วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

พรรคประชาชนจัดเต็มเวทีปราศรัย “คำตอบสุดท้าย อบจ.รับใช้ประชาชน” ขอโอกาสชาวอุดรเลือกเพื่อเปลี่ยนเป็นอุดรธานีสีส้ม ชูนโยบายยกระดับคุณภาพชีวิต น้ำประปาดื่มได้-เบบี้บ็อกซ์-หมอตู้ เชื่อมั่น “คณิศร ขุริรัง” ชัดและพร้อมเป็นนายก อบจ.อุดรธานี

 


พรรคประชาชนจัดเต็มเวทีปราศรัย “คำตอบสุดท้าย อบจ.รับใช้ประชาชน” ขอโอกาสชาวอุดรเลือกเพื่อเปลี่ยนเป็นอุดรธานีสีส้ม ชูนโยบายยกระดับคุณภาพชีวิต น้ำประปาดื่มได้-เบบี้บ็อกซ์-หมอตู้ เชื่อมั่น “คณิศร ขุริรัง” ชัดและพร้อมเป็นนายก อบจ.อุดรธานี 


วันที่ 22 พฤศจิกายน 2567 พรรคประชาชนเปิดเวทีปราศรัยโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งนายก อบจ.อุดรธานี “คำตอบสุดท้าย อบจ.รับใช้ประชาชน” ณ ลานหลังที่ว่าการอำเภอกุมภวาปี ถนนติดแม่น้ำ อ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี โดยมีแกนนำ สส. และผู้ช่วยหาเสียงร่วมปราศรัยให้กับ “คณิศร ขุริรัง” ผู้สมัครนายก อบจ.อุดรธานี เบอร์ 1 ของพรรคประชาชนอย่างคับคั่ง


[ คนอุดรไม่ได้เปลี่ยน จุดยืนประชาธิปไตยมั่นคง ]


ปิยบุตร แสงกนกกุล ผู้ช่วยหาเสียง กล่าวว่า คนอุดรธานีขึ้นชื่อเรื่องจุดยืนประชาธิปไตย หลายคนบอกว่าที่นี่คือเมืองหลวงประชาธิปไตย แต่ไม่กี่วันที่ผ่านมานักการเมืองอาวุโสเริ่มตั้งคำถามว่าคนอุดรธานีเปลี่ยนไปหรือไม่ สีแดงเข้มๆ ตกเป็นสีส้มหรือเปล่า ตนต้องบอกว่าจริงๆ แล้วคนอุดรธานีไม่ได้เปลี่ยน จุดยืนประชาธิปไตยอย่างไรก็อย่างนั้น แต่พวกเขาต่างหากที่เปลี่ยนไปเอง เปลี่ยนจากจุดยืนประชาธิปไตยไปเข้าหาอำนาจนิยม เปลี่ยนจากเดิมที่ต้องยืนตรงทะนงองอาจต่อสู้กับอำนาจอยุติธรรม ไปเป็นสยบยอมกับอำนาจเพื่อแลกกับการเป็นรัฐมนตรีเป็นรัฐบาล 


ตั้งแต่ปี 2548 พี่น้องคนอุดรธานีด้วยจุดยืนประชาธิปไตย จึงเลือกพรรคเดียวยกจังหวัด เป็นอย่างนี้มาเกือบ 20 ปี จนกระทั่งการเลือกตั้ง 2566 เมื่อมีพรรคก้าวไกล ชาวอุดรรู้สึกว่ารักพี่เสียดายน้อง ในเมื่อสองพรรคบอกว่ามีจุดยืนเหมือนกัน จะเข้าไปต่อต้านการสืบทอดอำนาจเหมือนกัน ไม่เอา 3 ป.เหมือนกัน ก็เลยแบ่งคะแนนกันไปคนละใบ พรรคก้าวไกลจึงได้ สส. เขตมา 1 คน แต่คะแนนบัญชีรายชื่อได้มาเกือบ 300,000 คะแนน เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ราวกับว่าพี่น้องแบ่งบัตรบัญชีรายชื่อให้อดีตพรรคก้าวไกลด้วยหวังว่าพรรคพี่พรรคน้องจะมารวมกันตั้งเป็นรัฐบาล แต่ที่ไหนได้ก้าวไกลถูกเตะเป็นฝ่ายค้าน


เมื่อมีการตั้งรัฐบาล อดีตพรรคก้าวไกลถูกยุบพรรคตัดสิทธิ์มาเป็นพรรคประชาชน จนมาถึงวันที่ 24 พฤศจิกายนที่ชาวอุดรจะได้ใช้สิทธิ์อีกครั้ง พี่น้องชาวอุดรธานีจึงมีโอกาสเป็นที่แรกที่จะส่งสัญญาณต่อไปว่าไม่เอาการตั้งรัฐบาลแบบที่ผ่านมา ไม่เอาการยุบพรรคตัดสิทธิ์ และเชื่อมั่นว่าพรรคสีส้มวันนี้คือพรรคประชาชนยังยืนหยัดเคียงคู่กับคนอุดรธานีในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย รอบนี้บัตรมีใบเดียว แบ่งกันไม่ได้อีกแล้ว ขอโอกาสครั้งนี้ส้มทั้งอุดรธานี เลือกคณิศรหมายเลข 1 สถานเดียว 


[ เงินสะสมเพิ่มได้ ถ้านายก อบจ. บริหารเป็น ]


ต่อมา ชัยธวัช ตุลาธน ผู้ช่วยหาเสียง กล่าวชี้แจงกรณีวิเชียร ขาวขำ อดีตนายก อบจ.อุดรธานี แถลงระบุหัวหน้าพรรคประชาชนเข้าใจผิดเรื่องงบประมาณ อบจ.อุดรธานีไม่ได้มีเงินเยอะ ตอนนี้เงินสะสมติดลบอยู่ 80 ล้านบาท โดยชัยธวัชกล่าวว่า ตนก็ตกใจ ถ้าติดลบจริงต้องถามว่าท่านใช้เงินอย่างไร จึงรีบไปหาเอกสารก่อนขึ้นเวทีปราศรัยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าตัวเลขงบประมาณล่าสุดเป็นอย่างไร ทำให้เห็นว่าเงินสะสมของ อบจ. มีอยู่ 1,500 ล้านบาท ซึ่งทราบอยู่แล้วว่าในจำนวนนี้อาจไม่ใช่เงินสดทั้งหมดแต่เป็นทรัพย์สินด้วย แต่เนื่องจากเอกสารที่ตนมี ไม่มีรายละเอียด จึงขอไปดูรายละเอียดก่อนแล้วค่อยมาพูดต่อ เรื่องเป็นแบบนี้


จนเมื่อไม่กี่วันก่อน วิเชียรแถลงว่าพวกตนอ่านงบไม่เป็นแล้วจะบริหารประเทศได้อย่างไร แต่ตนยืนยันว่าพวกเราอ่านงบประมาณเป็น หัวหน้าพรรคก็เป็นอดีตประธานกรรมาธิการติดตามงบประมาณ เพียงแต่เรามีข้อจำกัดเพราะเอกสารที่อดีตนายกวิเชียรเอามาชี้แจง ไม่ใช่เอกสารที่เผยแพร่ทั่วไป แต่เป็นเอกสารที่ อบจ. ต้องส่งรายงานให้กระทรวงมหาดไทย ถึงอย่างนั้นก็ดีแล้วที่อดีตนายกวิเชียรออกมาชี้แจง ถ้าคณิศรจากพรรคประชาชนได้รับการเลือกตั้งเป็นนายก อบจ. จะเข้าไปบริหารงบประมาณให้มีประสิทธิภาพ หารายได้ เงินจะได้เยอะขึ้น


ตนยืนยันว่าเงินสะสมเพิ่มได้ถ้าบริหารเป็น จะเพิ่มเงินสะสมต้องเพิ่มรายได้หรือใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ เช่นการจัดซื้อจัดจ้างต้องเป็นไปอย่างโปร่งใส ไม่ฮั้วประมูล ถ้าคณิศรได้เป็นนายก อบจ.อุดรธานี จะให้เข้าไปตรวจสอบตรงนี้ให้หมด ดังนั้นถ้าพี่น้องเชื่อว่า อบจ.อุดรธานีที่ผ่านมาใช้เงินภาษีอย่างโปร่งใสมีประสิทธิภาพแล้ว ไม่ต้องเลือกพวกตน แต่ถ้าคิดว่าอุดรธานีต้องดีกว่านี้ ใช้เงินภาษีคุ้มค่าโปร่งใสมีประสิทธิภาพมากกว่านี้ 24 พฤศจิกายนขอให้เลือกเบอร์ 1 คณิศรจากพรรคประชาชน


[ ชูผลงานยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนทุกท้องถิ่น ]


จากนั้น ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวว่า ถ้าเราได้นายก อบจ. ที่ใช้เงินทุกบาทด้วยความคุ้มค่าและโปร่งใส นโยบายดีๆ หลายอย่างเกิดขึ้นได้ ตนขอยกตัวอย่าง 3 ผลงานที่คณะก้าวหน้าทำงานร่วมกับท้องถิ่น เป็นนโยบายที่จะทำให้ชีวิตพี่น้องประชาชนดีขึ้น (1) น้ำประปาสะอาด เช่นที่เทศบาลตำบลอาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ด เราใช้เทคโนโลยีและความใส่ใจไปยกระดับระบบกระบวนการผลิตน้ำประปาในโรงประปา มีระบบเซ็นเซอร์ปริมาณสารเคมีให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ก่อนจำหน่ายไปยังบ้านเรือนประชาชน และไม่กี่วันก่อนเราลงพื้นที่ทันทีเมื่อมีประชาชนบางคนร้องเรียนเรื่องน้ำประปาที่บ้านเขา นี่คือการทำการเมืองอย่างตรงไปตรงมา เมื่อประชาชนร้องเรียนเราก็ไปพิสูจน์


เราจะนำสมาร์ทมิเตอร์มายกระดับน้ำประปาให้ดีขึ้น ทำให้น้ำประปาสะอาดและมีความสะดวก ประชาชนได้รับบิลค่าน้ำจ่ายทางออนไลน์ได้เลย ในอนาคตอุดรธานีอาจเป็นแห่งที่สองที่จะมีสมาร์ทมิเตอร์หน้าบ้าน เร็วกว่ากรุงเทพฯ โดยจะเป็นการทยอยติดตั้ง เมื่อน้ำประปาที่โรงผลิตน้ำประปาสะอาด สมาร์ทมิเตอร์จะตามมาในอนาคต


(2) “หมอตู้” หรือ Telemedicine อยู่ตรงไหนก็ใกล้หมอ ไม่ต้องเดินทางไกลไปโรงพยาบาล ลดภาระประชาชน ลดความแออัดในโรงพยาบาล (3) กล่องรับขวัญแรกเกิด (Baby Box) เพื่อส่งเสริมเด็กแรกเกิดให้มีพัฒนาการที่ดี เป็นการลงทุนกับมนุษย์ซึ่งมีความสำคัญกับอนาคตชาวอุดรธานีและของประเทศไทย


หัวหน้าพรรคประชาชนทิ้งท้ายว่า เรามีอีกหลายชุดนโยบายที่จะขับเคลื่อนให้พี่น้องชาวอุดรธานีมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี บางนโยบายแม้ อบจ. ไม่ได้มีอำนาจโดยตรง แต่สามารถใส่เงินอุดหนุนและใช้การประสานงาน ขอเพียงผู้บริหาร อบจ. มีวิสัยทัศน์และเห็นความสำคัญ อีกสองวันต่อจากนี้คือวันกำหนดอนาคตของชาวอุดร ช่วยกันบอกต่อให้กาเบอร์ 1 คณิศรเป็นนายก อบจ. ส่งสัญญาณไปถึงทุกจังหวัดทั่วประเทศโดยเฉพาะจังหวัดที่พรรคประชาชนส่งผู้สมัครนายก อบจ.


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #อบจอุดร




วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

‘จุลพันธ์‘ เผยตัวเลขโอนเงิน 10,000 บาท ซ้ำครั้งที่ 2 พบโอนไม่สำเร็จ 43,699 ราย ขอผู้มีสิทธิ์กลุ่มตกหล่นรีบผูกพร้อมเพย์ก่อน 16 ธ.ค. นี้

 


จุลพันธ์‘ เผยตัวเลขโอนเงิน 10,000 บาท ซ้ำครั้งที่ 2 พบโอนไม่สำเร็จ 43,699 ราย ขอผู้มีสิทธิ์กลุ่มตกหล่นรีบผูกพร้อมเพย์ก่อน 16 ธ.ค. นี้


วันที่ 22 พฤศจิกายน 2567 นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงภาพรวมการโอนเงิน 10,000 บาท ของโครงการเติมเงินผ่านดิจิทัลวอลเล็ตในรอบจ่ายซ้ำ (Retry) ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 21 พ.ย. 2567 โดยมีการโอนไปแล้วทั้งสิ้น 73,967 ราย แบ่งเป็นผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 59,568 ราย และผู้พิการ 14,399 ราย


นายจุลพันธ์กล่าวว่า ในจำนวนดังกล่าวโอนสำเร็จไปแล้วจำนวน 30,268 ราย และโอนไม่สำเร็จอีก 43,699 ราย โดยแบ่งเป็นผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 39,399 ราย และผู้พิการอีก 4,300 ราย ซึ่งสาเหตุหลักของการโอนเงินไม่สำเร็จนั้น ส่วนใหญ่เกิดจากการที่ผู้มีสิทธิ์ยังไม่ผูกบัญชีพร้อมเพย์จำนวน 40,157 ราย รองลงมาคือบัญชีธนาคารของผู้มีสิทธิ์ไม่มีความเคลื่อนไหว บัญชีธนาคารถูกปิดไปแล้ว ไม่มีบัญชีธนาคาร เลขบัญชีธนาคารไม่ถูกต้อง และบัญชีธนาคารติดเงื่อนไขอื่นๆ ตามลำดับ


นายจุลพันธ์ยังได้เน้นย้ำให้ผู้มีสิทธิ์ทั้งผู้ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและผู้พิการดำเนินการผูกบัญชีพร้อมเพย์กับเลขประจำตัวประชาชนภายในวันที่ 16 ธ.ค. 2567 ส่วนผู้พิการนั้น หากบัตรประจำตัวผู้พิการหมดอายุหรือสูญหายให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 3 ธ.ค. 2567 เพื่อให้ทันต่อรอบการจ่ายซ้ำครั้งที่ 3 ในวันที่ 19 ธ.ค. 2567 หาก


ทั้งนี้ นายจุลพันธ์กล่าวว่าหากพ้นกำหนดการ Retry ครั้งที่ 3 แล้ว ทางกรมบัญชีกลางโดยกระทรวงการคลังจะยุติการจ่ายเงินให้แก่กลุ่มผู้มีสิทธิ์และถือว่ากลุ่มผู้มีสิทธิ์ไม่ประสงค์รับเงินภายใต้โครงการดังกล่าว


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ 

พรรคประชาชนปูพรมโค้งสุดท้ายเลือกตั้งนายก อบจ.อุดรฯ ดาวกระจาย 6 สายทั่วอุดรฯ “ธนาธร” เยือนบ้านผือที่มั่นนายกวิเชียร ประชาชนแห่ต้อนรับคึกคัก “คณิศร-ปิยบุตร” ขอโอกาสปักธงนายก อบจ.อุดรธานี ที่แรก ก่อนเย็นนี้เปิดเวทีปราศรัยที่กุมภวาปี

 


พรรคประชาชนปูพรมโค้งสุดท้ายเลือกตั้งนายก อบจ.อุดรฯ ดาวกระจาย 6 สายทั่วอุดรฯ “ธนาธร” เยือนบ้านผือที่มั่นนายกวิเชียร ประชาชนแห่ต้อนรับคึกคัก “คณิศร-ปิยบุตร” ขอโอกาสปักธงนายก อบจ.อุดรธานี ที่แรก ก่อนเย็นนี้เปิดเวทีปราศรัยที่กุมภวาปี


วันที่ 22 พฤศจิกายน 2567 ที่ จ.อุดรธานี แกนนำ สส. และผู้ช่วยหาเสียงพรรคประชาชน ร่วมปูพรมหาเสียงในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งนายก อบจ.อุดรธานี ในวันที่ 24 พฤศจิกายนนี้ ซึ่งพรรคประชาชนได้ส่ง คณิศร ขุริรัง หมายเลข 1 เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายก อบจ.อุดรธานีในการเลือกตั้งครั้งนี้ โดยขบวนหาเสียงของพรรคประชาชนได้กระจายตัวออกเป็น 6 สายเดินทางไปพบปะประชาสัมพันธ์การเลือกตั้งทั่วทั้ง จ.อุดรธานี ประกอบด้วยเส้นทาง อ.หนองแสง-อ.โนนสะอาด, อ.กุดจับ-อ.บ้านผือ, อ.หนองหาน, อ.บ้านดุง, อ.ประจักษ์ และ อ.เพ็ญ


ในส่วนของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า และผู้ช่วยหาเสียงพรรคประชาชน ร่วมกับ พนิดา มงคลสวัสดิ์ สส.สมุทรปราการ พรรคประชาชน และ คำพอง เทพาคำ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้ร่วมหาเสียงไปบนเส้นทาง อ.กุดจับ-บ้านผือ โดยขึ้นรถแห่ประชาสัมพันธ์ เดินพบปะประชาชนตามชุมชน แจกเอกสารประชาสัมพันธ์ผู้สมัคร และปราศรัยตามจุดต่างๆ ไปตลอดเส้นทางการหาเสียง


โดยจุดที่น่าสนใจคือการหาเสียงในพื้นที่ อ.บ้านผือ ซึ่งเป็นฐานที่มั่นสำคัญและบ้านเกิดของ วิเชียร ขาวขำ อดีตนายก อบจ.อุดรธานี สังกัดพรรคเพื่อไทย คู่แข่งหลักของพรรคประชาชนในการเลือกตั้งครั้งนี้ ซึ่งตลอดเส้นทางการหาเสียงเช้านี้ มีประชาชนและผู้สนับสนุนพรรคเข้าพบปะพูดคุย ให้กำลังใจ และขอถ่ายรูปด้วยเป็นจำนวนมาก


ขณะที่ คณิศร ขุริรัง ผู้สมัครนายก อบจ.อุดรธานี เบอร์ 1 จากพรรคประชาชน พร้อมด้วย ปิยบุตร แสงกนกกุล ผู้ช่วยหาเสียง, ณัฐพงษ์ พิพัฒน์ไชยศิริ สส.อุดรธานี เขต 1 และ ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สส.กรุงเทพฯ เขต 11 ร่วมขึ้นรถแห่ปราศรัยบนเส้นทาง อ.หนองหาน-กุมภวาปี มีประชาชนส่งเสียงเชียร์เบอร์ 1 ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นตลอดทาง


ช่วงหนึ่งปิยบุตรกล่าวว่า การเลือกตั้งนายก อบจ.อุดรธานีครั้งนี้ ไม่ใช่แค่การแสดงพลังของคนอุดรธานีหรือคนอีสานเท่านั้น แต่คือการแสดงถึงการเมืองแบบใหม่ที่พรรคประชาชนยืนอยู่หัวแถวตั้งใจนำเสนอต่อประชาชน เมื่อ 20 ปีที่แล้วพี่น้องเคยเลือกพรรคหนึ่งยกจังหวัด ผ่านมา 20 ปีรอบนี้ขอโอกาสปักธงสีส้มนายก อบจ.อุดรธานีเป็นที่แรก และต่อไปจะเลือกยกจังหวัดให้อุดรธานีเป็น ‘อุดรธานีสีส้ม’


ทั้งนี้ พรรคประชาชนจะเปิดเวทีปราศรัย “คำตอบสุดท้าย อบจ.รับใช้ประชาชน” ณ ลานหลังที่ว่าการอำเภอกุมภวาปี ถนนติดแม่น้ำ อ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี ตั้งแต่เวลา 16.30 น. เป็นต้นไป


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #อบจอุดร








กลุ่ม Thumb Rights และแนวร่วม จัดกิจกรรม อวยพรวันเกิด “อัญชัญ” หน้าทัณฑสถานหญิงกลาง ชี้การเขียนจม.ถึงผตข.มีความสำคัญ และเรียกร้องให้นิรโทษกรรมประชาชนโดยรวมมาตรา 112 ด้วย

 


กลุ่ม Thumb Rights และแนวร่วม จัดกิจกรรม อวยพรวันเกิด “อัญชัญ” หน้าทัณฑสถานหญิงกลาง ชี้การเขียนจม.ถึงผตข.มีความสำคัญ และเรียกร้องให้นิรโทษกรรมประชาชนโดยรวมมาตรา 112 ด้วย


วันนี้ (22 พฤศจิกายน 2567 เวลา 09.30 น. กลุ่ม Thamb Rights – ทำไรท์ และแนวร่วม ได้ร่วมกันจัดกิจกรรมอวยพรวันเกิดปีที่ 69 ของ “อัญชัญ ปรีเลิศ” ณ หน้าทัณฑสถานหญิงกลาง กรุงเทพมหานคร โดยภายในงาน ตัวแทนจาก Amnesty Thailand ได้อ่านจดหมายจาก “อัญชัญ” ถึงทุกคนในสังคม ความว่า

 

อัญชัญ ปรีเลิศ (ป้าเล็ก) อายุ 69 ปี


โดยปกติแล้ววันเกิดคือวันธรรมดาวันหนึ่งในชีวิต ตอนที่อยู่ข้างนอกก็ไปทำบุญตักบาตร ทำอาหารทานกับครอบครัว เมื่อต้องเข้ามาอยู่ในเรือนจำความแตกต่างของวันเกิดคือการที่เป็นวันธรรมดาแบบในเรือนจำ ตื่นตี 4 ตี 5 ครึ่ง สวดมนต์ และบอกกับตัวเองว่านี่เป็นปีที่เท่าไหร่แล้วที่ต้องมีวันเกิดในเรือนจำ 20 พฤศจิกายน 2567 นี้ จึงเป็นปีที่ 6 ที่ต้องฉลองวันเกิดข้างในเรือนจำ จริง ๆ ไม่มีใครรู้หรอกว่าเป็นวันเกิดเรา จนเมื่อปีที่แล้ว แอมเนสตี้ประเทศไทย ได้ฉลองวันเกิดให้เราผ่านเค้กมะพร้าวที่เราชอบ วันนี้เมื่อปีที่แล้วเพื่อนในเรือนจำจึงมาร่วมร้องเพลง Happy Birhtday ให้กับเรา รวมถึงยังได้อ่านข้อความที่หลายคนร่วมอวยพรวันเกิดมาให้


ในฐานะที่วันนี้เป็นวันเกิด เราจึงอยากจะขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลก ช่วยบอกกับผู้มีอำนาจให้ถือเสียว่านี่คือการทำบุญทำกุศลปล่อยคนที่ถูกจับกุมคุมขังเพื่อให้ทุกคนและเราได้กลับไปอยู่กับครอบครัว และพื้นที่เพิ่มให้กับเรือนจำ ไม่มีใครอยากกลับมาอยู่ข้างในหรอกนะ ทำบุญทำทานให้กับพวกเราได้เป็นอิสระ จะได้ไม่ต้องเปลืองงบประมาณ และเราอยากฝากบอกกับทุกคนที่มาร่วมอวยพรวันเกิดให้ที่หน้าเรือนจำวันนี้ หรือทุกคนที่คิดถึงป้า อยากจะบอกว่า ขอบคุณทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำงานตรงนี้ อยากจะบอกว่า ขอให้สิ่งดี ๆ กลับไปสู่ทุกคน ขอบคุณทุกคนมาก ๆ ที่ไม่ลืมป้าอัญชัญนะคะ มันต้องมีสักวันแหละที่จะได้รับการปล่อยตัวและออกไปมีอิสรภาพข้างนอก นอกจากนี้ขอบคุณจดหมายและโปสการ์ดทุกฉบับ ป้าได้รับแล้วนะที่ทางแอมเนสตี้ส่งมาเมื่อช่วงต้นเดือนตุลาคม ขอบคุณมาก เขียนมาเยอะมาก ดีใจที่มีคนเขียนถึง เวลาที่ได้นั่งอ่านข้อความหรือจดหมายของทุกคน มันทำให้ป้ามีกำลังใจขึ้นมาก และบอกกับตัวเองอยู่เสมอว่าต้องทำให้ร่างกายและจิตใจของตัวเองแข็งแรง เพื่อมีชีวิตรอดไปอยู่ข้างนอกกับครอบครัวและคนที่เรารัก”

 

นอกจากนี้ Amnesty Thailand ได้โพสต์ผ่าน X ข้อความที่ผู้เป็นสามีของ “อัญชัญ” ได้เขียนถึงเธอ ความว่า


"สวัสดี แม่ที่รักของพ่อ ทนเอานะแม่ สักวันหนึ่งเราต้องออกมาแล้วเจอกัน พ่อก็รอวันที่แม่ออกมา"


จนถึงวันนี้ เป็นเวลาเกือบหนึ่งทศวรรษ ที่พวกเขาไม่ได้เจอกัน แต่สามีของอัญชัญยังเรียกเธอเหมือนวันวาน "แม่" และแทนตัวเองว่า "พ่อ"


ต่อมาตัวแทนกลุ่ม Thumb Rights กล่าวอวยพรวันเกิด “อัญชัญ” และ ทนายเมย์ พูนสุข พูนสุขเจริญ ตัวแทนจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน กล่าวถึงข้อมูลจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ระบุว่า ในวันที่ 22 พ.ย. 2567 มีผู้ต้องขังคดีทางการเมืองอยู่ในเรือนจำรวม 33 ราย เป็นผู้ที่ถูกดำเนินคดีในมาตรา 112 จำนวน 25 ราย คิดเป็นร้อยละ 75 ของผู้ต้องขังทั้งหมด เครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชนเห็นว่าการนิรโทษกรรมจะเป็นจุดเริ่มต้นในการคลี่คลายความขัดแย้งได้ ก่อนที่จะก้าวไปสุ่ปัญหาที่มีความซับซ้อนมากกว่าการนิรโทษกรรม ประเด็นข้อกังวลที่ว่าการนิรโทษกรรมโดยรวมคดี 112 จะเป็นการเพิ่มความขัดแย้งมากขึ้น เครือข่ายนิรโทษกรรมเห็นว่า การนิรโทษกรรมคดีการเมืองในคดีอื่น ๆ ไปโดยไม่รวมคดีมาตรา 112 กลับจะเป็นการเน้นย้ำปัญหาความขัดแย้งประเด็นสถาบันกษัตริย์ให้มากยิ่งขึ้น


สุดท้าย ทนายเมย์กล่าวว่า เครือข่ายนิรโทษกรรมสนับสนุนให้เกิดการพูดคุยทำความเข้าใจเพื่อให้เกิดการนิรโทษกรรมเพื่อคลี่คลายความขัดแย้ง โดยการเร่งนำกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการนิรโทษกรรมเข้าไปพิจารณาในสภา รับหลักการของทุกร่างพ.ร.บ.


ประวัติของ “อัญชัญ ปรีเลิศ”


เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2564 อัญชัญ ปรีเลิศ อดีตข้าราชการพลเรือน ถูกตัดสินจําคุก 87 ปี ในข้อหาหมิ่นประมาทกษัตริย์จำนวน 29 กระทงเนื่องจากคลิปเสียงที่เธออัปโหลดและเผยแพร่บนโซเชียลมีเดีย ที่เจ้าหน้าที่เห็นว่าเป็นการหมิ่นประมาทกษัตริย์ไทย โทษจําคุกของเธอลดลงเหลือ 43 ปี 6 เดือนเนื่องจากรับสารภาพ ศาลพิพากษาให้อัญชัญจำคุกที่ทัณฑสถานหญิงกลางในกรุงเทพ


อัญชัญถูกจับกุมเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2558 และถูกควบคุมตัวที่ค่ายทหารเป็นเวลาห้าวัน ก่อนถูกพิพากษา อัญชัญถูกฝากขังเป็นเวลาสามปีกับ 281 วัน ในตอนแรกคดีของเธอถูกพิพากษาโดยศาลทหาร ซึ่งปฏิเสธคําขอประกันตัวหลายรอบ แต่ในที่สุดอัญชัญก็ได้รับการประกันตัวชั่วคราวเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2561 อย่างไรก็ตาม คดีหมิ่นประมาทกษัตริย์ของเธอยังคงอยู่ภายใต้เขตอํานาจศาลของศาลทหารกรุงเทพ จนกระทั่งเดือนกรกฎาคม 2562 คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้มีคำสั่งให้ส่งคดีของพลเรือนในศาลทหารไปยังศาลพลเรือน


ข้อมูลจาก : ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน และ Amnesty Thailand

ขอบคุณภาพจาก : Thumb Rights – ทำไรท์


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #FreeAnchan #FreeRatsadon #นิรโทษกรรมประชาชน #นิรโทษกรรมรวม112




ด่วน !! ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้อง ยกทุกประเด็น ทักษิณ ล้มล้างการปกครอง

 


ด่วน !! ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้อง ยกทุกประเด็น ทักษิณ ล้มล้างการปกครอง


วันนี้ (22 พฤศจิกายน 2567) เวลา 09.30 น. สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีการประชุมประจำสัปดาห์ ซึ่งจะมีการหยิบยกคำร้องของ นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร (ผู้ร้อง) ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 กล่าวอ้างว่า นายทักษิณ ชินวัตร (ผู้ถูกร้องที่ 1) และพรรคเพื่อไทย (ผู้ถูกร้องที่ 2) ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ เพื่อพิจารณารับหรือไม่รับคำร้องนี้ไว้วินิจฉัย


โดยศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้มีหนังสือถึงอัยการสูงสุดเพื่อขอทราบ ว่าได้ดำเนินการตามคำร้องของผู้ร้องไปแล้วอย่างไร และรวบรวมพยานหลักฐานได้เพียงใด โดยให้จัดส่งต่อ ศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ ซึ่งอัยการสูงสุดได้รับหนังสือเมื่อวันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม ต่อมาเมื่อวันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน และวันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน สำนักงาน ศาลรัฐธรรมนูญได้รับหนังสือสำนักงานอัยการสูงสุด ลับ ด่วนที่สุด ส่งเอกสารตามหนังสือเรียกเอกสาร หลักฐาน หรือบุคคลของศาลรัฐธรรมนูญ ตามลำดับ


สำหรับคำร้อง ที่นายธีรยุทธ ยื่นมี 6 ประเด็น ประกอบด้วย


ประเด็นที่ 1 นายทักษิณ สั่งการรัฐบาลผ่านกระทรวงยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลตำรวจ ให้เอื้อประโยชน์แก่นายทักษิณ ให้พักอาศัยอยู่ห้องพัก ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ในระหว่างรับโทษจำคุก เพื่อให้ไม่ต้องรับโทษในเรือนจำ ทั้งที่ไม่พบว่ามีอาการป่วยขั้นวิกฤต


ประเด็นที่ 2 นายทักษิณ สั่งการรัฐบาลให้เอื้อประโยชน์แก่อดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศกัมพูชา ให้มีการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลเพื่อแบ่งผลประโยชน์ก๊าซธรรมชาติและทรัพยากรใต้ทะเลในเขตอธิปไตยทางทะเลของประเทศไทยให้แก่ประเทศกัมพูชา


ประเด็นที่ 3 นายทักษิณ สั่งการให้พรรคเพื่อไทย ร่วมมือเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญกับพรรคประชาชน ซึ่งเป็นพรรคที่ก่อตั้งโดยกลุ่มการเมืองของพรรคก้าวไกลเดิม ที่ต้องคำวินิจฉัยศาลรัฐธธธรรมนูญว่ามีพฤติการณ์ล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข


ประเด็นที่ 4 นายทักษิณ สั่งการแทนพรรคเพื่อไทย โดยเจรจากับแกนนำของพรรคการเมืองอื่นที่ร่วมรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อหารือการเสนอชื่อบุคคลผู้สมควรเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ที่บ้านพักส่วนตัวของนายทักษิณ


ประเด็นที่ 5 นายทักษิณ สั่งการให้พรรคเพื่อไทย มีมติขับพรรคพลังประชารัฐออกจากพรรคร่วมรัฐบาล


ประเด็นที่ 6 นายทักษิณ สั่งการให้พรรคเพื่อไทย นำนโยบายของนายทักษิณ ที่แสดงวิสัยทัศน์ไว้ไปดำเนินการให้เป็นนโยบายของคณะรัฐมนตรีที่แถลงต่อรัฐสภา


ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาโดยการอภิปรายแล้วเห็นว่า คดีนี้แม้ผู้ร้องจะใช้สิทธิยื่นคำร้องต่ออัยการ สูงสุดแล้วและอัยการสูงสุดไม่ดำเนินการภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำร้องขอ อันทำให้ผู้ร้องมีสิทธิยื่นคำร้อง โดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ก็ตาม แต่การพิจารณาว่า บุคคลใดจะใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง จะต้องปรากฏ ข้อเท็จจริงชัดเจนเพียงพอที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งหมาย และความประสงค์ระดับที่วิญญูชนคาดเห็นได้ว่าน่าจะทำให้เกิดผลเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพ เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยการกระทำนั้น จะต้องกำลังดำเนินอยู่และไม่ห่างไกลเกินกว่าเหตุ


ข้อกล่าวอ้างในประเด็นที่ 1 และประเด็นที่ 3 ถึงประเด็นที่ 6 ยังไม่มีน้ำหนักพยานหลักฐานเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าการกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสอง น่าจะทำให้เกิดผลเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง ดังนั้น กรณีไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเอกฉันท์ ไม่รับไว้พิจารณาวินิจฉัยในประเด็นที่ 1 และประเด็นที่ 3 ถึงประเด็นที่ 6


สำหรับประเด็นที่ 2 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติโดยเสียงข้างมาก (7 ต่อ 2) มีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย


ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก จำนวน 7 คน คือ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ นายปัญญา อุดชาชน นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม นายวิรุฬห์ แสงเทียน นายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ นายอุดม รัฐอมฤต และนายสุเมธ รอยกุลเจริญ เห็นว่า ยังไม่มีน้ำหนักพยานหลักฐานเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าการกระทำ ของผู้ถูกร้องทั้งสองน่าจะทำให้เกิดผลเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง


ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างน้อย จำนวน 2 คน คือ นายจิรนิติ หะวานนท์ และ นายนภดล เทพพิทักษ์ เห็นว่า มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าการกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสองน่าจะทำให้เกิดผล เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพ เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะรับไว้พิจารณาวินิจฉัยได้


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ศาลรัฐธรรมนูญ #ทักษิณ

ธิดา ถาวรเศรษฐ : วิกฤตการเมืองเป็นสาเหตุของวิกฤตเศรษฐกิจและสังคมไทย แจกเงินอย่างเดียว แก้ปัญหาประเทศไม่ได้!!!

 


ธิดา ถาวรเศรษฐ : วิกฤตการเมืองเป็นสาเหตุของวิกฤตเศรษฐกิจและสังคมไทย แจกเงินอย่างเดียว แก้ปัญหาประเทศไม่ได้!!!



[ถอดเทป] คนดังนั่งเคลียร์ "พรรคประชาชน" ท้ารบ "ทักษิณ" ศึกนี้แพ้ไม่ได้!!
ออกอากาศวันที่ 19 พ.ย. 67 ทาง ช่อง 8
ดำเนินรายการโดย เมย์ ชนิตร์นันทน์ ปุณณะนิธิ
ลิ้งค์ยูทูป : https://www.youtube.com/watch?v=1SYCcukqPSM


***พูดถึงการเลือกตั้งใหญ่ คุณทักษิณพูดว่า “ครั้งที่แล้วเป็นอุบัติเหตุทางการเมือง ครั้งหน้า 200 เสียงแน่นอน” อาจารย์ว่าอย่างไร?***



อาจารย์ก็ไม่อยากจะไปปรามาสหรือทำนายอะไรใคร อาจารย์พูดในเชิงหลักการว่า ฐานเสียงของคุณทักษิณเดิมเป็นฐานเสียงของประชาชนฝ่ายประชาธิปไตย จะดีจะชั่วสส.บางเขต ไม่ชอบแต่เขาก็เลือกนะ บางทีเขาเกลียดนะ สส.ที่พรรคเพื่อไทยเอาไปลง แต่เขาก็จำเป็นต้องเลือก แต่อย่างไรก็ตาม ขณะนี้คุณทักษิณมาให้น้ำหนักกับการเมืองแบบเก่ามากขึ้น ก็คือระบบบ้านใหญ่ ก็จะต้องเน้นที่สส.เขต สส.เขตก็จะมาเชื่อมกับท้องถิ่น เขาจะมองว่าฐานเสียงของท้องถิ่น สมมุติชนะอบจ.อุดรฯ ก็หวังว่าจะทำให้สส.เขตในการเลือกตั้งครั้งหน้าน่าจะอุ่นหนาฝาคั่งไม่เสียไปแบบเดิม



คุณทักษิณกลับมาใช้ระบบเดิม แต่ว่าประชาชนเปลี่ยนไป ถามว่ายังมีผลมั้ย? มันก็มีผลอยู่พอควรเพราะคนยังผูกพันในพื้นที่ ไม่อย่างนั้นพรรคภูมิใจไทยเขาก็ได้เสียงมา 70 กว่าเสียง ภูมิใจไทย พลังประชารัฐ เพราะฉะนั้นการใช้ระบบบ้านใหญ่ที่เขาจะปะทะจริง ๆ คือภูมิใจไทยนะ เพราะเป็นยุทธศาสตร์แบบเดียวกัน ไม่สามารถที่จะไปหาเสียงในระดับประเทศในบัญชีรายชื่อได้ เขาจะเจอภูมิใจไทย พลังประชารัฐก็อาจจะอ่อนลงไปแล้ว แต่ภูมิใจไทยสำคัญมาก ส่วน popular vote ทั่วไปเขาต้องมาแข่งกับพรรคประชาชน ในขณะที่พรรคประชาชนเขาคิดถูกก็คือเขาก็ลงพื้นที่ด้วย เพราะโอกาสสส.เขต อาจารย์ก็นึกไม่ถึงเที่ยวที่แล้วนะ ก็คงนึกว่าได้บัญชีรายชื่อมา สส.เขตคงได้ไม่มาก ปรากฏว่าได้มามาก ก็ตกใจ! ก็คือประชาชนเปลี่ยนเร็วไงจนกระทั่งเราทำนายผิด จากมากไปน้อย จากน้อยไปมากประชาธิปัตย์” อาจารย์ก็นึกไม่ถึงว่าจะลงขนาดนั้น แล้ว “ก้าวไกล” ก็นึกไม่ถึงว่าจะมากขนาดนั้นนะ



แปลว่าเราไปมองประชาชนหยุดนิ่งอยู่กับที่ ในขณะที่ประชาชนมีการเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาเลย ถ้ายังกลับไปใช้วิธีแบบเก่า ที่คุณทักษิณจะต้องเจอคือพรรคภูมิใจไทยนะ อาจารย์มอง พรรคประชาชนก็เป็นส่วนหนึ่งที่มีการแบ่งคะแนนกับพรรคเพื่อไทย ดี/ไม่ดี ภูมิใจไทยก็จะสอดแทรกมา เพราะฉะนั้นยุทธศาสตร์บ้านใหญ่จริง ๆ แล้วเขาต้องสู้กับภูมิใจไทยมากกว่า โดยเฉพาะภาคอีสาน อาจารย์คิดอย่างนั้นนะ แต่ว่าพอดีอุดรฯ เป็นสนามที่เหลือ 2 พรรค มันเลยจะโยงไปถึงยุทธศาสตร์ชาติด้วยไง ดังนั้นเราจึงเห็นเรื่องราวในระดับที่มันเลยอุดรฯ ที่มีการพูดบนเวที เพราะว่าถ้าแข่งกับพรรคประชาชนก็ต้องพูดแบบนั้น ถ้าแข่งกับภูมิใจไทยก็อาจจะต้องพูดอีกแบบหนึ่ง



ชนะหรือแพ้อาจารย์ว่าก็เป็นจุดที่จะต้องเริ่มต้นทั้งนั้น และต้องเป็นการสะสม ต้องติดตามความเข้าใจกับประชาชนอย่างใกล้ชิด ความเชื่อมั่นเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าความเชื่อมั่นบนพื้นฐานของข้อมูลที่ไม่ถูกต้องก็ทำให้พังได้



***อาจารย์มีอะไรในใจที่อยากจะพูดถึงใครก็ได้ มีอะไรอยากจะทิ้งท้ายไว้มั้ยคะ?***



คือเมืองไทยยังมีวิกฤตการเมืองอยู่และเป็นสาเหตุของวิกฤตเศรษฐกิจและสังคม เราถูกถอยหลังมายาวนาน ขณะนี้วิกฤตประเทศสูง คุณไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างเดียว แม้กระทั่งปัญหายาเสพติด หรือคุณจะแจกเงินอย่างเดียวแล้วจะแก้ปัญหาประเทศไม่ได้ ประเทศนี้ต้องการการเปลี่ยนแปลง แต่ก่อนที่จะเปลี่ยนแปลงได้อย่างเป็นจริง ที่สำคัญก็คือความคิดของประชาชน จะต้องเป็นความคิดที่ก้าวหน้า และเข้าใจว่าปัญหาของประเทศอยู่ที่ไหน และต้องการการเปลี่ยนแปลง ต้องจับมือกัน เพราะว่าอำนาจนิยมจารีตนิยมในประเทศไทยนั้นมันครอบงำอยู่สูงมาก และเป็นด้านหลักของปัญหาอยู่มาตลอด เมื่อเป็นเช่นนั้นถ้าประชาชนไม่ตื่นตัวทางการเมืองและจับมือกันอย่างจริงจัง ประเทศชาติมีแต่จะย่อยยับ เพราะในขณะนี้ก็ย่อยยับมากแล้ว



แต่แน่นอน พรรคการเมืองก็จะเป็นส่วนสำคัญที่จะสามารถทำให้การเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นไปได้อย่างราบรื่น แต่ว่ามันยาก สมมุติว่าถ้ามีพรรคการเมืองเช่นพรรคก้าวไกลได้แลนด์สไลด์ แม้กระทั่งเพื่อไทยก็ตามแลนสไลด์ แล้วทำให้ระบอบเดิมไม่สามารถที่จะควบคุมรัฐบาลได้ เราก็จะมีรัฐประหารมาอีก อย่าคิดว่าไม่มี เพราะฉะนั้น ความคิดสำคัญมาก ตอนนี้ก็ดีใจที่ว่าประชาชน พ.ศ. นี้เปลี่ยนไปจากเดิมเยอะแล้ว แต่ยังไม่พอ เพราะยังมีส่วนหนึ่งที่คิดว่าแก้อะไรไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็แก้เศรษฐกิจได้ มันจะดึงเวลาไปเรื่อย ๆ และประเทศจะดำดิ่งลงมากขึ้นเรื่อง ๆ ในขณะที่คนอื่นเขาเดินหน้า



สิ่งที่ขอก็คือ ขอให้ประชาชนตระหนักถึงปัญหาที่แท้จริงว่าวิกฤตของประเทศไทยเป็นวิกฤตทางการเมือง และประชาชนจำเป็นต้องเดินไปในเส้นทางที่มีอนาคต ก็คือ ต้องเป็นระบอบประชาธิปไตยที่อำนาจเป็นของประชาชนอย่างแท้จริงเท่านั้น ไม่ใช่เป็นอำนาจของคนส่วนน้อย อาจจะเป็นการต่อสู้ที่ยืดเยื้อ แต่ถ้าเรามั่นคงและปักหลัก จุดยืนไม่มีการเปลี่ยนแปลง ชัยชนะก็ต้องเป็นของประชาชนอย่างแน่นอน



#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ทักษิณ #เพื่อไทย #อบจอุดร

วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

กมธ.พัฒนาเศรษฐกิจ แถลงความคืบหน้า 'นักสืบทุนเทา' เปิดตัว 1 เดือน ประชาชนร้องเรียนกว่า 500 เรื่อง เกือบครึ่งเป็นปัญหานอมินี กทม.-ภูเก็ต ร้องเยอะสองอันดับแรก

 


กมธ.พัฒนาเศรษฐกิจ แถลงความคืบหน้า 'นักสืบทุนเทา' เปิดตัว 1 เดือน ประชาชนร้องเรียนกว่า 500 เรื่อง เกือบครึ่งเป็นปัญหานอมินี กทม.-ภูเก็ต ร้องเยอะสองอันดับแรก


วันที่ 21 พฤศจิกายน 2567 สิทธิพล วิบูลย์ธนากุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ แถลงความคืบหน้าโครงการ "นักสืบทุนเทา" แพลตฟอร์มรับเรื่องร้องเรียนปัญหาสินค้าต่างชาติและการประกอบธุรกิจของชาวต่างชาติผิดกฎหมาย ผ่านแพลตฟอร์ม Traffy Fondue ซึ่งทาง กมธ. ทำงานร่วมกับสมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทย มีเป้าหมายเพื่อสร้างความเป็นธรรมให้ผู้ประกอบการไทย ที่ปัจจุบันได้รับผลกระทบจากสินค้าและธุรกิจต่างชาติผิดกฎหมาย เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการเฝ้าระวัง ช่วยชี้เป้า แจ้งเบาะแส นำไปสู่การแก้ไขปัญหา


สิทธิพลกล่าวว่า เป็นเวลากว่า 1 เดือนนับแต่เปิดตัวโครงการ จนถึงวันนี้มีประชาชนส่งเรื่องร้องเรียนแล้วกว่า 500 เรื่อง เรื่องร้องเรียนเหล่านี้หลัง กมธ. คัดกรองแล้ว จะถูกส่งต่อไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบ โดยในเชิงสถิติพบว่าปัญหาทุนต่างชาติผิดกฎหมาย หรือนอมินี เป็นเรื่องที่ประชาชนร้องเรียนเข้ามามากสุด กว่า 200 เรื่อง หรือคิดเป็น 45%  


รองลงมาคือสินค้าไม่มี อย. 110 เรื่อง คิดเป็น 26% และสินค้าไม่มี มอก. อีก 57 เรื่อง คิดเป็น 13% ในเชิงพื้นที่ จังหวัดที่ส่งเรื่องร้องเรียนเข้ามามากสุดคือกรุงเทพมหานคร มีจำนวนกว่า 250 เรื่อง ส่วนมากเป็นปัญหาสินค้าไม่มี อย. และ มอก. รองลงมา คือจังหวัดภูเก็ต มีเรื่องร้องเรียนเข้ามากว่า 100 เรื่อง เกือบทั้งหมดเป็นปัญหาเกี่ยวข้องกับนอมินีต่างชาติผิดกฎหมาย 


สิทธิพลกล่าวว่า ในการประชุม กมธ. วันนี้ ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 6 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.), สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.), กรมทรัพย์สินทางปัญญา, กรมสรรพากร, ธนาคารแห่งประเทศไทย และกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เพื่อมาให้ข้อมูล ชี้แจงความคืบหน้าถึงการแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียนที่ได้รับไป 


ผลการประชุมมีความคืบหน้าของโครงการที่น่าสนใจคือ (1) หน่วยงานราชการทุกหน่วยได้รับเรื่องร้องเรียน และกำลังดำเนินการแก้ไข โดยมี 2 หน่วยงานที่ตอบรับเข้าร่วมระบบ (PLUG IN) Traffy Fondue คือ อย. และ สมอ. ซึ่งปัจจุบันเข้าร่วมระบบเรียบร้อย จะช่วยให้การแก้ไขเรื่องร้องเรียนของประชาชนมีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น กมธ.ขอขอบคุณทั้ง 2 หน่วยงานที่เข้าร่วมระบบ


(2) การแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียนในปัจจุบันส่วนใหญ่ยังอยู่ในขั้นตอน “กำลังดำเนินการแก้ไข” โดยจากเรื่องร้องเรียนกว่า 500 เรื่อง ปัจจุบันเสร็จสิ้นไปแล้ว 17 เรื่อง ทาง กมธ. ได้ขอให้ทุกหน่วยงานเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชน และแจ้งความคืบหน้าแก่ กมธ. ซึ่งทุกหน่วยงานรับจะไปเร่งดำเนินการ


(3) บางหน่วยงานชี้แจงต่อ กมธ. ถึงสาเหตุที่ทำให้กระบวนการแก้ไขล่าช้า เนื่องจากข้อมูลที่ได้ยังไม่เพียงพอ ทาง กมธ. จึงขอให้ทุกหน่วยงานที่ยังไม่เข้าร่วมระบบ พิจารณาข้อดีของการเข้าร่วมระบบ เพราะจะช่วยให้หน่วยงานสามารถประสานขอข้อมูลเพิ่มเติมจากประชาชนผู้ร้องเรียนได้ ช่วยให้การแก้ปัญหารวดเร็วและลดภาระเจ้าหน้าที่


(4) มีหลายประเด็นที่ทาง กมธ. ให้ความเห็นหรือซักถามเพิ่มเติม และหน่วยงานรับไปดำเนินการ เช่น ขอให้ อย. พิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหาร้านค้าจำหน่ายสินค้าที่ไม่มี อย. อย่างยั่งยืน เนื่องจากพบเรื่องร้องเรียนในระบบที่ปรากฏว่าเป็นร้านค้าที่ อย. เคยลงตรวจแล้ว แต่กลับมาขายสินค้าที่ไม่มี อย.ใหม่ หรือขอให้ สมอ. นำเสนอแนวทางการจัดการสินค้าที่ยังไม่มีมาตรฐานบังคับสำหรับสินค้าที่ประชาชนร้องเรียนเข้ามา ว่าจะจัดการอย่างไร ตลอดจนกรมพัฒนาธุรกิจการค้าที่มีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับนอมินีจำนวนมาก ทางกรมฯ แจ้งว่าต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้สามารถดำเนินการต่อได้ จะดำเนินการอย่างไร


สิทธิพลกล่าวว่า ตนขอขอบคุณสมาคมอีคอมเมิร์ซไทย ที่เป็นพันธมิตรสำคัญของโครงการนักสืบทุนเทา ส่งบุคลากรและเครื่องมือมาช่วยดำเนินโครงการ นอกจากนี้ยังขอบคุณส่วนราชการทุกหน่วยงานที่เร่งแก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชน โดยทาง กมธ.พัฒนาเศรษฐกิจ จะติดตามความคืบหน้า เพื่อชี้แจงให้ประชาชนทราบต่อไปใ


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #กมธพัฒนาเศรษฐกิจ #นักสืบทุนเทา

ธิดา ถาวรเศรษฐ : อาวุธสูงสุดของ "เพื่อไทย" คือ "ทักษิณ" การเดินทางการเมืองของ "เพื่อไทย" ไม่แน่ว่าจะได้ด้านบวกเสมอไป ยิ่งเดินมาก ประชาชนอาจบอกว่ายิ่งทำให้อำมาตย์แข็งแรง อาจเปลี่ยนใจก็ได้

 


ธิดา ถาวรเศรษฐ : อาวุธสูงสุดของ "เพื่อไทย" คือ "ทักษิณ" การเดินทางการเมืองของ "เพื่อไทย" ไม่แน่ว่าจะได้ด้านบวกเสมอไป ยิ่งเดินมาก ประชาชนอาจบอกว่ายิ่งทำให้อำมาตย์แข็งแรง อาจเปลี่ยนใจก็ได้


[ถอดเทป] คนดังนั่งเคลียร์ "พรรคประชาชน" ท้ารบ "ทักษิณ" ศึกนี้แพ้ไม่ได้!!


ออกอากาศวันที่ 19 พ.ย. 67 ทาง ช่อง 8

ดำเนินรายการโดย เมย์ ชนิตร์นันทน์ ปุณณะนิธิ

ลิ้งค์ยูทูป : https://www.youtube.com/watch?v=1SYCcukqPSM


***กรณีที่คุณทักษิณตั้งตำแหน่งให้ตัวเองคือ “สทร.” ทำไมต้อง สทร.?***


อันนั้นเป็นสิ่งที่คุณทักษิณคิด ก็พยายามจะไปรู้ทุกเรื่องในฐานะที่เป็นหัวหน้าใหญ่สุดหรืออะไรประมาณนั้น แต่ว่า สทร. ภาษาไทยมันไม่เพราะเท่าไหร่หรอก คือบางครั้งมันไม่ใช่เรื่อง มันกลายเป็นหาเรื่อง อาจารย์มองนะ คือว่าถ้าอยู่ในระดับสูงขนาดนั้นจะต้องเลือกเฉพาะบางเรื่อง เรื่องที่มีความสำคัญ แต่อาจารย์มองแล้วว่าจุดอ่อนของคุณทักษิณก็คือ คุณทักษิณแกเป็นคนตรงไปตรงมานะ จริงใจ แกคิดยังไงแกก็พูดอย่างนั้นแหละ ถ้าจะเป็นตำแหน่งแบบที่คุณช่อว่านะ (Super prime minister) ต้องมีภาวะอีกระดับหนึ่งของการนำ เพราะว่าจะไปทำทุกเรื่องไม่ได้ ถ้าไปทำทุกเรื่องลูกน้องก็จะกลายเป็นสิ่งไม่จำเป็น แล้วมันจะมีภัย


***คุณทักษิณทำไมถึงทุ่มสุดตัวกับสนามเลือกตั้งอุดรธานีครั้งนี้ ทั้งที่เสี่ยงต่อการครอบงำพรรค หรือเปล่า? กับการพูดถึงหลาย ๆ อย่าง***


อาจารย์ว่าไม่ได้ทุ่มสุดตัวนะ มันเป็นจุดเริ่มต้น เนื่องจากอันนี้เป็นถิ่นที่เป็นฐานเสียงของพรรคเพื่อไทย (ผู้ดำเนินรายการ : ใช้คำว่าเมืองหลวงของคนเสื้อแดงที่คุณทักษิณพูด) ไม่ใช่! คำว่าเมืองหลวง คนที่พูดคนแรกคือ ขวัญชัย ไพรพนา อาจารย์เคยไปช่วยเขาทอดผ้าป่าสร้างสถานีวิทยุกระจายเสียง ส่วนใหญ่แกนนำคนเสื้อแดงแต่ละคนก็จะสร้างความสำคัญคนละแบบ คนนี้ทำหมู่บ้านคนเสื้อแดง คนนี้ทำกลุ่มคนรักทักษิณ คือแข่งกัน อุดรฯ ก็มีฐานเสียงคนรักประชาธิปไตยและคนเสื้อแดงมากอยู่จำนวนหนึ่ง แต่บอกว่าเป็นเมืองหลวง คือไม่มีใครไปขัดไง ก็เลยพูดตาม ๆ กัน มันไม่จริงหรอก เพราะว่าดูแล้วจำนวนคนเสื้อแดงจังหวัดอื่นก็มีมากกว่า


อีกอย่างหนึ่งอย่างที่บอก เรื่องของคนเสื้อแดงเป็นเรื่องของจิตวิญญาณผู้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ไม่ใช่จำนวนคนที่สนับสนุนพรรคไทยรักไทย หรือไม่ใช่จำนวนคนที่สนับสนุนเพื่อไทย ถ้ามีมากแล้วบอกว่าเป็นเมืองหลวงของคนเสื้อแดง มันไม่ใช่! คนเสื้อแดงไม่ต้องมีเมืองหลวง (ผู้ดำเนินรายการ : แต่การเกิดการเคลมทางการเมืองมันก็จะมีบ้างไงคะอาจารย์) ใช่ ๆ แต่ว่ามันก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก สำคัญอยู่ที่ว่าเอาเข้าจริงประชาชนจะสนับสนุนอย่างไร แล้วก็มีการเปลี่ยนแปลงตลอด


ทีนี้คำถามที่ว่าคุณทักษิณให้ความสำคัญที่อุดรฯ อาจารย์ว่าเป็นจุดเริ่มต้น เป็นที่แรก ซึ่งต่อไปคุณทักษิณก็คงจะไปที่อื่นอีก ถ้าเหมาะสมและสะดวกก็มาเลย อาจารย์มองว่าเขาต้องใช้ยุทธศาสตร์บ้านใหญ่ การเลือกตั้งท้องถิ่นก็สำคัญที่จะต้องลงพื้นที่ไปด้วย เมื่อก่อนนี้อาจจะไม่ค่อยสนใจ แต่เมื่อพรรคฝ่ายกลุ่มใหม่เขามาเล่นงานท้องถิ่น ก็จะเข้าไปเบียดพื้นที่ของการนำในท้องถิ่นซึ่งจะมีปัญหากับสส.เขตด้วย ดังนั้นจึงเชื่อมโยงกันโดยอัตโนมัติคือต้องมาดูตั้งแต่เลือก อบจ.และท้องถิ่น เพราะมันจะสามารถไปถึงสส.เขตได้


***อ.ธิดา มองอย่างไรที่บนเวทีปราศรัยคุณทักษิณพูดถึงคุณพิธา กลัวแพ้ต้องดึงพิธากลับมา “เหน็บ-แซะ” เยอะเหมือนกัน***


คือคุณทักษิณคงประเมินว่าการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว คุณพิธามีบทบาทสูงในการดึงดูดให้ประชาชนมีความเชื่อมั่น นอกจากนโยบายที่พรรคก้าวไกลได้เสนอไปแล้ว ปัจจัยของบุคคลก็คือคุณพิธาน่าจะทำให้เขาไม่สบายใจว่ายังมีบทบาทมีอิทธิพล แม้คุณพิธาจะหมดบทบาทในทางการเมืองตามกฎหมายก็ตาม แต่ความนิยมของคนคงมีมาก จนกระทั่งทำให้คุณทักษิณไม่สบายใจ จึงจำเป็นต้องพูดถึงคุณพิธาสักหน่อย


แต่ดังที่อาจารย์บอกว่านี่เป็นจุดเริ่มต้นที่คุณทักษิณจะเดินสาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคอีสาน เพราะว่าเมื่อเป็นยุทธศาสตร์บ้านใหญ่และเป็นยุทธศาสตร์ที่จะต้องผนวกเอาการเลือกตั้งท้องถิ่นเพื่อนำไปสู่สส.เขต เพราะว่าฐานเสียงฝ่ายประชาธิปไตยนั้นค่อนข้างสู้ไม่ได้ ก็จำเป็นต้องใช้ฐานเสียงของคนในท้องถิ่น การแซะคุณพิธาเป็นการพยายามดิสเครดิต แต่อาจารย์คิดว่าไม่ได้ผลอะไร เพราะมองในด้านดีก็ได้ว่า พูดเล่น แซวเล่น อะไรประมาณนั้น (ผู้ดำเนินรายการ : หรืออีกนัยหนึ่งก็คือเห็นความสำคัญอยู่เหมือนกันถึงได้พูดถึงคุณพิธา) ก็คือยอมรับว่าคุณพิธามีบทบาทสำคัญส่วนหนึ่ง นอกจากนโยบายของพรรคก้าวไกล


***วันอาทิตย์ที่ 24 พ.ย. นี้ จะเลือกตั้งนายกอบจ.อุดรธานี อ.ธิดา สามารถคาดการณ์ได้หรือยังว่าใครน่าจะเข้าวิน หรือโค้งสุดท้ายจะมีอะไรมาเปลี่ยนแปลงได้***


อาจารย์มองว่าพรรคเพื่อไทยทำได้อย่างมากที่สุดก็คือคุณทักษิณออกมาแบบนี้ มันอยู่ที่ทางพรรคประชาชนจะสามารถงัดอะไรออกมาเป็นอาวุธในการต่อสู้ เพื่อไทยอาวุธสู้สูงสุดก็คือเอาคุณทักษิณมาใช้ มาอ้อน อีกอย่างก็คือประชาชนที่ในตัวเลขเดิมจะมีทัศนะทางการเมืองหรือเปล่า ก็น่าสนใจ เพราะอาจารย์ก็ถามมวลชนที่อยู่ในพื้นที่อุดร รวมทั้งพวกกลุ่มนักข่าวออนไลน์ก็ให้ไปคุยกับชาวบ้าน เขามีทัศนคติทางการเมือง แม้ว่าจะเสนอเงินหมื่น จะเสนอเกี่ยวกับยาเสพติด ซึ่งมันก็ถูกต้อง แต่ว่าเขาฉลาดพอที่เขาจะรู้ว่าสาเหตุของปัญหาคือวิกฤตการเมือง


ดังนั้น อาจารย์ยังมองว่า นอกจากปัจจัยว่าพรรคประชาชนจะสามารถมีอาวุธอะไรมาเพิ่มเติมหรือจะจัดการยังไง ซึ่งเราไม่รู้นะ แต่ว่าอีกอย่างหนึ่งคือในฝ่ายของประชาชน ถ้าการเคลื่อนไหวของคุณทักษิณมาก แล้ว ดี/ไม่ดี มันอาจจะเป็นผลด้านกลับนะ เพราะว่าประชาชนเขารู้ว่าเป็นปัญหาทางการเมือง และเขาสนใจในการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง คุณทักษิณถึงต้องพูดเรื่องโครงสร้างไง คือพูดว่าพรรคเด็ก ๆ ประมาณนั้น ห้ามแล้วอย่าไปยุ่งเรื่องโครงสร้างมาก คือพูดออกมาแล้วแปลเป็นแบบนั้นซึ่งไปดีสเครดิต แต่ว่าประชาชนนั้นเปลี่ยนไปแล้ว ประชาชนมีทัศนะทางการเมือง มันอาจจะเป็นด้านกลับก็คือ อาจจะกลัวว่าพรรคเพื่อไทยหรือคุณทักษิณได้มาก เพราะอย่าลืมว่าในทางการเมือง คุณทักษิณข้ามขั้วไปแล้วนะ ถ้าเราเข้าโรงเรียนนปช.แบบเดิม อาจารย์จะพูดเรื่องเครือข่ายระบอบอำมาตย์ มันไปตรงกับคุณดันแคน แม็กคาร์โก ก็คือเป็นเครือข่ายระบอบอำมาตย์ ถ้ามาเป็นโรงเรียนผู้ปฏิบัติงานการเมืองตอนนี้อีก คุณทักษิณเข้าไปอยู่ในเครือข่ายระบอบอำมาตย์ไปแล้วนะ


เขาอาจจะกลัวเลยก็ได้ เพราะว่าคุณทักษิณไปทำให้ฝ่ายอำมาตย์แข็งแรง คืออาจารย์เชื่อมั่นในภาคอีสานว่าผู้รักประชาธิปไตยมีมาก ทั้งประวัติศาสตร์ในอดีตที่เขาถูกกดขี่ เอาคนแก่นะไม่ต้องเอาคนหนุ่มนะ คนแก่เขาเคยมีกระแสของฝ่ายซ้ายและสงครามอินโดจีนที่เข้ามา และเป็นภาคเดียวที่มีการต่อสู้กับอำนาจรัฐส่วนกลางมาตลอด แล้วมองเขาเป็นลาวกาว เป็นคนละมณฑล คนละเผ่าพันธุ์ คือถูกกดขี่เหยียดหยามทั้งทางวัฒนธรรมและขูดรีดเอาส่วยต่าง ๆ


ดังนั้น พื้นฐานทางการเมืองของเขามีมากกว่าภาคอื่น ๆ แล้วเราก็จะพบว่าในการต่อสู้ (ถ้าพูดถึงฝ่ายซ้ายนะ) แม้กระทั่งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย สมาชิกเขาในภาคอีสานมากกว่าภาคอื่นทั้งหมด แล้วยังมีผลสะเทือนจากสงครามอินโดจีน เพราะฉะนั้น พื้นฐานของคนอีสาน แน่นอนว่าเขาอยากได้ทางเศรษฐกิจ แต่มาบัดนี้ ผ่านจากปี 49 มาจนกระทั่งบัดนี้ อาจารย์มองว่าเขามองการเมืองเป็นเรื่องหลัก ถึงแม้ว่าพรรคเพื่อไทยจะมีแต้มต่อในตอนนี้ มีโอกาสจะชนะสูง แต่อาจารย์ก็คิดว่าการเดินของพรรคเพื่อไทยในทางการเมืองไม่แน่ว่าจะได้ด้านบวกเสมอไป ยิ่งเดินมากจะยิ่ง ประชาชนบอก อย่างนี้ยิ่งไปทำให้อำมาตย์แข็งแรง ประมาณนั้น ก็อาจจะเปลี่ยนใจก็ได้


คือแน่นอน เขาอาจจะมีความผูกพันกับคุณทักษิณอยู่ระดับหนึ่ง แต่บางทีมันแลกไม่ได้กับอุดมการณ์ อาจารย์คิดอย่างนั้นนะ เพราะฉะนั้นคุณทักษิณเดินมากก็มีทั้งบวกทั้งลบนะ อย่าไปคิดว่ามีบวกอย่างเดียว บอกให้รู้ด้วย!


***ถ้าเพื่อไทยจะพยายามพลิกให้คะแนนกลับมาเป็นบวก จะต้องทำอะไรในโค้งสุดท้ายนี้ หรือคุณทักษิณจะต้องลงอีกรอบมั้ย? หรือนายกฯ ต้องลงมั้ย***


คือจริง ๆ การเมืองในท้องถิ่นยังเป็นการเมืองแบบเก่า ยังเป็นเรื่องของหัวคะแนน ผู้มีอิทธิพลรวมทั้งกำนันผู้ใหญ่บ้านและความเกรงอกเกรงใจ แต่คนรุ่นใหม่เขาจะเลือกพรรคที่มีนโยบาย คนสูงอายุบางทีก็เกรงใจ ก็คือถ้าเป็นท้องถิ่น ก็จะเลือกคนที่เคยเลือกประจำอยู่ แต่ถ้าเป็นระดับชาติ ก็ยังแบ่งอีกว่าถ้าสส.เขตเลือกพรรคนี้ ถ้าบัญชีรายชื่อเลือกพรรคนี้ อันนี้ก็เป็นพัฒนาการของคนนะ ไม่ได้หยุดนิ่งอยู่กับที่ ไม่เหมือนปี 2549 ที่คุณทักษิณเคยทำ และก็ไม่เหมือนปี 2554 ที่ตอนนั้นก็มีพรรคเดียว


มาถึงปี 2562 ก็แบบหนึ่ง ปี 2566 ก็แบบหนึ่ง ขณะนี้อาจารย์มองว่ามันเข้าสู่โหมดใหม่ พรรคเพื่อไทย คุณทักษิณแม้จะเป็นคนสำคัญที่สุด แต่ต้องเป็นคนที่ระมัดระวังมาก ถ้ามีปัญหา มันก็จะมีปัญหาจากคุณทักษิณเป็นหลัก เมื่อกี้ถามว่าจะทำยังไงใช่มั้ย ที่จริงเขาก็เก่งกว่า แล้วอาจารย์เป็นคนที่ไม่ถนัดในเรื่องของการเมืองแบบพรรคการเมือง เพียงแต่มองว่าคุณทักษิณอาจจะมีความทันสมัย แต่ยังไม่เข้าใจสังคมไทยและพัฒนาการของสังคมไทยที่แท้จริงมากเพียงพอ ยังไม่สามารถปรับให้สอดคล้องกับความเป็นจริง


สำหรับอาจารย์ก็คือ คุณต้องจัดการทางการเมือง เพราะนี่คือวิกฤตการเมือง แต่ขณะนี้คุณไปเป็นนั่งร้าน ทำให้วิกฤตการเมืองยิ่งมากขึ้น เพราะฉะนั้น สมมุติว่าคุณจะร่วมมือกันในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือนิรโทษกรรม ขณะนี้ปัญหานิรโทษฯ อาจารย์เชื่อว่าคุณก็ไม่กล้าที่จะรวมเอา 112 เข้าไปด้วย ถ้าคุณจะดึงคนเสื้อแดงกลับนะ คุณต้องทำสองอย่างนี้ เพราะคนเสื้อแดงเขาสู้ทางการเมือง เขาไม่ได้สู้ทางเศรษฐกิจ คนเสื้อแดงไม่เคยออกมาเรียกร้องค่าแรง ไม่เคยออกมาเรียกร้องเงินหมื่นนะ บอกให้หยุดรัฐประหาร คืนอำนาจให้ประชาชน ถ้าจะอ้อนคนเสื้อแดงนะ ต้องแก้ปัญหาทางการเมือง ทำได้มั้ย? แต่อาจารย์ว่าเขาทำไม่ได้ อย่าลืมว่าถ้ามันง่ายอย่างนั้นนะ คุณเศรษฐาไม่ปลิวไปหรอก หรือคุณทักษิณต้องมาอยู่ชั้น 14 เพราะมันไม่ได้ตรงไปตรงมาแบบที่คุณทักษิณคิด แล้วขณะนี้ก็ยังมีคดี 112 และคดีต่าง ๆ วันที่ 22 ก็ไม่รู้จะว่ายังไง?


ดังนั้น อยู่ยาก อยู่ลำบาก แต่ถามว่าคนเสื้อแดง อาจารย์เชื่อนะ แม้กระทั่งพรรคประชาชนจะออกมาประท้วงนะ ไม่หรอก! แต่คนที่จะมาจัดการคุณทักษิณก็คือฝ่ายอนุรักษ์นิยมจารีตนิยมกันเองนี่แหละ เพราะว่าคุณทักษิณต้องทำตามเขา เป็นสิ่งจำเป็นที่ไม่น่าเสน่หาเลย เป็นสิ่งจำเป็น แต่ว่าไม่ได้ต้องการให้เติบโตมาก แล้วจำเป็นต้องทำ คุณต้องทำตามที่เขาอนุญาต เขาถ้าไม่อนุญาตคุณก็ทำไม่ได้ แต่ถ้าต้องทำตามที่เขาอนุญาต ประชาชนไม่ชอบ! (ผู้ดำเนินรายการ : แล้วประชาชนไปอยู่ตรงไหนของสมการนี้) ประชาชนก็เลือกพรรคอื่นซิ คือหมายความว่าถ้าคุณจะแย่งดึงฐานเสียงกลับ สำหรับคนเสื้อแดงนะ ในฐานะที่เป็นคนเสื้อแดงนะ และอาจารย์เชื่อว่าคนเสื้อแดงมีไม่ต่ำกว่า 10 ล้าน หมายถึงประเภทนักสู้จริง ๆ ก็คือในการลงประชามติรัฐธรรมนูญ แต่ถ้าถามจริง ๆ แล้วจำนวนคนมันมากกว่านั้น เราไม่ไปเคลมเอาคะแนนพรรค


ถ้าอยากจะดึงคนเสื้อแดงกลับ คุณต้องพยายามแก้วิกฤตการเมือง ไม่ใช่ข้ามขั้วไปเป็นลูกหาบเขาอย่างเซื่อง ๆ แต่เราก็เข้าใจ คุณทักษิณก็เป็นตัวประกัน คุณอุ๊งอิ๊งก็เป็นตัวประกัน คุณยิ่งลักษณ์ก็เป็นตัวประกัน ดังนั้นก็ต้องขอให้โชคดี ไม่รู้จะพูดยังไง เพราะว่าถ้าคุณอยากให้คนเสื้อแดงกลับ คุณต้องแก้ปัญหาทางการเมือง เพราะคนเสื้อแดงเกิดมาเพราะต่อสู้ทางการเมือง ไม่ได้มาต่อสู้เพื่อเรียกร้องเงิน ใครก็แจกได้ ลุงตู่ก็แจก ใคร ๆ ก็แจกเงินได้ แต่ว่าเขาเป็นนักต่อสู้ทางการเมือง ดังนั้นถ้าคุณจะให้คนเสื้อแดงกลับ ก็คือคุณต้องแก้ปัญหาทางการเมืองให้เป็นการเมืองที่ประชาชนมีอำนาจ ไม่ใช่ฝ่ายจารีตอำนาจนิยมมีอำนาจ แล้วไปเป็นนั่งร้านอยู่แบบนี้ คนเสื้อแดงไม่มีทาง ถ้าจิตวิญญาณจริง ๆ ไม่มีทางกลับไป


***ถ้าการเลือกตั้ง นายกอบจ.อุดรธานี และอีกหลายที่ โดยเฉพาะในภาคอีสาน ไม่ว่าพรรคใดชนะการเลือกตั้ง อ.ธิดา สามารถมองภาพรวมและคาดการณ์ในอนาคตต่อไปอย่างไร?***


ไม่หรอก สมมุติว่า “เพื่อไทย” ชนะ ก็ไม่ได้หมายความว่าเพื่อไทยจะชนะทั้งอีสาน เราต้องยอมรับว่าสส.เขตและโดยเฉพาะท้องถิ่นมีลักษณะพิเศษ นั่นก็คือมีความเป็นท้องถิ่นมากกว่าระดับชาติ มีความเกรงอกเกรงใจกันอยู่ และขึ้นอยู่กับแต่ละพื้นที่ด้วย คือปกติคะแนนเสียงอย่างที่บอกจะมีทั้งคะแนนของตัวและคะแนนของพรรค สมมุติถ้ามีพรรคประชาชนมีผู้สมัครคนใหม่เข้ามา แล้วไม่มีต้นทุนของความสัมพันธ์กันคนในท้องถิ่น อันนี้ก็ถือว่าต้นทุนติดลบไปแล้วส่วนหนึ่ง ก็เหลือแต่นโยบายกับความพยายามที่จะแสดงออกให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะทำงาน 1-2-3-4-5 ซึ่งตรงนี้ก็อาจจะชนะได้ แต่ว่าถึงแพ้อาจารย์มองว่านี่เป็นการเริ่มต้นตั้งแต่คุณทักษิณเท้าเหยียบลงบนพื้นที่อีสานแล้ว และกำลังเริ่มเดินสายเพื่อที่จะทวงคนเสื้อแดงคืน


คือเขาข้ามขั้วไป เขาบอกสลายขั้ว แต่คนถือว่ายังมีขั้ว คือความขัดแย้งหลักระหว่าง “ฝั่งจารีตอำนาจนิยม” กับ “ประชาชน” ยังดำรงอยู่ นี่คือความขัดแย้งหลัก ส่วนเรื่องความ support ระหว่างพรรคก็ขึ้นอยู่ว่าพรรคอยู่ฝั่งไหน คือขั้วมันยังมี ถ้าคุณทักษิณไปเดินมาก แล้วถ้าคนมองว่าเป็นการสร้างความแข็งแรงให้กับฝั่งที่คนเสื้อแดงเรียกว่าระบอบอำมาตย์ คนเสื้อแดงก็อาจจะพลิกกลับก็ได้


แต่อย่างไรก็ตามเป็นการเริ่มต้น พรรคประชาชนก็เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าสมมุติเกิดแพ้ที่อุดรฯ แล้วรู้สึกว่าจะต้องแพ้ที่อื่นอีก ไม่ใช่ค่ะ! คือขณะนี้เป็นการทำแต้มสะสมไปจนถึงการเลือกตั้งครั้งหน้า (ผู้ดำเนินรายการ : แต่คุณทักษิณพูดอยู่ 3 ครั้งว่า “อย่าให้ผมอายนะ”) แกก็พูดไปอย่างนั้นแหละ (ผู่ดำเนินรายการ : แสดงว่าแกมีความไม่มั่นใจอะไรบ้างในใจหรือเปล่าคะอาจารย์) แกก็พูดอย่างนั้น คือสไตล์ขึ้นหาเสียง คือเวลาคนขึ้นบนเวทีบางครั้งมันมีภาษาของมัน (ภาษาปราศรัย) ซึ่งบางทีไม่ได้จริงจังอะไรมากมาย เป็นภาษาในการปราศรัยที่คิดว่าพูดแบบนี้แล้วมันน่าจะดี น่าจะได้คะแนนมากขึ้น อะไรแบบนี้


แต่ถ้าอาจารย์มองหัวใจคือคุณทักษิณกำลังย่างก้าวเข้ามาเพื่อที่จะปรับในการทำให้การเมืองของเพื่อไทยในการเลือกตั้งท้องถิ่นด้วย สส.เขตครั้งหน้าด้วย ให้อยู่ในที่ดีขึ้นกว่าเดิม นี่ไงคุณทักษิณมาแล้ว! ผมมาแล้ว! อะไรทำนองนั้น คุณทักษิณเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง แต่อาจารย์อยากจะบอกว่า ถ้าคุณทักษิณเข้าใจสังคมไทยจริง คุณทักษิณจะไม่พลาดแบบที่ผ่านมา ที่ต้องหายไป 17 ปี อาจารย์ในฐานะประธานนปช.ขณะนั้นมีความเห็นขัดแย้งกับคุณทักษิณหลายเรื่อง ตั้งแต่เรื่องรัฐธรรมนูญ 2550, เรื่องนิรโทษสุดซอย, เรื่อง ICC แล้วสิ่งที่เราเสนอกับสิ่งที่คุณทักษิณไม่เห็นด้วย มันพิสูจน์ได้ว่าใครผิด


อย่างเรื่องรัฐธรรมนูญ ที่อาจารย์เสนอก็เหมือนกับตอนนี้แหละ มีสสร. ไม่ต้องมาตั้งกรรมการของตัวเองต่างหาก ก็ไม่เชื่อ! นิรโทษสุดซอยก็เช่นกัน คือไม่เข้าใจคนเสื้อแดง เพราะตอนนั้นคุณทักษิณบอกตรง ๆ เลยว่า คนเสื้อแดงที่จะไม่เห็นด้วยกับนิรโทษสุดซอยมีจำนวนน้อยมาก อาจารย์ถือว่าบางเรื่องอาจารย์ไม่อยากเอามาพูด แต่ว่ามันแรงสำหรับอาจารย์มาก และอาจารย์คิดว่ามันควรจะแรงในหัวใจคุณทักษิณด้วย ว่าคุณทักษิณรู้จักคนเสื้อแดงหรือเปล่า? ในความคิดของอาจารย์นะ อาจารย์อาจจะไม่เก่งทางทำพรรคการเมือง แต่ในด้านเข้าใจคนไทยและสังคมไทยอาจารย์คิดว่าอาจารย์รู้มากพอสมควร ถ้าเราไม่ได้มีความขัดแย้งกันขนาดนั้นมันจะไม่มีวันนี้ของ “พรรคเพื่อไทย” แต่ในเมื่อคุณทักษิณมีความเชื่อมั่นในตัวเองก็จะเดินต่อไป เพราะฉะนั้นอาจารย์ทำนายว่าคุณทักษิณจะเดินลงพื้นที่ต่าง ๆ ทั้งหมด คือมีความชื่อว่าคนยังมี loyalty และมีความภักดีกับคุณทักษิณและมีความเชื่อมั่นในความสามารถ ถ้าลงไปในพื้นที่ต่าง ๆ แล้วจะสามารถเรียกคะแนนได้


เพราะฉะนั้น มันก็จะมีด้านบวกอยู่จำนวนหนึ่ง แต่เราก็พยายามดูติดตามประชาชน อาจารย์ว่าประชาชนตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน ขนาดเมื่อก่อนยังไม่เข้าใจเลย แล้วตอนนี้จะเข้าใจจริงหรือเปล่า? และสิ่งที่คิดจะทำนั้น มันจะเป็นผลดีหรือผลร้ายกับครอบครัวคุณทักษิณและพรรคเพื่อไทยหรือเปล่า? อาจารย์ก็ยังมีเยื่อใยของความเป็นห่วงนะ ถึงแม้ว่าจะไม่เห็นด้วยที่คุณทักษิณข้ามขั้วไปแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่ได้อยากให้เกิดความเสียหายอย่างมากมายยิ่งกว่าเดิมอีกที่ต้องเสียหายมามากพอแล้ว ความเสียหายของคุณทักษิณที่ผ่านมานั้นมันทำให้ขบวนการประชาชนเสียหายด้วย นี่คือปัญหาที่ทำให้เราเสียใจ


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ทักษิณ #เพื่อไทย #อบจอุดร #พรรคประชาชน

ธิดา ถาวรเศรษฐ : ไม่ต้องการพูดให้เสียกำลังใจนะ แต่ตอนนี้คนที่ support พรรคเพื่อไทย อาจจะเหลือครึ่ง/ครึ่งก็ได้

 


ธิดา ถาวรเศรษฐ : ไม่ต้องการพูดให้เสียกำลังใจนะ แต่ตอนนี้คนที่ support พรรคเพื่อไทย อาจจะเหลือครึ่ง/ครึ่งก็ได้


[ถอดเทป] คนดังนั่งเคลียร์ "พรรคประชาชน" ท้ารบ "ทักษิณ" ศึกนี้แพ้ไม่ได้!!


ออกอากาศวันที่ 19 พ.ย. 67 ทาง ช่อง 8

ดำเนินรายการโดย เมย์ ชนิตร์นันทน์ ปุณณะนิธิ

ลิ้งค์ยูทูป : https://www.youtube.com/watch?v=1SYCcukqPSM


***อาจารย์ธิดาเป็นอดีตประธานนปช. และเป็นอดีตคนเสื้อแดงด้วยมั้ยคะ?***


คนเสื้อแดง” หมายถึง คนที่มีจิตวิญญาณรักประชาธิปไตย ต่อต้านเผด็จการ ต่อต้านการสืบทอดอำนาจ ตราบเท่าที่คุณยังต่อต้านเผด็จการ ต่อต้านการสืบทอดอำนาจ ไม่เอาพวกจารีตนิยม อำนาจนิยม นั่นก็คือจิตวิญญาณของคนเสื้อแดง เป็นอดีตไม่ได้ เพราะฉะนั้น อาจารย์จะไม่มีวันเป็นอดีตคนเสื้อแดง และอาจารย์มองว่าผู้รักประชาธิปไตยปัจจุบัน ไม่ว่าจะใส่เสื้อสีพรรคอะไร แต่ถ้าจิตวิญญาณเป็นแบบนี้ คุณก็คือคนเสื้อแดง แม้ว่าขณะนี้จะเป็นโหวตเตอร์ให้พรรคอื่น พรรคใหม่ หรือพรรคอะไรก็ตาม แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ข้ามขั้ว หรือไปสนับสนุนเผด็จการ หรือพวกสืบทอดอำนาจ นั่นไม่ใช่คนเสื้อแดง!!!


ถ้าพูดกันตรง ๆ “พรรคเพื่อไทย” ปัจจุบันมาจาก “พรรคไทยรักไทย” สีเดิมไม่ใช่สีแดง เป็นเสื้อสีขาว ก็ยังดีใจเพราะว่าเห็นคุณทักษิณแกใส่เสื้อสีน้ำเงินบ้าง สีขาวบ้างนะ แต่ว่าการเคลมว่าคนเสื้อแดงเป็น support พรรคเพื่อไทยทั้งหมด มันไม่ใช่!!!


***แล้วตอนนี้คนที่ support พรรคเพื่อไทย ยังเหลือสักกี่คน?***


ใน 10 ล้านคนที่เลือกพรรคเพื่อไทยครั้งที่แล้ว (การเลือกตั้ง 2566) อาจารย์ก็ไม่ต้องการพูดให้เสียน้ำใจนะ เพราะว่าจะเห็นได้ชัดที่คุณทักษิณลงพื้นที่ครั้งนี้ อาจารย์มองว่าเป็นยุทธศาสตร์ระยะยาวด้วย ไม่ใช่ทำเฉพาะที่อุดรธานี เป็นยุทธศาสตร์ระยะยาว เป็นเรื่องของการวางยุทธศาสตร์บ้านใหญ่ แต่สำหรับคนเสื้อแดงจริง ๆ ก็คือในช่วงปี 2566 เสียงที่เพื่อไทยได้ประมาณ 10 ล้านเสียง ตอนนั้นได้ในฐานะที่คนเลือกแบบยุทธศาสตร์ด้วย กับคนที่เป็น FC ด้วย


คนเลือกแบบยุทธศาสตร์คือเขาจะดูว่าเขตนี้ก้าวไกลจะชนะมั้ย หรือว่าเพื่อไทยจะชนะ ถ้าพรรคไหนมีท่าจะชนะ เขาจะเลือกพรรคนั้น เพราะเขาเชื่อว่าสองพรรคนี้เป็นพรรคฝ่ายประชาธิปไตย จะมีคนที่โหวตแบบยุทธศาสตร์จำนวนหนึ่ง อาจารย์ประเมินว่าใน 10 ล้านเสียง ไม่ใช่ FC ทั้งหมด แต่อย่าให้เสียกำลังใจนะ อาจจะเหลือครึ่งต่อครึ่งก็ได้ และเขาก็มีสิทธิ์ที่จะหาเสียงใหม่เพิ่มได้ ดังนั้น การตระเตรียมตั้งแต่ตอนนี้ก็เป็นการวางแผนระยะยาว เพราะอาจารย์เชื่อว่าเพื่อไทยต้องเปลี่ยนวิธีการหาเสียง เพราะจากฐานเสียงที่เป็นพลังประชาธิปไตยเดิมถูกแย่งไปเยอะ ก็จำเป็นที่จะใช้ยุทธศาสตร์บ้านใหญ่ หรือแบบการเมืองแบบเดิมแบบเก่า เพื่อที่จะทำให้คะแนนเสียงมากขึ้น มันคือความเสี่ยง!!!


เพราะฉะนั้น เวลาลงพื้นที่เราก็จะไม่ได้ยินการพูดถึงเรื่องการหาเสียงทางการเมือง แต่จะเป็นเรื่องของเศรษฐกิจ, แจกเงิน, ยาเสพติด อะไรทำนองนี้มากกว่า (ผู้ดำเนินรายการ : เป็นยุทธศาสตร์ที่เคยประสบความสำเร็จมา) เคยประสบความสำเร็จ ในยุคนั้นไม่มีวิกฤตการเมือง เราเพิ่งได้รัฐธรรมนูญ 2540 เขามาถูกที่ถูกเวลา เหมือนพรรคก้าวไกลก็มาถูกที่ถูกเวลาตอนหลัง เพราะเป็นวิกฤตการเมือง แต่สมัยคุณทักษิณ (ไทยรักไทย) เป็นวิกฤตเศรษฐกิจ เพราะว่าการเมืองเราเพิ่งได้รัฐธรรมนูญ 2540 ตอนนั้นคนกำลังลำบากมาก แล้วคุณทักษิณไม่ได้มาคนเดียว มาพร้อมกับคณะทำงานจำนวนมากและเป็นสิ่งใหม่ที่เกิดขึ้นในการเมืองไทย ดังนั้นถูกที่ถูกเวลา ก็มาจัดการปัญหาเศรษฐกิจ เพราะการเมืองเมื่อเราได้รัฐธรรมนูญ 2540 ก็ดูดีหมดแล้ว เหมือนไม่มีอะไรแล้วนะ เพราะฉะนั้นคะแนนเสียงจึงได้ท่วมท้น


แต่มาตอนนี้ตัวอาจารย์เองมองว่า คนเขาฉลาด เขารู้แล้วว่าวิกฤตการเมืองสำคัญกว่า มิฉะนั้นพรรคก้าวไกลจะไม่ได้คะแนนเสียงมากขนาดนี้ แล้วเขาก็มองได้ว่า วิกฤตการเมืองคือสาเหตุของวิกฤตเศรษฐกิจและวิกฤตทางสังคม


***อย่างที่อ.ธิดาบอกคือคุณทักษิณมองว่า คือยุทธศาสตร์ภาพรวมภาพใหญ่ที่คุณทักษิณไม่ได้มองแค่อุดรฯ แต่มองภาพใหญ่ว่านี่คือยุทธศาสตร์บ้านใหญ่ที่จะต้องเอากลับมา เพื่อในอนาคตจะต้องสู้กับพรรคประชาชน***


คือในระดับภาพรวม ฐานเสียงผู้รักประชาธิปไตยซึ่งเป็นฐานเสียงเดิมที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทยถูกแบ่งไปจำนวนมากให้กับพรรคใหม่ ยังไม่นับคนรุ่นใหม่ ซึ่งคนรุ่นใหม่ค่อนข้างจะเกือบ 100% เป็นพรรคใหม่ไปแล้ว แต่ในส่วนคนดั้งเดิมที่ถูกดึงฐานเสียง ดังนั้นคุณทักษิณก็ต้องกลับมาตั้งหลักที่ยุทธศาสตร์บ้านใหญ่แบบดั้งเดิม แต่ว่าก็ต้องทำระดับชาติไปด้วย ก็เลยมีแซะโน่นแซะนี่ประมาณ “เป็นผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมาก่อน” อะไรอย่างนั้น แล้วก็พวกนี้เด็ก ๆ เตือนแล้วก็ยังไม่ฟัง อะไรประมาณนั้น


ซึ่งก็ทำให้เกิดสีสันทางการเมือง พรรคประชาชนก็รู้สึกว่าถูกดิสเครดิตหรืออะไร ก็จำเป็นต้องออกมาพูด อาจารย์ก็ดู ก็เป็นเรื่องที่ดี เป็นเรื่องที่ประชาชนจะได้เรียนรู้ อาจารย์เชื่อว่าคนภาคอีสานเขามีประวัติศาสตร์ของการต่อสู้มายาวนาน เฉพาะจังหวัดอุดรฯ ที่ลงคะแนนเสียงไม่ยอมรับรัฐธรรมนูญ 2560 จำนวน 3.6 แสนคน ถ้าคิดเป็นภาพรวมที่ไม่รับมัน 50 กว่าเปอร์เซ็น


คือภาคอีสานเป็นภาคเดียวในประเทศไทยที่ไม่รับรัฐธรรมนูญของคณะรัฐประหารมากกว่าภาคอื่น อย่างภาคใต้ที่ไม่รับรัฐธรรมนูญดูเหมือนจะ 9 แสนคน ทั้งภาคเลยนะ นี่ยกตัวอย่าง เพราะฉะนั้น ภาคอีสานเป็นภาคผู้รักประชาธิปไตยทั้งหมด ก็เรียกว่าเป็นฐานเสียงเดิมของคุณทักษิณด้วย คุณทักษิณก็คงจะต้องใช้ทั้งยุทธศาสตร์บ้านใหญ่และไปดึงคนเสื้อแดงกลับมาด้วย


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ทักษิณ #เพื่อไทย #อบจอุดร #พรรคประชาชน

"โรม" เชิญ "ทักษิณ" แจง กมธ.ความมั่นคงฯ พิสูจน์ความบริสุทธิ์ ปม "ชั้น14" ชี้น่าพิศวง ไม่มีแม้กระทั่งหมอดูอาการก่อนไป รพ.ตำรวจ ลั่นถ้าป่วยจริงไม่ได้ใช้บารมี มันก็จบ ปัดวิจารณ์ “ยิ่งลักษณ์” กลับบ้าน บอกยังไม่ได้มองไกลขนาดนั้น หากใช้วิธีพิสดารก็รับไม่ได้

 


"โรม" เชิญ "ทักษิณ" แจง กมธ.ความมั่นคงฯ พิสูจน์ความบริสุทธิ์ ปม "ชั้น14" ชี้น่าพิศวง ไม่มีแม้กระทั่งหมอดูอาการก่อนไป รพ.ตำรวจ ลั่นถ้าป่วยจริงไม่ได้ใช้บารมี มันก็จบ ปัดวิจารณ์ “ยิ่งลักษณ์” กลับบ้าน บอกยังไม่ได้มองไกลขนาดนั้น หากใช้วิธีพิสดารก็รับไม่ได้


วันที่ 21 พฤศจิกายน 2567 ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีเชิญ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าชี้แจงต่อที่ประชุม กมธ. ในวันที่ 22 พฤศจิกายน ว่า บุคคลที่เชิญจะมาหรือไม่ จะทราบในเช้าวันที่ 22 พฤศจิกายนนี้ว่า สุดท้ายแล้วจะมีใครมาบ้าง แต่ไม่ว่าจะมาหรือไม่มา แต่ข้อวิจารณ์ของสังคมได้เกิดขึ้นแล้ว ฉะนั้น การที่บุคคลที่เชิญแล้วไม่มา ตนอยากให้ฝ่ายต่างๆที่ถูกเชิญพิจารณาด้วยข้อเท็จจริงว่าการไม่มาหมายความว่าคุณไม่มีโอกาสในการชี้แจง แต่หากคุณมา แสดงว่า คุณมั่นใจว่า สิ่งที่คุณทำเป็นการกระทำที่ถูกต้อง ชอบด้วยกฎหมายและเป็นการกระทำที่อยู่บนวิสัยที่ไม่ได้มีมาตรฐานพิเศษเหนือกว่าใคร


นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า ตนจึงคิดว่า ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกังวล เพราะการที่คุณมาบอกกับ กมธ.ว่าสิ่งที่คุณทำไปถูกต้องอย่างไร หรือกรณีของนายทักษิณที่ กมธ.เชิญ ซึ่งสังคมคิดว่า นายทักษิณป่วยจริงหรือไม่ การมาชี้แจงถือเป็นโอกาส จะได้ลบข้อครหา ข้อวิจารณ์ต่างๆ ที่สังคม มีต่อนายทักษิณ การที่เราเปิดพื้นที่ใน กมธ. และพิจารณา จริงๆแล้ว เป็นโอกาสของทุกฝ่าย ตนคิดว่า คำถามหลายๆ คำถามที่เราถาม เป็นคำถามที่อยู่บนพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์และพื้นฐานหลักกฎหมาย ดังนั้น ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกังวลเลยว่า กมธ.ฯจะเล่นการเมืองหรือไม่ กลั่นแกล้งกันหรือไม่


ต่อให้คุณเชื่อแบบนั้น ถ้าคุณตอบคำถามได้ ผู้ที่ต้องการกลั่นแกล้งคุณก็จะถูกสะท้อนกลับไปที่ตัวเขาเอง สุดท้ายสังคมก็จะเชื่อในข้อเท็จจริงที่ฝ่ายรัฐบาลพยายามอธิบาย มันก็จะจบอยู่ตรงนั้น ยืนยันว่า อยากให้มองเป็นโอกาส และถ้าสุดท้ายเขาเหล่านั้นไม่มา ข้อวิจารณ์ต่างๆ ของสังคม ก็เหมือนกับว่าสังคมจะได้รับคำตอบแล้วว่าเรื่องชั้น 14 ความจริงคืออะไร ” นายรังสิมันต์ กล่าว


เมื่อถามว่าการประชุมในครั้งนี้ จะไม่คว้าน้ำเหลวเหมือนครั้งที่ผ่านมาหรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า การประชุมรอบที่แล้ว ตนไม่คิดว่าเป็นเรื่องคว้าน้ำเหลว แต่เราได้ข้อเท็จจริงหลายย่าง และเชื่อว่าเป็นข้อเท็จจริงที่หลายฝ่ายไม่เคยทราบมาก่อน เป็นเรื่องที่ตนคิดว่าพิศวงอยู่ เช่น การพิจารณาใช้เวลาตัดสินใจเพียง 4 นาที , การที่ไม่มีแม้กระทั่งหมอเลยที่มาดูอาการของนายทักษิณ คิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ตนคิดว่าไม่คว้าน้ำเหลว


ผมยังยืนยันว่าการไม่ได้คำตอบก็คือคำตอบอย่างหนึ่ง ฉะนั้น เมื่อคุณคิดว่า วิธีการที่จะทำให้ กมธ.ไม่ได้รับคำตอบหรือไม่ให้ความร่วมมือ วิธีการเหล่านี้ มันคือคำตอบของประชาชน และคือคำตอบที่สังคมจะได้รับจากผู้มีอำนาจ ตนเชื่อว่าคำตอบที่ประชาชนได้รับไม่ได้เป็นผลดีต่อผู้มีอำนาจเลย ดังนั้นควรใช้วิธีและโอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์สูงสุดต่อการสร้างความเชื่อมั่นของระบบยุติธรรม” นายรังสิมันต์ กล่าว


เมื่อถามว่านายทักษิณ มีเหตุผลอะไรที่จะต้องมาชี้แจงกับ กมธ. เพราะ กมธ.ไม่สามารถให้คุณให้โทษกับนายทักษิณได้ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า กมธ. ให้คุณให้โทษกับนายทักษิณไม่ได้ แต่ตนคิดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อนายทักษิณเอง ต้องยอมรับว่าวันนี้สังคมวิจารณ์เรื่องชั้น 14 เยอะมาก เรื่องนี้เราปฏิเสธไม่ได้ว่ามาจากทุกฝ่าย และทุกทิศทุกทาง และนายทักษิณก็พูดเองว่าอยู่ในสถานะของการเป็นผู้ครอบครองรัฐบาล ครอบครองนายกรัฐมนตรี ดังนั้น นายทักษิณก็จะเป็นตัวแปรสำคัญของความเป็นอยู่ของรัฐบาลนี้ไม่มากก็น้อย ฉะนั้นถ้าทำให้สถานการณ์ทางการเมือง ที่มีข้อวิจารณ์ต่อนายทักษิณและต่อรัฐบาลให้เบาลง การมาชี้แจงกรรมาธิการของนายทักษิณ ก็จะช่วยรัฐบาลได้


สมมติว่าคุณทักษิณบริสุทธิ์ใจ มั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิดพลาด ไม่ได้ใช้บารมี พูดง่ายๆ คือป่วยจริงๆ ผมคิดว่ามันก็จะจบ และประชาชนก็จะมองรัฐบาลและไว้วางใจมากขึ้น วันนี้เราต้องยอมรับว่าปัญหาอย่างหนึ่ง ที่เป็นปัญหารากฐานสำคัญก็คือประชาชนจำนวนมาก ไม่ไว้วางใจรัฐบาล และการไม่ไว้ใจรัฐบาลนี้ ทำให้สุดท้ายรัฐบาลทำอะไรไป ก็จะมีข้อวิพากษ์วิจารณ์ตลอด เพราะคุณเริ่มต้นจากการสร้างความไม่ไว้วางใจ ที่ทำให้เรื่องชั้น 14 กลายเป็นเรื่องพิศวง


พวกเราประชุมมา 55 ครั้ง เราไม่เคยได้รับบรรยากาศการพิจารณาที่ดูยากขนาดนี้มาก่อน พอคุณทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องพิศวงและเป็นเรื่องต้องห้าม เป็นเรื่องที่ไม่สามารถพิจารณาได้ สุดท้ายความไว้วางใจที่ประชาชนมองรัฐบาล ก็จะมองว่ารัฐบาลพยายามปกปิดอะไรบางอย่างเกิดขึ้นต่อไป” นายรังสิมันต์ กล่าว


เมื่อถามว่าการไม่มาชี้แจง กมธ. จะทำให้การกลับบ้านของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะยากขึ้นหรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า เรื่องนี้ยังไกลไปที่จะพูด และวันนี้เราไม่ได้ไปมอง ถึงการกลับบ้านของนางสาวยิ่งลักษณ์ วันนี้เรามองเฉพาะว่าการที่นายทักษิณไปอยู่ชั้น 14 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และถูกต้องหรือไม่ มาตรฐานแบบนี้ จะเป็นมาตรฐานที่ถูกปรับใช้กับนักโทษคนอื่น ที่มีปัญหาสุขภาพ อาจจะร้ายแรงหรือพอกับนายทักษิณได้หรือไม่


เมื่อถามว่า มองอย่างไรที่นายทักษิณ ระบุว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ จะกลับบ้านในวันสงกรานต์ปีหน้า เรื่องนี้ตนไม่อยากทำนายอะไรมาก เพราะเราอยู่บนพื้นฐานทางการเมืองที่ไม่แน่นอน ดังนั้น ต้องรอดูตามข้อเท็จจริงว่าสุดท้ายแล้ว จะมีกลไกทางกฎหมายอย่างไร ถ้านางสาวยิ่งลักษณ์กลับมาก็ต้องดูว่าใช้วิธีการอะไร ตนคิดว่าปัญหาการเมืองไทยมี และปัญหาที่เกิดขึ้นกับครอบครัวนายทักษิณ ซึ่งความไม่ชอบธรรมก็มี แต่วิธีการที่จะแก้ปัญหาเรื่องนี้ ไม่ได้กลายเป็น นายทักษิณและครอบครัวเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของความชอบธรรม หรือปัญหาทางการเมืองที่สับสนอยู่ ดังนั้นวิธีการที่ดีที่สุดในเวลานี้คือต้องพยายามหาทางออกและแก้ปัญหาทางการเมือง แต่ขณะเดียวกันการใช้วิธีพิสดารที่จะทำให้ตัวเองสามารถกลับประเทศได้ ก็คงเป็นวิธีการที่เราไม่สามารถยอมรับได้

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #กมธความมั่นคง #ทักษิณชินวัตร #ชั้น14