วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

กุมภวาปีจัดใหญ่ เตรียมฟัง “ทักษิณ” ปราศรัยหาเสียงช่วย “ศราวุธ” ผู้สมัครชิงนายกอบจ.อุดรฯ วันนี้

 


กุมภวาปีจัดใหญ่ เตรียมฟัง “ทักษิณ” ปราศรัยหาเสียงช่วย “ศราวุธ” ผู้สมัครชิงนายกอบจ.อุดรฯ วันนี้


วันนี้ (13 พฤศจิกายน 2567) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะลงพื้นที่ไปช่วยนายศราวุธ เพชรพนมพร ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) อุดรธานี พรรคเพื่อไทย หาเสียงเลือกตั้ง ระหว่างวันที่ 13-14 พฤศจิกายน


ทั้งนี้มีกำหนดการปราศรัย วันที่ 13 พฤศจิกายน เวลา 15.10 น. จะเดินทางถึงสนามบินอุดรธานี และเข้าพักที่โรงแรมเซ็นทารา จ.อุดรธานี เวลา 17.30 น. พบปะพี่น้องประชาชน อ.กุมภวาปี อ.ประจักษ์ อ.ศรีธาตุ อ.หนองหาน (บางส่วน เวลา 19.30 น. รับประทานอาหารเย็นที่ร้านคุณนิด และเวลา 21.00 น. เดินทางกลับที่พักที่โรงแรมเซ็นทารา


ส่วนกำหนดการวันที่ 14 พฤศจิกายน เวลา 07.00 น. รับประทานอาหารเช้าร้านคิงส์โอชา เวลา 09.30 น. เดินทางถึงบริเวณทุ่งศรีเมืองบ้านดุง ปราศรัยกับพี่น้องชาว อ.บ้านดุง อ.ทุ่งฝน ต่อมาเวลา 12.00 น. รับประทานอาหารเที่ยง ร้านวีทีแหนมเนือง (สาขาถนนรอบเมือง) จากนั้นเวลา 15.30-16.30 น. พบปะพ่อค้านักธุรกิจ ผู้นำท้องถิ่นใน จ.อุดรธานี และเวลา 17.30 น. ปราศรัยกับพี่น้องประชาชน อ.เมือง อ.หนองวัวซอ (บางส่วน) อ.หนองหาน (บางส่วน) ก่อนจะเดินทางกลับกรุงเทพฯ ในเวลา 22.35 น.


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #อบจอุดร #เพื่อไทย #ทักษิณชินวัตร

“ประเสริฐ” เผยมติ คกก.บริหารกองทุนพัฒนาดิจิทัลฯ เดินหน้าปั้นแพลตฟอร์ม Learn to Earn เรียนรู้มีรายได้ เตรียมความพร้อมจัดประชุมรมต.อาเซียนด้านดิจิทัล (ADGMIN) ไทยเจ้าภาพกำหนดทิศทางการพัฒนาดิจิทัลภูมิภาค


“ประเสริฐ” เผยมติ คกก.บริหารกองทุนพัฒนาดิจิทัลฯ เดินหน้าปั้นแพลตฟอร์ม Learn to Earn เรียนรู้มีรายได้ เตรียมความพร้อมจัดประชุมรมต.อาเซียนด้านดิจิทัล (ADGMIN) ไทยเจ้าภาพกำหนดทิศทางการพัฒนาดิจิทัลภูมิภาค


วันที่ 13 พฤศจิกายน 2567 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ในฐานะรองประธานคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เปิดเผยถึงผลการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ครั้งที่ 4 /2567 ซึ่งมีศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดีอี พร้อมด้วย นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ รักษาราชการแทน เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และเลขานุการคณะกรรมการกองทุนฯ ตลอดจนคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ เข้าร่วมประชุมเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมาว่าที่ประชุมได้เห็นชอบอนุมัติโครงการสำคัญ อาทิ การพัฒนาแพลตฟอร์มภาครัฐเพื่อรองรับการพัฒนาทักษะดิจิทัลเรียนรู้มีรายได้ เรียนรู้ง่ายตลอดชีวิต ผ่านรูปแบบ Learn to Earn ซึ่งเป็นการออกแบบและพัฒนาระบบสารสนเทศ สามารถรองรับได้กว่า 20 ล้านผู้ใช้งาน พร้อมทั้งการจัดเก็บข้อมูลการฝึกอบรมในรูปแบบการสะสมหน่วยการเรียนรู้  หรือธนาคารหน่วยกิต (Credit Bank) และโครงการจัดการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านดิจิทัล (ADGMIN) ครั้งที่ 5 ซึ่งประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพ โดยการประชุมนี้จะจัดขึ้นเพื่อส่งเสริมและพัฒนาความร่วมมือด้านดิจิทัลในภูมิภาคอาเซียนตามแผนแม่บท ASEANDigital Masterplan 2025 (ADM 2025) และจะเป็นเวทีสำคัญในการกำหนดทิศทางพัฒนาการด้านดิจิทัลในภูมิภาคและมีผู้เข้าร่วมประมาณ 300 คน 


นายประเสริฐ กล่าวว่า ที่ประชุมยังได้อนุมัติเงินสำหรับโครงการพัฒนากรอบแนวทางการเปลี่ยนผ่านนวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของอาเซียนเพื่อพัฒนากรอบทักษะความเข้าใจและใช้ปัญญาประดิษฐ์ในโครงการพัฒนาแห่งอนาคตภายใต้กรอบความร่วมมือระหว่างประเทศ ซึ่งในอนาคต AI จะมีบทบาทต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ การสร้างระบบนิเวศ AI ที่แข็งแกร่ง จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในแข่งขันให้ทัดเทียมกับประเทศอื่นๆ แต่ยังเป็นโอกาสกระตุ้นการพัฒนาเศรษฐกิจ ยกระดับคุณภาพชีวิต และเตรียมความพร้อมให้กับทุกภาคส่วนเข้าสู่การเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยีดิจิทัล นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้อนุมัติเงินสำหรับการจัดให้มีบริการอินเทอร์เน็ตสาธารณะเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตประจำหมู่บ้าน จำนวน 24,654 แห่ง รวมทั้ง โครงการศึกษา รูปแบบธุรกิจของโครงข่ายอินเทอร์เน็ตสาธารณะเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่เหมาะสมภายใต้หลักการโครงข่ายแบบเปิด (Open Access Network) ที่เหมาะสม และแนวทางการบริหารจัดการโครงข่ายการให้บริการอินเทอร์เน็ต (Free Wi-Fi) อีกด้วย


ขณะที่ นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ รักษาราชการแทน เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวว่า ที่ประชุมอนุญาต การขยายผลโครงการที่ได้การสนับสนุนจากกองทุนฯ โดยการให้ใช้ทรัพย์สินทางปัญญาของโครงการดังกล่าวที่มี  20 บริการเพื่อการบริการภาครัฐ เช่น ระบบการรับรองมาตรฐาน GAP ประมง การขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการด้านประมง การจดทะเบียนผู้ส่งออกผักและผลไม้ไปต่างประเทศ การขึ้นทะเบียนโรงงานผลิตสินค้าพืช เป็นต้น รวมถึงระบบ e-Service การบริหารจัดการสัตว์ป่าควบคุม และบริการปรับสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ


นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้เห็นชอบ (ร่าง) ประกาศคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ เรื่อง หลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไข การใช้จ่ายเงินกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในการจัดสรรเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการของสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลต่อไป และ (ร่าง) ประกาศคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เรื่อง การบริหารจัดการสัญญา เพื่อความสะดวกคล่องตัวในการบริหารกองทุนฯ ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ 





วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

รมว.กต.ยืนยันกรอบ MOU44 เป็นกรอบเจรจาพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อน ไทย-เขมร ย้ำไม่กระทบเกาะกูดไทย

 


รมว.กต.ยืนยันกรอบ MOU44 เป็นกรอบเจรจาพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อน ไทย-เขมร  ย้ำไม่กระทบเกาะกูดไทย


วันที่ 12 พฤศจิกายน 2567 นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงถึงกรณีที่ยังคงมีความพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริง และมีการให้ข่าวสารเกี่ยวกับการเจรจาพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนระหว่าง ไทย-กัมพูชาที่ไม่ถูกต้อง ทำให้สังคมมีความสับสน ถึงการเรียกร้องให้มีการยกเลิก MOU44 ว่า 


MOU 44 มีที่มาจากการที่ไทยและกัมพูชา ต่างไม่ยอมรับการอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทางทะเลที่แต่ละฝ่ายประกาศ ทำให้เกิดเป็นพื้นที่อ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อน ซึ่งตามกฎหมายระหว่างประเทศระบุให้ในกรณีเช่นนี้ประเทศที่อ้างสิทธิจะต้องเจรจาทำความตกลงเพื่อหาทางออกด้วยกัน โดยสาระสำคัญของ MOU44 นั้น คือการกำหนดกรอบและกลไกการเจรจา โดยให้ทั้งประเทศไทย และกัมพูชาต้องตั้งคณะกรรมการทางเทคนิค หรือ Joint Technical Committee: JTC ขึ้น เพื่อทำการเจรจาพร้อมกันไปใน 2 เรื่อง ทั้งเรื่องการแบ่งเขตทางทะเล และการพัฒนาแหล่งพลังงาน โดยไม่สามารถแยกการเจรจาเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้ ซึ่งเป็นไปตามแนวทางที่กฎหมายระหว่างประเทศวางไว้ ทั้งนี้ การยกเลิก MOU 44 ก็ไม่ได้ทำให้เส้นอ้างสิทธิของฝ่ายกัมพูชาหายไปแต่อย่างใด


รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ยังอธิบายว่า MOU44 มีลักษณะเป็นข้อตกลงชั่วคราว หรือ Provisional Arrangement ซึ่งเป็นเพียงการตกลงของทั้ง 2 ฝ่ายที่จะวางกรอบและกลไกการเจรจากันเท่านั้น พร้อมย้ำด้วยว่า การเจรจาพื้นที่อ้างสิทธิไหล่ทวีปทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชา จะไม่เกี่ยวกับอธิปไตยของไทยเหนือเกาะกูดแต่อย่างใด เพราะเกาะกูดเป็นของไทยที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้


นอกจากนั้น MOU44 มีมาตราการป้องกันที่รัดกุม หรือ Safeguard Clause ในข้อ 5 ที่ระบุเป็นเป็นเงื่อนไขบังคับว่า “จนกว่าจะได้มีการตกลงการแบ่งเขตทางทะเลให้แล้วเสร็จ MOU และการดำเนินการต่าง ๆ ตาม MOU นี้ จะไม่มีผลต่อการอ้างสิทธิทางทะเลของแต่ละฝ่าย” ซึ่งเป็นการยืนยันอย่างชัดเจนว่า การเจรจาตามกรอบ MOU44 นี้ จะไม่มีผลกระทบใด ๆ ต่อเขตอำนาจอธิปไตยทางทะเลของแต่ละฝ่าย จนกว่าจะสามารถตกลงกันได้ และมีการจัดทำความตกลงอย่างเป็นทางการอีกครั้งร่วมกัน ซึ่งในกรณีนี้จะต้องนำเรื่องให้รัฐสภาพิจารณาเห็นชอบก่อนด้วย ซึ่งหมายถึงว่าความตกลงใดๆที่จะเกิดขึ้นนั้น จะต้องเป็นที่ยอมรับของประชาชนชาวไทย ดังนั้นจึงแปลกใจต่อผู้ที่พยายามโยงเรื่องเกาะกูดเข้ากับการเจรจาพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนนี้


รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ยังย้ำว่า ผลประโยชน์ของประเทศไทยในเรื่องนี้ มี 2 ประการ ซึ่งรัฐบาลจะต้องดูแลทั้ง 2 ด้าน ได้แก่ การแบ่งเขตทางทะเล และผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจการพัฒนาทรัพยากรด้านพลังงาน พร้อมยังคงย้ำว่า "เกาะกูด" เป็นของประเทศไทยแน่นอน เพราะตามหนังสือสนธิสัญญา ระหว่างกรุงสยามกับกรุงฝรั่งเศส ฉบับวันที่ 23 มีนาคม รศ.125 หรือ ค.ศ. 1907 บัญญัติชัดเจนว่า "เกาะกูด เป็นของไทย" ซึ่งเป็นที่ตั้งของอำเภอเกาะกูดมาช้านานแล้ว และประเทศไทยได้ใช้อำนาจอธิปไตยเหนือเกาะกูดมาโดยตลอด มีประชาชนชาวไทยอยู่อาศัยมาเป็นเวลากว่า 100 ปี และกัมพูชาก็ยอมรับ และไม่เคยมีข้อโต้แย่งใด ๆ ในเรื่องนี้


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ไทยกัมพูชา #MOU44 #เกาะกูด

ครม. อนุมัติสินเชื่อ "สร้างงานสร้างอาชีพ" 15,000 ล้าน พุ่งเป้าหาบเร่-แผงลอย ลดหนี้นอกระบบ อุ้ม ปชช. 300,000 ราย


ครม. อนุมัติสินเชื่อ "สร้างงานสร้างอาชีพ" 15,000 ล้าน พุ่งเป้าหาบเร่-แผงลอย ลดหนี้นอกระบบ อุ้ม ปชช. 300,000 ราย


วันที่ 12 พฤศจิกายน 2567 นายเผ่าภูมิ  โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบ ให้ธนาคารออมสินดำเนิน "โครงการสินเชื่อสร้างงานสร้างอาชีพ" วงเงินรวมไม่เกิน 15,000 ล้านบาท สำหรับเสริมสภาพคล่องและบรรเทาหนี้สินประชาชนรายย่อย ผู้ประกอบอาชีพอิสระ ผู้มีรายได้ประจำ ลูกจ้าง พ่อค้า แม่ค้า หาบเร่ แผงลอย หรือผู้รับจ้างให้บริการต่างๆ เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนเสริมสภาพคล่อง หรือนำไปชำระหนี้นอกระบบหรือหนี้ดอกเบี้ยสูงที่กู้ยืมมาประกอบอาชีพ


โดยให้สินเชื่อรายไม่เกินรายละ 50,000 บาท ดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 0.75 ต่อเดือน ระยะเวลาสูงสุดไม่เกิน 5 ปี ยื่นขอภายใน 30 ธ.ค. 2568 ธ.ออมสินไม่ขอรับงบประมาณชดเชยจากรัฐบาล โดยจะปรับลดกำไรบางส่วนแทน ซึ่งเป็นการให้สินเชื่อที่ผ่อนปรนมากกว่าสินเชื่อปกติ


กระทรวงการคลังคาดว่าการดำเนินโครงการดังกล่าวสามารถสร้างเม็ดเงินเข้าสู่ ระบบเศรษฐกิจและช่วยเหลือประชาชนได้กว่า 300,000 ราย


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #สินเชื่อ #สร้างงานสร้างอาชีพ

ศาลจังหวัดธัญบุรีนัดไต่สวนการตาย 'บุ้ง-เนติพร' 13 ม.ค. 2568 หลังเสียชีวิตระหว่างการถูกควบคุมตัวคดี ม.112 ที่ รพ.ราชทัณฑ์ เมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2567


ศาลจังหวัดธัญบุรีนัดไต่สวนการตาย 'บุ้ง-เนติพร' 13 ม.ค. 2568 หลังเสียชีวิตระหว่างการถูกควบคุมตัวคดี ม.112 ที่ รพ.ราชทัณฑ์ เมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2567


วันนี้ (12 พฤศจิกายน 2567) ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า หลังผ่านมากว่า 182 วัน ภายหลัง 'บุ้ง เนติพร' เสียชีวิตระหว่างการถูกควบคุมตัวในคดี ม.112 ที่ รพ.ราชทัณฑ์ เมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2567


ล่าสุด พนักงานอัยการยื่นสำนวนชันสูตรพลิกศพต่อศาลจังหวัดธัญบุรี เพื่อขอให้มีการไต่สวนการตายแล้ว เมื่อวันที่ 4 พ.ย. ที่ผ่านมา


จากนั้นศาลจังหวัดธัญบุรีได้มีคำสั่งกำหนดวันนัดไต่สวนการตายของ #บุ้งเนติพร ในวันที่ 13 ม.ค. 2568 เวลา 13.00 น.


โดยศูนย์ทนายฯ ได้โพสเชิญชวนประชาชนและสื่อมวลชนร่วมจับตาการไต่สวนที่จะเกิดขึ้นได้ในวันและเวลาดังกล่าว

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #บุ้งเนติพร

ศาลแขวงพระนครใต้ 'ยกฟ้อง' ข้อหา พ.ร.บ.ชุมนุมฯ คดีปรับพินัย “เก็ท - ใบปอ” กรณีร่วมกิจกรรม “WHAT HAPPENED IN THAILAND” เดินขบวนจากแยกอโศกไปศูนย์ประชุมสิริกิติ์ ซึ่งขณะนั้นมีการประชุม #APEC2022 เมื่อ 17 พ.ย. 2565

 


ศาลแขวงพระนครใต้ 'ยกฟ้อง' ข้อหา พ.ร.บ.ชุมนุมฯ คดีปรับพินัย “เก็ท - ใบปอ” กรณีร่วมกิจกรรม “WHAT HAPPENED IN THAILAND” เดินขบวนจากแยกอโศกไปศูนย์ประชุมสิริกิติ์ ซึ่งขณะนั้นมีการประชุม #APEC2022 เมื่อ 17 พ.ย. 2565


วันที่ 12 พฤศจิกายน 2567 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า ตามที่เช้าวันนี้(12 พ.ย.) ศาลแขวงพระนครใต้ มีนัดฟังคำพิพากษาในคดีปรับพินัย #พรบชุมนุม #พรบเครื่องขยายเสียง ของ “เก็ท” โสภณ และ “ใบปอ ณัฐนิช” กรณีร่วมกิจกรรม “WHAT HAPPENED IN THAILAND” เดินขบวนจากแยกอโศกไปยังศูนย์ประชุมสิริกิติ์ ซึ่งขณะนั้นมีการประชุม #APEC2022 เมื่อ 17 พ.ย. 2565


ศูนย์ทนายฯ ได้เปิดเผยว่า ผู้พิพากษาพิเคราะห์ว่า ในคดีนี้มีผู้อื่นเป็นผู้แจ้งจัดการชุมนุม ไม่ใช่จำเลยทั้งสอง


จากการเบิกความของพยานโจทก์ซึ่งเป็นตำรวจสอบสวนไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองคนมีความเกี่ยวข้องกับผู้จัดการชุมนุม แม้จำเลยทั้งสองจะอ่านแถลงการณ์ แต่เนื้อความก็ไม่ได้เป็นการชักชวน หรือปลุกระดมผู้คนให้เข้าร่วมการชุมนุม


กรณีเพจเฟซบุ๊ก #ทะลุวัง ได้แชร์โพสต์เชิญชวนร่วมชุมนุมดังกล่าว ก็ไม่มีพยานหลักฐานปรากฏว่าจำเลยทั้งสองคนเกี่ยวข้องกับเพจดังกล่าวอย่างไร


ประเด็นที่จำเลยใช้ #เครื่องขยายเสียง ปรากฎว่าเครื่องขยายเสียงดังกล่าวจะใช้ได้ต่อเมื่อขออนุญาตจากเจ้าหน้าที่แล้วเท่านั้น ซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้จัดการชุมนุม จึงไม่ได้เกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบของจำเลยทั้งสอง


อย่างไรก็ตาม ในกิจกรรมดังกล่าว นอกจากในคดีนี้แล้ว ทั้งสองคนยังถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดตาม มาตรา 112 จากข้อความบางส่วนของแถลงการณ์ที่กล่าวถึงระบอบกษัตริย์กับการเมืองไทย ซึ่งคดีดังกล่าวถูกสั่งฟ้องต่อศาลอาญากรุงเทพใต้แล้ว

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์

ปลื้ม..“ทีมไทยแลนด์” รายงานคนอเมริกาใต้หลายประเทศชอบหนังไทย ด้านนายกฯสั่งการเร่งกระตุ้นส่งเสริมนักลงทุนมาไทยพร้อม ผลักดันSoft Power ให้เป็นสินค้าให้ได้

 


ปลื้ม..“ทีมไทยแลนด์” รายงานคนอเมริกาใต้หลายประเทศชอบหนังไทย ด้านนายกฯสั่งการเร่งกระตุ้นส่งเสริมนักลงทุนมาไทยพร้อม ผลักดันSoft Power ให้เป็นสินค้าให้ได้  


วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2567 เวลา 10.00 น. ตามเวลานครลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา (ตรงกับเวลาในประเทศไทย 02.00 น ของวันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน 2567) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  เปิดเผยว่า  นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ประชุมเอกอัครราชทูต กงสุลใหญ่ และหน่วยงานทีมประเทศไทยประจำภูมิภาคอเมริกา อาทิ แคนาดาอาร์เจนตินา เม็กซิโก บราซิล ชิลี  พร้อมด้วยนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ปลัดกระทรวงต่างประเทศ เพื่อมอบ นโยบายและ แนวทางขับเคลื่อนความสัมพันธ์และความร่วมมือกับประเทศในภูมิภาคอเมริกา ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่แถลงต่อรัฐสภาที่เน้น “ประชาชนเป็นศูนย์กลาง” และการปกป้องดูแลผลประโยชน์ของไทยและคนไทยในต่างประเทศ


นายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า "เป็นโอกาสดีที่ได้มาเน้นย้ำนโยบายรัฐบาลด้วยตัวเองที่ยืนยันว่า “ประชาชนเป็นศูนย์กลาง” และขอบคุณผู้บริหารสถานทูตในแต่ละประเทศที่ได้ดำเนินการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศไทยและคนไทยในต่างแดน ซึ่งรัฐบาลได้เตรียมความพร้อมทั้งภายในประเทศและต่างประเทศในการสนับสนุนคนไทยในต่างประเทศ และนักธุรกิจที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ซึ่งทีมไทยแลนด์เปรียบเสมือน “ทัพหน้าของประเทศ” โดยขอให้ทีมไทยแลนด์ที่ประกอบด้วยภาคส่วนต่างๆ ทั้งเอกอัครราชทูต ทูตพาณิชย์ ผู้แทนของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ต้องช่วยกัน เร่งดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล เนื่องจากไทยยังประสบปัญหาเศรษฐกิจ จำเป็นต้องหารายได้ใหม่ๆเข้าประเทศเพี่อให้เศรษฐกิจกลับมาเติบโตอีกครั้ง ขอให้มองหาโอกาสและความร่วมมือที่เป็นผลประโยชน์ของประเทศและประชาชน และขอให้เร่งเชิญชวนให้เกิดการลงทุนใหม่ๆ  รวมถึงนำแผนนโยบายด้านต่างประเทศของรัฐบาลไปสู่การปฏิบัติ เพื่อสร้างเครือข่ายมิตร ประเทศของไทยในเวทีโลก หรือ Friends of Thailand กับภาคส่วนต่าง ๆ ของต่างประเทศ  เพื่อให้ประเทศไทย มีเศรษฐกิจที่แข็งแรงมากยิ่งขึ้น"


นายกรัฐมนตรืได้กล่าวว่าตนเอง คือ “หัวหน้าทีมประเทศไทย" มีหน้าที่ที่จะต้องช่วยกันพัฒนาประเทศไทยให้สามารถแข่งขันกับนานาอารยะประเทศได้ ที่สำคัญประเทศไทยมีคนเก่งมาก แต่ส่วนหนึ่ง ทำงานอยู่นอกประเทศรัฐบาลจึงตั้งใจจะทำให้ ประเทศไทยเรามี ความแข็งแรงทางด้านเศรษฐกิจซึ่งจะทำให้คนไทยมีโอกาสมากขึ้น เพื่อดึงคนไทยคนเก่ง ๆ ที่ทำงานอยู่ต่างประเทศกลับมาเพื่อร่วมพัฒนาประเทศไทย


ส่วนนโยบาย ซอฟต์พาวเวอร์ Softpower เป็นเรี่องที่รัฐบาลให้ความสำคัญ ซึ่งเอกอัครราชทูต ประเทศชิลีได้รายงานว่า คนชิลีชื่นชอบภาพยนต์ไทยที่สามารถส่งออกไปต่างประเทศ โดยเป้าหมายรัฐบาลสนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยน ความรู้ในด้านการผลิตภาพยนตร์และ Soft Power ด้านต่างๆ เช่น การอบรม หรือ เปิดคอร์สพิเศษ จากทีมต่างประเทศกับบุคคลในอุตสาหกรรมไทย รวมทั้ง ด้านเทศกาล ซึ่งตนเองได้มีการเปิดโครงการ winter festival  ซึ่งเป็นการประสาน กิจกรรมงานเทศกาลต่างๆกับ การท่องเที่ยว ให้เมืองไทยเที่ยวได้ทั้งปื ซึ่งต้องขอให้เอกอัครราชทูตทุกท่านช่วยประชาสัมพันธ์ ว่าประเทศไทยพร้อมรองรับนักท่องเที่ยว ซึ่งก่อนเดินทางมาได้มีโอกาสประชุมตรวจความพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ที่ได้มีการพัฒนาระบบตรวจคนเข้าเมืองที่ทันสมัย รวดเร็ว ซึ่งถือเป็นหน้าด่านที่สามารถอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวเดินทางไปเที่ยวประเทศไทยได้ง่ายมากขึ้น


ช่วงหนึ่งของการกล่าวมอบนโยบาย นายกรัฐมนตรี ได้ย้ำถึงความสำคัญในการส่งเสริมผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ของไทย (Start up) รัฐบาลมีแนวทางในการจัดตั้งกองทุน matching fund จับคู่บริษัทไทยกับต่างประเทศ เพื่อให้ภาคเอกชนไทยมีตลาดกว้างมากขึ้น


นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการสนับสนุนและส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนไทยมีโอกาสไปศึกษาในต่างประเทศว่า ตนเอง ตั้งใจจะให้มีการจัดหาทุนการศึกษา เพี่อส่งเสริมเด็กไทย นักเรียน ไทยให้มา ศึกษาต่อในอุตสาหกรรมสมัยใหม่ เช่น ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับ แอร์โร่ สเปซ ดิจิทัลเทคโนโลยีเป็นต้น และขอฝากดูแลคนไทยกว่า 3 แสนในสหรัฐ ฯ  รักษาผลประโยชน์ของคนไทย และให้ใช้ชีวิตต่างแดนอย่างเข็มแข็ง ด้วย 


ก่อนหน้า นายมาริษ เสี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงลักษณะพิเศษของไทย คือ ไทยเป็นมิตรทุกประเทศ  ซึ่งในศตวรรษที่ 21 นี้  นโยบายการต่างประเทศต้องเป็นการทูตที่จับต้องได้และมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ที่สำคัญต้องเห็นผลลัพธ์เป็นรูปธรรม โดยใช้ยุทธศาสตร์ในเชิงรุกเพี่อไทยกลับมาสู่จอเรดาห์ ไม่ใช่ผู้นำแต่มีบทบาทนำภูมิภาค มีจุดยืนในแต่ละประเด็น (issue) ที่ชัดเจน ขอให้ทีมไทยแลนด์ 99 แห่ง บูรณาการการทำงาน แม้แต่ละภูมิภาคก็มีประเด็น/วาระสำคัญที่แตกต่างกัน ที่เป้าหมายเหมือนกันคือ การรักษาผลประโยชน์ประเทศและประชาชน รวมทั้งการส่งเสริมความสัมพันธ์ทวิภาคีในแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น 


โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังรับฟังรายงานจากเอกอัครราชทูตในภูมิภาคอเมริกาโดยนายสุริยา  จินดา เอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน ดีซี รายงานภาพรวมการเมืองสหรัฐ ฯ และโอกาสทางเศรษฐกิจโดยอยากเห็น นักลงทุนไทยจะเข้ามาลงทุนในสหรัฐเพิ่มมากขึ้น ขณะที่นายกัลยาณะ วิภัติภูมิประเทศ เอกอัครราชทูต ณ กรุงออตาวา แคนาดา กล่าวว่า ปัจจุบันมีเส้นทางการบินตรงไทย - แวนคูเวอร์ ในช่วงฤดูหนาว จะมีไฟท์บินทุกวัน ซึ่งได้รับตอบรับอย่างดีโดยมีนักท่องเที่ยวแคนนาดา นิยมเดินมาเที่ยวไทยมากขึ้น

      
ด้านนางสาว วิมลพัชระ รักษาเกียรติ เอกอัครราชทูต ณ ซันติอาโก  ประเทศ ชิลี  กล่าวถึงโอกาสของซอฟต์พาวเวอร์ไทย โคยเฉพาะภาพยนต์ไทย อาหารไทย ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในภูมิภาคอเมริกาใต้ ซึ่งโดยภาพรวมถือว่าประเทศในภูมิภาคอเมริกาเหนือ อเมริกากลาง และใต้ให้ความสนใจกับประเทศไทยในหลากหลายมิติซึ่งรัฐบาลได้สนับสนุนนักท่องเที่ยวนักธุรกิจและการลงทุนอย่างต่อเนื่อง


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #นายกแพทองธาร








“ศุภโชติ” มองกรณี กกพ. ชงค่าไฟงวดแรกปี 68 คาดสุดท้ายคงอัตราเดิมที่ 4.18 บาท ย้ำข้อเสนอรัฐบาลต้องเร่งเจรจาเอกชนลดค่าความพร้อมจ่าย หยุดหวังน้ำบ่อหน้า-ให้ประชาชนแบกนายทุนโรงไฟฟ้า


ศุภโชติ” มองกรณี กกพ. ชงค่าไฟงวดแรกปี 68 คาดสุดท้ายคงอัตราเดิมที่ 4.18 บาท ย้ำข้อเสนอรัฐบาลต้องเร่งเจรจาเอกชนลดค่าความพร้อมจ่าย หยุดหวังน้ำบ่อหน้า-ให้ประชาชนแบกนายทุนโรงไฟฟ้า

 

วันที่ 12 พฤศจิกายน 2567 ศุภโชติ ไชยสัจ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน แสดงความเห็นต่อกรณีที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดรับฟังความคิดเห็นค่าไฟฟ้าผันแปร (เอฟที) สำหรับการเรียกเก็บค่าไฟฟ้างวดเดือนมกราคม - เมษายน 2568 โดยแบ่งการคิดค่าไฟฟ้าได้เป็น 3 กรณีคือ 1) 5.49 บาทต่อหน่วย, 2) 5.26 บาทต่อหน่วย และ 3) 4.18 บาทต่อหน่วยเท่างวดที่ผ่านมา


โดยศุภโชติระบุว่าแม้โดยภาพรวมค่าไฟฟ้าจะลดลงจากงวดก่อนหน้าด้วยหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นราคาเชื้อเพลิงโลกที่ลดลง การได้เปรียบทางอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราที่ทำให้ต้นทุนในการซื้อเชื้อเพลิงลดลงไปด้วย แต่การที่ กกพ. เสนอค่าไฟเป็น 3 อัตราเช่นนี้ ก็เพราะรัฐยังมีหนี้ค้างเก่ากว่าประมาณ 1 แสนล้านบาท แม้จะลดลงมาจากงวดที่แล้วจนทำให้ค่าไฟฟ้าลดลงได้บ้าง


ซึ่งในท้ายที่สุดตนคาดว่ารัฐบาลน่าจะเคาะค่าไฟฟ้าออกมาเป็นตามกรณีที่ 3 คือคงค่าไฟไว้ที่ราคาเดิมแล้วจ่ายหนี้ได้นิดหน่อย เพราะหากคิดค่าไฟฟ้าแบบกรณีที่ 1-2 ย่อมหมายความว่าเป็นการจ่ายหนี้ทั้งหมด ซึ่งทางรัฐบาลไม่น่าจะเลือกวิธีการที่เป็นการขึ้นค่าไฟสูงจนเกินไปสำหรับผู้บริโภค


ศุภโชติกล่าวต่อไปว่าส่วนปีหน้าค่าไฟจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหรือลดลงหรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่ยังค่อนข้างคาดคะเนได้ยากเพราะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความต้องการใช้ไฟฟ้าภายในประเทศว่าเพิ่มสูงขึ้นมากน้อยแค่ไหน ฤดูร้อนจะร้อนมากแค่ไหน ถ้ามีความต้องการใช้ไฟฟ้ามากขึ้นก็ต้องมีการจัดหาเชื้อเพลิงที่แพงขึ้นตามไปด้วย อีกปัจจัยที่ต้องจับตาคือสถานการณ์ในต่างประเทศเช่นตะวันออกกลาง ที่จะส่งผลกระทบต่อราคาเชื้อเพลิงหรือก๊าซธรรมชาติในตลาดโลกทั้งหมด ถ้าสถานการณ์เลวร้ายลงก็แน่นอนว่าราคาก๊าซ LNG ที่เข้ามาเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตกระแสไฟฟ้าของประเทศไทยก็จะเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย และยังมีเรื่องของเศรษฐกิจโลกที่จะส่งผลต่อค่าเงินบาทไทย ก็ต้องดูแนวโน้มว่าจะเป็นอย่างไรด้วย


เพราะฉะนั้นจึงไม่มีอะไรแน่นอนตายตัว ทุกอย่างเป็นการลุ้นหวังน้ำบ่อหน้าอย่างเดียวว่าเศรษฐกิจโลกจะดีขึ้น สถานการณ์สงครามต่างๆ จะดีขึ้น แต่ไม่มีอะไรมาเป็นเครื่องรับประกันให้ประชาชนได้ว่าค่าไฟจะอยู่ในระดับที่เหมาะสมและมีแนวโน้มที่ลดลง


ศุภโชติยังกล่าวต่อไปว่าดังนั้นพรรคประชาชนจึงมีข้อเสนอที่ชัดเจนมาตลอดว่าในระยะสั้น สิ่งที่รัฐบาลสามารถทำได้คือการเข้าไปเจรจาแก้ไขสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่างรัฐกับเอกชน โดยเฉพาะเอกชนที่เป็นเจ้าของโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างมาแล้วแต่ไม่ค่อยได้เดินเครื่อง เป็นค่าความพร้อมจ่ายที่ยังแฝงอยู่ในค่าไฟตลอด อย่างในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมามีโรงไฟฟ้ามากกว่า 7 โรงที่ไม่ได้เดินเครื่องเลยแต่เรายังต้องจ่ายเงินให้เดือนละ 2,500 ล้านบาทฟรีให้โรงไฟฟ้าพวกนี้ เราเสนอมาตลอดว่าถ้ารัฐบาลมีความกล้าหาญทางการเมืองและความพยายามแก้ไขปัญหาเรื่องค่าไฟจริง รัฐก็ควรจะเข้าไปพูดคุยเจรจากับเอกชนให้ลดค่าความพร้อมจ่ายลง


ข้อเสนอต่อมาคือไม่ควรมีการสร้างโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงจากก๊าซธรรมชาติเพิ่มอีกแล้ว เพราะโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติอ้างอิงจากราคาตลาดโลกที่เราไม่สามารถควบคุมอะไรได้ ข้อเสนอคือควรมีการสร้างโรงไฟฟ้าที่ใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโซลาร์เซลล์ บวกกับแบตเตอรี่ที่มีความสามารถทำได้แบบเดียวกับโรงไฟฟ้าประเภทก๊าซธรรมชาติแต่มีราคาที่ถูกกว่า ไม่ต้องอ้างอิงกับราคาเชื้อเพลิงของตลาดโลก


ส่วนในอนาคตประเทศไทยควรต้องเปิดตลาดพลังงานเสรี เพราะทุกการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่างรัฐกับเอกชนนั้น ภาระทั้งหมดจะถูกส่งไปให้กับประชาชนหรือแฝงอยู่ในบิลค่าไฟของทุกคน ถ้ารัฐบาลวางแผนหรือกำหนดนโยบายผิดพลาดเหมือนที่ผ่านมาจนมีโรงไฟฟ้าล้นเกิน ก็จะทำให้ค่าไฟของทุกคนสูงขึ้น ต้นทุนค่าไฟก็บวมขึ้นจากการสร้างโรงไฟฟ้ามากเกินความจำเป็น การมีตลาดพลังงานเสรีในระยะยาวจะทำให้โรงไฟฟ้าถูกสร้างขึ้นในจำนวนที่เหมาะสมตามกลไกตลาดในภาคพลังงาน

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน

ชุมชนคนไทยในแอลเอ ต้อนรับ นายกฯ แพทองธารคึกคัก บอกมีโอกาสอยากชวนคุณพ่อมาสักครั้ง ด้านชุมชนวัดไทยมอบเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในประเทศกว่า 1 ล้านบาท

 


ชุมชนคนไทยในแอลเอ ต้อนรับ นายกฯ แพทองธารคึกคัก บอกมีโอกาสอยากชวนคุณพ่อมาสักครั้ง ด้านชุมชนวัดไทยมอบเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในประเทศกว่า 1 ล้านบาท


วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2567 เวลา 14.00 น. (ตามเวลานครลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า บ่ายวันนี้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางไปยังวัดไทยลอสแอนเจลิส สหรัฐฯ โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีสักการะพระพุทธนรเทพศาสดา ภปร. พระประธาน โดยจุดธูปเทียนเพื่อบูชาพระรัตนตรัย กราบนมัสการท่านเจ้าคุณพระเทพมงคลวิเทศเจ้าอาวาส วัดไทยลอสแอนเจลิส คณะสงฆ์เจริญพระชัยมงคลคาถา (บทชยันโต) นายกรัฐมนตรีถวายเครื่องไทยธรรมแก่เจ้าอาวาสวัดไทยลอสแอนเจลิส


     
จากนั้นผู้แทนของวัดไทยในแอลเอ กล่าวถึง การจัดงานผ้าป่าสามัคคีของชุมชนในนครลอสแอนเจลิสและเมืองใกล้เคียง เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในประเทศไทย พร้อมเชิญนายกรัฐมนตรีรับมอบเงินบริจาคจำนวน 30,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ1ล้านบาท จากเจ้าอาวาสวัดไทยลอสแอนเจลิส โดยบรรยากาศโดยรอบวัดเป็นไปอย่างคึกคัก มีคนไทยจำนวนมากมารอต้อนรับโดยรอบอุโบสถ 


โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวพูดคุยกับชุมชนและผู้มาต้อนรับ ผ่านเสียงตามสายจากอุโบสถว่า “รู้สึกยินดีมากที่ได้พบปะคนไทยในชุมชนไทยนครลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นชุมชนไทยที่ใหญ่ที่สุดในต่างประเทศ พร้อมขอบคุณสำหรับการต้อนรับอย่างอบอุ่น หากเป็นไปได้จะขอชวนคุณพ่อมาร่วมคณะในโอกาสที่เหมาะสม"

      
ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมและยกย่องคนไทยในต่างประเทศว่าเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีค่าต่อประเทศไทย หลายคนมีโอกาสทั้งด้านการศึกษา ด้านอาชีพการงาน และเครือข่ายทางสังคมที่กว้างขวาง รวมทั้งประสบความสำเร็จในหลายสาขาอาชีพ ขอให้คนไทยในต่างประเทศและสหรัฐ ฯ  หากมีโอกาสที่อยากจะทำงานในประเทศไทยช่วยกันชักชวนลูกหลานที่มีความรู้ ความสามารถให้กลับไปทำงานที่เมืองไทยมากขึ้น ซึ่งรัฐบาลเองมีความตั้งใจที่จะทำให้ประเทศไทยมีโอกาสมากขึ้นเพื่อดึงคนไทยคนเก่งกลับมาเพื่อร่วมกันพัฒนาประเทศไทย  

     
นายจิรายุกล่าวต่อไปว่า นายกรัฐมนตรีชื่นชมบทบาทของชุมชนไทยที่ช่วยสืบสานวัฒนธรรม ศาสนา และภาษาไทยให้เยาวชนรุ่นใหม่ อีกทั้งยังมีส่วนช่วยเสริมสร้างความสามัคคีและเข้มแข็งในชุมชนขอให้ชุมชนไทยสามัคคีกัน เสริมสร้างความเข้มแข็ง รัฐบาลจะดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อพัฒนาความก้าวหน้า ยกระดับเศรษฐกิจให้ครอบคลุมทุกภาคส่วน เพื่อให้ประเทศไทยก้าวสู่อนาคตที่มั่นคงและยั่งยืน 

   
จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้เดินเยี่ยมชมตลาดนัดบริเวณในวัดไทย ที่มีการจัดซุ้มอาหาร เครื่องดื่ม พร้อมทั้งร่วมชมการแสดงรำอวยพร โชว์ศิลปะการต่อสู้ มวยไทย จากน้องๆ เด็กนักเรียนจากโรงเรียนวัดไทยในแอลเอ  และน้อง ๆ นักแสดงได้มอบมาลัยให้นายกรัฐมนตรีเป็นที่ระลึก ก่อนเดินทางกลับที่พักด้วย

     
นายจิรายุกล่าวต่อไปว่าจากการสอบถามคนไทยที่มาร่วมงานต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าดีใจที่นายกรัฐมนตรีได้มีโอกาสมาพบปะคนไทยในต่างแดนหลายท่านไม่เคยกลับไปเมืองไทยเป็นสิบปี และดีใจที่วันนี้ประเทศไทยมีศักยภาพเป็นที่รู้จักของคนอเมริกันและฝากให้กำลังใจทุกคนที่อยู่เมืองไทยขอให้มีความสุขและขอให้เศรษฐกิจเมืองไทย กลับมาคึกคักอีกครั้ง


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #นายกแพทองธาร








วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

ศาลอุทธรณ์ยกคำร้องประกันตัวทุกฉบับของ “อานนท์ - ขนุน สิรภพ” แม้ทั้งสองยืนยันสู้คดีถึงที่สุด ไม่หลบหนี รอผลพิจารณากฎหมายนิรโทษกรรมประชาชน

 


ศาลอุทธรณ์ยกคำร้องประกันตัวทุกฉบับของ “อานนท์ - ขนุน สิรภพ” แม้ทั้งสองยืนยันสู้คดีถึงที่สุด ไม่หลบหนี รอผลพิจารณากฎหมายนิรโทษกรรมประชาชน


วันนี้ (11 พฤศจิกายน 2567) ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เปิดเผยข้อมูลว่า ตั้งแต่เมื่อวันที่ 5 พ.ย. 2567 ทนายความยื่นคำร้องขอประกันตัว “อานนท์ นำภา” ทนายความสิทธิมนุษยชน อายุ 39 ปี และ “ขนุน” สิรภพ พุ่มพึ่งพุทธ นักศึกษาปริญญาโท อายุ 23 ปี ต่อศาลอาญาและศาลอาญากรุงเทพใต้ จากกรณีที่ทั้งสองคนถูกคุมขังระหว่างอุทธรณ์ในคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112


ในครั้งนี้ ยื่นประกันตัวอานนท์ใน 4 คดี ต่อศาลอาญาและศาลอาญากรุงเทพใต้ ส่วนขนุนยื่นประกันตัว 1 คดีต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ โดยศาลอาญาและศาลอาญากรุงเทพใต้ ได้ส่งคำร้องทุกฉบับให้ศาลอุทธรณ์เป็นผู้พิจารณาออกคำสั่ง


อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 6 พ.ย. 2567 ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกคำร้องทุกฉบับของผู้ต้องขังทางการเมืองทั้งสองราย โดยในส่วนของอานนท์ทุกฉบับ มีใจความระบุว่า พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว และโทษที่ศาลชั้นต้นลงแก่จำเลย ประกอบศาลอุทธรณ์และฎีกาเคยมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ประกันตัวในระหว่างอุทธรณ์ เนื่องมาจากเกรงว่าจะหลบหนี จึงไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม ยกคำร้อง


ส่วนในกรณีของขนุน ศาลอุทธรณ์ระบุว่า พิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหาและพฤติการณ์แห่งคดี ประกอบพยานหลักฐานที่ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว ข้อหามีอัตราโทษสูง การกระทำของจำเลยที่ 1 มีลักษณะก่อให้เกิดความเสื่อมเสียสู่สถาบันกษัตริย์ ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุก ประกอบกับศาลอุทธรณ์เคยไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 1 ในระหว่างอุทธรณ์มาแล้วหลายครั้ง และศาลฎีกาก็เคยมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 1 ในระหว่างอุทธรณ์มาแล้ว และเหตุตามคำร้องไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม จึงไม่อนุญาต ให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 1 ในระหว่างอุทธรณ์ ให้ยกคำร้อง


ศูนย์ทนายฯ รายงานด้วยว่า อานนท์ถูกคุมขังมากว่า 1 ปี 1 เดือนเศษ ซึ่งหากรวมการขอยื่นประกันตัวในระหว่างอุทธรณ์ทั้ง 4 คดี มีคำร้องทุกฉบับรวมกันกว่า 31 ฉบับ (จากการยื่นจำนวนรวม 13 ครั้ง) โดยศาลชั้นต้นส่งให้ศาลอุทธรณ์เป็นผู้พิจารณาสั่งประกันตัวทั้งหมด และศาลอุทธรณ์ก็ยกคำร้องทุกฉบับเรื่อยมา


ส่วนขนุน ถูกพิพากษาให้จำคุก 2 ปี ในคดีมาตรา 112 กรณีปราศรัยในการชุมนุม #18พฤศจิกาไปราษฎรประสงค์ บริเวณสี่แยกราชประสงค์และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อวันที่ 18 พ.ย. 2563 ซึ่งภายหลังฟังคำพิพากษา ทนายความได้ยื่นขอประกันสิรภพในชั้นอุทธรณ์ แต่คำร้องดังกล่าวถูกส่งไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณา โดยศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกคำร้อง ทำให้สิรภพถูกคุมขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มาตั้งแต่วันที่ 25 มี.ค. 2567 และมีการยื่นประกันตัวเป็นจำนวนกว่า 10 ครั้งแล้วในปีนี้

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #อานนท์นำภา #ขนุนสิรภพ #สิทธิประกันตัวประชาชน #นิรโทษกรรมประชาชน #รวม112

“ลิณธิภรณ์” คาใจ “ธนาธร-พิธา” เป็นผู้ช่วยหาเสียงได้ไม่มีใครว่า แต่ “ทักษิณ” ถูกกล่าวหาครอบงำพรรค ยันป็นสิทธิทางการเมือง ถาม ปั่นกระแส “Mou 44” เชื่อมโยงอดีตนายกฯ ประชาชนได้ประโยชน์อะไร?

 


ลิณธิภรณ์” คาใจ “ธนาธร-พิธา” เป็นผู้ช่วยหาเสียงได้ไม่มีใครว่า แต่ “ทักษิณ” ถูกกล่าวหาครอบงำพรรค ยันป็นสิทธิทางการเมือง ถาม ปั่นกระแส “Mou 44” เชื่อมโยงอดีตนายกฯ ประชาชนได้ประโยชน์อะไร?


เมื่อวันที่ 11 พ.ย.2567 น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ และรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวตอบโต้กระแสการมุ่งโจมตี นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ช่วยหาเสียงเลือกตั้ง นายศราวุธ เพชรพนมพร เป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) อุดรธานีว่า สถานะของ นายทักษิณ คือผู้ช่วยหาเสียงที่ถูกต้องตามกฎหมาย ประกอบกับปัจจุบันไม่ได้รับโทษใด ๆ ตามกระบวนการยุติธรรม จึงย่อมมีสิทธิพลเมืองขั้นพื้นฐาน อย่างสิทธิทางการเมืองในฐานะประชาชนคนไทยคนหนึ่ง ที่จะรณรงค์หาเสียงให้ นายศราวุธ เป็นบุคคลที่สมควรได้รับการเลือกตั้งเพื่อชาวอุดรธานีได้สถานะการเป็นผู้ช่วยหาเสียง


ยังปรากฏทั้งทางนิตินัยและพฤตินัยว่า นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ซึ่งล้วนถูกตัดสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้ง กลับยังเคลื่อนไหวสนับสนุนกลุ่มการเมืองของตนเองอยู่ทั้งสิ้น แต่ปรากฏว่ากลับมีกระแสจากบางฝ่ายมุ่งอคติปิดตาข้างเดียว เลือกข้างโจมตี โดยไม่ตั้งคำถามถึงการครอบงำของอดีตผู้นำพรรคทั้ง 2 คนต่อพรรคการเมืองในปัจจุบัน จึงไม่อาจมองข้ามไปได้ว่า ขบวนการส่งต่อข้อมูลข่าวสารเช่นนี้ ยิ่งทำให้สังคมแตกแยกและเข้าใจผิดในวงกว้าง


เลิกสร้างมาตรฐานผลักไสอดีตนายกฯ ทักษิณ อยู่เหนือกฎหมาย การเป็นผู้ช่วยหาเสียงก็ไม่ต่างจากอดีตหัวหน้าอนาคตใหม่และพรรคก้าวไกล จึงฝากถึงพวกนักปั่นที่ชอบบิดเบือนข่าวสาร มุ่งหวังแต่ผลทางการเมืองทั้งหลาย ยุยงคนในชาติแตกแยก


ทั้งกรณีพื้นที่ทับซ้อน MOU 44 ไทย-กัมพูชา หรือเชื่อมโยงอดีตนายกฯ ทักษิณ ครอบงำพรรคเพื่อไทย ถามว่าประชาชนได้ประโยชน์อะไรกับเรื่องเหล่านี้” น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าว

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #เพื่อไทย #ทักษิณชินวัตร #MOU44

วันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

อ.ธิดา-หมอเหวง พร้อมญาติผู้วายชนม์ ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ "จ๋า-ผู้หญิงยิงฮอ" และมิตรร่วมรบที่ล่วงลับ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าเพื่อนกันไม่ลืมกัน

 


อ.ธิดา-หมอเหวง พร้อมญาติผู้วายชนม์ ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ "จ๋า-ผู้หญิงยิงฮอ" และมิตรร่วมรบที่ล่วงลับ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าเพื่อนกันไม่ลืมกัน


วันนี้ ( 10 พ.ย. 67) เวลา 11:00 น. ณ วัดเวฬุวนาราม (วัดไผ่เขียว) ศาลาจตุรมุข เขตดอนเมือง กรุงเทพมหานคร ศาลา 1 อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ นพ.เหวง โตจิราการ และญาติผู้วายชนม์ ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับ “จ๋า” นฤมล วรุณรุ่งโรจน์ หรือ จ๋า ผู้หญิงยิงฮอ และอดีตผู้ประสานงานนปช. พร้อมทั้งมิตรร่วมรบที่ล่วงลับไปแล้ว 


อ.ธิดา กล่าวว่า เรามาร่วมกันเพื่อทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับเพื่อนเรา ซึ่งเราก็ไม่ได้บอกกันมากเพราะหลายคนก็ติดงานทอดกฐิน แต่อย่างไรก็ตามเป็นความสำคัญ ที่เป็นประเด็นสัญลักษณ์ทางการเมืองว่า เราเคยทำบุญอุทิศส่วนกุศล 10 เมษา - 19 พฤษภา แต่เพื่อนมิตรร่วมรบของเราจำนวนมากที่เสียสละชีวิตไป ทั้งการเจ็บป่วยทั้งการถูกอุ้มหาย ต่าง ๆ เหล่านี้ เพื่อเป็นการแสดงว่าเราไม่ลืม ไม่ลืมกัน เราจึงจัดงานแม้จะเรียบง่าย อย่างน้อยที่สุดเราก็จะจัดทุกปี และในเดือนนี้ก็เป็นเดือนที่เพื่อนเราเสียไม่ว่าจะเป็นจ๋า นฤมล หรือต้อย ลำลูกกา รวมถึงอีกหลาย ๆ ท่าน อาทิ หมอสง่า, บัญชา ปทุมธานี, ป้าง น้ำปั่น, อ๊อด บางนา, ต้อยบางพลัด, กำนันอนุวัฒน์, ลุงประสิทธิ์ กาฬสินธุ์ ไม้หนึง ก กุณที น้อย ห้วยขวาง เล็ก จิมทอง เลิศพระโขนง, ปรีชา บางกอกใหญ่, สมพร พญาไท, ธนวัฒน์ คลองเตย, สหายภูชนะ สหายกาสะลอง เป็นต้น


ถือว่าวันนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของงานการเมืองประชาชน ในการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ที่ล่วงลับ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าเพื่อนกันไม่ลืมกัน อ.ธิดา กล่าว ทิ้งท้าย


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #มิตรร่วมรบ




วันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

กลุ่มก้าวเมือง ปชน. ลงพื้นที่ขอนแก่น จัดเวิร์กช็อป “แฮกเมือง” ค้นหาช่องว่างนโยบายพัฒนาเมือง-ปรับปรุงให้คนทุกกลุ่มในเมืองได้ประโยชน์ พร้อมลงพื้นที่สำรวจปัญหาจริงในชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากรถไฟความเร็วสูง

 


กลุ่มก้าวเมือง ปชน. ลงพื้นที่ขอนแก่น จัดเวิร์กช็อป “แฮกเมือง” ค้นหาช่องว่างนโยบายพัฒนาเมือง-ปรับปรุงให้คนทุกกลุ่มในเมืองได้ประโยชน์ พร้อมลงพื้นที่สำรวจปัญหาจริงในชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากรถไฟความเร็วสูง 


วันที่ 8-9 พฤศจิกายน 2567 กลุ่มก้าวเมือง พรรคประชาชน พร้อมด้วยเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาเมือง นำโดย ผศ.ดร.สักรินทร์ แซ่ภู่ และ ผศ.ดร.ปูรณ์ ขวัญสุวรรณ ลงพื้นที่เทศบาลนครขอนแก่น เพื่อทำเวิร์กช็อปนโยบายการพัฒนาเมืองร่วมกับเบญจมาภรณ์ ศรีละบุตร ว่าที่ผู้สมัครนายกเทศมนตรีนครขอนแก่นของพรรคประชาชน ผ่านกระบวนการจากงานวิจัย “เมืองแฮกได้” (Hackable City) ที่มีแนวคิดหลักคือ “ประชาชนเป็นเจ้าของนโยบาย พรรคการเมืองมีหน้าที่นำนโยบายไปขับเคลื่อน” และ “เปลี่ยนจากพรรคการเมือง เป็นพรรคพัฒนาเมือง”


ณัฐพงศ์ เปรมพูลสวัสดิ์ สส.กรุงเทพฯ เขต 21 พรรคประชาชน ในฐานะผู้ประสานงานกลุ่มก้าวเมือง กล่าวว่า วัตถุประสงค์หลักในการเดินทางมาจังหวัดขอนแก่นของกลุ่มก้าวเมืองคือการจัดเวิร์กช็อปที่นำนโยบายของท้องถิ่นมาต่อยอด โดยทำการวิเคราะห์ถึงกลุ่มประชาชนที่จะได้รับประโยชน์จากนโยบายเหล่านั้น เพื่อให้นโยบายที่มีอยู่ถูกพัฒนาให้หลากหลายและครอบคลุมกับทุกคนในเมืองมากที่สุด ทั้งในแง่มุมของความครอบคลุมเชิงพื้นที่ ความครอบคลุมเชิงประเด็น และความครอบคลุมเชิงบุคคล กล่าวคือ นโยบายที่จัดทำจะต้องมีทั้งนโยบายในภาพกว้าง และนโยบายที่เจาะจงรายพื้นที่และกลุ่มคนในเมือง รวมถึงยังเป็นการค้นหาช่องว่างทางนโยบายด้วย


นอกจากการวิเคราะห์เพื่อค้นหาช่องว่างของนโยบายในปัจจุบันแล้ว กระบวนการแฮกเมืองยังมีการแลกเปลี่ยนกันให้ได้ข้อสรุปในเรื่องจังหวะก้าวของแผนงานเกี่ยวกับวิธีการที่จะทำให้สามารถผลักดันนโยบายนั้นจนสำเร็จ


ณัฐพงศ์กล่าวต่อไปว่า การแฮกเมืองของกลุ่มก้าวเมืองยังสามารถนำนโยบายที่ผ่านการคิดของว่าที่ผู้สมัครมาแล้ว มาทดสอบความเป็นไปได้และสร้างทางเลือกเพิ่มเติม ผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมของกลุ่มคนที่คาดว่าจะเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากนโยบาย เพื่อทดสอบว่านโยบายที่ผู้คิดนโยบายเชื่อว่าดีแล้ว จะเป็นสิ่งที่ประชาชนต้องการจริงหรือไม่ หากไม่ดีพอก็สามารถนำมาปรับปรุงให้เป็นตามความเหมาะสมได้ ทำให้พรรคประชาชนได้รับนโยบายที่ยึดโยงกับประชาชนอย่างแท้จริง


นอกจากการจัดเวิร์กช็อปนโยบายแล้ว กลุ่มก้าวเมืองยังได้ลงไปสำรวจและรับฟังปัญหาในพื้นที่จริง อย่างเช่นเมื่อวานนี้ (8 พ.ย.) กลุ่มก้าวเมืองร่วมกับณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน และวีรนันท์ ฮวดศรี สส.ขอนแก่น เขต 1 พรรคประชาชน ลงพื้นที่ไปยังชุมชนเทพารักษ์ 1-5 ที่ได้รับผลกระทบจากการเวนคืนที่ดินเพื่อนำไปทำโครงการรถไฟทางคู่และรถไฟความเร็วสูง ซึ่งถึงแม้การรถไฟแห่งประเทศไทยจะจ่ายเงินอุดหนุนให้ประชาชนนำไปสร้างที่อยู่อาศัยใหม่บนที่ดินของการรถไฟฯ จุดอื่นเฉลี่ยครัวเรือนละ 100,000-160,000 บาท แต่ประชาชนก็ยังมีข้อกังวลต่อเงื่อนไขสัญญาฉบับใหม่ที่อาจทำให้รู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม เช่น สัญญามีอายุสั้นเพียง 3 ปี ค่าเช่าที่เพิ่มขึ้นทุกปี และมีการกำหนดเงื่อนไขห้ามทำการพาณิชย์ 


ณัฐพงศ์กล่าวทิ้งท้ายว่า นี่เป็นตัวอย่างของนโยบายพัฒนาเมืองที่มีช่องว่าง ไม่ได้คำนึงถึงผลประโยชน์และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับคนกลุ่มต่างๆ ในเมือง โดยนอกจากกลุ่มก้าวเมืองจะนำปัญหานี้ไปเข้าสู่กระบวนการแฮกเมืองแล้ว สส.วีรนันท์จะนำเรื่องนี้ยื่นต่อคณะกรรมาธิการการสวัสดิการสังคม สภาผู้แทนราษฎร เพื่อเร่งแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชนต่อไปด้วย


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน