ธิดา ถาวรเศรษฐ : การยกระดับการต่อสู้ของฝ่ายประชาธิปไตยทั้งในรัฐสภาและภายนอก!

 

เวทีรัฐสภาล่าสุดทำได้ดีเป็นการยกระดับของฝ่ายค้าน ส่วนของประชาชนนอกสภาการจัดทัพปรับขบวนของเยาวชนแสดงถึงความตั้งใจที่จะยกระดับพัฒนา สองส่วนนี้สามารถประสานกันได้

 

เมื่อวันที่ 23 ก.พ. 64 อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ ได้ทำเฟซบุ๊คไลฟ์ โดยประเด็นสนทนาในวันนี้ก็คือ

 

การยกระดับการต่อสู้ของฝ่ายประชาธิปไตยทั้งในรัฐสภาและภายนอก!

 

ถ้านอกประเทศเราจะเห็นการยกระดับการต่อสู้ คือหลังจากการต่อสู้ในระบบรัฐสภาล้มเหลวอย่างพม่า ก็คือมีการเลือกตั้ง แล้วทหารปฏิเสธผลการเลือกตั้ง แล้วยึดอำนาจโดยอ้างว่าไม่ได้ฉีกรัฐธรรมนูญ

 

พอเวทีรัฐสภาล้มเหลวหลังจากที่เขาก็พยายามอดทนอยู่กันให้ได้มา 4-5 ปี จากการเลือกตั้งรอบที่แล้ว ซึ่งเรียกว่า อองซาน ซูจี ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในต่างประเทศนั้นถูกประณามด้วย ซึ่งเราก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับเธอว่าสถานการณ์ของพม่านั้น บางทีประเทศอื่นก็ยากที่จะเข้าใจ

 

แต่ว่าทุกคนจะเข้าใจตรงกันเมื่อทหารยึดอำนาจแล้วประชาชนออกมาต่อสู้ และการต่อสู้ครั้งแรกที่เป็น 8888 (วันที่ 8 เดือน 8 ปี 1988) ก็เป็นการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ที่ฝ่ายประชาชนสูญเสียมากและก็ไม่ชนะ

 

มาบัดนี้ เมื่อเวทีรัฐสภาของพม่าล้มเหลว เราจะเห็นการต่อสู้ของประชาชนนั้นยกระดับอย่างที่ไม่น่าเชื่อ เป็นการยกระดับที่เรียกว่าฝ่ายประชาธิปไตยของไทยก็ต้องอึ้ง แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะสามารถลอกแบบของเขามาได้ด้วยสถานการณ์ที่ต่างกัน เพราะพูดง่าย ๆ ว่าเวทีรัฐสภานั้นจบ! (อันนี้ชนชั้นนำจารีตไทยดูเป็นตัวอย่างนะ) เมื่อเวทีรัฐสภาจบ ประชาชนไม่มีทางเลือกอื่นที่ต่อสู้ให้ได้ประชาธิปไตย ก็จำเป็นที่จะต้องลงท้องถนน แม้นเขาจะไม่มีอาวุธ เขาจะพยายามใช้สันติวิธีอย่างเต็มที่ มีอย่างเดียวก็คือพลัง ต้องออกมาให้มาก เพราะฉะนั้นเราจะเห็นทั้งการหยุดงาน ทั้งการที่เอารถออกมาจอดเต็มถนน แล้วประชาชนออกมาเป็นจำนวนมากทุกวัน

 

ดังนั้นมันก็เหลืออยู่ที่ว่า

1) ปัญหาการต่อต้านพม่าจากต่างประเทศจะเอาจริงเอาจังไหมถ้ามีการปราบปรามประชาชนอย่างรุนแรง

2) กองกำลังอาวุธของชนชาติต่าง ๆ ที่มีอยู่จะออกมาหนุนช่วยประชาชนอีกหรือเปล่า มันก็แปลว่าทำให้การต่อสู้สันติวิธีกลายเป็นการต่อสู้ด้วยอาวุธ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้มันก็เป็นไปได้ที่ว่า อันที่จริงที่เขาขอความช่วยเหลือมานานแล้วก็คือ ควรจะมีกองกำลังของ UN ในการที่เข้ามาหยุดยั้งอาชญากรรมรุนแรงที่ทหารพม่าจะทำกับประชาชนพม่า

 

นั่นคือการยกระดับการต่อสู้ของประชาชนพม่าอย่างที่รุนแรง รวดเร็ว ทีนี้คำถามสำหรับประชาชนไทย ในขณะนี้ดิฉันก็ยังมองในแง่ดีว่าในเวทีรัฐสภาที่ผ่านมา พรรคฝ่ายค้านซึ่งถือว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตย พูดง่าย ๆ ว่าไม่เอาเผด็จการทหาร ต่อต้านการสืบทอดอำนาจ ในการทำงานไม่ไว้วางใจก็ถือว่ายกระดับกว่าเดิม ปีก่อนหน้าโน้นซึ่งของพรรคเพื่อไทยน่าเกลียดมาก คือออกมาตีโวหารกันเป็นส่วนใหญ่ มีแต่ท่า แต่เนื้อหามันน้อยเกินไป มาในรอบนี้เพื่อไทยก็ทำได้ดีขึ้นมาก คือรวม ๆ แล้วดีกว่าเดิมเยอะ ทัศนะดิฉันก็ถือว่าเป็นการยกระดับของฝ่ายค้าน

 

แต่ในขณะเดียวกันมันก็ได้แสดงตัวตนคือปริออกมาว่ามีการโหวตแตกต่างกัน เช่น พรรคเพื่อชาติ พรรคเสรีรวมไทย และในพรรคก้าวไกล มันก็จะสลัดออกมาว่าจะเหลือคนที่อยู่ฝ่ายประชาธิปไตย ต่อต้านรัฐบาลที่มาจากการสืบทอดอำนาจอย่างจริง ๆ เหลืออยู่เท่าไหร่

 

ความจริงไม่เป็นไร ถ้าคุณเป็นนักประชาธิปไตย มันเป็นเรื่องที่ดี หลุดก็หลุด สำคัญที่สุดคือว่า ข้อมูล เนื้อหา ได้ทำงานได้ดี แล้วทำให้เกิดความเสื่อมทรุด เพราะประชาชนเขาสามารถขยายผลและต่อยอดได้ นี่คือสิ่งที่เราเรียกว่า “การต่อสู้สองขา” คือในเวทีรัฐสภาและนอกเวทีรัฐสภา

 

เพราะฉะนั้น นอกเวทีรัฐสภาของเราที่ผ่านมาจากปีก่อนโน้นเราก็ถือว่าได้ยกระดับ นั่นก็คือมีเยาวชน มีมวลชน เข้ามานำ ในแต่ละครั้งแม้จะทำเป็นแฟลชม็อบก็ตาม แต่ผู้คนและคนที่สนใจไม่ว่าจะเป็นในทวิตเตอร์ การสื่อสารออนไลน์ และคนที่ออกมาจริง ๆ บนท้องถนนก็มีจำนวนมากเป็นหลักหมื่นหลักแสน แต่ว่าสถานการณ์ที่ผ่านมาก็มีการแปรเปลี่ยน ไม่ว่าจะเป็นการใช้อาวุธ 112 ใช้กฎหมายในการจัดการ ปราบปราม จับกุม ซึ่งตรงนี้จะไม่มีผลเท่าไหร่ เพราะมันยิ่งสร้างคนที่เคียดแค้น แต่เรามีปัญหาโควิดด้วย แล้วการที่เยาวชนทั้งหลายต้องมีการปรับทัพ ปรับขบวน มีความคิดเห็นแตกต่างกัน ดังนั้นมันก็มีการจัดทัพปรับขบวนภายในพร้อมกับเรื่องโควิด เพราะฉะนั้นกระแสของการออกมาท้องถนนมันก็อ่อนลง

 

ในขณะเดียวกัน การต่อสู้มันเป็นสองขา เพราะฉะนั้นในเวทีรัฐสภาก็ยังเดินหน้าและมันจะยิ่งเข้มข้น ตอนนี้เป็นการไล่นายกฯ ซึ่งก็ตรงกับข้อ 1 ในข้อเรียกร้องที่เยาวชนทั้งหลายออกมาเรียกร้อง ต่อไปก็เป็นเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งก็อยู่ในข้อ 2 ของข้อเรียกร้องเช่นกัน แล้วก็มีการเสนอกฎหมายแก้ไข 112 (ไม่ได้ยกเลิกนะ) ดังนี้เป็นต้น มันก็สอดคล้องกับ 3 ข้อเรียกร้องของกลุ่มเยาวชน

 

หลายคนอาจจะใจร้อนว่ามันยังไม่ได้ดังใจ มันต้องจากคนเป็นพัน เป็นหมื่น เป็นแสน ต้องไล่เป็นล้าน (หมายความว่ากราฟต้องขึ้นไปเรื่อย ๆ) แต่ว่ามันก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นนะ เพราะเราอย่าลืมว่าที่ผ่านมาในปีที่แล้วที่มีคนออกมาเป็นระดับหมื่นเป็นแสน ก็ต้องถือว่าอยู่ ๆ จากกราฟที่เป็นแนวนอนมันพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว นั่นก็แปลว่ามันมีปัญหาและมีเรื่องราวที่ซ่อนอยู่ ดังที่เกิดขึ้นกับประเทศพม่า พูดตรง ๆ ว่าถึงจุดที่เขาทนไม่ไหว

 

อันนั้นก็คือประเทศพม่า แต่ว่ามันก็สามารถที่จะเรียนรู้กันได้ เพราะฉะนั้น การชูสามนิ้วของเราพม่าก็รับไปเต็มที่ ส่วนเราก็ไปรับตีหม้อ ตีฆ้อง ตีอะไรต่าง ๆ ของเขามา แต่สิ่งที่เรายังต้องใช้เวลาและต้องขยายผลทั้งในเวทีรัฐสภาและเวทีนอกรัฐสภา จนกระทั่งประชาชนสามารถที่จะออกมาแบบเดียวกับพม่า คือพม่านั้นมันสุดทางของเวทีรัฐสภาแล้ว แปลว่าจบแล้ว มันเหลือเวทีเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้นทุกส่วน ทุกฝ่าย ต้องระดมออกมาด้วยกัน ต้องลบเรื่องเชื้อชาติ

 

แต่ของเรายังมีความแตกต่างของผู้คนที่ยังอยู่ในฝ่ายของกลุ่มอำนาจนิยม จารีตนิยม ยังเป็นมวลชนของฝ่ายอนุรักษ์นิยม ปัญญาชนยังเป็นอนุรักษ์นิยม จารีตนิยม อยู่เป็นจำนวนมาก

 

สำหรับดิฉันอาจจะเป็นคนที่เรียกว่าไม่ได้หวังอะไรที่เป็นการก้าวกระโดดมาก ดิฉันก็ชื่นชมและพอใจที่มีปัญญาชน มีคนชั้นกลาง ออกมาร่วมการต่อสู้ให้ได้ประชาธิปไตยเป็นจำนวนมาก เพราะดิฉันรู้ว่า “แล้วมันจะสำเร็จ” ที่ผ่านมามันลำบากเพราะปัญญาชนและคนชั้นกลางปล่อยให้คนเสื้อแดงซึ่งส่วนใหญ่เป็นมวลชนพื้นฐานต่อสู้อย่างค่อนข้างโดดเดี่ยวแม้นจะต่อสู้สุดกำลังเพียงไรก็ไม่ใช่ว่าจะสามารถประสบชัยชนะแบบเด็ดขาด แต่ในเวทีรัฐสภาก็ชนะได้นะ เพราะว่าอย่างน้อยที่สุดพรรคฝ่ายประชาธิปไตยก็ได้รับเสียงข้างมากตลอด

 

ดิฉันจะไม่พูดถึงเวทีรัฐสภามากนัก เพราะเป็นเรื่องที่พรรคการเมืองจะต้องไประดมสมอง เพราะว่าผู้ที่ต่อสู้อยู่บนเวทีรัฐสภาอย่างน้อยที่สุดเขายังมีพื้นที่ของการได้อำนาจระดับหนึ่ง ของผลประโยชน์ระดับหนึ่ง แต่ว่าในเวทีของประชาชนนอกรัฐสภา คนเหล่านี้ไม่มีเงินเดือน ไม่มีผลประโยชน์ใด ๆ มีแต่เตรียมเข้าคุกหรือถูกจับกุมคุมขัง ถูกเข่นฆ่า เข้าคุกไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ ทั้งคดีแพ่ง ทั้งคดีอาญา ก็รอประกันไปเถอะ เหมือนอย่างแกนนำเสื้อแดง แกนนำนปช. ตอนปี 53 รอบนั้น 9 เดือนค่ะถึงจะได้ประกัน และที่ได้ประกันก็เพราะว่าบังเอิญมันมีม็อบพันธมิตรฯ ที่ถูกฟ้องแล้วไม่ได้ประกัน ซึ่งสุดท้ายพันธมิตรได้ประกัน แล้วก็เลยได้ประกันตัวของแกนนำนปช.ด้วย นั่นคือเรื่องราวในอดีต

 

ดิฉันคิดว่า เวทีการต่อสู้ของประชาชนจะยกระดับอย่างไร? อันนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เราจะไปเปรียบกับพม่าไม่ได้ ถามว่าอยากได้ไหม? ก็อยากได้แบบนั้น แต่ว่าประชาชนเขาเป็นเอกภาพ พรรคการเมืองที่สำคัญหนึ่งเดียวก็คือ NLD แล้วก็สู้ถวายหัวจริง! ของเราพรรคการเมืองหลายพรรคไม่ใช่ปัญหา เป็นเรื่องที่ดี เพราะจะได้เห็นการต่อสู้ของมวลชนที่ถ้าพรรคใดทิ้งมวลชนไป พรรคอื่นก็สามารถได้ประโยชน์ได้ ดังนั้นก็จะทำให้สามารถที่จะ Balance กันได้ ก็คือทำให้พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยไม่ได้นึกว่าตัวเองเป็นผู้นำมวลชน ถ้ามิฉะนั้นอาจจะถูกมองจากสังคมภายนอก ไม่ให้ค่าการต่อสู้เช่นของนปช. ของคนเสื้อแดง เพราะถือว่าเป็นการต่อสู้ที่ขึ้นกับพรรคไทยรักไทยหรือพรรคเพื่อไทย การต่อสู้ประชาชนก็ถูกด้อยค่า แต่ตอนนี้เมื่อมีหลายพรรคอันนี้ก็คือข้อดีในทัศนะของดิฉัน แล้วก็เป็นเรื่องที่พรรคจะต้องแข่งขันกัน

 

ในส่วนของฝ่ายประชาชน ดิฉันมองว่าการจัดทัพปรับขบวนของเยาวชนแสดงถึงความตั้งใจที่จะยกระดับพัฒนา คือไม่ใช่พวกน้ำเต็มแก้ว ไม่เหมือนรุ่นใหญ่บางส่วนที่คิดว่าตัวเองเก่งแล้ว ดีแล้ว ไม่ต้องฟังใคร อันนี้ดิฉันก็ต้องขอชมเชย แล้วดังที่ดิฉันได้พูดในรอบที่แล้วว่าให้จับความขัดแย้งหลักให้ได้ว่าเป็นความขัดแย้งระหว่างระบอบต่อระบอบ บุคคลมาแล้วก็ไป แต่ระบอบมันยังอยู่ สมมุติว่าคุณไล่นายกฯ ออกไปคนเดียว แต่ระบอบของอำนาจนิยมจารีตนิยมยังดำรงอยู่ นายกฯ ไปคนเดียวก็ไม่มีประโยชน์

 

หรือเหมือนที่เขาพยายามจะไล่คุณทักษิณ แล้วเป็นไง? มาเจอคุณธนาธร ยิ่งหนักกว่าคุณทักษิณ สมมุติว่าคุณจัดการคุณธนาธร มันก็จะต้องมีทักษิณ2 ธนาธร2 ธนาธร3 ปิยบุตร4 อะไรอย่างนี้ มันก็มีไปเรื่อย ๆ ไปจนกระทั่งปัจจุบันนี้ “เด็กมัธยม” อย่าให้ไปถึง “เด็กประถม”

 

ดังนั้น การยกระดับที่ดิฉันมองก็คือว่า

 

ประการที่ 1 การต่อสู้นอกเวทีรัฐสภาสามารถประสานกับเวทีรัฐสภาได้ การต่อสู้เวทีรัฐสภาที่มีข้อมูลและมีเรื่องที่น่าสนใจ นอกเวทีรัฐสภาก็สามารถขยายผลแล้วจับต่อเนื่อง เพราะทั้งหมดนี้มันคือการเสื่อมทรุดของระบอบเก่า ของระบอบที่เป็นเผด็จการทหารจารีตนิยม มันไม่ใช่เป็นการรบประจัญบานของผู้ถืออาวุธ เป็นปัญหาความชอบธรรมที่เราต้องทำอย่างไรให้สังคมไทยและสังคมโลกมองเห็นปัญหาของประเทศ เพราะคนไทยจำนวนมากก็ยังไม่เข้าใจ คนต่างประเทศจำนวนมากยิ่งไม่เข้าใจ เขาบอกเข้าใจยากที่สุดก็คือการเมืองไทย อย่างในพม่ายังเข้าใจง่ายกว่า

 

เพราะฉะนั้นการต่อสู้ในเชิงข้อมูลและองค์ความรู้ประสานระหว่างสองเวที เหมือนอย่างวันนี้ที่จะไปเรื่อง “ตั๋วช้าง” ทั้ง ๆ ที่ตำรวจก็กลายเป็นเครื่องมือของผู้บริหารและของรัฐ บางครั้งก็เลยเกิดปัญหาอยู่จำนวนมาก ดิฉันเองก็ไม่ได้อยากจะถือว่าตำรวจมีปัญหาทั้งหมด ถ้าเราจำได้ในแต่ละครั้งที่พรรคเพื่อไทยหรือพรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาล ไม่ได้สามารถที่จะมีทหารเข้ามาดูแล ก็ใช้ตำรวจ ในเพจ อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ ถ้าพวกคุณจำได้ว่าในช่วงหนึ่งของของกปปส.นั้นมีอาวุธเต็มไปหมด กระทั่งตำรวจก็ต้องบาดเจ็บ แล้วก็มีตำรวจคนหนึ่งที่ต้องเตะระเบิดที่ขว้างมาจนต้องตัดขาอยู่รพ.ตำรวจ ก็มีพวกเราไปดูแล

 

มันก็มีตำรวจที่ต้องทำตามคำสั่ง นั่นก็ส่วนหนึ่ง แล้วก็ตำรวจที่โดนมวลชนจารีตนิยมจัดการ หรือกลุ่มอนุรักษ์นิยมจัดการ ก็มีส่วนหนึ่ง เพราะฉะนั้นทำอย่างไรที่จะให้ทั้งทหารและตำรวจส่วนใหญ่นั้นเขาเข้าใจหลักการประชาธิปไตย และพร้อมที่จะต่อสู้ร่วมกับประชาชนอย่างมีเหตุผล อย่างมีขั้นตอน อย่างมีความเป็นไปได้ อันนี้ก็เป็นการช่วยอย่างหนึ่ง

 

เพราะฉะนั้นการประสานทั้งสองขา (ขารัฐสภาและขาภายนอก) นับจากนี้ไปดิฉันดูว่าจะมีความสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งในขณะนี้มันก็จะออกหวยสองอย่างก็คือ แก้ไม่ได้เลย เพราะว่าศาลรัฐธรรมนูญอาจจะออกมาว่าแก้ไม่ได้ แบบเดียวกับในอดีตที่เราพยายามจะแก้รัฐธรรมนูญ 50 แน่นอน! คือร่างแก้ไขฉบับของประชาชนนั้นตกไปแล้ว (ที่ iLaw เสนอ)

 

มาตอนนี้ตกลงว่ามีสสร.200 ซึ่งเหมือนกับที่นปช.สมัยอ.ธิดาเป็นผู้เสนอ แล้วก็บอกตรง ๆ ว่าพรรคเพื่อไทยไม่เอา ปัดตก มาถึงนาทีนี้ที่เสนอเหมือนของอ.ธิดาเปี๊ยบ ก็คือสสร.ทั้งหมดมาจากการเลือกตั้ง แต่ถามว่ามันจะเป็นไปได้หรือ เพราะว่าดูหน้าตาและดูท่วงทำนองของผู้ที่มาประท้วงคือ “พวกสุดโต่ง” จะเป็นนายไพบูลย์ นิติตะวัน วุฒิสมาชิกทั้งหลาย นายสมชาย แสวงการ และรวมทั้ง “พวกสุดโต่ง” ซึ่งไม่ได้นั่งในสภา แต่นั่งอยู่ที่องค์กรอิสระต่าง ๆ เหล่านี้ ก็คือกว่าจะได้รัฐธรรมนูญฉบับนี้มาเกือบตายว่างั้นเถอะ ต้องตั้งม้อบ ต้องจัดการเกือบตาย ซึ่งยังไม่รู้ว่าคุณสุเทพกับพวกรวม 39 คน ในคดีกบฎ! พรุ่งนี้ผลจะออกมายังไง? ก็ติดตามดูกันต่อ

 

คือต้องมีคนมาทำการกบฏ แล้วในสุดท้ายต้องมาทำรัฐประหาร แล้วต้องมาเขียนรัฐธรรมนูญตั้งกี่ตลบ ดังนั้นที่เขาจะให้มีการเกือบจะเขียนใหม่ทั้งฉบับ มันคงยากที่ “พวกสุดโต่ง” เหล่านี้จะรับได้ ดังนั้นเตรียมตัวเอาไว้เถิดว่ากรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญมันจะกลายเป็นศึกใหญ่ต่อไป

 

นี่ก็คือการสามารถประสานกันได้ระหว่างสองขาคือเวทีรัฐสภาและภายนอก

 

ส่วนรูปแบบมีหลากหลาย ขณะนี้มันเป็นเรื่องดีมาก รูปแบบอยู่บนท้องถนนก็ได้ อยู่บนโลกออนไลน์ก็ได้ ในทวิตเตอร์ ในเฟซบุ๊ค และขณะนี้ที่กำลังโด่งดังมากคือ Clubhouse อย่างที่คุณทักษิณพูดเมื่อวานนี้ (22 ก.พ. 64) เข้าใจว่ามีคนดูเป็นแสน ก็ไม่ต้องชุมนุมบนถนนให้มีใครมายิง มันก็เป็นเหมือนการชุมนุมแล้วก็มีผู้พูด แต่มีผู้พูดหลายคน แล้วก็มีผู้ถามได้ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ดีสำหรับคนฝ่ายประชาธิปไตย

 

แน่นอน! อย่างกรณีคุณทักษิณหรือแม้กระทั่งคุณปวิน ถ้าหากว่าไม่พร้อมสำหรับคำถาม ก็อาจจะเป็นจุดอ่อนก็ได้ แต่ในขณะเดียวกันคำตอบตรงไปตรงมาหรือคำตอบที่ไม่ได้เตรียมไว้ก่อน มันก็เป็นการให้ความรู้กับสังคมด้วยเหมือนกัน แต่ที่ดิฉันอยากจะบอกก็คือมันไม่มีใครที่ดีพร้อม 100% คุณทักษิณก็คงจะเตรียมเรื่องเศรษฐกิจหรือเรื่องอื่น ๆ (แบบนักธุรกิจคือมองไปข้างหน้า) แต่พวกที่คอยจับผิดจับถูกหรืออะไรต่าง ๆ นี่ดิฉันไม่ได้ว่านะว่าการตั้งคำถามนั้นไม่ถูก ก็ดี แล้วมันก็ไม่มีปัญหาถ้าคุณทักษิณยังพูดไม่เคลียร์ในวันนี้ ก็มาพูดใหม่ก็ได้

 

ถ้าท่านเข้าไปดูในเพจยูดีดีนิวส์ หรือในเพจ อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ ก็จะมียูทูปอันที่คุณทักษิณตอบในรายการตอบโจทย์ อยากให้เข้าไปฟัง นั่นคือเวลานั้น คุณทักษิณก็ยอมสารภาพว่าในตอนนั้นก็มีความคิดหลายอย่างที่ไม่ถูกต้องเหมือนกัน

 

เพราะฉะนั้นถ้าเราเป็นนักต่อสู้ฝ่ายประชาธิปไตย เราอยู่บนความเป็นจริง เราต้องยอมรับความเป็นจริงได้ บรรดาพวก “ติ่ง” ทั้งหลาย สมมุติว่าถ้าเป็น “ติ่งส้ม” ก็ต้องบอกว่าฝั่งที่ตัวเองเชียร์นั้นก็คือเป็นเทพ หรือ “ติ่งของคุณทักษิณ” คุณทักษิณก็กลายเป็นเทพ คล้าย ๆ จะไม่มีที่ติ มันคิดอย่างนั้นไม่ได้ ก็คือมันมีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน มันเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องเข้าใจได้ ถ้าคุณไม่ยึดติดกับบุคคล คุณยึดติดกับการต่อสู้ของประชาชนว่า ทำอย่างไรให้ประชาชนได้ผลประโยชน์ที่สุด คุณจะไม่รู้สึกเดือดร้อนกับว่า ทำไมตอบคำถามแบบนี้? ก็คือเอาความจริงมาพูดกัน ไม่มีใครที่เก่งหมดและทำถูกทุกอย่าง ไม่เช่นนั้นคงไม่เกิดปัญหาในประเทศไทย

 

ฝ่ายต่อสู้ทั้งหลายตั้งแต่ยุคอาจารย์ปรีดี ยุคจอมพล ป. ก็ล้วนมีปัญหาและมีความผิดพลาด เราจึงมาถึงวันนี้ เวลานี้ 14 ตุลา 16 ก็มีปัญหา ดูเหมือนชนะ แต่ผู้ตัดสินคือใคร ผู้ตัดสินก็คือพระมหากษัตริย์ ร.9 ในยุคนั้น มาถึงพฤษภา 35 ก็ดูเหมือนชนะ (พรุ่งนี้ก็จะครบรอบการทำรัฐประหารปี 2534 มีการทำรัฐประหารในปี 34 แต่การต่อสู้มันเกิดในปี 35 คือเว้นไป 1 ปี หลังจากที่เสียสัตย์ว่าจะไม่มาเป็นนายกฯ)

 

และนักต่อสู้ในสมัยราษฎร 2475 ผู้นำการต่อสู้ทั้งยุค 2475 ผู้นำการต่อสู้ 14 ตุลา 2516 และผู้นำการต่อสู้ในพฤษภา 35 ทั้งหลายทั้งหมด ไม่ใช่เป็นคนก้าวหน้าทั้งหมดนะ คือก้าวหน้าเฉพาะเวลานั้น ในเรื่องนั้น ๆ ครั้งนั้น แต่สุดท้ายมันจะพิสูจน์จุดยืนว่าคุณก้าวหน้าจริง คุณทำเพื่อประชาชนหรือทำเพื่อตัวคุณเอง เวลาที่ผ่านมามันก็จะมองเห็นมาเป็นลำดับจนกระทั่งถึงบัดนี้

 

ดังนั้น การต่อสู้ของเรามันเหมือนสู้แล้วได้หยุดพักนิดหนึ่ง แล้วก็ต้องสู้ต่อ แล้วก็หยุดพักนิดหนึ่ง มันก็ไม่เหมือนกับพม่าเสียทีเดียว ซึ่งถูกกดยืดยาวตลอด เขาทำรัฐประหาร 2-3 ครั้ง ครั้งสุดท้ายนี้เป็นครั้งที่ 3 แต่นั่นแปลว่าเขากดหัวมาเป็นสิบ ๆ ปี จนประชาชนทนไม่ไหว

 

แต่ว่าอนุรักษ์นิยมไทยเก่งกว่า ก็คือ อันนั้นมันมีแต่เผด็จการทหาร แต่ของเรามันมีอนุรักษ์นิยมพลเรือนและจารีตนิยมที่เป็นชนชั้นนำซึ่งสมคบกันกับทหาร มันจึงซับซ้อนกว่า ยากกว่าตรงที่ว่าสามารถแบ่งแยกประชาชนได้ด้วย

 

ดิฉันก็คิดว่าไม่อยากให้เสียกำลังใจ ดิฉันมองในแง่ว่า รัฐสภาก็ยกระดับ มีงูเห่าเกิดขึ้นก็ดี จะได้รู้ว่าเป็นงูเห่า ยังไง ๆ ก็เป็นฝ่ายค้านอยู่แล้ว แล้วงูเห่าเหล่านี้ถ้าเป็นรัฐบาลมีอำนาจจะไม่รู้นะว่าเป็นงูเห่า เป็นฝ่ายค้านนี่แหละดี (ฝ่ายประชาธิปไตย) เวลาเป็นรัฐบาลแล้วบางทีก็ไม่สนใจการต่อสู้ของประชาชน มองเห็นว่าเขาเป็นรัฐบาลแล้ว มันตั้งแต่ยุคประชาธิปัตย์ หลังปี 35 นายกรัฐมนตรีของประชาธิปัตย์บอกอ.ธิดาว่า ให้บอกพวกสมาพันธ์ประชาธิปไตยและหมอเหวงให้เลิกได้แล้ว ไม่ต้องมาข้างถนนแล้ว ประมาณว่าฝ่ายประชาธิปไตยได้เป็นรัฐบาลแล้ว

 

มาตอนยุคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล ตำรวจจำนวนหนึ่งก็มาถามอีกว่าทำไมยังต้องมีม็อบก็ในเมื่อเป็นรัฐบาลแล้ว ตัวดิฉันเองก็เลยบอกว่ามันมันเกี่ยวที่ไหน นี่เรารู้ว่าเราสู้เรื่องอะไร เพื่ออะไร เราไม่ได้สู้เพื่อพรรคการเมืองเป็นใหญ่ นั่นเขาก็เป็นตัวแทนประชาชนในเวทีรัฐสภา แต่ประชาชนที่ออกมาต่อสู้เป็นการต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของประชาชน ไม่ใช่ของพรรคการเมือง ดังนั้นประชาชนไม่สามารถล้มเลิกการต่อสู้ได้ แต่ภาวะการนำอาจจะมีการปรับเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ดังที่ดิฉันได้บอกมา มันก็คัดกรองคน ก็เหมือนแกนนำนปช.นั่นแหละ ก็มีการคัดกรองกันมาเป็นลำดับ จนสุดท้ายเยาวชนเข้ามานำ ซึ่งแต่ละคนก็ไม่ได้ไปไหน ก็ยังเห็นกันอยู่ บางคนก็ไปอยู่คนละฟาก มาจัดการกับคดี 112 อะไรอย่างนี้เป็นต้น

 

เพราะฉะนั้น สายธารการต่อสู้ของประชาชนมันก็ยังสืบเนื่องต่อมา เราก็มองว่าพม่าก็คือตัวอย่าง เป็นตัวอย่างฝ่ายอนุรักษ์นิยมด้วยว่า ถ้าคุณทำให้ประชาชนจนตรอก เวทีรัฐสภาไปไม่รอด มันก็เหลือทางเดียวคือประชาชนเหลือเวทีบนท้องถนนและการต่อสู้ด้วยอาวุธเท่านั้น

 

แต่ถ้าเวทีรัฐสภายังเป็นไปได้ ทำให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ระดับหนึ่ง การต่อสู้ประชาชนก็ยังมีอยู่นะ ไม่มีใครเลิกหรอก แล้วก็ยังควบคู่กับเวทีรัฐสภา แต่มันจะไม่ใช่แบบพม่า หรืออยากจะให้เป็นเหมือนพม่าก็ลองดู! ลาไปก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ

นักศึกษาและศิลปิน Artn't ไปสภ.เมืองเชียงใหม่ตามหมายเรียกฐานฝ่าฝืน พ.ร.บ.ความสะอาด

 

นักศึกษาและศิลปิน Artn't ไปสภ.เมืองเชียงใหม่ตามหมายเรียกฐานฝ่าฝืน พ.ร.บ.ความสะอาด

 

23 ก.พ. 64 เมื่อเวลา 10.00 น. ตามรายงานของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานว่า ที่ สภ.เมืองเชียงใหม่ กลุ่มนักศึกษาและศิลปิน Artn't ได้เดินทางมาทำกิจกรรมที่หน้าสภ.

 

ทั้งนี้ข้อกล่าวหาตามหมายเรียกคือ "กระทำให้ปรากฎด้วยประการใด ๆ ซึ่งภาพ ข้อความที่อาคาร ต้นไม้ ในที่สาธารณะ" ตาม พ.ร.บ.รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ. 2535 กรณีทำกระดาษชำระที่สกรีนลาย "หมายเรียกมาตรา 112" ไปติดตามสถานที่ต่าง ๆ ทั่วเมืองเชียงใหม.

 

ขณะที่นักศึกษาและศิลปินกำลังเตรียมทำกิจกรรม เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ประกาศไม่อนุญาตให้ทำกิจกรรมใด ๆ เนื่องจากเป็นการมารับทราบข้อกล่าวหา แต่ไม่เป็นผลเพราะกลุ่มนักศึกษาและศิลปินดังกล่าวก็ยืนยันทำกิจกรรมตามที่ตั้งใจ โดยมีการอ่านแถลงการณ์ยืนยันว่าการนำกระดาษชำระลายหมายเรียกมาตรา 112 ไปติดตามที่ต่าง ๆ เป็นส่นหนึ่งของงานศิลปะที่สร้างสรรค์ ออกแบบมาอย่างถี่ถ้วน พื้นที่การนำเสนองานถูกออกแบบมาให้ปรากฎต่อที่สาธารณะ เพราะงานศิลปะไม่จำเป็นต้องอยู่แต่ในแกลเลอรี่เท่านั้น พร้อมปฏิเสธว่ากระดาษชำระดังกล่าวไม่ใช่ขยะ และกระบวนการของรัฐทำให้สิ่งนี้เป็นความผิดที่มิชอบ ซึ่งพวกเขาปฏิเสธกระบวนการที่เกิดขึ้นนี้

 

ต่อมามีการจัดประมูลงานศิลปะ เช่น กระดาษชำระลายหมายเรียก 112, เทียนเลข 112, มิเตอร์เลข 112, เป็นต้น จากนั้นมีการทำกิจกรรม Performance Art โดยการเดินเก็บขยะและเก็บกระดาษชำระใส่ถุงดำที่มีเลข 112 จนเสร็จกิจกรรมในเวลา 11.05 น.

 

Cr.ภาพจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน

ประมวลภาพ

กลุ่มประชาชนรักความเป็นธรรมและภาคี #saveบางกลอย จัดกิจกรรมลานหน้าหอศิลป์ เผาหุ่นฟางรูปหน้า รมว.ทรัพยากรธรรมชาติฯ สาปส่งรัฐบาลตระบัดสัตย์ ผิดข้อตกลงที่ให้ไว้กับชาวบ้านบางกลอย

 

กลุ่มประชาชนรักความเป็นธรรมและภาคี #saveบางกลอย จัดกิจกรรมลานหน้าหอศิลป์ เผาหุ่นฟางรูปหน้า รมว.ทรัพยากรธรรมชาติฯ สาปส่งรัฐบาลตระบัดสัตย์ ผิดข้อตกลงที่ให้ไว้กับชาวบ้านบางกลอย 

วันนี้ (22 ก.พ. 64) 17.00 น.ที่ลานหน้าหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร แยกปทุมวัน กลุ่มประชาชนรักความเป็นธรรมและภาคี #saveบางกลอย นัดหมายเพื่อแสดงพลังปกป้องชาวบ้านในชุมชนกะเหรี่ยงบ้านบางกลอย  อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี และแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ประณามการผิดบันทึกข้อตกลง โดยสืบเนื่องจากวันที่ 16 ก.พ. ที่ผ่านมา นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.การกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงระหว่างตัวแทนรัฐ และภาคประชาชนใน 3 ข้อเรียกร้อง 6 ข้อเสนอ เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหา โดยประเด็นเร่งด่วนคือการยุติการคุกคามชาวบ้าน เปิดทางให้กลับไปใช้ชีวิตตามวิถีดั้งเดิม ให้ชาวบ้านสามารถกลับขึ้นไปอยู่บนใจแผ่นดินได้และจะถอนกำลังเจ้าหน้าที่ออกมา 

แต่ปรากฏในเช้าวันนี้ (22 ก.พ. 64) มีเจ้าหน้าที่สนธิกำลังพร้อมอาวุธขึ้นไปบนพื้นที่ใจแผ่นดิน เพื่อขับไล่ชาวบ้านบางกลอย-ใจแผ่นดินออกจากพื้นที่ภายในเวลา 18.00 น. อีกทั้งยังมีการควบคุมตัวชาวบ้านที่อยู่บนใจแผ่นดินลงมาด้วย

กลุ่มประชาชนรักความเป็นธรรมและภาคี"saveบางกลอย" จึงนัดหมายชุมนุมเพื่อประณามการกระทำที่ผิดข้อตกลงที่นายวราวุธได้ลงนามไว้

โดยบรรยากาศกิจกรรมมีการนำป้ายผ้าสีขาวให้ประชาชนเขียนถึงชาวบ้านบางกลอย และการผลัดกันปราศรัยสลับกับการอ่านบทกวี

รวมทั้งการแสดงละครโดยกลุ่ม"มาลองดู"ที่สะท้อนการเสียดสีดูถูกกลุ่มชาติพันธุ์โดนนำเชือกซึ่งเปรียบเสมือนพันธนาการที่ผูกมัดชาวกะเหรี่ยงไว้ด้วยคำดูหมิ่น และให้เห็นถึงสิทธิเสรีภาพที่มีไม่เท่ากับคนอื่น จากนั้นได้ให้ประชาชนช่วยกันปลดเปลื้องพันธนาการนั้นออกด้วยกัน

กระทั่งเวลา 19.20 น. มีการเผาหุ่นฟางที่มีรูปหน้านายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ติดไว้ โดยนายธัชพงศ์ แกดำ หรือ บอย  กล่าวว่า ขอให้ทุกคนร่วมกันอธิษฐาน 1 นาที เพื่อสาปส่งรัฐบาลชุดนี้ที่ไร้สัจจะและกระทำต่อชาวบ้านบางกลอยด้วยความอยุติธรรม

และในเวลาต่อมาผู้จัดกิจกรรมดับไฟบนหุ่นฟาง จากนั้นวงสามัญชน นำโดยนายณัฐพงษ์ ภูแก้วหรือแก้วใส ชวนทุกคนร่วมร้องเพลง "ใจเดียวกัน"ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับชาวปกากะญอ และความเป็นคนเท่ากับทุกๆ คนบนผืนแผ่นดินนี้

ต่อมา 19.45 น. ธัชพงศ์ ประกาศยุติกิจกรรม พร้อมส่งใจชาวบางกลอย ย้ำชาติพันธุ์ก็คือคน และให้ช่วยกันติดตามสถานการณ์เพราะเกรงว่าชาวบ้านบางกลอยจะไม่ปลอดภัย 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์

#ใจแผ่นดิน #หยุดคุกคามประชาชน

ประมวลภาพ

รายงานล่าสุด!!! ศาลไม่ให้ประกันตัว 4 ราษฎร

 

รายงานล่าสุด!!! ศาลไม่ให้ประกันตัว 4 ราษฎร

โดย อ.ประจักษ์ ก้องกีรติ ได้ทวิตข้อความว่า

"ศาลไม่ให้ประกันตัว 4 แกนนำราษฎรเป็นครั้งที่ 3! แม้ว่าทางทนายใช้ตำแหน่งนายประกันคือ อดีตอธิการบดีและอดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ และวางเงินประกันสูงถึง 400,000 บาท/คน (สูงเทียบเท่าคดีฆ่าคนตายและพยายามฆ่า ซึ่งศาลให้ประกันจำนวนมาก)"

#TheRatsadon #ราษฎร

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์

ชาญวิทย์ - พนัส ยื่นประกันตัวรอบ 3 ขอปล่อยตัวชั่วคราว 4 ราษฎร ที่ถูกคุมขังระหว่างพิจารณาคดี ม.112

 

ชาญวิทย์ - พนัส ยื่นประกันตัวรอบ 3 ขอปล่อยตัวชั่วคราว 4 ราษฎร ที่ถูกคุมขังระหว่างพิจารณาคดี ม.112

วันนี้ (22 ก.พ. 64) เวลา 13.00 น. ที่ ศาลอาญา รัชดาภิเษก ทนายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน พร้อมด้วย อ.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ อ.พนัส ทัศนียานนท์ อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เดินทางมาเป็นนายประกันให้กับ พริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน, อานนท์ นำภา, สมยศ พฤกษาเกษมสุข และปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม หรือ หมอลำแบงค์ ซึ่งทั้ง 4 ถูกคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครระหว่างการพิจารณาคดี ตั้งแต่วันที่ 9 ก.พ. ถึงขณะนี้เป็นเวลา 14 วันแล้ว

ทั้งนี้ ทนายกฤษฎางค์ กล่าวว่า อาจารย์ทั้งสองท่านมองว่าหากได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวเป็นประโยชน์ อาจารย์ก็ยินดีที่จะมาเป็นนายประกันให้ เพราะมองว่าเป็นสิทธิของผู้ต้องหาที่พึงจะได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว เป็นการรักษาไว้ซึ่งหลักการของรัฐธรรมนูญที่บอกว่า ในคดีอาญาต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิดก่อนมีคำพิพากษาอันถึงที่สุด แสดงว่าบุคคลใดได้กระทำความผิด จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทำความผิดมิได้

อ.ชาญวิทย์ กล่าวว่า ในแง่ของวิชาความรู้ที่ได้เรียนมา ตนและอ.พนัสต้องการยืนยันหลักวิชาการของเรา อ.พนัสยืนยันในหลักนิติศาสตร์สากล ส่วนตนใช้หลักประวัติศาสตร์สากลของสถาบันพระมหากษัตริย์ทั่วโลก ผมเชื่อว่าข้อเสนอของเยาวชนรุ่นใหม่ถูกต้องตามหลักวิชาการประวัติศาสตร์ ถูกต้องตามประวัติศาสตร์สถาบันกษัตริย์สากล

ด้าน อ.พนัส กล่าวว่า เป็นสิทธิตามกฎหมายและถือเป็นหลักสากล เป็นสิทธิของประชาชนทุกคน ส่วนจะได้ประกันตัวหรือไม่ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาล ซึ่งตนไม่เคยใช้ตำแหน่งประกันในคดีอื่นมาก่อน และในฐานะที่ผมเป็นนักกฎหมาย ผมคิดว่าเขาควรได้รับการประกันตัว เชื่อว่าทั้ง 4 คนคงไม่คิดหลบหนี

การยื่นขอปล่อยตัวชั่วคราวนี้นับเป็นการยื่นประกันในครั้งที่ 3

 

#TheRatsadon #ราษฎร #ยกเลิก112

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์

เครือข่ายคนรุ่นใหม่นนท์ - การ์ดปลดแอก รวมตัว "แยกบางโพ" ยัน ร่วมชุมนุมหน้ารัฐสภา ส่งกระบะรับเพื่อน อนุสาวรีย์ ปชต.รวมตัวเกียกกาย

 

เครือข่ายคนรุ่นใหม่นนท์ - การ์ดปลดแอก รวมตัว "แยกบางโพ" ยัน ร่วมชุมนุมหน้ารัฐสภา ส่งกระบะรับเพื่อน อนุสาวรีย์ ปชต.รวมตัวเกียกกาย

วันนี้ ( 20 ก.พ.64) มื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ สืบเนื่องจาก แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม นัดหมายชุมนุม ลงมติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่ หน้ารัฐสภา เกียกกาย ในเวลา 15.00 น. 

ต่อมา เครือข่ายคนรุ่นใหม่นนทบุรี เคลื่อนขบวนจากนนทบุรีถึงสี่แยกบางโพ ถนนประชาราษฎร์สาย 1 เขตบางซื่อ กรุงเทพฯ 

ในขณะที่เพจการ์ดปลดแอกโพสเฟสบุ๊คระบุ 15.00 น. แยกบางโพ กรุณาเตรียมอุปกรณ์ป้องกันมาให้พร้อม ผูกเชือกรองเท้าให้แน่น

.

แล้วพบกัน |||

โดยในเวลา 14.30 น.เครือข่ายคนรุ่นใหม่นนทบุรี นำโดย นายชินวัตร จันทร์กระจ่าง หรือ ไบร์ท พร้อมด้วยการ์ดปลดแอก รวมตัวกันบริเวณมุมหนึ่งของสี่แยกบางโพ เพื่อเตรียมเดินขบวนไปยังหน้ารัฐสภาเกียกกายพร้อมกัน โดยมีการเตรียมรถโมบาย น้ำดื่ม และอุปกรณ์สำหรับทำกิจกรรมไว้บนรถกระบะ มีทีมแพทย์อาสาส่วนหนึ่ง ร่วมดูแลมวลชน ท่ามกลางมวลชนที่ทยอยเดินทางมารวมตัวกันอย่างต่อเนื่อง โดยต่างยืนหลบแดดบริเวณสะพานลอย MRT บางโพ

ต่อมาเวลา 15.00 น. นายชินวัตรกล่าวว่า แกนนำจะมารวมตัวที่นี่ และจะเคลื่อนไปรัฐสภาพร้อมกัน ไม่มีการชุมนุมอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย แต่อย่างใด จุดนัดพบเราคือ แยกบางโพ มุ่งหน้าแยกเกียกกายเท่านั้น โดยจะมีรถกระบะหลายคันไปรับพี่น้องที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยมาเกียกกาย

#ม็อบ20กุมภา #อภิปรายไม่ไว้วางใจ #ยูดีดีนิวส์

ประมวลภาพ

มารอแล้ว รดฉีดน้ำแรงดันสูงเข้าประจำการหน้ารัฐสภา หลังวานนี้รุ้ง ปนัสยา มีการนัดหมายชุมนุม เย็นนี้

 

มารอแล้ว รดฉีดน้ำแรงดันสูงเข้าประจำการหน้ารัฐสภา หลังวานนี้รุ้ง ปนัสยา มีการนัดหมายชุมนุม เย็นนี้ 

วันนี้ (20 ก.พ. 64) เวลา 13.50 น. บรรยากาศบริเวณแยกเกียกกาย และโดยรอบบริเวณอาคารรัฐสภา ถ.สามเสน เขตดุสิต หลังกลุ่ม #แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม นำโดย รุ้ง ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล นัดชุมนุมอีกครั้งต่อจาก #Mobfest ประชาภิปราย ไม่ไว้วางใจรัฐบาล วานนี้ 

ขณะที่ช่วงเที่ยงที่ผ่านมา เพจแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม โพสข้อความระบุว่า 

ในเมื่อระบบรัฐสภาไม่สามารถตอบสนองเสียงที่แท้จริงของประชาชนได้ เช่นนั้นแล้ว วันนี้เราจะไปลงมติอภิปรายไม่ไว้วางใจที่มาจากเสียงของประชาชนจริงๆ ที่หน้ารัฐสภา!!!

เจอกัน 15:00 น. เป็นต้นไป ที่รัฐสภาใหม่ เกียกกาย

ทั้งนี้เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา 10 รัฐมนตรีรอดจากศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจตามคาด เมื่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ลงมติ "ไว้วางใจ" พวกเขา โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้รับคะแนนไว้วางใจสูงสุด ขณะที่นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ ได้รับคะแนนไว้วางใจน้อยที่สุดในหมู่ผู้ถูกซักฟอก

ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำรถฉีดน้ำแรงดันสูง จำนวน 1 คัน พร้อมรถเติมน้ำ 1 คัน ที่ได้รับการสนับสนุนจากตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรสาคร จอดอยู่บริเวณถนนสามเสนด้านหน้าอาคารรัฐสภา  โดยมีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ 1 กองร้อย เรียงแถวเข้าประจำกัน พร้อมทั้งสะพานลอยบริเวณใกล้เคียง เจ้าหน้าที่วางแนวขดลวดหนาม

#ม็อบ20กุมภา #UDDnews #ยูดีดีนิวส์

ประมวลภาพ

นนทบุรี ไบร์ท แกนนำคนรุ่นใหม่นนทบุรี ประกาศชวนผู้ร่วมอุดมการณ์แรลลี่ ท้าชนเผด็จการมุ่งหน้าเข้าตรึงพื้นที่แยกบางโพ ลั่น เจ้าหน้าที่สกัดชนเลย

 

นนทบุรี ไบร์ท แกนนำคนรุ่นใหม่นนทบุรี ประกาศชวนผู้ร่วมอุดมการณ์แรลลี่ ท้าชนเผด็จการมุ่งหน้าเข้าตรึงพื้นที่แยกบางโพ ลั่น เจ้าหน้าที่สกัดชนเลย

เมื่อเวลา 11.00 น.วันที่ 20 ก.พ. 64 ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศที่บริเวณท่าน้ำนนทบุรี หลัง ไบร์ท ชินวัตร จันทร์กระจ่าง แกนนำคนรุ่นใหม่นนทบุรี ลงโพสต์ประกาศทางโซเชี่ยลเฟซบุ๊ค ชวนประชาชนที่มีอุดมการณ์เดียวกัน ทั้งในจังหวัดนนทบุรีและปริมณฑล ร่วมแรลลี่ทางรถ ทุกชนิด ในกิจกรรม "เขาไม่ถอย เราไม่ทน แรลลี่นนท์ฯ ท้าชนเผด็จการ" พบกันที่บริเวณ ท่าน้ำนนท์ ในเวลาเที่ยงเคลื่อนพล เพื่อมุ่งหน้าสมทบ กลุ่มคณะราษฎรที่บริเวณหน้ารัฐสภา เกียกกาย ถนนสามเสน กทม." ไปทวงคืนความยุติธรรมให้กับเพื่อนเรา!!"โดยมีมวลชนเข้าร่วมประมาณ 20 คน

ไบร์ท ชินวัตร กล่าวว่าจุดมุ่งหมายเราก็จะไปสมทบกับกลุ่มราษฎร ในการเข้าร่วมชุมนุมที่บริเวณรัฐสภา จุดประสงค์อย่างแรกคือกดดันให้นายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่งและกดดันให้ปล่อยตัวเพื่อนเรา และปฎิรูปสถาบันกษัตริย์ วันนี้นัดระดมพลเวลา 11.00 น. ที่ท่าน้ำนนท์ เราจะเดินทางด้วยรถทุกชนิดมารวมตัวกัน ในเวลา 12.00 น.ก็จะเดินทางออก จุดมุ่งหมายของเราคือแยกบางโพ นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ เรามีนัดกันที่แยกบางโพ เพื่อทำการเตรียมความพร้อม ส่วนพี่น้องราษฎร จากกรุงเทพฯเขาก็จะอยู่ที่หน้ารัฐสภาเกียกกาย แต่ของเราจะอยู่ที่บริเวณแยกบางโพเพื่อที่จะคอย support พี่น้องที่อยู่ด้านใน ที่ผ่านมาเราเดินทางกันด้วยทางเรือแต่ถูกเจ้าหน้าที่ของรัฐสกัดกั้นขัดขวางยึดเรือบังคับขู่เข็ญผู้ประกอบการต่าง ๆให้พวกเราเช่าเรือ ครั้งนี้เราต้องการเดินทางทางบกด้วยหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐมีการนำเสนอต่าง ๆ สร้างความเดือดร้อนให้กับการสัญจรทางถนนประชาชนจะได้ด่าถูกตัว หากในระหว่างการเดินทางเจอด่านที่ไหนถ้ามาสกัดเราเจอด่านที่ไหนเราชนเลยผมไม่ถือว่าเป็นการใช้ความรุนแรงเพราะเจ้าหน้าที่ทำตัวขวางโลกเองไม่ลืมตาดูโลกเป็นกบในกะลาอย่างเดียวหากเจ้าหน้าที่ขัดขวางผมจะจัดการชุมนุมค้างคืนที่ท่าน้ำนนท์

โดยเวลา 13.00 น. ขบวนกลุ่มคนรุ่นใหม่นนทบุรี ได้วิ่งมาถึงบริเวณหน้าปั้มเชลล์ ถ.พิบูลสงคราม ก็พบกับด่านตรวจป้องกันปราบปรามอาชญากรรมและกวดขันวินัยจราจร นำโดย พ.ต.อ.วนัสชัย ยิ่งยงสมสวัสดิ์ผกก.สภ.เมืองนนทบุรี พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชนและเจ้าหน้าที่ตำรวจของสภ.เมืองนนทบุรี รวม 100 นาย ได้สกัดกั้นตรวจค้น โดยใช้รถสายตรวจ 2 คัน ขวางถนนกั้นบล็อคการจราจรเพื่อตรวจค้น ทั้ง รถจยย.และรถยนต์ของขบวนกลุ่มคนรุ่นใหม่นนทบุรี ทำให้มวลชนเกิดความไม่พอใจหัวเสียมีการกระทบกระทั่งด่าทอเจ้าหน้าที่ตำรวจเกิดขึ้นจากกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจค้นแต่ไม่พบสิ่งผิดกฏหมายใด ๆ จึงปล่อยขบวนผู้ชุมนุมดังกล่าวไป

#ม็อบ20กุมภา #อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล64

ประมวลภาพ

Mobfest จัด"ประชาภิปราย" ลงมติไม่ไว้วางใจ 10 รัฐมนตรี นอกสภาควบคู่ในสภา ตำรวจตรึงกำลังเข้ม รถฉีดน้ำเข้าประจำการ ก่อนแนวร่วมมธ.และการชุมนุม นัดอีกครั้งวันพรุ่งนี้

 

Mobfest จัด"ประชาภิปราย" ลงมติไม่ไว้วางใจ 10 รัฐมนตรี นอกสภาควบคู่ในสภา ตำรวจตรึงกำลังเข้ม รถฉีดน้ำเข้าประจำการ ก่อนแนวร่วมมธ.และการชุมนุม นัดอีกครั้งวันพรุ่งนี้ 

วันนี้ (19 ก.พ.64) 17.00น. ที่ถนนสามเสนฝั่งตรงข้ามอาคารรัฐสภา เกียกกาย มวลชนนัดหมายจัดกิจกรรม Mob Fest ครั้งที่ 2 ในชื่อตอน "7 ปีแห่งความล้มเหลว" เพื่อต่อต้านรัฐบาลและสนับสนุนพรรคร่วมฝ่ายค้าน ในการออกเสียงอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีพร้อมคณะ ขณะที่นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคก้าวไกลและคณะได้ออกมาร่วมสังเกตการณ์ชุมนุมและนั่งลงเพื่อรับฟังการปราศรัยด้วย

ทั้งมีการจัดแนวมวลชนบนถนนสามเสนทอดยาวมาฝั่งแยกบางกระบือ และเปิดการจราจรถนนฝั่งรัฐสภาให้รถสามารถสัญจรผ่านได้ รวมถึงการจัด "เซฟโซน" ระหว่างเวทีและแนวตำรวจ โดยระบุว่าเป็นพื้นที่ปลอดภัยและตั้งจุดคัดกรองตรวจวัดอุณหภูมิ เจลแอลกอฮอล์ก่อนเข้าโซนเวที

โดยตั้งเวที หน้ารถ6 ล้อติดเครื่องขยายเสียง ซึ่งจอดขวางถนนสามเสน ฝั่งขาเข้าตรงข้ามหน้าบริษัทสามเสน บริวเวอรี่ ซึ่งมี มิน ลภนพัฒน์ หวังไพสิฐ กลุ่มนักเรียนเลว และแรพเตอร์ สิริภพ อัตโตหิ กลุ่มเสรีเทยพลัส เป็นผู้ดำเนินรายการ ซึ่งมีหัวข้ออภิปราย วันนี้ ประชาภิปราย เยียวยา หรือว่าซ้ำเติม UBI ทางออกใหม่ของปัญหาความเหลื่อมล้ำ ไลรัฐก่อนรัฐไล่(ที่)เรา ตำรวจไทยใจทาส ให้ชายแดนใต้สงบ(ที่)เรา ตำรวจไทยใจทาส นรกที่ชื่อว่าโรงเรียน การเมืองและเพศ เพศและการเมือง กลโกง คสช.ในเกมแก้รัฐธรรมนูญ โดยมีเป้าหมายคือ 10 รัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายในสภา ซึ่งมีการนำรูป 10 รัฐมนตรีมาติดบริเวณหน้ารถปราศรัยอีกด้วย รวมถึงติดตั้งจอโปรเจคเตอร์ เพื่อถ่ายทอดสดการอภิปรายไม่ไว้วางใจจากภายในสภาด้วย

โดย 18.00น. เริ่มการปราศรัยด้วย ธนพร วิจันทร์  เครือข่ายแรงงานเพื่อสิทธิประชาชน ซัด สุชาติ ชมกลิ่น รมว. แรงงาน #แถไปเรื่อยทั้งที่ไม่มีผลงาน " 

.

สุชาติพยายามเคลมผลงานในฐานะรัฐมนตรีกระทรวงแรงงาน ว่าได้สร้างสายสัมพันธ์กับผู้นำแรงงานจำนวนมาก และได้พยายามเยียวยาผู้ประกันตน ม.33 ที่ตกงานในช่วงโควิดด้วยเงินจากกองทุนประกันสังคม รวมถึงได้กระตุ้นให้เกิดการจ้างงานด้วยโครงการต่างๆ ธนพรกล่าวว่าเพราะเงินประกันสังคมเป็นเงินส่วนตัวของลูกจ้าง ซึ่งรัฐไม่มีสิทธิแตะต้องเอาไป แล้วมาเคลมเป็นผลงานว่าได้ "เยียวยา" เราแล้ว เงินเยียวยาต้องมาจากเงินที่รัฐบาลกู้ต่างหาก และต้องเยียวยาให้กับทุกคน

และที่บอกว่าได้สร้าง "สายสัมพันธ์กับผู้นำแรงงาน" ซึ่งสุชาติได้เคลมไปเป็นอีกหนึ่งผลงานด้วยนั้น ก็ไม่จริง เพราะเครือข่ายแรงงานฯ ยื่นข้อเรียกร้องไปหลายฉบับก็ไม่มีการตอบรับ สายสัมพันธ์เฉพาะกับผู้ที่เชื่อฟังท่าน ไม่วิพากษ์วิจารณ์ท่านเช่นนี้ไม่นับเป็นผลงาน นับเป็นการเอาหน้า 

ด้านนางนุชนารถ แท่นทอง ตัวแทนเครือข่ายสลัม 4 ภาคได้ขึ้นปราศรัยวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลที่ผ่าน ตั้งแต่การออกมาตรการเยียวยาประชาชนเพื่อช่วยเหลือผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ที่ไม่เท่าเทียมกัน โดยเฉพาะกลุ่มที่มีเงินในบัญชีเกิน 500,000 บาทจะไม่ได้รับเงินเยียวยา ทั้งที่เป็นกลุ่มคนที่เก็บเงินออมมาได้ ดังนั้นก็ควรได้รับการเยียวยาเช่นกัน

ขณะที่นายเฉลิมชัย หรือเพชร ปราศรัยประเด็นปัญหาที่ดิน ป่าไม้ และโครงการพัฒนาของรัฐ ในหัวข้อ "ไล่รัฐก่อนรัฐไล่ (ที่) เรา" ซักฟอกนอกสภาจวกรัฐบาลทหาร ชั่วร้าย ซ้ำเติมคนจน เกษตรกรไร้ที่ดิน กลุ่มชาติพันธุ์ถูกขับไล่ #Saveบางกลอย 

ขณะที่ "มิน ลภนพัฒน์" #นักเรียนเลว อภิปรายในหัวข้อ "นรกที่ชื่อว่าโรงเรียน" ไม่ไว้วางใจนายณัฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษา ฯ  กล่าวว่า

ต่อให้นักเรียนร้องเรียน 1 คนก็ไม่ควรปล่อย แต่ณัฐพลปล่อยให้มีเรื่องร้องเรียนเป็นพันแล้วแก้อะไรไม่ได้เลย อีกทั้งสายด่วนการศึกษา1579 โทรไปข้อมูลก็ไม่มี ณัฐพลตอบอย่าง สายด่วนตอบอย่าง และเบี้ยเลี้ยงค่าอาหารรัฐมนตรีในสภา 533 บาท แต่เด็กนักเรียน 21 บาท มิน กล่าว

ในเวลา 20.40 น.นายลีโอ เจ๊ะกือลี  ตัวแทน สหพันธ์นักเรียน นิสิต นักศึกษา และเยาวชนปาตานี หรือ PerMAS กล่าวอภิปรายนอกสภาตอนหนึ่ ในประเด็น “ให้ชายแดนใต้สงบที่รุ่นเรา” เผย ภูมิใจ แผนต้านรัฐประหารได้ใช้จริงในพม่า ซัด "บิ๊กตู่" มีอำนาจ แต่แก้รุนแรง "ชายแดนใต้" ไม่ได้

จากนั้น 21.00 น. "ทาทา" ผู้มีความหลากหลายทางเพศ ขึ้นปราศรัย โดยสรุปว่า รัฐสภาด้อยค่าผู้หญิง สส.ผู้มีความหลากหลายทางเพศ อย่าง ‘กอล์ฟ ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ อดีตส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ก็ถูกตัดสิทธิ์จากปมถือหุ้นสื่อ

“ผู้หญิง LGBT ถูกด้อยค่า ลดทอนบทบาท รัฐบาลไม่มองความจริง เราขอเรียกร้องสิทธิให้ผู้มีความหลากหลายทางเพศ ล่าสุด ผู้ค้าบริการก็มีปัญหา รัฐพยายามจับคนเหล่านี้ ช่วงโควิด การขายบริการก็ลำบากอยู่แล้ว ยังถูกตำรวจจับ ปรับ แล้วปล่อย 3 วันวนมาจับใหม่ ไม่มีช่องทางทำมาหากิน 300 บาท ข้อหาเตร็ดเตร่ 500 บาท ข่อหาค้าประเวณี การเยียวยาของรัฐบาล เป็นแบบเบี้ยหัวแตก ไม่เห็นหัวประชาชน” ทาทากล่าวทิ้งท้าย

ต่อมา 21.30 น. เป็นการแสดงดนตรีของวงสามัญชน เพื่อส่งเสียงและกำลังใจถึงเพื่อนๆ ที่ตอนนี้อยู่ในเรือนจำ โดยเลือกบทเพลงแสงดาวแห่งศรัทธา เขียนโดยจิตต์ ภูมิศักดิ์ และเรียบเรียงโดยจิ้น กรรมาชน มาร้องในค้ำคืนนี้ พร้อมด้วยแสงแฟลชจากโทรศัพท์มวลชน

.

จากนั้นเวลา 21.35 น. รุ้ง ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล ขึ้นปิดเวทีปราศรัยวิจารณ์ ส.ส.พรรครัฐบาลที่คอยขัดขวาง ส.ส.พรรคฝ่ายค้านไม่ให้พูดเรื่องสถาบันกษัตริย์ ทั้งที่เมื่อก่อนรัฐสภาไทยสามารถทำได้ รวมทั้ง รุ้ง ปนัสยา ได้อภิปรายถึงการบริหารงานของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมยืนยันในข้อเรียกร้องที่ 1 คือให้นายกรัฐมนตรีและองคาพยพลาออก นอกจากนี้ รุ้ง ปรัสยา ยังได้อ่านข้อความที่พริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน ที่ฝากให้กำลังใจประชาชนว่าจงสู้ต่อ โดยก่อนลงจากเวที รุ้ง ประกาศว่าวันพรุ่งนี้ กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมจะจัดกิจกรรมบริเวณหน้ารัฐสภา แยกเกียกกาย เวลา 15.00 น.เชิญชวนประชาชนให้มารวมกันที่นี่อีกครั้ง

.

จากนั้น 22.05 น. พิธีกรบนเวที มิน และแรฟเตอร์ ได้นำรูปภาพของรัฐมนตรี 10 คนที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภา มาชูขึ้นรายบุคคลเพื่อให้ประชาชนนอกสภาลงมติไม่ไว้วางใจ และในเวลาต่อมาพิธีกรจึงประกาศยุติกิจกรรม พร้อมกับตะโกน "ศักดินาจงพินาศ ประชาราษฎรจงเจริญ" จากนั้นประชาชนเริ่มทยอยออกจากพื้นที่

เวลา 22.15น.หลังพิธีกรประกาศยุติกิจกรรม เพื่อให้ทางผู้จัดงานเคลียร์พื้นที่ อย่างไรก็ตาม กลุ่มคณะราษฎร และกลุ่ม DemHope หรือประชาธิปไตยเพื่อความหวัง ยังคงจับกลุ่มตีกลองและร้องเพลงมีเนื้อหาต่อต้านเผด็จการริมถนนสามเสน

กระทั่งเวลาราว 22.40 น.จึงทยอยเดินทางแยกย้าย ในขณะที่เจ้าหน้าที่ คฝ.และรถน้ำยังจอดปลักหลักอยู่บริเวณตรงข้ามรัฐสภา

จนกระทั่งเวลา 23.00 น.คฝ.ที่ปักหลักในจุดใกล้รถปราศรัยได้เดินออกจากพื้นที่โดยมุ่งหน้าเข้าสู่ กองพันทหารม้าที่ 4 รักษาพระองค์ เพื่อสแตนบายการชุมนุมใหญ่อีกครั้งของกลุ่มม็อบในวันพรุ่งนี้อีกครั้ง

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ประชาภิปราย #Mobfest #ม็อบ19กุมภา

ประมวลภาพ