมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทย มีเป้าหมายเพื่อสร้างความเป็นธรรมให้ผู้ประกอบการไทย ที่ปัจจุบันได้รับผลกระทบจากสินค้าและธุรกิจต่างชาติผิดกฎหมาย เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการเฝ้าระวัง ช่วยชี้เป้า แจ้งเบาะแส นำไปสู่การแก้ไขปัญหา


สิทธิพลกล่าวว่า เป็นเวลากว่า 1 เดือนนับแต่เปิดตัวโครงการ จนถึงวันนี้มีประชาชนส่งเรื่องร้องเรียนแล้วกว่า 500 เรื่อง เรื่องร้องเรียนเหล่านี้หลัง กมธ. คัดกรองแล้ว จะถูกส่งต่อไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบ โดยในเชิงสถิติพบว่าปัญหาทุนต่างชาติผิดกฎหมาย หรือนอมินี เป็นเรื่องที่ประชาชนร้องเรียนเข้ามามากสุด กว่า 200 เรื่อง หรือคิดเป็น 45%  


รองลงมาคือสินค้าไม่มี อย. 110 เรื่อง คิดเป็น 26% และสินค้าไม่มี มอก. อีก 57 เรื่อง คิดเป็น 13% ในเชิงพื้นที่ จังหวัดที่ส่งเรื่องร้องเรียนเข้ามามากสุดคือกรุงเทพมหานคร มีจำนวนกว่า 250 เรื่อง ส่วนมากเป็นปัญหาสินค้าไม่มี อย. และ มอก. รองลงมา คือจังหวัดภูเก็ต มีเรื่องร้องเรียนเข้ามากว่า 100 เรื่อง เกือบทั้งหมดเป็นปัญหาเกี่ยวข้องกับนอมินีต่างชาติผิดกฎหมาย 


สิทธิพลกล่าวว่า ในการประชุม กมธ. วันนี้ ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 6 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.), สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.), กรมทรัพย์สินทางปัญญา, กรมสรรพากร, ธนาคารแห่งประเทศไทย และกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เพื่อมาให้ข้อมูล ชี้แจงความคืบหน้าถึงการแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียนที่ได้รับไป 


ผลการประชุมมีความคืบหน้าของโครงการที่น่าสนใจคือ (1) หน่วยงานราชการทุกหน่วยได้รับเรื่องร้องเรียน และกำลังดำเนินการแก้ไข โดยมี 2 หน่วยงานที่ตอบรับเข้าร่วมระบบ (PLUG IN) Traffy Fondue คือ อย. และ สมอ. ซึ่งปัจจุบันเข้าร่วมระบบเรียบร้อย จะช่วยให้การแก้ไขเรื่องร้องเรียนของประชาชนมีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น กมธ.ขอขอบคุณทั้ง 2 หน่วยงานที่เข้าร่วมระบบ


(2) การแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียนในปัจจุบันส่วนใหญ่ยังอยู่ในขั้นตอน “กำลังดำเนินการแก้ไข” โดยจากเรื่องร้องเรียนกว่า 500 เรื่อง ปัจจุบันเสร็จสิ้นไปแล้ว 17 เรื่อง ทาง กมธ. ได้ขอให้ทุกหน่วยงานเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชน และแจ้งความคืบหน้าแก่ กมธ. ซึ่งทุกหน่วยงานรับจะไปเร่งดำเนินการ


(3) บางหน่วยงานชี้แจงต่อ กมธ. ถึงสาเหตุที่ทำให้กระบวนการแก้ไขล่าช้า เนื่องจากข้อมูลที่ได้ยังไม่เพียงพอ ทาง กมธ. จึงขอให้ทุกหน่วยงานที่ยังไม่เข้าร่วมระบบ พิจารณาข้อดีของการเข้าร่วมระบบ เพราะจะช่วยให้หน่วยงานสามารถประสานขอข้อมูลเพิ่มเติมจากประชาชนผู้ร้องเรียนได้ ช่วยให้การแก้ปัญหารวดเร็วและลดภาระเจ้าหน้าที่


(4) มีหลายประเด็นที่ทาง กมธ. ให้ความเห็นหรือซักถามเพิ่มเติม และหน่วยงานรับไปดำเนินการ เช่น ขอให้ อย. พิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหาร้านค้าจำหน่ายสินค้าที่ไม่มี อย. อย่างยั่งยืน เนื่องจากพบเรื่องร้องเรียนในระบบที่ปรากฏว่าเป็นร้านค้าที่ อย. เคยลงตรวจแล้ว แต่กลับมาขายสินค้าที่ไม่มี อย.ใหม่ หรือขอให้ สมอ. นำเสนอแนวทางการจัดการสินค้าที่ยังไม่มีมาตรฐานบังคับสำหรับสินค้าที่ประชาชนร้องเรียนเข้ามา ว่าจะจัดการอย่างไร ตลอดจนกรมพัฒนาธุรกิจการค้าที่มีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับนอมินีจำนวนมาก ทางกรมฯ แจ้งว่าต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้สามารถดำเนินการต่อได้ จะดำเนินการอย่างไร


สิทธิพลกล่าวว่า ตนขอขอบคุณสมาคมอีคอมเมิร์ซไทย ที่เป็นพันธมิตรสำคัญของโครงการนักสืบทุนเทา ส่งบุคลากรและเครื่องมือมาช่วยดำเนินโครงการ นอกจากนี้ยังขอบคุณส่วนราชการทุกหน่วยงานที่เร่งแก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชน โดยทาง กมธ.พัฒนาเศรษฐกิจ จะติดตามความคืบหน้า เพื่อชี้แจงให้ประชาชนทราบต่อไปใ


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #กมธพัฒนาเศรษฐกิจ #นักสืบทุนเทา