วันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2563
อ.ธิดา - นพ.เหวง - ก่อแก้ว นำมวลชนวางดอกไม้รำลึก 14 ปี "ลุงนวมทอง ไพรวัลย์" ทั้งนี้ "ณัฐวุฒิ" ส่งหรีดร่วมอาลัย - ด้านอ.ธิดาชี้เยาวชนที่กำลังต่อสู้อยู่ในขณะนี้เป็นการสืบทอดกระบวนการประชาชนในการต่อสู้จากอดีตมาจนถึงปัจจุบัน
วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2563
เครือข่ายคนรุ่นใหม่นนทบุรี ไฮปาร์ก ขับไล่นายกฯ หน้าห้างเซ็นทรัลเวสต์เกต บางใหญ่
เครือข่ายคนรุ่นใหม่นนทบุรี ไฮปาร์ก ขับไล่นายกฯ หน้าห้างเซ็นทรัลเวสต์เกต บางใหญ่
เมื่อเวลา 17.00 น.วันที่ 30 ต.ค. 63 ที่บริเวณห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวสต์เกต สาขาบางใหญ่ ต.เสาธงหิน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี กลุ่มเครือข่ายคนรุ่นใหม่นนทบุรี พร้อมเยาวชน นักเรียน นิสิต นักศึกษา จำนวนมาก รวมตัวกันชุมนุมปราศรัย เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่ง พร้อมรับข้อเสนอ 3 ข้อ ตามที่เรียกร้อง
ในการชุมนุมมีการแจ้งข่าวดีที่ศาลอาญายกคำร้องปล่อยตัว 4 แกนนำไมค์ รุ้ง เพนกวิน หมอลำแบ๊งค์ ทำให้ผู้มาชุมนุมโห่ร้องแสดงความดีใจ พร้อมชู 3 นิ้ว โดยมี จ่านิว สิรวิชญ์ เสรีธิวัตร นายชินวัตร จันทร์กระจ่าง แอมมี่ The Bottom Blues อาจารย์ใหญ่ขอนแก่น นายอรรถพล บัวพัฒน์ มาร่วมชุมนุมเพื่อแสดงออกถึงการเรียกร้องขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพื่อให้ลาออกจากนายกรัฐมนตรี
นายชินวัตร หรือไบรท์ กล่าวว่า วันนี้คนรุ่นใหม่นนทบุรี ได้สลับสับเปลี่ยนกันในการปราศรัยไม่ว่าจะเป็นอาจารย์ใหญ่ซึ่งเป็นแขกรับเชิญ และการนำกลุ่มอาชีวะนนทบุรีและพี่น้องสถาบันต่าง ๆ ที่มาร่วมกันวันนี้จุดประสงค์ของเราคือต้องการที่จะพูดคุยกับพี่น้องในจังหวัดนนทบุรีว่าเราจะดำเนินการอย่างไรกับการขับไล่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หลังจากนั้นจะมีการยกระดับการชุมนุมในจังหวัดนนทบุรีในวันนี้ด้วยส่วนบิ๊กเซอร์ไพรส์จะภายในค่ำคืนนี้มันไม่ทันแล้วเนื่องจากเขาปล่อยเพื่อนเรามาบางส่วนแล้ว เช่น เพนกวิน ไมค์ จริง ๆ แล้ววันนี้บิ๊กเซอร์ไพรส์เราเคยเรียกร้อง 3 ข้อคือให้รัฐบาลลาออก ให้นายกฯ ลาออกและแก้ไขรัฐธรรมนูญ เลิกคุกคามประชาชน ในเมื่อตอนนี้เราออกมาเรียกร้องแต่ทางรัฐบาลนำสิ่งที่มาให้ประชาชนคือการนำคดีมาให้ และมีการคุกคามพวกเรา ต่อไปนี้เครือข่ายนนทบุรีจะปรับจาก 3 ข้อ ให้เหลือ 1 ข้อ คือพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาต้องลาออกเร็ว ๆ นี้ มิฉะนั้นเราจะยกระดับขึ้นเป็นดาวกระจายทั่วประเทศไทย หลังจากวันนี้เชื่อว่าจะมีกิจกรรมแบบนี้ทุกวันเพื่อยกระดับขึ้นเรื่อย ๆไปในสถานที่สำคัญที่สามารถพอที่จะกดดันรัฐบาลได้อย่างแน่นอน
แอมมี่ กล่าวว่า ตนคิดว่าตนคงเซอร์ไพรส์อะไรมากไม่ได้ มีแต่มวลชน ที่เซอร์ไพรส์ตนมากกว่า ที่ตนติดมา 6 วัน ตนก็ยังต้องใช้เวลาเรียนรู้ม็อบและสังคมที่มันเปลี่ยนแปลงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ยังตามเก็บอยู่เลย วันนี้ตนมาเล่นดนตรีปราศรัยเหมือนเดิม คงหยุดไม่ได้เพราะเป้าหมายยังไม่บรรลุ เราแค่กำชัยชนะในศึกย่อย ๆ เฉย ๆ เอง เรายังไม่ได้ไปถึงจุดหมายที่ตั้งไว้ ก็ต้องสู้กันต่อไป อยากให้ปล่อยทุกคนเพราะทุกคนคือนักสู้ไม่ใช่นักโทษ ตอนอยู่ข้างในตนอึดอัดมาก อยู่กัน 26 คนในห้องเดียวกันตลอด 24 ชม. แอมมี่กล่าวทิ้งท้าย
ประมวลภาพ
กลุ่มกวี-นักเขียน-ศิลปิน-บรรณาธิกา-คนทำงานสื่ออิสระ อ่านคำประกาศ “เราคือเพื่อนกัน ด้วยความหวังและความห่วงใย” หน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร
กลุ่มกวี-นักเขียน-ศิลปิน-บรรณาธิกา-คนทำงานสื่ออิสระ
อ่านคำประกาศ “เราคือเพื่อนกัน ด้วยความหวังและความห่วงใย”
หน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร
ยูดีดีนิวส์
: 30 ต.ค. 63 เมื่อเวลา 11.00 น. กลุ่มนักเขียน บรรณาธิการ คนทำนิตยสาร ได้เดินทางมายังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร
เพื่ออ่านแถลงการณ์ให้กลุ่ม “คณะราษฎร” ที่ถูกจำขังเป็นระยะเวลาเกือบ 2
สัปดาห์แล้ว โดยลำดับแรกคุณสุชาติ สวัสดิ์ศรี ศิลปินแห่งชาติ เป็นผู้อ่านแถลงการณ์
ต่อจากนั้นก็เป็นการอ่านบทกวี 4 ท่าน เริ่มจากคุณรณกร โรจน์รัตนดำรง กวีรุ่นใหม่, คุณรอนฝัน
ตะวันเศร้า, คุณกฤช เหลือลมัย และคุณวาด รวี ที่จะมาอ่านบทกวีของคุณประกาย ปรัชญา
สำหรับแถลงการณ์ที่อ่านโดย
คุณสุชาติ สวัสดิ์ศรี ศิลปินแห่งชาติ มีความว่า
คำประกาศเราคือเพื่อนกันด้วยความหวังและความห่วงใย
การมาวันนี้ของพวกเราในฐานะกวี
นักเขียน ศิลปิน บรรณาธิการ และคนทำงานสื่อ
พวกเรามาก็เพื่อจะบอกกับเพื่อนเราที่ถูกคุกคามและถูกจับกุมอย่างไม่เป็นธรรมจนต้องเสียอิสรภาพว่าพวกเขานั้นไม่ได้โดดเดี่ยว
พวกเรามาเพื่อเป็นกำลังใจและแบ่งรับความเจ็บปวดร่วมกัน พวกเรามาเพื่อยืนยันใตเจตจำนงเสรีและจิตสำนึกที่ต้องการบอกว่าสิ่งที่พวกเขาต่อสู้เรียกร้องนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรมชัดเจน ทั้งนี้ก็เพื่อเปล่งเสียงให้ปรากฏเพื่อร่วมกันหาทางออกให้กับปัญหาของบ้านเมือง
และเพื่อนำประเทศออกจากวิกฤตเชิงโครงสร้างอันเนื่องมาจากฐานอำนาจแบบเผด็จการ
นอกจากนั้นความฝันของพวกเขาที่เปล่งเสียงออกมานั้นก็เป็นความฝันร่วมของพวกเราที่อยากจะเห็นประเทศเดินหน้าต่อไปบนเส้นทางของระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญและอยู่เหนือการเมืองอย่างแท้จริง
เราที่มาร่วมกัน
ณ ที่นี้เพื่อบอกกล่าวและเป็นประจักษ์พยานว่าข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุม นักเรียน
นักศึกษา และประชาชนหลากรุ่นหลายวัย ชัดเจน ตกผลึก และชอบธรรม
ข้อเรียกร้องดังกล่าวก็คือ
1)
เราขอให้รัฐหยุดการคุกคามประชาชนในทุกรูปแบบ ในทันที
ให้พวกเขาได้รับสิทธิการประกันตัวและต่อสู้ไปตามครรลองของกฎหมายที่เป็นธรรม
รัฐจะต้องไม่ใช้กฎหมายล้นเกิน
จับกุมผู้เห็นต่างที่มาแสดงออกอย่างสงบและปราศจากอาวุธ
และการหยุดคุกคามประชาชนนั้นให้รวมไปถึงการไม่ทำรัฐประหารที่จะพาประเทศถอยกลับไปสู่ทางตันอย่างไม่รู้จบ
2)
เรามาเพื่อยืนยันว่าบัดนี้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
คือสารตั้งต้นของปัญหาที่ใช้ตัวเองและพวกพ้องเป็นศูนย์บัญชาการของการสืบทอดอำนาจ
รูปธรรมที่ชัดเจนก็เช่น การตั้งวุฒิสมาชิกที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งเพื่อมารองรับการสืบทอดอำนาจ
แล้วก็ดึงเอาสถาบันมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองทั้งที่ควรจะปกป้องสถาบันให้อยู่เหนือการเมืองเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งการสมานฉันท์
การบริหารอำนาจแบบรวมศูนย์ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และองคาพยพ
ได้ทำให้ข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมที่แต่เดิมนั้นต้องการเพียงแค่ยุบสภา
ก็ได้สั่งสมความไม่พอใจจนกลายมาเป็นในปัจจุบัน คือเห็นว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ที่เป็นแกนกลางของตัวปัญหานั้นต้องลาออกเท่านั้น
แล้วก็ให้กลไกของรัฐสภาทำหน้าที่ต่อเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีเฉพาะกิจก่อนที่จะยุบสภา
คือการตั้ง สสร. ร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน
เพื่อยุบเลิกวุฒิสมาชิกที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง
3)
ความฝันของเรา ณ ที่นี้อีกประการหนึ่งก็คือ เราอยากเห็นสถาบันในฐานะ The Crown ที่มีความสง่างาม เป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่อยู่เหนือการเมืองและอยู่ใต้รัฐธรรมนูญที่สถาปนามาจากอำนาจของประชาชน
และสิ่งนี้เป็นความฝันร่วมที่เราทุกฝั่งฝ่ายความคิดจะต้องเปิดใจเป็นมิตรต่อกัน
ไม่จงเกลียดจงชังกัน อย่างมีความเข้าใจตรงกันว่า คำว่า “ปฏิรูป” หรือ Reform
นั้น คือการรักษาระบอบให้สง่างาม
ไม่ใช่การทำลายระบอบหรือเปลี่ยนระบอบ ดังนั้นจึงต้องเข้าใจให้ตรงกัน
ไม่ว่าจะต่างกันทางความคิดในรายละเอียดหรือทางสถานะทางชนชั้นแบบใดก็ตาม
เราก็ต้องเข้าใจกันและอยู่ร่วมกันบนกติกาที่เท่าเทียม แสวงหาวิธีที่จะสร้างให้เกิดวิถีแห่งความปกติทางการเมือง
สร้างความสง่างามให้สถาบันที่ตั้งอยู่บนหลักของนิติรัฐนิติธรรม
ไม่อดทนต่อความเห็นต่าง
เราในฐานะกวี
นักเขียน ศิลปิน บรรณาธิการ และคนทำงานสื่ออิสระในพื้นฐานต่าง ๆ เราเชื่อพลังบริสุทธิ์ของนักเรียน
นักศึกษา และประชาชนที่ลงถนนด้วยความสงบและปราศจากอาวุธ เพื่อขอให้ท่านลาออกและหยุดการคุกคาม พวกเขาทั้งหลายมาชู 3 นิ้ว เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของคำว่า
เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ ของการเห็นคนเท่ากันในเชิงโครงสร้าง
และต่างยังเชื่อมั่นในสันติวิธี ในเหตุผล ในความง่าย ในความงาม ในความจริงใจ
พวกเขาเหล่านั้นเชื่อว่าความยุติธรรมและความปกติทางการเมืองจะยังคงเป็นไปได้ในสังคมนี้
และดังนั้นพวกเขาจึงขอแล้วขออีกให้ท่านหยุดข่มขู่คุกคาม ให้พวกเขาได้ใช้สิทธิตามกระบวนการของกฎหมายที่เป็นธรรม
พวกเขาไม่ได้ขอมากเกินไปเลย
จงปล่อยเพื่อนเราโดยไม่มีเงื่อนไข
และหยุดข่มขู่คุกคาม พวกเขาทั้งหลายนั้นเป็นอนาคตของประเทศ
เป็นปีกฝันแห่งความเปลี่ยนแปลง ส่วนพวกเราเป็นเพียงลมใต้ปีกของพวกเขาเท่านั้น
และลมใต้ปีกจะมีอยู่ตลอดไปในนามแห่งความหวังของราษฎร
และความปรารถนาของมวลชนที่ต้องการจะเห็นประเทศก้าวพ้นไปจากกับดักความพินาศ
ถอยก้าวแรกของท่านโดยการลาออกเถิด แล้วท่านจะสง่างาม มีแต่ทางนี้เท่านั้นที่ประเทศจะพ้นไปจากกับดักแห่งอำนาจ
อย่าหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความเกลียดชังให้เพิ่มมากขึ้นอีกเลย
นี่เป็นความห่วงใย
เป็นความกังวล ที่พวกเราทุกคน ไม่ว่าจะมีความเห็นทางการเมืองต่างกันอย่างไร อยู่กันคนละฝั่งแบบไหน
เราก็ต้องอยู่ร่วมกันไปให้ได้ต่อไปทั้งบนแผ่นดินและแผ่นฟ้าเดียวกัน
หยุดทำร้ายราษฎร
หยุดทำลายอนาคต โปรดอย่าทำให้อนาคตไม่มีอนาคต
จากกวี
นักเขียน ศิลปิน บรรณาธิการ และสื่อมวลชนอิสระ
เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร
30
ตุลาคม 2563
*******
บทกวีของ “คุณรณกร โรจน์รัตนดำรง” กวีรุ่นใหม่
(เขียนเมื่อ 13 ต.ค. 63)
วันนี้มวลเมฆมหาศาล ฝนหลั่งกังวานจะร่วงระเบ็งลือชา
วันนี้พฤกษพรรณวรรณาพวงพุ่มผกา
จะระบัดระบำอำนวยพร
วันนี้น้ำนิ่งสิงขรสถลชลธร จะคลอนขยับครามโครม
วันนี้ผิวเนื้อเหงื่อโทรม จะไหลประโลมละเลงปลุกเนื้อดินตาย
วันนี้ถ่านเถ้าธุลีทราย จะคลุ้งขจายตลบกลบแสงสุริยัน
วันนี้เกลียวหญ้าสามัญ จะเกี่ยวกรกันตวัดเป็นทุ่งสีทอง
วันนี้ธรณีจะเนืองนองเนืองแน่นพี่น้อง
เข้าพลิกฟ้าราบบรรลัย
วันนี้ราษฎรจะชิงชัย วันนี้ราษฎรจะชิงชัย
จงหลีกครรไลให้มหาราษฎรดำเนิน
*******
ชื่อบทกวี “เราจะดื่มสายรุ้ง”
โดย “คุณรอนฝัน ตะวันเศร้า” กวีรุ่นใหม่
วันหนึ่งเราจะได้เจอกัน
ในวันที่สายรุ้งลากเส้นผ่านฟ้าได้ยาวพอ
เพื่อให้ทุก
ๆ คนได้ดื่มอย่างเท่าเทียม
ในทุกแก้วและในทุกการกลืน
อดทนเพื่อฟังเสียงหวีดหวิวไร้ภาษา
มาเนิ่นนานหลายพุทธศตวรรษ
และในศักราชของเราการรื้อสร้างได้ถูกยิงออกไปแล้ว
การรื้อสร้างได้ถูกยิงออกไปแล้ว
มันถูกยิงขึ้นฟ้าไปแล้ว
ดั่งรอยสักที่นานวันก็ยิ่งซึมลึก
กลายเป็นคำจารึกทางมานุษยวิทยา
ว่าการยอมถอยหลังจะไม่มีอีกต่อไป
เสียงหวีดหวิวจะเปล่งพยางค์สุดท้าย
แมงมุมตัวใหม่กำลังขึ้นใยเป็นครั้งแรก
โมงยามเดียวกับแม่น้ำที่กำลังเปลี่ยวร้าง
ความฝันบินว่อนกลิ่นไอหมอก
และความขลาดเขลาจะค่อย
ๆ เน่าเปื่อย
วันนั้นเราจะดื่มสายรุ้งด้วยกัน
#หยุดคุกคามประชาชน #ปล่อยเพื่อนเรา
*******
บทกวีจาก
“คุณกฤช เหลือลมัย” นักเขียนและพ่อครัวผู้ทำอาหารอย่างเก่งกาจ
ครั้งแล้วครั้งเล่าของโศกนาฏกรรม
ข้าพบว่าเพียงเพื่อตื่นจากฝันร้าย
มีชีวิตต่อไปโดยปราศจากมิตรสหายมักคุ้น
ดื่มและอาบน้ำจากธารสายเก่า
ท่องบทสวดต่อหน้ารูปเคารพอันเคยเชื่อถือศรัทธา
ข้าต้องเลือกทรงจำและลืมเลือน
โอ..แต่ข้าจะทำอย่างไรเล่า
หญิงสาวแห่งแสงตะวัน
ชายหนุ่มแห่งหมู่ดาว
รอยยิ้มเสียงหัวเราะและเรื่องเล่า
บทสนทนาเหล่านั้นเคยมีอยู่จริง
ๆ
ที่การหลับใหลยาวนานเพียงใดก็ไม่อาจทำให้ลบเลือนไปได้
เรื่องดีที่สุดสำหรับผู้ที่ต้องมีชีวิตต่อไปก็คือ
หลายสิบปีมาแล้วที่ข้าเพียรเสาะหา
ข้าเสาะหามวลไม้ที่แทงยอดลงต่ำ
พยัคฆ์ที่เสพพืชผลผักหญ้าเป็นภักษาหาร
จงอางที่ไม่หวงไข่
ข้าเสาะหาเลือดที่เปลี่ยนสีไปตามน้ำ
น้ำที่ไม่เคยแยกสาย
ฟืนที่ไม่กำเนิดไฟ
และข้าเสาะหาไฟ
ไฟที่ไม่เผาไหม้กำแพงคุก
ไม่หลอมละลายโซ่ตรวนแห่งการจองจำ
ข้าเสาะหาลมที่ไม่พัดผืนธงหลากสีปลิวสะบัด
ดินที่ไม่ยอมกลบฝังหลุมศพเสรีชนและผู้คนที่สยบยอมความอยุติธรรม
ข้าเสาะหาคนที่สยบยอมต่อความอยุติธรรม
ข้าเสาะหาผู้คนที่สยบยอมต่อความอยุติธรรม
ไม่เคย...ข้าไม่เคยพบเลย...ข้าไม่เคยพบเลย
นั่นอาจดีที่สุดสำหรับผู้ที่ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป
ในฝันร้ายที่หมายหลับใหลพวกเราอีกครั้ง
ข้ายินดียิ่งนักที่ตื่นอยู่ในโลกอนาคตที่เต็มไปด้วยความหวัง
ในดวงตาของท่านทั้งหลาย.
*******
ชื่อบทกวี “เหตุผลง่าย ๆ”
เขียนโดย “คุณประกาย ปรัชญา”
อ่านโดย
คุณวาด รวี นักเขียนและบรรณาธิการ
เพื่อรูปการเปลี่ยนแปรแม้เล็กน้อย
เพื่อรูปรอยความหวังยังวิบไหว
เพื่อเคลื่อนสิ่งเดิมห่างต่างที่ไป
ยากยิ่งสิ่งใดใหม่จักได้มา
ประวัติศาสตร์ว่ายเวียนเกิดเปลี่ยนผ่าน
ประวัติศาสตร์ลั่นดานการเปลี่ยนหน้า
ลั่นดานบ้านเมืองเชื่องชินชา
รถถังรัฐฎาศักดินาธิปไตย
ทุกยุคจับกุมกวาดคุมขัง
ไพร่ยังเหลือจึงยังสังหารไพร่
ตายก่อนประกาศกล้าประชาชัย
ตายเกลื่อนใยเติบกล้าประชาชน
ทุกยุคตื่นรอต่อยอดสู้
กดปืนข่มขู่อยู่เข้มข้น
เหตุใดไม่จำไม่จำนน
เหตุผลสภาวะอยุติธรรม
เราไม่เชื่องไม่ชินกลิ่นตีนทหาร
เสรีภาพหอมหวานเถอะบานค่ำ
เราไม่ลดละใจไม่หลาบจำ
ยิ่งคุมขังยิ่งตอกย้ำอำนาจเลว
เหลือจะจมขมไหม้ในปรักมืด
ปรักที่ยืดยาวเห็นเป็นหุบเหว
เหลือสักเศษเสี้ยวเชื้อเพื่อสักเปลว
เราแลกความล้มเหลวจุดเปลวไฟ
หน้าประวัติศาสตร์มิอาจเปลี่ยน
เราขอเขียนขอคั่นบรรทัดใหม่
คำน้อยถ้อยนั้นบันดาลใจ
บันดาลจนภาพใหญ่ได้เปลี่ยนแปลง
สะสมรูปการผ่านสิ่งน้อย
สะสมรูปรอยค่อยทอแสง
เพื่อชนรุ่นหลังยังเชี่ยวแรง
นำตกแต่งอนาคตหมดจดตา
เทียบชีวิตใช้สิทธิ์ชีวิตนี้
เราอาจวาดวิถีที่ดีกว่า
ทิ้งรอยโลกเก่าที่เรามา
จักทอค่ากว่าเก่าเมื่อเราไป
ธิดา ถาวรเศรษฐ : เล่าข่าวหน้าเรือนจำ ประเด็น พล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีอะไรเหลือให้ประชาชนเชื่อมั่นอีกแล้ว!
เพนกวินฝากทนายมาบอกว่า
“คุกไม่อาจทำลายกระดูกสันหลังและความเป็นคนได้” / พล.อ.ประยุทธ์ไม่มีอะไรเหลือให้ประชาชนเชื่อมั่นอีกแล้ว!
ยูดีดีนิวส์ : 30 ต.ค. 63 เล่าข่าวหน้าเรือนจำฯ กับ อ.ธิดา ผ่านการทำ Facebook Live ที่แฟนเพจ อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ และ Youtube Live ช่อง UDD news Thailand เมื่อวันที่ 29 ต.ค. 63 เริ่มการสนทนาโดย อ.ธิดา เล่าว่า เท่าที่ทราบแดน 1 ก็จะมีคุณสมยศ พฤกษาเกษมสุข และเอกชัย หงส์กังวาน ส่วนแดน 2 (แดนเดียวกับณัฐวุฒิ) ก็จะมี เพนกวิน พริษฐ์ ชิวารักษ์, ทนายอานนท์ นำภา, ไมค์ ภาณุพงศ์ จาดนอก และ “เพนกวิน” ฝากข้อความผ่านทนายมาว่า “คุกไม่อาจทำลายกระดูกสันหลังและความเป็นคนได้”
อ.ธิดา อธิบายความว่า เยาวชนที่อยู่ในเรือนจำเหล่านี้ยังแข็งแกร่ง และต้องการสื่อสารมายังพี่น้องว่า “ไม่ต้องห่วง” นอกจากนี้ยังสื่อสารถึงฝั่งที่จับตัวเขา ที่มองประชาชนและเยาวชนอย่างเขาเป็นศัตรูว่า แม้นคิดว่าจะจำกัดอิสระภาพและทำให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ลำบากอย่างไรก็ตาม แต่ไม่อาจทำลายความเป็นคน ไม่อาจทำลายกระดูกสันหลัง คือเขาไม่อาจ “งอ” หรือ “ก้มหัว” ให้กับสิ่งที่ไม่ถูกต้องได้!
อ.ธิดากล่าวว่า สำหรับคุณณัฐวุฒิ ดิฉันก็ทำหน้าที่เป็นผู้เล่าข่าวจากข้างนอกให้ฟัง แน่นอนก็มีผู้ที่เข้ามาอยู่ในเรือนจำแล้วได้ออกไป ก็ไปพูดนอกเรือนจำบ้าง ส่วนหนึ่งก็ขอบคุณณัฐวุฒิที่ดูแลเป็นอย่างดี ขณะเดียวกันเราก็เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเพื่อแสดงให้เห็นว่า ม็อบที่เกิดขึ้นตอนนี้มันแตกต่างจากในอดีตโดยสิ้นเชิง ทั้งวิธีคิด วิธีทำงาน และการนำ ซึ่งเป็นเรื่องที่ฝั่งจารีตนิยมและอำนาจนิยมยังไม่เข้าใจ
ยังใช้วิธีเดิมคือเอาม็อบมาเผชิญม็อบ แล้วโจมตีว่าม็อบเหล่านี้มีผู้อยู่เบื้องหลัง เช่น มีพรรคการเมืองมาชี้นำ และกลายเป็นเรื่องต่างชาติเข้ามาหนุนหลัง ซึ่งกลายเป็นเรื่องที่น่าขบขัน คือนอกจากตัวเองไม่สามารถปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปแบบที่เยาวชนเขาปรับตัวแล้ว ยังใช้วิธีคิด วิธีทำงาน แบบเดิม อ.ธิดากล่าว
ดังนั้นจึงมีคนแบบเดิมเช่น คุณสนธิ ออกมาพูดเป็นทำนองว่าขณะนี้เงื่อนไขของการรัฐประหารซึ่งเขาใช้คำพูดว่า “ปฏิวัติ” อ.ธิดากล่าวว่า พวกนี้สับสนกับคำว่า Revolution คำว่า “ปฏิวัติ” นั้นใช้ไม่ได้กับจารีตนิยม อำนาจนิยม ใช้คำว่ารัฐประหารยึดอำนาจจากประชาชนเท่านั้น
อ.ธิดาอธิบายว่า Revolution นั้นเขาหมายถึงการเปลี่ยนแปลงการเมืองการปกครองที่ก้าวหน้า แต่ว่าคุณสนธิก็เอามาใช้ประมาณชี้นำ ก่อนหน้านั้นที่ต้องการให้มีการใช้พระราชอำนาจตามมาตรา 7 แล้วในหลวงรัชกาลที่ 9 ปฏิเสธมาแล้ว (คือคืนอำนาจให้พระเจ้าอยู่หัว แล้วเป็นคนตั้งรัฐบาล อะไรประมาณนั้น) แต่คุณสนธิวันนี้ก็ยังคิดแบบเดิม กลุ่มรัฐบาลและอำนาจนิยมทั้งหลายก็คิดแบบเดิม
โลกมันเปลี่ยน คนก็เปลี่ยน เยาวชนลูกหลายที่ออกมาเขาก็เปลี่ยน วิธีคิด วิธีทำงาน ไม่เหมือนเดิม แต่ว่ากลุ่มจารีตนิยม อำนาจนิยม ยังเหมือนเดิม!!! ก็มีคนมาชี้แนะทางออก ก็คือ ทำรัฐประหารใหม่อีกครั้ง ซึ่งดิฉันก็คิดว่ามันคงไม่ง่ายเหมือนเดิมแล้ว
วันนี้ที่ดิฉันตั้งใจจะพูดในประเด็น
พล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีอะไรเหลือให้ประชาชนเชื่อมั่นอีกแล้ว!!!
เพราะว่าจากสิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ พูด และผลของการพูดคุยในรัฐสภาตามมาตรา 165 แล้ว พล.อ.ประวิตร ก็ออกมาบอกเลยว่านายกฯ จะอยู่ต่ออีก 4 ปีตามกติกา คือพูดเหมือนไม่มีอะไรจะเกิดขึ้น พูดเหมือนมองไม่เห็นว่ามีกลุ่มเยาวชน ประชาชนนับแสนออกมาประท้วงทุกวัน แล้วบัดนี้สิ่งที่เขาเรียกร้องก็คือให้นายกฯ ออกไป และสอดคล้องกับฝ่ายค้านในรัฐสภา
แต่แน่นอนพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลก็ยังชื่นชม ซึ่งทำให้พล.อ.ประยุทธ์อาจจะยิ่งเข้าใจผิด มองว่าประชาชนส่วนใหญ่สนับสนุนท่าน และสิ่งที่ท่านทำมานั้นถูกต้องมาตลอด นั่นก็คือทำรัฐประหารเพื่อแก้ปัญหาในยุคนั้น (รัฐบาลยุคนั้นเลว) คนที่ออกมาสนับสนุนรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งและต่อต้านการทำรัฐประหารนี่ก็เป็นพวกที่เลว
เพราะงั้นท่านก็คือซุปเปอร์ฮีโร่และเป็นมาจนถึงปัจจุบันนี้
อันนี้ที่ดิฉันมองว่าฝ่ายจารีตนิยมทั้งหลาย
ไม่ว่าจะเป็นท่านนายกฯ รวมทั้งคนอื่น ๆ ซึ่งยินดีสนับสนุนการทำรัฐประหาร
การสืบทอดอำนาจ ได้ออกมาแสดงตัว แสดงความคิดเห็นชัดเจน
ดิฉันอยากจะบอกว่ามันตรงกันข้าม
ในทัศนะของดิฉันนั้น พล.อ.ประยุทธ์ไม่มีอะไรเหลือให้เกิดความเชื่อมั่น ในขณะที่ท่านคิดว่าท่านเป็นซุปเปอร์ฮีโร่ ท่านเป็นคนดี ท่านทำถูก ท่านกู้บ้านกู้เมือง เพียงแต่ท่านสนใจศึกษาข้อมูลที่แตกต่าง ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการใหม่ ๆ นักวิชาการสายที่ก้าวหน้าที่อยู่ข้างประชาชน ท่านนั่งอ่านเงียบ ๆ ก็ได้ ถ้าท่านอ่านหนังสือเหมือนกับเด็ก ๆ รุ่นนี้ ดิฉันคิดว่าบางทีความคิดท่านอาจจะเปลี่ยนไปบ้าง แน่นอนจุดยืนท่านไม่เปลี่ยน แต่ว่าข้อมูลด้านอื่น ๆ มันอาจจะได้เข้าไปสู่ทางความคิดบ้าง เพราะว่าท่านไม่แปลกใจหรือว่าทำไมเด็ก ๆ เยาวชนพวกนี้ถึงสามารถออกมาเป็นกองหน้าได้
ใคร ๆ ก็ออกมาเป็นกองหน้าได้ ถ้าหากว่า
1)
เขามีจุดยืนที่ถูกต้อง
2)
เขามีองค์ความรู้ที่ถูกต้อง
3)
เขามีวิธีคิดและวิธีทำงาน ที่ถูกต้อง
และที่สำคัญทั้งหมดต้องสอดคล้องกับความเป็นจริง
นั่นจึงจะประสบชัยชนะในการนำพาประชาชนได้
แต่ดิฉันบอกได้เลยว่าท่านไม่มีทั้ง 3 อย่าง จุดยืนท่านก็ไม่ถูก เพราะท่านไม่มีจุดยืนอยู่ที่ประชาชน ไม่ได้มีจุดยืนอยู่ที่ระบอบประชาธิปไตย ข้อมูลองค์ความรู้ท่านก็เอาแต่เฉพาะในส่วนที่มีข้างเดียว ขับเคลื่อน-เขียน-พูด โดยฝ่ายจารีตนิยม อำนาจนิยมด้านเดียว วิธีคิด วิธีทำงาน ก็ไม่ได้สอดคล้องกับความเป็นจริงในปัจจุบัน ในขณะที่เยาวชนได้พัฒนาทั้ง 3 อย่างนี้ ในท่ามกลางเวลาซึ่งคนรุ่นก่อนอาจจะไม่ได้ปรากฎตัว ไม่ได้แสดงตัว เขามีจุดยืน เขามีองค์ความรู้ แต่วิธีคิด วิธีทำงาน อาจจะไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงเหมือนกับเยาวชนปัจจุบัน
ดิฉันอยากจะบอกว่า ทำไมถึงไม่มีอะไรเหลือให้น่าเชื่อถือ เพราะว่าต้นทุนของท่านนั้นจริง ๆ ตั้งแต่ปี 53 การที่ท่านเข้าไปปราบปราม แน่นอนความรับผิดชอบสูงสุดอยู่ที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะและนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่เป็นคนเซ็นในฐานะผู้รับผิดชอบ แต่การกระทำกับประชาชนอย่างเหี้ยมโหดในปี 53 หมายความว่าอันนี้มันอยู่ในบัญชีของความทรงจำอยู่แล้ว
จากนั้นมีการเล่นละคร 2 หน้า คือด้านหนึ่งก็เป็น ผบ.ทบ. ที่ดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับนายกฯ แต่ในขณะเดียวกันก็เข้าสู่ทฤษฎีสมคบคิดก็ได้ นั่นก็คือมีรายละเอียดที่แม้กระทั่ง สุเทพ เทือกสุบรรณ ก็เปิดเผยว่าได้มีการติดต่อสัมพันธ์กันดีมาตลอด ก็เข้าข่าย 2 หน้า หน้าหนึ่งต่อรัฐบาล อีกหน้าหนึ่งต่อฝั่งที่ต้องการล้มรัฐบาล
ดังนั้นต้นทุนของท่านที่หมดไป ตั้งแต่การปราบประชาชนอย่างโหดเหี้ยมปี 53 แล้วมาจนกระทั่งการทำรัฐประหารปี 57 และการทำรัฐประหารครั้งนั้นประชาชนส่วนหนึ่งก็ยังให้โอกาส ไม่มีการลุกขึ้นมาต่อสู้ เพราะท่านบอกว่าขอเวลาอีกไม่นาน แล้วแผ่นดินที่งดงามจะกลับมาเหมือนเดิม มันงดงามที่ไหน? แล้วอีกเพลงก็เป็นเพลงสะพาน เข้าทำนองว่าอยากจะแต่งเพลงประมาณ Bridge Over Troubled Water แต่สะพานของท่านข้ามมหาสมุทรหลายรอบแล้วก็ยังไม่ถึงฝั่ง
หมายความว่าจากปี 57 มาจนกระทั่งมีการเลือกตั้งในปี 62 ประชาชนให้โอกาส สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือท่านไม่ได้ปฏิบัติตามคำมั่นสัญญา ก่อนหน้านั้น (หลังจากปี 53) ท่านก็บอกว่าไม่ทำรัฐประหาร ไม่เป็นนายกฯ เราออกมาดักคอหลายที ท่านก็ทำทุกอย่าง เมื่อไม่เคยรักษาสัญญาเลย แล้วในที่สุดมาหลังจากปี 57 การเขียนรัฐธรรมนูญก็เป็นรัฐธรรมนูญที่เลวที่สุดตั้งแต่ประเทศไทยมีมา ในทัศนะของดิฉัน
เพราะว่ารัฐธรรมนูญอื่นเขาไม่กล้าแต่งตั้ง ส.ว. วิธีนี้ และไม่กล้าให้อำนาจ ส.ว. มาถึงขนาดนี้ พูดได้ว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่แย่ที่สุดที่ลดทอนอำนาจประชาชน ที่ดูหมิ่นประชาชน และต้องการสืบทอดอำนาจ อันนี้เป็นที่หนึ่ง (ถ้าให้คะแนน) มาจนกระทั่งท่านมาเป็นนายกฯ
สรุปว่าการอยู่ในอำนาจกว่า 6 ปี นับจากปี 57 มาจนถึง 63 ไม่ได้ทำให้ประชาชนดีขึ้นเลย นอกจากไม่รักษาสัญญา ความสามารถในการเป็นผู้นำรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ แก้ปัญหาเศรษฐกิจ รู้จักแต่สร้างหนี้แล้วก็แจกเงิน ขนาดเอาคนที่เคยทำงานกับคุณทักษิณมาทำ แต่ท่านลืมคิดไปว่าสถานการณ์เปลี่ยนไปทุกวัน โลกเปลี่ยนไปทุกวัน เพราถ้าคิดแบบจารีตก็คือทุกอย่างหยุดนิ่ง หาวิธีแก้ปัญหาแบบไหนก็ทำแบบเดิม เช่นทำรัฐประหารซ้ำแล้วซ้ำอีก ยังจะลอกแบบวิธีทำงานของไทยรักไทย ก็คิดว่ามันเป็นสูตรเดียว
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นบัญชีเลือดที่ท่านทำเอาไว้ แล้วบัญชีของการไม่รักษาสัญญา ประชาชนให้โอกาสมามาก สุดท้ายที่สุดคือการคุกคามประชาชน มีทั้งการปราบปรามที่ตอนนี้ไม่สามารถจะทำแบบเดิมได้ UN ก็ได้มีการส่งสารมาจริงจังจากเจนีวาโดยผู้เชี่ยวชาญและเรียกร้องว่ารัฐบาลจะทำแบบนี้ไม่ได้ หลายท่านก็บอกว่าแบบนี้มันผิดพื้นฐานของสิทธิเสรีภาพในการเมืองการปกครอง ไม่จำเป็นต้องเป็นระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ด้วยซ้ำ แต่ว่าทำอย่างนี้ไม่ได้!
เพราะท่านเผชิญกับม็อบของประชาชนซึ่งเป็นสันติ 100% (500% ด้วยเอ้า) แถมมีการแสดงซึ่งได้ข่าวว่าวันนี้เขาจะมีทั้งภาพ งานเขียน การ์ตูน เขาไม่มีอาวุธเลย แล้วแถมเป็นเด็ก ดังที่ดิฉันบอกแล้วว่า ม็อบหรือผู้ต่อต้านที่เป็นเยาวชนแล้วไม่มีอะไรเลยนี่น่ากลัวที่สุด แต่ท่านก็ยังทำแบบเดิม โอเคที่ท่านอาจจะลด ไม่ใช้ปืน แบบเมื่อตอนปี 53
ตอนปี 53 ไม่ต้องพูดพล่ามทำเพลง มีสไนเปอร์จากที่สูงยิงเปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง หัวกระจุย เลือดกระจายเลย ตอนนี้ก็ทำไม่ได้ แต่ใช้วิธีปราบ จับกุมคุมขัง UN เขาก็บอกว่าให้ปล่อยให้หมด
ซึ่งที่ “เพนกวิน” บอกว่าการจับกุมคุมขังไม่สามารถที่จะทำลายกระดูกสันหลังและความเป็นคนได้ คือเขาไม่ยอมงอหรอก ยิ่งจับม็อบนี้มันไม่ใช่ม็อบที่ สมมุติว่าคุณจับคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ เมื่อก่อน มีคุณสนธิ มีคุณสุเทพ แม้กระทั่งคนเสื้อแดงดิฉันจะบอกให้ เขาก็มีความเป็นตัวของตัวเองแล้วนะในยุคนี้ ไม่ใช่ว่าเขาจะต้องมีแกนนำ เพราะว่าเนื้อหาของความก้าวหน้า เนื้อหาของเป้าหมายที่เขาจะไปมันอยู่ในหัวเขา ไม่จำเป็นต้องมีแกนนำ อย่าว่าแต่เยาวชน คนเสื้อแดงในอดีตที่เขาเดินออกมาร่วม หรือกระทั่งคนทำงานซึ่งไม่เคยเป็นเสื้อสีอะไรก็ตามที่ออกมาร่วมนั้นเพราะเขามีเป้าหมายร่วมกันในการเปลี่ยนแปลงประเทศ และเขามีองค์ความรู้ เขาไม่จำเป็นมีใครมาชี้บอกให้เขาทำ 1-2-3-4-5 เขาสามารถเอาโทรโข่งออกมาจากบ้านได้
การคุกคามประชาชน ความพยายามที่จะจับกุมคุมขัง มันก็ยังเป็นสิ่งที่ทำอยู่ ดิฉันอยากจะถามว่าแล้วมันเหลืออะไร? คือคุณไม่มีเครดิตในเรื่องคำมั่นสัญญา ใครจะไปเชื่อคำพูด เพราะคุณพูดมาสารพัด ไม่ทำรัฐประหาร ไม่เป็นนายกฯ ไม่สืบทอดอำนาจ แต่ที่พูดว่าไม่นี่คุณทำทั้งนั้น อย่างคุณสุจินดาพูดหนเดียวนะ ผิดสัญญาครั้งเดียวคนยังยอมรับไม่ได้ ถามว่าคุณผิดสัญญามากี่ครั้ง
สุดท้ายความไม่สามารถของคุณ ต่อให้คุณผิดสัญญา สมมุติว่าคุณเก่งจริงนะ มีความสามารถนำพาประเทศไปได้นะ คุณอย่าอ้างเรื่องโควิดนะ อันนั้นมันเป็นผลงานของหมอซึ่งเขาเก่งอยู่แล้วในประเทศไทย ขีดความสามารถด้านสาธารณสุขไม่ใช่ความสามารถของคุณ คุณไม่มีขีดความสามารถในการนำพาประเทศ คุณไม่มีความน่าเชื่อถือในเรื่องสัญญา คุณผิดสัญญามาตลอด
สุดท้ายสิ่งที่ขัดแย้งกันกับเสรีภาพของประชาชนทั่วไปในปัจจุบัน ซึ่งคนชั้นกลางเป็นคนส่วนใหญ่ในโลก แต่คุณคุกคาม จับเยาวชนเข้าคุก วันก่อนปราบเยาวชนโดยการฉีดสีหรือใช้อาวุธอะไรก็ตาม คุณทำไม่ได้คุณก็ใช้วิธีนี้ ถามว่าแล้วมันจะมีอะไรเหลือ เพราะมันแสดงให้เห็นว่าจุดยืนของคุณก็ยังเหมือนเดิม ไม่สอดคล้องกับสิ่งที่ประชาชนเรียกร้องต้องการ
ดังนั้นคุณคืออุปสรรค สิ่งที่เขาไม่ต้องอาจจะไม่ได้บอกว่าคุณเลว 1-2-3-4-5 ไม่จำเป็น เขาไม่มีศรัทธา ไม่มีความเชื่อมั่น ไม่มีความเชื่อถือ
ดิฉันอยากจะถามว่า คุณประยุทธ์เข้าใจหรือเปล่าว่าคุณไม่ใช่ฮีโร่นะ คุณเป็นฮีโร่ของกลุ่มสุดโต่งจารีตนิยม คุณไม่ใช่ฮีโร่ของประชาชน คุณอย่าเข้าใจผิด!
“เยาวชนต่างหากที่ตอนนี้เป็นฮีโร่ของประชาชน เป็นความหวังของประชาชน คนอายุ 10 กว่าปี ไปจนถึง 20 กว่าปี เขาคือคนที่จะดูแลประเทศในอนาคต เขาไม่เอาคุณ ดังนั้นไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว ดิฉันพูดความจริงนะ ไม่เชื่อก็แล้วแต่” อ.ธิดากล่าวในที่สุด
วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2563
ธิดา ถาวรเศรษฐ : เวทีรัฐสภาจะเป็นทางออกของประเทศไทยหรือจะเป็นกลไกของฝ่ายจารีตนิยม
“ธิดา”
เผยเยาวชนที่เข้าไปอยู่ในเรือนจำมี “เต้น” ดูแลก็เบาใจได้ระดับหนึ่ง / ตั้งคำถาม...เวทีรัฐสภาจะเป็นทางออกของประเทศไทยหรือเป็นกลไกของฝ่ายจารีตนิยม!
ยูดีดีนิวส์
: 27 ต.ค. 63 เล่าข่าวหน้าเรือนจำฯ กับ อ.ธิดา ผ่านการทำ Facebook
Live ที่แฟนเพจ อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ เมื่อวันที่ 26 ต.ค. 63
โดยประเด็นแรกที่ อ.ธิดากล่าวถึงคือวันนี้ได้เข้าเยี่ยม “ณัฐวุฒิ” แบบปกติ
ทำให้ได้เห็นหลายคนที่แม้จะอยู่ในช่วงกักตัวตามมาตรการโควิดแต่สามารถคุยกับทนายได้
(ญาติยังเยี่ยมไม่ได้) อาทิ เพนกวิน พริษฐ์ ชิวารักษ์, ไมค์ ภาณุพงศ์ จาดนอก,
คุณสรยุทธ สุทัศนะจินดา เป็นต้น
อ.ธิดากล่าวว่า
เท่าที่เห็นทุกคนที่ดิฉันพูดถึงก็ดูสุขภาพดี หน้าตายิ้มแย้ม
อีกอย่างคือทั้งเพนกวินและไมค์อยู่แดนเดียวกับคุณณัฐวุฒิ
ดังนั้นคุณณัฐวุฒิก็ดูแลพวกน้อง ๆ เยาวชนเหล่านี้แบบที่เคยทำ
และคุณณัฐวุฒิเคยบอกกับดิฉันว่าเขาจะไม่คุยเรื่องการเมืองอะไรลึก ๆ
เพราะถือว่าเป็นเรื่องของน้อง ๆ ที่เขาคิดตัดสินใจเอง
ซึ่งอาจารย์ก็ได้บอกไปว่าเป็นการดีแล้วเพนกวินจะได้ลดน้ำหนัก ณัฐวุฒิบอกว่า “จะลดน้ำหนักอะไรเพราะเพนกวินยังชอบกินขนมมาก”
อ.ธิดากล่าวต่อว่า
ความที่ว่าคนเสื้อแดงและนปช.ได้เจอสถานการณ์ที่ต้องเข้าไปอยู่ในที่คุมขังบ่อย ๆ ตลอดเวลา
ก็มีความเคยชินเป็นภาวะปกติ แต่สำหรับพวกน้อง ๆ
เยาวชนเหล่านี้ตัวดิฉันเองก็เป็นห่วง โดยเฉพาะ “รุ้ง ปนัสยา”
ซึ่งอยู่ในเรือนจำผู้หญิง แต่ดิฉันหวังว่าภาพที่เห็นรัฐมนตรีมาเยี่ยม
“รุ้ง-เพนกวิน-ไมค์”
ดิฉันดูแล้วก็รู้สึกสบายใจขึ้นว่าอย่างน้อยคงไม่มีการสัญญาว่าจะได้อะไร
แต่ในเชิงจิตวิทยาเราก็น่าจะพอเชื่อได้ว่าไม่มีการรังแกไม่มีการกลั่นแกล้งใด ๆ
ในทัศนะของดิฉัน
ส่วนคนที่ดิฉันไม่ได้เห็นก็คือ
คุณสมยศ พฤกษาเกษมสุข, เอกชัย หงส์กังวาน เพราะเขาคงไม่ได้มาพบทนายในเวลานั้น ๆ
แต่ทั้งสองคนถ้าพูดง่าย ๆ ก็เป็นศิษย์เก่า ก็คงมีความเคยชินระดับหนึ่ง
หมายถึงเรื่องร้าย ๆ มากก็คงไม่เกิดขึ้น
แต่จะสะดวกสบายและได้รับการดูแลเป็นพิเศษหรือไม่ คงไม่ใช่อย่างนั้น
เพียงแต่อย่าให้มีกรณีของการข่มเหงรังแก
เพราะไม่ว่าจะคิดเหมือนหรือต่างกันอย่างไรก็ตาม
การปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมและไม่ถูกต้อง หรือการรังแกกันก็ไม่ควรเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนก็ตาม
เมื่อก่อนในกลุ่มเสื้อแดงที่อยู่ในเรือนจำเป็นคนส่วนใหญ่ แล้วมีคนเสื้อเหลืองบางคน
เช่น คนที่ขับรถทับตำรวจ หรือมือปืนป็อบคอร์น
เท่าที่ดิฉันทราบเวลาที่เขาเข้าไปอยู่ในเรือนจำเขาก็กลัวนะ
แต่ความจริงมันไม่เป็นอย่างนั้น ก็คือ “คนเสื้อแดง” ต่อให้เขาไม่ได้เป็นปัญญาชน
วิธีคิดของคนเสื้อแดงไม่ใช่วิธีคิดแบบอันธพาล เป็นวิธีคิดที่มุ่งสิ่งที่ดี ๆ
ให้เกิดขึ้นในประเทศนี้ ดังนั้นลักษณะอันธพาลที่จะไปทำร้ายคนอื่น
ดิฉันคิดว่าปกติก็ไม่เกิด เพราะงั้นเราจะพบว่าในม็อบของเยาวชนเท่าที่ดิฉันสังเกต
คนใส่เสื้อเหลืองเดินเข้าไปก็ได้
แม้กระทั่งทนายนกเขาที่เข้าไปอยู่กลางวงก็บอกว่าไม่มีปัญหาอะไร
สำหรับเยาวชนที่เข้าไปอยู่ในเรือนจำก็เบาใจได้ระดับหนึ่ง
แต่อย่างไรก็ตามหลายคนก็ยังเรียนหนังสือก็ควรจะได้ออกไปเพื่อไปเรียนไปสอบ
แม้กระทั่งคนที่ไม่ได้เรียนก็ตาม
คือคนที่มีความคิดต่างทางการเมืองและไม่ได้ทำความผิดอะไร
ไม่สมควรจะมาอยู่ในเรือนจำ นี่เป็นทัศนะของดิฉัน
อ.ธิดายังกล่าวอีกว่า
ที่ผ่านมาแกนนำเสื้อแดงและคนเสื้อแดงก็เหมือน “พลีชีพ”
เพื่อความอยุติธรรมอันนี้มาโดยตลอด และยังไม่สิ้นสุด ยังมีคดีความอีกมากมาย
เพื่อที่จะให้สังคมมองเห็นว่าเพียงคนเห็นต่าง
เพียงคนออกมาแสดงความคิดเห็นทางการเมืองโดยสันติ แล้วจะต้องติดคุกติดตะรางเป็นสิบ
ๆ ปี หรือแม้กระทั่งคดีแพ่งอะไรก็ตาม มันสมควรแล้วหรือ?
สำหรับสถานการณ์ทางการเมือง
อ.ธิดา ได้ตั้งประเด็นสนทนาในวันนี้คือ
เวทีรัฐสภาจะเป็นทางออกของประเทศไทยหรือจะเป็นกลไกของฝ่ายจารีตนิยม
อ.ธิดากล่าวว่า
วันก่อนที่นายกฯ บอกว่า “ถอย” โดยการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินร้ายแรงและเปิดรัฐสภา
ในทัศนะดิฉันนั้น ไม่ได้ถอยเลย!
“คุณยกเลิก
พ.ร.ก.ฉุกเฉินร้ายแรง เพราะว่ามันบังคับใช้ไม่ได้และถูกประณามจากทั่วโลก
มันไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย เพราะคุณจะมาใช้กับเด็กที่ไม่มีอาวุธ
ไม่มีอะไรเลยและเป็นเยาวชนด้วย คุณใช้ไม่ได้ แม้กระทั่งคุณฉีดน้ำ ฉีดสี
ในขณะที่ตอนคุณปราบคนเสื้อแดง คุณยิงด้วยอาวุธจริง ทั้งจากที่ลับและที่แจ้ง
แล้วก็บอกว่าเป็นเขตใช้กระสุนจริงอย่างไม่มีความอายเลยว่ากระทำต่อประชาชนที่มือเปล่า”
อ.ธิดากล่าว
มาถึงขั้นนี้บอกว่า
“ถอย” ดิฉันว่า “ไม่ถอย” เพราะว่าญัตติที่รัฐบาลเสนอ
ไม่ใช่ญัตติที่เริ่มต้นด้วยข้อเรียกร้องของกลุ่มเยาวชน ประชาชน
เอาข้อเรียกร้องนั้นมาเพื่อศึกษาและแสดงความคิดเห็นเพื่อดูว่าประเทศจะหาทางออกยังไง?
มันไม่ได้เริ่มต้นด้วยอย่างนั้น
แต่มันเริ่มต้นด้วยญัตติที่ประมาณว่าจะหาเรื่องหาราวกับกลุ่มเยาวชนโดยที่ตั้งข้อหาซึ่งร้ายแรงมากในมาตรา
110 ถึงกับขั้นประทุษร้ายสมเด็จพระราชินี ซึ่งดิฉันคิดว่าประเด็นเหล่านี้จริง ๆ
แล้วต้องทำความจริงให้ปรากฎว่าปัญหามันเกิดจากอะไร แต่มันไม่ควรจะเป็นญัตติในรัฐสภา
รัฐสภามันต้องเป็นญัตติในการหาทางออกให้กับประเทศ ใช้เวลาให้เหมาะสม
ให้เกิดประโยชน์ แต่ถ้าคุณจะเอาเรื่องเด็ก คุณก็ต้องทำความจริงให้ปรากฏ!
นอกจากญัตติที่นำเสนอไม่สอดคล้องกับการหาทางออกของประเทศ
มันไม่ใช่ทางออกแล้ว (เป็นทางตรงข้าม) ผู้ที่ออกมาพูดคือ คุณไพบูลย์ นิติตะวัน,
คุณปารีณา ไกรคุปต์, คุณสิระ เจนจาคะ แปลว่าคนเหล่านี้ล้วนเป็นดาวยั่ว ดาวร้าย
ที่จะทำให้สถานการณ์รุนแรงขึ้น ใช่หรือเปล่า?
เพราะว่ามันไม่ได้เริ่มต้นด้วยการหาทางออกของประเทศ
แต่ประมาณว่ามาฟ้องร้องและอยากจะทำให้เรื่องขยายโดยการมาเอาผิดกับนักเรียน
นักศึกษา ประชาชน ในข้อหาร้ายแรงด้วยหรือเปล่า? อ.ธิดาตั้งคำถาม
ดิฉันคิดว่าการเปิดเวทีรัฐสภาครั้งนี้เป็นอย่างหลัง
คือไม่ใช่ทางออกประเทศ แต่เป็นกลไกของจารีตนิยมที่ต้องการขยายความขัดแย้ง
(ประมาณว่ามาฟ้องร้องในหมู่ประชาชน)
แล้วผลที่เกิดขึ้น
ถ้าคุณเริ่มต้นด้วยการหาทางออกประเทศ นำปัญหามาพิจารณา เช่น
ปัญหาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปัญหานายกฯ ลาออกได้หรือไม่
ทำอย่างไรให้รัฐบาลเป็นที่น่าเชื่อถือของประชาชนและสามารถที่จะนำพาประเทศนี้ฟันฝ่าอุปสรรคไปได้
เพราะถ้ารัฐบาลไม่ได้เป็นที่เชื่อถือมันก็จะมีม็อบทุกวัน แต่ถ้ารัฐบาลน่าเชื่อถือ
ประเทศก็จะอยู่ในความสงบและหาทางออกประเทศ
ถ้ามันไม่ใช่หาทางออกประเทศ
แต่เป็นการรุกต่อฝ่ายผู้เห็นต่าง รุกต่อฝ่ายเยาวชน นักเรียน นิสิต นักศึกษา
ที่ออกมาในข้อเสนอ 3 ข้อ คือข้อเสนอแรกให้หัวหน้ารัฐบาลลาออกเพราะประชาชนไม่เชื่อถือไม่ศรัทธาในการที่จะให้นำพาประเทศนี้
อันที่สองคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามญัตติเนื้อหาที่ประชาชนนำเสนอ
ส่วนอันที่สามก็คือการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์
อ.ธิดากล่าวว่า
ขอให้มองด้านบวก อย่ามองด้านลบ มองด้านบวกมันเป็นเส้นทางที่ดี
คือทางออกประเทศนี้ทำได้ไหม? ถ้ามองด้านบวกแล้วก็ช่วยกันเอา 3
ข้อเรียกร้องนี้มาพิจารณา ผลที่เกิดขึ้นก็คือทุกคนจะช่วยกันหาทางออกของประเทศ
ไม่ใช่แต่เวทีรัฐสภา เวทีนอกรัฐสภาด้วย ครูบาอาจารย์ กลุ่มชมรมต่าง ๆ
แม้กระทั่งม็อบทั้งสองฝ่ายช่วยกันหาทางออกของประเทศอย่างมีเหตุผล
แต่สิ่งนี้มันไม่เกิดขึ้นเพราะว่าถ้าเอาดาวยั่วและเอาญัตติแบบนี้ก็คือต้องการขยายความขัดแย้ง
อะไรจะเกิดขึ้น?
ดิฉันอยากจะฝากเตือนมายังส.ส.ทั้งหลายไม่ว่าคุณจะเป็นฝ่ายค้านหรือฝ่ายรัฐบาล
ให้คิดว่าถ้าเวทีรัฐสภาไม่ใช่ทางออก คนก็ต้องไปออกนอกรัฐสภา
อย่างครั้งที่แล้วมีแกนนำเยาวชนบอกว่าเขาผิดหวังมากกับเวทีรัฐสภารอบก่อน
ตอนที่โหวตเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ แล้วมันก็เป็นไปไม่ได้
ดังนั้นคนก็มาออกนอกรัฐสภา
เที่ยวนี้เป็นที่เที่ยวที่สองที่เวทีรัฐสภามีโอกาสที่จะหาทางออกให้กับประเทศ
หลายคนไม่ว่าจะเป็น ส.ส.รัฐบาลหรือ ส.ว. คุณคิดให้ดีนะว่าถ้าคุณแสดงตัวเป็นกลไกของจารีตนิยม
อำนาจนิยม คุณไม่ต้องการให้เสียงของประชาชนผู้เห็นต่างได้รับการปฏิบัติ เมื่อก่อนคุณเคยพูดถึงคำว่า
“เผด็จการรัฐสภา” ก็คือมีส.ส.มาจากการเลือกตั้งเป็นเสียงข้างมาก เที่ยวนี้มี ส.ส.
มาจากการเลือกตั้งจำนวนหนึ่ง แต่มาจากการแต่งตั้งอีก 250 แล้ว ส.ส.
รัฐบาลนั้นมาด้วยกลไกอะไร ถามตัวเองซิ
อ.ธิดากล่าวว่า
เมื่อเป็นเช่นนี้คำถามว่ามันจะเป็น “เผด็จการรัฐสภา” ตัวจริงหรือเปล่า?
เพราะว่ามันอยู่ด้วยกับองค์กรโครงสร้างเดิม
อยู่ด้วยกับอำนาจซึ่งมีทั้งอำนาจทางกองทัพ อำนาจทางองค์กรอิสระ
อำนาจทางรัฐข้าราชการ
กระทั่งอำนาจในกระบวนการยุติธรรมซึ่งมีบทบาทเหนือกว่าที่ครอบงำประเทศ
มากไปกว่าการเป็นรัฐบาลด้วยซ้ำ
ถามว่าอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนี้
ถ้ารัฐสภาเป็นกลไกอีกอันหนึ่งของฝ่ายจารีตนิยม อำนาจนิยม นอกจากที่ดิฉันพูดไปแล้ว
ปกติต่อให้คุณชนะในรัฐสภา
ฝั่งจารีตนิยม อำนาจนิยม ก็มีกลไกแบบที่ดิฉันพูดอยู่แล้วทั้งหมด
ทำให้เสียงข้างมากในรัฐสภาเดินต่อไม่ได้ รัฐบาลมาจากเสียงข้างมากก็เดินต่อไม่ได้
มาจากการเลือกตั้ง 2-3 รอบ ก็เดินต่อไม่ได้
แต่ตอนนี้คุณสามารถกุมกลไกรัฐสภาได้จำนวนหนึ่ง
ดังนั้นถ้ารัฐสภาครั้งนี้เป็นเครื่องมืออีกชิ้นหนึ่งที่สำคัญของฝ่ายจารีตนิยม
คำถามก็คือประชาชน
(คนเห็นต่าง) จะไปทางไหน? ก็อยู่นอกรัฐสภา!
แล้วพอนอกรัฐสภา...อะไรจะเกิดขึ้น?
ความรุนแรงมันอาจจะเกิดขึ้นได้จากเหตุการณ์อะไรก็ได้
ถึงแม้ว่าเขาจะหลีกเลี่ยงมาโดยตลอด ดิฉันดูแล้ว...เยาวชนไม่ต้องการจะรบกับใครหรอก
แต่ดังที่ดิฉันเคยบอกว่ายิ่งไม่มีอะไร ยิ่งมีความจริงใจ มีความอ่อนเยาว์ในวัย
มันยิ่งเป็นอะไรที่น่ากลัว น่ากลัวกว่าคนที่มีนะ คนที่มีอาวุธ
มีเครื่องไม้เครื่องมือทุกอย่าง กับเด็กเล็ก ๆ ที่ไม่มีอะไร
ธรรมดาเราก็บอกว่าผู้ใหญ่ต้องไม่รังแกเด็ก อันนี้ไม่ใช่ผู้ใหญ่อย่างเดียว แต่มีกลไกทุกอย่าง
รังแกเด็ก แล้วมันเป็นข่าวฉาวโฉ่ไปทั่วโลก
อย่าคิดแต่เพียงว่ามีอำนาจทุกอย่างแล้วทำกับประเทศไทยเหมือนในอดีตนะคะ เพราะว่ายุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว ถ้ายังไม่ปรับตัว ยังไม่มองเห็นการเปลี่ยนแปลงของโลก ดิฉันมองว่า ส.ส. ในรัฐสภาทุกวันนี้ ไม่ว่าคุณจะสังกัดพรรคอะไร ฝ่ายค้านหรือรัฐบาล คุณจะต้องถูกจารึกว่าคุณเป็น ส.ส. รุ่นที่ทำให้ประเทศชาติยับเยินและเกิดความเสียหายร้ายแรงในประเทศ...หรือเปล่า? เพราะว่าคุณมอง scenarioที่จะเกิดขึ้นว่าเกมในรัฐสภาจะทำให้ประชาชนต้องยกระดับการต่อสู้นอกรัฐสภามากขึ้นหรือเปล่า?
และเมื่อต่างฝ่ายต่างยกระดับการต่อสู้นอกรัฐสภา
ประเทศไทยก็หายนะ!
ดังนั้น คุณจะเป็น ส.ส. รุ่นที่ทำให้ประเทศหายนะ
หรือ คุณจะเป็น ส.ส. รุ่นที่แก้หายนะของประเทศ
คุณก็เลือกเอา!!! อ.ธิดากล่าวในที่สุด