วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

อัยการสั่งฟ้อง ม.112 “เจ๊จวง – เจ๊เทียม” สองแม่ค้าบะหมี่ กรณีติดป้ายหน้าร้านเรียกร้องยกเลิก 112 – ปล่อยเพื่อนเรา ก่อนศาลอาญาพระโขนงให้ประกันตัว วางหลักประกันคนละ 200,000 บาท จากกองทุนราษฎรประสงค์

 


อัยการสั่งฟ้อง ม.112 “เจ๊จวง – เจ๊เทียม” สองแม่ค้าบะหมี่ กรณีติดป้ายหน้าร้านเรียกร้องยกเลิก 112 – ปล่อยเพื่อนเรา ก่อนศาลอาญาพระโขนงให้ประกันตัว วางหลักประกันคนละ 200,000 บาท จากกองทุนราษฎรประสงค์


วันที่ 20 พ.ย. 2568 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า เวลา 11.00 น. ที่ศาลอาญาพระโขนง พนักงานอัยการได้สั่งฟ้องคดีของ “เจ๊จวง” (สงวนชื่อสกุล) อายุ 54 ปี และ “เจ๊เทียม” (สงวนชื่อสกุล) อายุ 59 ปี สองแม่ค้าขายบะหมี่-ก๋วยเตี๋ยว ในข้อหา “หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เหตุจากการติดป้ายไว้บริเวณหน้าร้าน ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการยกเลิกมาตรา 112, งบประมาณแผ่นดิน และเรียกร้องให้ “ปล่อยเพื่อนเรา” จำนวน 2 ป้าย เมื่อวันที่ 18 ม.ค. 2566


คดีนี้มี ทรงชัย เนียมหอม สมาชิกกลุ่มประชาภักดิ์พิทักษ์สถาบัน (ปภส.) เป็นผู้กล่าวหา โดยทรงชัยอ้างว่า ถ้อยคำภายในแผ่นป้ายดังกล่าวนั้น เป็นถ้อยคำหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ อันเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญและมาตรา 112


เกี่ยวกับคดีนี้ เมื่อวันที่ 18 มี.ค. 2567 เจ๊จวงและเจ๊เทียม ได้เดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหาที่ สน.บางนา พนักงานสอบสวนระบุพฤติการณ์โดยสรุปว่า เมื่อวันที่ 19 ม.ค. 2566 ทรงชัยได้มากล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้งสอง ในความผิดตามมาตรา 112 โดยผู้กล่าวโทษพบโพสต์ภาพและข้อความผ่านทางเฟซบุ๊กซึ่งเป็นสาธารณะ ในวันที่ 18 ม.ค. 2566 เวลาประมาณ 18.30 น. เป็นแผ่นป้ายที่ติดแสดงอยู่บริเวณหน้าร้านขายก๋วยเตี๋ยว จำนวน 2 แผ่นป้าย ที่ประชาชนทั่วไปสามารถพบเห็นได้ ซึ่งเห็นว่าถ้อยคำเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ อันเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญไทยและประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 


ทั้งนี้ เฟซบุ๊กที่ผู้กล่าวหาอ้างว่าพบภาพและข้อความนั้น ไม่ได้เป็นของ “เจ๊จวง” และ “เจ๊เทียม” แต่อย่างใด ซึ่งผู้ต้องหาทั้งสองได้ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา


ต่อมาพนักงานสอบสวน ได้ส่งสำนวนคดีให้กับพนักงานอัยการพระโขนงเมื่อวันที่ 21 ส.ค. 2568 และอัยการนัดผู้ต้องหามารายงานตัวและฟังคำสั่งเดือนละหนึ่งครั้ง จนกระทั่งมีคำสั่งฟ้องในเดือนนี้


⭕️อัยการสั่งฟ้องคดี ม.112 เห็นว่าป้ายที่หน้าร้านก๋วยเตี๋ยว มีประชาชนเดินผ่านไปมาเห็น ข้อความทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติ-ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง



ในวันนี้ (20 พ.ย.) ภาสวิชญ์ บัณฑิตทัศนานนท์ พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญาพระโขนง 3 เป็นผู้เรียงฟ้อง ตามข้อกล่าวหาในมาตรา 112 โดยมีใจความสำคัญในคำฟ้องระบุว่า เมื่อวันที่ 18 ม.ค. 2566 จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันนำแผ่นป้ายจำนวน 2 ป้าย โดยป้ายที่ 1 ระบุข้อความที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการยกเลิกมาตรา 112 และป้ายที่ 2 ระบุข้อความเรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้ต้องขังการเมือง พร้อมกับมีข้อความว่า “ไปไหนก็เป็นภาระ” มาติดไว้บนตู้กระจกร้านขายก๋วยเตี๋ยวของจำเลยทั้งสอง 


ข้อความดังกล่าว อัยการกล่าวหาว่า เป็นข้อความที่ทำให้ประชาชนทั่วไปสามารถพบเห็นได้ และทำให้เข้าใจว่าพระมหากษัตริย์ พระราชินี ทรงใช้พระราชอำนาจโดยมิชอบ แสวงหาผลประโยชน์ที่ไม่ควรได้แก่พระองค์เอง และทรงใช้เงินงบประมาณแผ่นดิน อันเป็นภาษีของประชาชนจำนวนมาก ไม่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนทั่วไป และทรงเสด็จไปพระราชดำเนินที่ใด ก็เป็นภาระให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน 


อัยการระบุว่า ที่ตั้งร้านก๋วยเตี๋ยวเป็นสถานที่ซึ่งมีประชาชนเดินผ่านไปมา และพบเห็นข้อความดังกล่าวได้ แล้วนำไปโพสต์ลงในโซเชียลมีเดีย เกิดการกดไลค์ กดแชร์เผยแพร่ต่อสาธารณชน อันเป็นการจงใจ เสียดสี จาบจ้วง ล่วงเกินพระมหากษัตริย์และราชินี ให้เกิดการเสื่อมเสียพระเกียรติยศ เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชังอย่างร้ายแรง


อัยการยังคัดค้านการประกันตัวจำเลย โดยระบุว่าคดีมีอัตราโทษสูง และเป็นภัยต่อสังคม เกรงจำเลยทั้งสองจะหลบหนี




ต่อมา เวลา 14.33 น. ศาลอาญาพระโขนงอนุญาตให้ประกันตัวจำเลยในระหว่างพิจารณาคดี โดยให้วางหลักประกันคนละ 200,000 บาท ซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากกองทุนราษฎรประสงค์ 


คำสั่งระบุว่า “พิเคราะห์แล้วเห็นว่าคดีมีอัตราโทษสูง พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง เห็นสมควรให้กำหนดเงินประกันคนละ 200,000 บาท จึงจะอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว” ลงนามคำสั่งโดย สาโรจน์ จิตต์ศิริ พร้อมกับศาลกำหนดวันนัดพร้อมและตรวจพยานหลักฐาน ในวันที่ 22 ม.ค. 2569 เวลา 08.30 น. 


ทั้งนี้ คดีนี้นับว่าเป็นคดีมาตรา 112 คดีที่สองของเจ๊จวงที่ถูกกล่าวหา โดยก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 18 มี.ค. 2568 ศาลอาญากรุงเทพใต้ได้พิพากษาในคดีที่เธอถูกกล่าวหาจากเหตุการปราศรัยในประเด็น ‘ขบวนเสด็จ’ หน้าศาลอาญากรุงเทพใต้ เมื่อวันที่ 20 ก.ค. 2565 โดยพิพากษาลงโทษจำคุก 2 ปี และให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี



ขอบคุณข้อมูล : ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษย์ชน 


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #มาตรา112

“เท้ง” เยือนทวีธาภิเศก รับรางวัล “ศิษย์เก่าดีเด่น” ยกคำขวัญโรงเรียน “สร้างพลเมืองดี มีจิตสาธารณะ” หล่อหลอมตัวตน-ยึดถือทำงานการเมืองในระบอบประชาธิปไตย

 


“เท้ง” เยือนทวีธาภิเศก รับรางวัล “ศิษย์เก่าดีเด่น” ยกคำขวัญโรงเรียน “สร้างพลเมืองดี มีจิตสาธารณะ” หล่อหลอมตัวตน-ยึดถือทำงานการเมืองในระบอบประชาธิปไตย


วันที่ 20 พฤศิกายน 2568 ที่โรงเรียนทวีธาภิเศก ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ได้เดินทางมาเยี่ยมโรงเรียนทวีธาภิเศกในฐานะศิษย์เก่า โดยผู้บริหารและสมาคมศิษย์เก่าได้ร่วมแสดงความยินดีมอบรางวัลศิษย์เก่าดีเด่น ประจำปี 2567


โดยณัฐพงษ์ ได้พบปะผู้บริหารโรงเรียนทวีธาภิเศกและตัวแทนสมาคมศิษย์เก่า พร้อมทั้งได้ร่วมกิจกรรมหน้าเสาธงและกล่าวทักทายนักเรียนในช่วงหนึ่งว่า “โรงเรียนแห่งนี้สร้างพลเมืองดี มีจิตสาธารณะ ที่ปลูกฝังให้ตัวผมเองรู้สึกว่าวันหนึ่งถ้าเราโตไปแล้วประสบความสำเร็จ หน้าที่ของเราคือการตอบแทนให้กับสังคม และได้เดินเข้าสู่เส้นทางของการทำงานการเมืองก็เพราะสิ่งเหล่านี้ ซึ่งอาชีพนักการเมืองสามารถตอบโจทย์ชีวิตของผมได้ แต่ในทุกๆ อาชีพก็สามารถตอบโจทย์ความหมายของชีวิตทุก ๆ คนได้เช่นเดียวกัน”


ต่อมาได้ร่วมกิจกรรมแลกเปลี่ยนความเห็นกับคุณครูและนักเรียนในหอประชุมโรงเรียน ร่วมกับ ปารมี ไวจงเจริญ สส.บัญชีรายชื่อ และ ปวิตรา จิตตกิจ สส.กรุงเทพฯ พรรคประชาชน โดยณัฐพงษ์เริ่มกล่าวว่า การสร้างพลเมืองดี มีจิตสาธารณะ คือคำขวัญของโรงเรียนที่ปลูกฝังให้ตนเติบโตมาเป็นอย่างในวันนี้ บรรยากาศการพูดคุยในโรงเรียนทวีธาภิเศกวันนี้ ทำให้เห็นว่าไม่ว่าจะเติบโตและเลือกเส้นทางไหนก็ตาม ทุกคนพร้อมที่จะก้าวไปเป็นศิษย์เก่าดีเด่น และเติบโตเป็นพลเมืองที่ดี มีจิตสาธารณะในระบอบประชาธิปไตย สำหรับตนการเป็นพลเมืองดีนอกจากทำตามหน้าที่แล้ว เรายังต้องเป็นพลเมืองที่ “ตื่นตัว” ช่วยกันตรวจสอบ สอดส่อง เพื่อให้สังคมมีความโปร่งใสมากขึ้น


ณัฐพงษ์ ได้เล่าต่อว่า การมีจิตสาธารณะในเบื้องต้น คือการอยู่ภายใต้กฎระเบียบของสังคม ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น แต่สิ่งที่สูงกว่านั้น คือการช่วยเหลือผู้อื่นในสังคม ตั้งแต่ก่อนเข้ามาทำงานการเมือง ตนพยายามสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับวงการสายเทคโนโลยี อยากให้มีบริษัทที่เป็นเหมือน Google ของประเทศไทย เพื่อให้คนมีความสามารถไม่ต้องไหลออกนอกประเทศ นี่คือจุดเริ่มต้นในงานการเมืองของตนคือทำเพื่อผู้อื่น และคืนประโยชน์ให้สังคมต่อไป


สำหรับณัฐพงษ์เคยได้รับรางวัลรองชนะเลิศสอบแข่งขันวิชาคณิตศาสตร์ ช่วงมัธยมศึกษาปีที่ 1 และได้สำเร็จการศึกษาในระดับมัธยมศึกษา รุ่น 109 ปีพุทธศักราช 2547 ก่อนเข้าศึกษาต่อในคณะวิศวกรรมศาสตร์ (สาขาคอมพิวเตอร์) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ณัฐพงษ์เรืองปัญญาวุฒิ

















“พรรคประชาชน” จับพิรุธ “รัฐบาลอนุทิน” เร่งรัดรับซื้อไฟฟ้า หวังเติมกระสุนไปเลือกตั้งหรือไม่? เปิดข้อมูลไฟฟ้าสำรองล้นระบบ ซื้อเพิ่มยิ่งผลักภาระประชาชนแบกค่าไฟแพง ชี้วงจรแจกโรงไฟฟ้าเอื้อทุนพลังงานเกิดซ้ำซาก 3 การเลือกตั้ง พร้อมเรียกร้องรัฐบาลชะลอเซ็นโครงการใหม่ทั้งหมด

 


พรรคประชาชน” จับพิรุธ “รัฐบาลอนุทิน” เร่งรัดรับซื้อไฟฟ้า หวังเติมกระสุนไปเลือกตั้งหรือไม่? เปิดข้อมูลไฟฟ้าสำรองล้นระบบ ซื้อเพิ่มยิ่งผลักภาระประชาชนแบกค่าไฟแพง ชี้วงจรแจกโรงไฟฟ้าเอื้อทุนพลังงานเกิดซ้ำซาก 3 การเลือกตั้ง พร้อมเรียกร้องรัฐบาลชะลอเซ็นโครงการใหม่ทั้งหมด


วันที่ 20 พฤศจิกายน 2568 ที่รัฐสภา วรภพ วิริยะโรจน์ และ ศุภโชติ ไชยสัจ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน แถลงข่าวตั้งคำถามต่อรัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล กรณีมีมติเร่งรัดการรับซื้อไฟฟ้าจากเอกชนทั้งในโครงการ RE Big Lot และโซลาร์ฟาร์มชุมชน รวมกว่า 3,600 เมกะวัตต์ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ทั้งที่ประเทศไทยมีไฟฟ้าสำรองล้นระบบอยู่แล้ว การเดินหน้ารับซื้อไฟเพิ่มโดยไม่มีความจำเป็นทางเทคนิค ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าแท้จริงแล้วรัฐบาลทำเพื่อประโยชน์สาธารณะ หรือเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มทุนและกลุ่มการเมืองกันแน่


โดยศุภโชติกล่าวว่า โครงการ RE Big Lot ขนาด 2,100 เมกะวัตต์เป็นปัญหาที่คาราคาซังมาตั้งแต่รัฐบาลก่อน ซึ่งเคยมีมติชะลอการรับซื้อเพราะราคารับซื้อสูงเกินไปและควรเจรจาใหม่ แต่เมื่อเปลี่ยนเป็นรัฐบาลอนุทิน มติที่ออกมากลับเป็นการ “เดินหน้าต่อในราคาเดิม” ที่ 2.1679 บาทต่อหน่วย โดยไม่ยอมลดราคาแม้แต่สตางค์เดียว ทั้งที่ต้นทุนโซลาร์เซลล์ทั่วโลกวันนี้ลดลงมากแล้ว การเดินหน้าตามราคานี้เท่ากับล็อกภาระต้นทุนให้ประเทศไปอีกกว่า 25 ปี และจะถูกส่งกลับมาในรูปแบบค่าไฟฟ้าที่ประชาชนต้องจ่ายแพงขึ้นโดยไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้


ไม่เพียงเท่านั้น รัฐบาลยังเปิดรับซื้อไฟฟ้าเพิ่มอีก 1,500 เมกะวัตต์ ในนาม “โซลาร์ฟาร์มชุมชน” ทั้งที่โครงสร้างของโครงการยังเป็นการลงทุนโดยทุนใหญ่เหมือนเดิม ส่วนชุมชนยังไม่มีความชัดเจนว่าจะมีบทบาทในการบริหารหรือขายไฟฟ้าจริงอย่างไร และที่สำคัญคือราคารับซื้อไฟฟ้าถูกกำหนดไว้สูงถึง 2.25 บาทต่อหน่วย แพงกว่าโครงการ RE Big Lot เสียอีก ความต่างเพียง 8 สตางค์นี้ เมื่อกระจายไปในระบบไฟฟ้าทั้งประเทศ จะกลายเป็นภาระที่ประชาชนทุกคนต้องร่วมกันแบกรับ ทั้งที่ไฟฟ้าของประเทศมีมากเกินพออยู่แล้ว


ด้าน วรภพ มองว่าปรากฏการณ์นี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ในประวัติศาสตร์การเมืองพลังงานไทย ก่อนการเลือกตั้งในเดือนมีนาคม 2562 ในเดือนมกราคมปีนั้นมีการอนุมัติโรงไฟฟ้าเอกชนขนาดใหญ่ 1,940 เมกะวัตต์ให้กับเอกชนโดยไม่มีการเปิดประมูล ต่อมาก่อนการเลือกตั้งในเดือนพฤษภาคม 2566 ในเดือนเมษายนปีเดียวกัน ก็มีการประกาศรายชื่อเอกชนที่ได้รับคัดเลือกรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 5,200 เมกะวัตต์ (RE Big Lot) และ โครงการโซลาร์ชุมชน 1,500 เมกะวัตต์ ที่เพิ่งมาอนุมัติในเดือนตุลาคม 2568


วรภพตั้งข้อสังเกตว่า ทั้งหมดเหมือนเป็นหนังม้วนเดิม แทบทุกครั้งก่อนมีการเลือกตั้ง รัฐบาลในเวลานั้นมักมีนโยบายอนุมัติ “ซื้อไฟฟ้าเพิ่ม” ตามออกมาอย่างต่อเนื่องราวกับเป็นธรรมเนียมทางการเมือง มากกว่าการวางแผนพลังงานเพื่อความมั่นคงของประเทศ สิ่งที่เกิดขึ้นอาจสะท้อนรูปแบบการ “แจกโรงไฟฟ้า” ให้กลุ่มทุนที่มีบทบาทในการสนับสนุนทางการเมือง ซึ่งทำกันมาทุกยุคทุกสมัย แต่ประชาชนคือผู้ที่ต้องจ่ายค่าไฟแพงขึ้นเป็นสิบๆ ปี ทั้งที่ไม่ได้เป็นผู้ก่อปัญหา


ทำให้ต้องตั้งคำถามต่อรัฐบาลอนุทิน ว่าการเร่งรับซื้อไฟฟ้าเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะความจำเป็นทางพลังงาน หรือเพราะความจำเป็นทางการเมืองกันแน่ การเดินหน้าซื้อไฟฟ้าจากเอกชนในราคาสูง ทั้งที่ระบบไฟฟ้าล้นเหลือ จะทำให้ประชาชนต้องแบกรับค่าไฟในอัตราที่สูงขึ้น อีกทั้งยังทำให้ประเทศเสียโอกาสในการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านที่สามารถผลิตไฟฟ้าสะอาดได้ในราคาถูกกว่าและมีความโปร่งใสกว่า


พรรคประชาชนย้ำว่าหากรัฐบาลยังคงเดินหน้าเช่นนี้ “Quick Big Win” ที่ประกาศไว้ จะไม่ใช่ชัยชนะของประชาชน แต่จะเป็น “Quick Big Win ของกลุ่มทุนพลังงาน” ขณะที่ประชาชนต้องจ่ายค่าไฟแพงขึ้นโดยไม่สามารถเลือกอะไรได้เลย พรรคประชาชนเสนอให้รัฐบาลชะลอการลงนามสัญญาโครงการใหม่ทั้งหมดจนกว่าจะมีการทบทวนแผนพลังงาน PDP ฉบับใหม่อย่างโปร่งใส พร้อมปรับรูปแบบการรับซื้อไฟฟ้าให้เอื้อประโยชน์ต่อประชาชน ไม่ใช่กลุ่มทุนเพียงไม่กี่ราย


คำถามสุดท้ายที่พรรคประชาชนอยากให้รัฐบาลตอบอย่างตรงไปตรงมาคือ การรับซื้อไฟในครั้งนี้ทำเพื่อประเทศชาติและประชาชนจริง หรือเป็นการเตรียมทุนสำหรับการเมืองในอนาคต?

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน

“แพทองธาร” ยอมรับ “ทักษิณ” เครียดหนัก แม้สุขภาพกายโดยรวมยังโอเค ชี้ คุณพ่ออายุเยอะแล้ว ถ้าได้สิทธิ์ออกมาพักก็คงจะดี เพราะอยู่ข้างในก็ไม่ได้อะไร ขอดูแลจิตใจพ่อ

 


“แพทองธาร” ยอมรับ “ทักษิณ” เครียดหนัก แม้สุขภาพกายโดยรวมยังโอเค ชี้ คุณพ่ออายุเยอะแล้ว ถ้าได้สิทธิ์ออกมาพักก็คงจะดี เพราะอยู่ข้างในก็ไม่ได้อะไร ขอดูแลจิตใจพ่อ


วันที่ 20 พฤศจิกายน 2568 เวลา 10.40 น. ที่ เรือนจำกลางคลองเปรม ถนนงามวงศ์วาน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังเข้าเยี่ยมญาตินายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า สำหรับการเยี่ยมคุณพ่อวันนี้นั้น ตนได้ทราบว่าทาง ผบ.เรือนจำกลางคลองเปรม ได้ชวนคุณพ่อเข้าร่วมโครงการ "ธรรมะนัมวัง" ก็เห็นว่าจะแบบนั้น ซึ่งช่วงนี้คุณพ่อก็โอเค ส่วนสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงนั้น คุณพ่อก็สุขภาพร่างกายโอเค แต่สุขภาพใจก็อาจมีความเครียดเยอะหน่อย


ส่วนกรณีที่ พล.ต.ท.รุทธนพล เนาวรัตน์ รมว.ยุติธรรม ได้มีการออกคำสั่งให้กระทรวงยุติธรรม และกรมราชทัณฑ์ ขอให้พิจารณาทบทวน 3 ประเด็นสำคัญ เพื่อปรับปรุงกฎ ระเบียบ ประกาศ หลักเกณฑ์ และแนวทาง การส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ การพิจารณาการพักการลงโทษกรณีมีเหตุพิเศษ และการกำหนดอาณาเขตในสถานที่อื่นที่มิใช่เรือนจำให้เป็นสถานที่คุมขัง ซึ่งมีการวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมว่าเป็นเหมือนการสกัดไม่ให้นายทักษิณ ได้ออกมานั้น น.ส.แพทองธาร นิ่งคิดสักครู่ ก่อนตอบว่า ก็หวังว่าจะเป็นไปตามกระบวนการ แต่คุณพ่ออายุเยอะแล้ว ถ้าได้สิทธิ์ออกมาพักก็คงจะดี เพราะว่าจริง ๆ อยู่ข้างในก็ไม่ได้อะไรอยู่แล้ว


ผู้สื่อข่าวถามว่า มองเป็นเกมการเมืองหรือไม่ที่เป็นการสกัดนายทักษิณไม่ให้ออกมาทันในช่วงเลือกตั้ง 2569 น.ส.แพทองธาร เผยว่า ถ้าพูดถึงตอนนี้ ดิฉันเองก็ถอยออกจากการเมืองเยอะมาก ๆ แล้ว แทบจะถอยทั้งหมดแล้ว ก็ปล่อยทั้งพรรคลุยไป ก็คงต้องดูแลจิตใจคุณพ่อ


ถามต่อว่า อัยการสูงสุดคนปัจจุบันได้มีการอุทธรณ์คำสั่งฟ้องคดีมาตรา 112 นายทักษิณ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีความเห็น เหมือนเป็นการกลั่นแกล้งครอบครัวชินวัตรหรือไม่ น.ส.แพทองธาร ยิ้มไม่สู้ดี แต่ไม่ได้ตอบคำถามแต่อย่างใด ก่อนเดินขึ้นรถยนต์ส่วนบุคคลเดินทางออกจากบริเวณพื้นที่เรือนจำฯ


สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับโครงการพุทธนวัตกรรมธรรมนาวา “วัง” เป็นโครงการเพื่อพัฒนาศักยภาพมนุษย์ มีวัตถุประสงค์ในการจัดอบรมขยายผลการปฏิบัติตามหลักธรรมะพระราชทาน ธรรมนาวา “วัง” ไปสู่หน่วยงานต่าง ๆ และประชาชนทั่วไป และเพื่อให้ผู้ต้องขังได้ศึกษาถึงสาระแก่นแท้ของศาสนา ขัดเกลาจิตใจ และน้อมนำพระธรรมคำสอนสู่การลงมือทำอันจะนำไปสู่ความสิ้นทุกข์อย่างแท้จริง


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ทักษิณชินวัตร #แพทองธารชินวัตร

วันพุธที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

“ณัฐพงษ์-ศิริกัญญา” ร่วมฟังเสวนา ‘ล่าวาฬ’ ชำแหละขุมทรัพย์เจ้าพ่อสแกมเมอร์ พร้อมพูดคุย “ทอม ไรท์” ด้าน “เท้ง” ลั่นพรรคประชาชนเป็นรัฐบาล เอาจริงปราบสแกมเมอร์-เปิดโปงเครือข่ายทุนเทาในประเทศ

 


“ณัฐพงษ์-ศิริกัญญา” ร่วมฟังเสวนา ‘ล่าวาฬ’ ชำแหละขุมทรัพย์เจ้าพ่อสแกมเมอร์ พร้อมพูดคุย “ทอม ไรท์” ด้าน “เท้ง” ลั่นพรรคประชาชนเป็นรัฐบาล เอาจริงปราบสแกมเมอร์-เปิดโปงเครือข่ายทุนเทาในประเทศ 


วันที่ 19 พฤศจิกายน 2568 ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย (FCCT) กรุงเทพฯ ณัฐพงษ์​ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน พร้อมด้วย ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคประชาชน เข้าร่วมกิจกรรม Inside the Whale Hunting Investigation: A Conversation With Tom Wright โดยมีนักวิชาการ สื่อมวลชนหลายสำนัก ร่วมรับฟังการบรรยายผลงานการสืบสวนเรื่องราวของ เบน สมิธ หรือ เบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ โดย “ทอม ไรท์” ผู้สื่อข่าวสอบสวนที่มีผลงานการเปิดโปงการทุจริตเงินกองทุนเพื่อการพัฒนาของรัฐ (1MDB)


กิจกรรมในวันนี้ได้รับการตอบรับอย่างคึกคักจากผู้ที่สนใจเครือข่ายของ เบน สมิธ ซึ่งถูกตั้งข้อสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับขบวนการสแกมเมอร์ และความสัมพันธ์ของเบน สมิธ กับฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา โดยทอม ไรท์ บรรยายถึงที่มาของเบน สมิธ ตลอดจนความสัมพันธ์ของเบน สมิธกับบุคคลระดับสูงในประเทศไทยอย่างทักษิณ ชินวัตร ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า พร้อมทั้งแสดงข้อมูลหลักฐานจากการสืบสวนติดตามเครือข่ายของเบน สมิธ ในฐานะเจ้าพ่อสแกมเมอร์ในประเทศกัมพูชา 


ภายหลังการบรรยาย ผู้ดำเนินรายการได้เปิดพื้นที่ให้ผู้ร่วมงานได้ซักถามข้อสงสัยต่องานสืบสวนชิ้นนี้ โดยณัฐพงษ์​ได้ลุกขึ้นกล่าวขอบคุณสำหรับกิจกรรมที่จัดในวันนี้ มองว่าผลงานเชิงสืบสวนสอบสวนของทอม ไรท์ เป็นประโยชน์อย่างมากต่อการฉายภาพขบวนการสแกมเมอร์ที่ใช้ไทยเป็นฐานฟอกเงิน ซึ่งเป็นประเด็นที่พรรคประชาชนได้ติดตามตรวจสอบเชิงลึกมานานนับปีเช่นกัน และได้นำข้อมูลมาอภิปรายเปิดโปงเครือข่ายสแกมเมอร์ของเบน สมิธในรัฐสภา


พร้อมกันนี้ ณัฐพงษ์ได้ถามคำถาม 2 ข้อคือ ในความเห็นของทอม ไรท์ ที่สืบสวนงานชิ้นนี้ เห็นว่ามีประเด็นใดที่คิดว่ารัฐบาลไทยหรือสังคมไทยควรดำเนินการขยายผลมากกว่านี้หรือไม่เพื่อเจาะลึกและหาหลักฐานเพิ่มเติมเกี่ยวกับเครือข่ายดังกล่าว และหลังจากพรรคประชาชนเปิดโปงเครือข่ายของเบน สมิธแล้ว ในฐานะผู้ศึกษาเรื่องนี้ ได้สังเกตเห็นท่าทีของเครือข่ายสแกมเมอร์ข้ามชาติ มีการพัฒนาแนวทางในการหลบเลี่ยงการกระทำอย่างไรบ้าง 


ทอม ไรท์ ตอบกลับคำถามแรกว่า สิ่งที่รัฐบาลทำได้ก็เป็นสิ่งเดียวกับที่ฝ่ายค้านได้ทำไปแล้ว ซึ่งทุกอย่างมีความซับซ้อนในเวลานี้ ส่วนคำถามที่สอง สิ่งที่เขาได้เรียนรู้จากการเปิดโปงข้อมูลกรณี 1MDB คือเรื่องการบังคับใช้กฎหมายระหว่างประเทศ เช่น การกระทำผิดเกิดที่นี่ แต่ตัวผู้กระทำผิดอยู่อีกประเทศ ก็ดำเนินการต่อได้ยาก 


ณัฐพงษ์ ยังได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า ข้อมูลของเบน สมิธ ที่ทอม ไรท์ เปิดเผย เราต้องยืนยันว่าประเทศไทยไม่ใช่แค่เหยื่อ แต่เป็นศูนย์กลางของการฟอกเงินให้ขบวนการเหล่านี้ด้วย ประเทศไทยไม่ใช่แค่ผู้ได้รับผลกระทบ แต่เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดเพราะมีนักการเมือง นักการเงิน และข้าราชการไทย สมรู้ร่วมคิดในกระบวนการฟอกเงิน และถ้าหากไม่มีการฟอกเงิน กระบวนการทั้งหมดก็จะไม่ครบวงจร ไม่ว่าจะเป็น 


1. การตั้งศูนย์สแกมเมอร์ในประเทศที่ผู้มีอำนาจยอมให้จัดตั้งได้

2.ได้รับอานิสงส์จากโครงสร้างพื้นฐานที่ดีจากประเทศไทย เช่น สนามบิน ถนนหนทาง ไฟฟ้า เชื้อเพลิงน้ำมัน และสัญญาณอินเตอร์เน็ต

3. เริ่มโกงเงินคนทั้งโลก รวมทั้งคนไทยด้วย

4. เมื่อได้เงิน ก็ใช้วิธียักย้ายถ่ายโอนและนำเงินใต้ดินขึ้นมาไว้บนดิน ซึ่งประเทศไทยเข้ามาเกี่ยวข้องในฐานะเครื่องจักรฟอกเงิน 

5. เมื่อเงินมาอยู่บนดินแล้ว ก็สามารถยักย้ายถ่ายเทไปลงทุนเป็นหุ้นส่วนในบริษัทยักษ์ใหญ่ของไทยและต่างประเทศได้


ซึ่งทั้งหมดนี้ ตนขอยืนยันว่าคนไทยทุกระดับและทุกภาคส่วน ต่างก็ได้รับผลกระทบทั้งสิ้น ทั้งผู้ประกอบการรายใหญ่ รายย่อย กระทบต่อความเชื่อมั่นในภาคการเงินและการธนาคารของประเทศ รวมถึงการเมืองไทย ที่เงินดำเหล่านี้เข้ามาครอบงำระบบการเมือง นักการเมือง ผู้มีอำนาจบริหารประเทศ และระบบราชการ และประชาชนคนไทยทุกคนที่ได้รับผลกระทบ ดังนั้นเราจึงต้องเอาจริงเอาจังกับการปราบสแกมเมอร์และเปิดโปงเครือข่ายของทุนเทาในประเทศให้ได้ โดยเรื่องนี้จะเป็นวาระเร่งด่วนที่พรรคประชาชนจะจัดการ หากได้บริหารประเทศ


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน














“ธนเดช-กรุณพล” หารือ ผอ.กองสลาก-มอบหลักฐานกรณีทุจริตโควต้าหวย อผศ.-สมาคมกีฬาคนตาบอด

 


“ธนเดช-กรุณพล” หารือ ผอ.กองสลาก-มอบหลักฐานกรณีทุจริตโควต้าหวย อผศ.-สมาคมกีฬาคนตาบอด


วันที่ 19 พฤศจิกายน 2568 ที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ธนเดช เพ็งสุข สส.กรุงเทพ พรรคประชาชน พร้อมด้วย กรุณพล เทียนสุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ร่วมหารือกับผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เพื่อแก้ปัญหากรณีการทุจริตโควต้าสลากกินแบ่งรัฐบาล ก่อนให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนถึงความคืบหน้าในการตรวจสอบกรณีดังกล่าว


ในส่วนของธนเดช ระบุว่าจากการหารือกับผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ได้แจ้งให้ทราบถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับโควต้าในส่วนของสมาคมกีฬาคนตาบอด กรณีมีการใช้นอมินี หรือคนที่ไม่ได้มีความบกพร่องทางร่างกายจริงได้สิทธิในการลงนามรับสลากและไม่ได้เอาสลากไป แต่ได้รับค่าตอบแทนครั้งละ 500 บาท โดยได้ยื่นหลักฐานคลิปเสียงและภาพให้ ผอ.กองสลากไว้แล้ว


สำหรับความคืบหน้าในส่วนขององค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก (อผศ.) ตนได้ยื่นสัญญาคู่ค้าร่วมให้ อผศ. ไปตรวจสอบว่าการกระทำดังกล่าวผิดวัตถุประสงค์หรือไม่ รวมถึงปรึกษาหารือถึงแนวทางในการแก้ไขปัญหาในอนาคต ซึ่งมีความเห็นสอดคล้องกันระหว่างตนและผู้อำนวยการ อผศ. คนใหม่ ในการนำสลากเข้าระบบดิจิทัล ซึ่งในอนาคตจะมีการหาเวทีพูดคุยร่วมกันสามฝ่าย ในการแก้ไขปัญหาโควต้าสลากของ อผศ. ต่อไป


ธนเดชกล่าวต่อไปว่ากระบวนการตรวจสอบสำนักงานสลากฯ มีหลายกระบวนการและค่อนข้างซับซ้อน เชื่อมโยงกับหลายหน่วยงาน ซึ่งทางผู้อำนวยการสำนักงานสลากฯ ได้รับว่าจะแก้ไขปัญหานี้ การหารือวันนี้ไม่ใช่วันสุดท้าย เรื่อยหวยเป็นปัญหาในประเทศไทยมาหลายสิบปี ซึ่งตนจะได้ทำการติดตามทั้งผู้อำนวยการสำนักงานสลาก และผู้อำนวยการ อผศ. ที่รับปากแล้วว่าจะมีการแก้ไขปัญหาต่อไป โดยเฉพาะการตรวจสอบผู้ที่ได้โควต้าสลากในส่วนของสมาคมอีกหลายสมาคม ว่ามีสมาคมใดบ้างใช้นอมินีมาหาประโยชน์ และเอกชนรายใดบ้างที่มาเอาโควต้าของทหารผ่านศึกไป


ทางด้านกรุณพล ระบุว่าปัญหาสลากวันนี้เป็นปัญหาที่หลายหน่วยงานต้องร่วมแก้ปัญหา การรับสลากและนำไปจำหน่ายต่อให้บริษัทที่เป็นนอมินี สำนักงานสลากฯ ได้พยายามที่จะตรวจสอบแล้ว แต่เนื่องจากเจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบทั่วประเทศมีเพียงหลักสิบคน การตรวจสอบให้ครบถ้วนจึงเป็นไปไม่ได้ สำนักงานสลากฯ จึงใช้วิธีการแก้ปัญหาด้วยการพยายามผลักดันให้สลากมีรูปแบบดิจิทัล เพื่อที่จะได้ไม่มีการส่งต่อสลากเป็นใบให้กับนอมินี


ส่วนกรณีที่นักกีฬาของสมาคมกีฬาคนตาบอด แจ้งว่าไม่ได้รับส่วนแบ่งหรือได้รับส่วนแบ่งที่น้อยมากแต่กลับไม่สามารถขอดูบัญชีได้ เป็นเรื่องที่อยู่เหนืออำนาจของสำนักงานสลากฯ ซึ่งทางพรรคประชาชนจะได้ทำการตรวจสอบไปทางกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยต่อไป ในการตรวจสอบรายรับรายจ่ายและการแบ่งเปอร์เซนต์ของมูลนิธิต่างๆ รวมถึงการแก้ไขในระยะยาวด้วยการร่าง พ.ร.บ.สลากกินแบ่งรัฐบาล ฉบับใหม่ให้สามารถมีหลายรูปแบบ ทั้งการจูงใจให้ผู้สนใจซื้อสลากได้ง่ายขึ้น สามารถเลือกเลขได้ง่ายขึ้น


กรุณพลกล่าวต่อไปว่านอกจากการแก้ไขกฎหมาย และการประสานความร่วมมือระหว่างผู้อำนวยการสำนักงานสลากฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว พรรคประชาชนจะพยายามใช้กลไกต่างๆ เพื่อตรวจสอบและทำให้ส่วนแบ่งสลากตกถึงมือผู้พิการ ทหารผ่านศึก และผู้ด้อยโอกาส ให้มีโอกาสได้รับผลตอบแทนอย่างถ้วนหน้าตามสิทธิที่จะได้ให้มากที่สุดต่อไป


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #ทุจริตโควต้าหวย





“ชลธิชา” เรียกร้องเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ - กรมราชทัณฑ์ ชี้แจงข้อเท็จจริง กรณีตัดสิทธิ “ไผ่ จตุภัทร์” เยี่ยมญาติใกล้ชิด ชี้ ต้องเร่งพัฒนากลไกร้องเรียนที่รวดเร็ว-ปลอดภัย

 


“ชลธิชา” เรียกร้องเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ - กรมราชทัณฑ์ ชี้แจงข้อเท็จจริง กรณีตัดสิทธิ “ไผ่ จตุภัทร์” เยี่ยมญาติใกล้ชิด ชี้ ต้องเร่งพัฒนากลไกร้องเรียนที่รวดเร็ว-ปลอดภัย


วันนี้ (19 พ.ย. 68) นางสาวชลธิชา แจ้งเร็ว (ลูกเกด) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขต 3 จ.ปทุมธานี พรรคประชาชน โพสข้อความถึง เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และ กรมราชทัณฑ์ ต้องชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีตัดสิทธิ์ ไผ่ ดาวดิน เยี่ยมญาติใกล้ชิด และต้องเร่งพัฒนากลไกร้องเรียนที่รวดเร็วและปลอดภัย โดยมีรายละเอียดว่า


ดิฉันได้รับทราบข้อมูล และรู้สึกกังวลใจอย่างยิ่งต่อกรณีของคุณ ไผ่ ดาวดิน นักกิจกรรมทางการเมือง ซึ่งขณะนี้ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ถูกตัดสิทธิ์ในการเยี่ยมญาติใกล้ชิด โดยอาจมีสาเหตุมาจากการเกิดความขัดแย้งกับเจ้าหน้าที่ผู้คุมตั้งแต่เดือน ก.ย. ที่ผ่านมา


การเยี่ยมญาติใกล้ชิด คือกระบวนการเตรียมความพร้อมผู้ต้องขังก่อนกลับสู่สังคมโดยไม่กระทำผิดซ้ำรูปแบบหนึ่ง เพื่อฟื้นฟูสภาพจิตใจและพฤตินิสัยของผู้ต้องขังที่ถูกจำกัดเสรีภาพมาอย่างยาวนานภายในเรือนจำ ให้ได้มีปฏิสัมพันธ์กับครอบครัวและญาติ ให้ผู้ต้องขังได้รู้สึกถึงคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของตนเองผ่านอ้อมกอดของบุคคลอันเป็นที่รัก แต่อย่างไรก็ตาม การตัดสิทธิ์ผู้ต้องขังในการเยี่ยมญาติใกล้ชิด มักจะถูกใช้เป็นการลงโทษทางวินัยแก่ผู้ต้องขังที่ทำผิดกฎระเบียบของเรือนจำมาโดยตลอด แม้แต่ใน พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ฉบับปัจจุบันเอง ยังมีปัญหาเรื่องการให้อำนาจเจ้าหน้าที่อย่างกว้างจนเกินไปในการใช้ดุลยพินิจเรื่องโทษทางวินัย เพียงแค่การกระทำเพียงเล็กน้อยที่อาจขัดหูขัดตาเจ้าหน้าที่ผู้คุมก็อาจผิดวินัยได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นแล้ว ปัญหาการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ที่นำมาสู่การพรากสิทธิในการได้เยี่ยมญาติใกล้ชิดของผู้ต้องขัง จึงไม่เพียงแต่กระทบต่อสภาพจิตใจของผู้ต้องขังและญาติเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อประสิทธิภาพและเป้าหมายสูงสุดของกรมราชทัณฑ์ในการคืนคนสู่สังคมด้วยเช่นกัน


อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าการถูกตัดสิทธิ์การเยี่ยมญาติใกล้ชิดของคุณไผ่ รวมถึงการถูกตรวจสอบจากคณะกรรมการตรวจสอบวินัย จะมีสาเหตุมาจากความขัดแย้งกับเจ้าหน้าที่ผู้คุมจริงตามข้อสังเกตของคุณไผ่หรือไม่ และเป็นบทลงโทษทางวินัยจริงตามข้อสังเกตของดิฉันหรือไม่ ดิฉันเห็นว่า เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ต้องเร่งชี้แจงเหตุผลและข้อเท็จจริงทั้งหมดต่อคุณไผ่ ญาติ และทนายความอย่างตรงไปตรงมาโดยเร็ว และกรมราชทัณฑ์ ต้องเร่งตรวจสอบข้อร้องเรียนของคุณไผ่ต่อเจ้าหน้าที่ผู้คุมที่อาจใช้กำลังเกินกว่าเหตุ อย่างเป็นไปด้วยความโปร่งใสผ่านการรับรู้ของผู้ต้องขัง ญาติ และทนายความ รวมถึงต้องคุ้มครองความปลอดภัยของผู้ต้องขังและผู้ร้องเรียนตลอดกระบวนการ และต้องเร่งพัฒนากลไกการร้องเรียนสำหรับผู้ต้องขัง ที่รวดเร็วและปลอดภัยให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทุกเรือนจำ โดยดิฉันขอยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ไม่ควรสามารถพรากสิทธิการเยี่ยมญาติใกล้ชิดของผู้ต้องขังไปได้ หากกระบวนการตรวจสอบวินัยหรือกระบวนการตรวจสอบข้อร้องเรียนยังไม่เสร็จสิ้นสมบูรณ์ โดยไม่มีการแจ้งให้ผู้ต้องขังรับทราบ เพื่อให้ความเป็นธรรมและประกันสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ต้องขังที่พึงได้รับ อย่างสอดคล้องกับเป้าหมายในการดำเนินงานของกรมราชทัณฑ์เพื่อคืนคนสู่สังคมอย่างมีประสิทธิภาพโดยแท้จริง 



ทั้งนี้ก่อนหน้านี้เพจเฟสบุ๊ค ไผ่ ดาวดิน - จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา - jatupat boonpattararaksa ได้ โพสข้อความ

#จดหมายจากไผ่ ระบุว่า


ผมใช้กาแฟผสมน้ำ ปั้นแล้วเขียนใส่ผนัง เพื่อประท้วงการกักขังโรคที่นานจนเกินไป


เมื่อวันที่ 23 กันยายน 68 ที่ผ่านมา ผมและครูใหญ่ย้ายจากเรือนจำภูเขียวมายังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และได้เข้าไปกักตัวห้อง 13 แดน 2 ซึ่งโดยปกติเราจะต้องถูกกักโรค 5 วันแล้วจึงจะได้จำแนกลงมาใช้ชีวิตข้างล่าง แต่เมื่อครบ 5 วันตามกำหนดเพื่อนผู้ต้องขังในห้องอื่นๆถูกจำแนกตัวไปยังแดนต่างๆแล้ว ผมยังต้องกักโรคอยู่ เหมือนถูกกลั่นแกล้งจากผู้คุม ผมจึงประท้วงโดยใช้ข้อเรียกร้องของการต่อสู้เมื่อปี 63 “ปฏิรูปสถาบัน Reform the Monarchy” มาเขียนบนผนัง


วันต่อมา นายนิภัทรชล หินสุข ได้ให้ผู้ช่วยงานเรือนจำมาใส่กุญแจมือไขว้หลัง ให้มาประกบผมซ้ายขวา แล้วพาผมลงไปสอบถามที่หน้าแดน 2 ในช่วงบ่ายมีเจ้าหน้าที่ ชื่อนายสันติ ป้องนพ ขึ้นมาที่ห้องกักโรคที่ผมอยู่ เพื่อถ่ายรูปและยังขู่ว่า จะไม่ให้ไปอยู่กับอานนท์และเพื่อนคู่คดีที่แดน 4 จะให้ไปอยู่ที่แดน 8


วันพุธ ที่ 1 ตุลาคม 68 คณะกรรมการจำแนกได้ให้ผมกับครูใหญ่ไปอยู่แดน 8 ตามที่นายสันติได้ขู่ไว้จริง หลังจากนั้นก็มีคณะกรรมการตรวจสอบวินัยมาสอบถามข้อเท็จจริงจากผม และเรื่องราวก็เงียบไป 


จนกระทั่งได้ทราบจากญาติว่าการจองเยี่ยมญาติใกล้ชิด ในวันที่ 27 พ.ย. ช่วงบ่ายของผมถูกตัดสิทธิ์ โดยที่ผมไม่ได้รับแจ้งผลของคณะกรรมการสอบวินัยด้วยซ้ำ


“ผมโดนตัดสิทธิ์ที่จะได้พบปะญาติพี่น้องในวันเยี่ยมญาติใกล้ชิด”


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ลูกเกดชลธิชา #ไผ่ดาวดิน #ราชทัณฑ์ #เรือนจำพิเศษกรุงเทพ

ศาล รธน.นัดไต่สวนพยานคดี 'ภูมิธรรม-ทวี' แทรกแซงคดีฮั้วเลือก สว. 24 ธ.ค.นี้ พร้อมไม่อนุญาต ‘สราวุธ ทรงศรีวิไล’ ถอนตัวจากการพิจารณาคดี

 


ศาล รธน.นัดไต่สวนพยานคดี 'ภูมิธรรม-ทวี' แทรกแซงคดีฮั้วเลือก สว. 24 ธ.ค.นี้ พร้อมไม่อนุญาต ‘สราวุธ ทรงศรีวิไล’ ถอนตัวจากการพิจารณาคดี


วันที่ 19 พฤศจิกายน 2568 ศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาคำร้องของสมาชิกวุฒิสภา ที่ขอให้วินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีของนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ว่าสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่


คำร้องระบุว่า ผู้ถูกร้องทั้งสองมีมติให้ความผิดทางอาญาอื่นเป็นคดีพิเศษ ตาม พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษฯ โดยใช้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เป็นเครื่องมือ แทรกแซงหรือครอบงำการทำงานของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในกระบวนการตรวจสอบการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ซึ่งถือเป็นการกลั่นแกล้ง กดดัน ข่มขู่ และครอบงำฝ่ายนิติบัญญัติ จึงถือว่าขาดความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และมีพฤติกรรมฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง


ศาลรัฐธรรมนูญอภิปรายแล้ว มีมติกำหนดนัด ไต่สวนพยานบุคคล ในวันพุธที่ 24 ธันวาคม 2568 เวลา 10:30 น. ณ ห้องพิจารณาคดีสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ


ทั้งนี้ ก่อนการพิจารณาคดี นายสราวุธ ทรงศิวิไล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้ขอถอนตัวจากการพิจารณา เนื่องจากเคยได้รับความเห็นชอบเป็นตุลาการจากวุฒิสภา แต่ที่ประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาแล้ว ไม่อนุญาตให้ถอนตัว เนื่องจากเห็นว่าไม่เกี่ยวข้องต่อการพิจารณาคดี ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ศาลรัฐธรรมนูญ #ฮั๊วสว

เด้ง “ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ” เข้ากรุ เหตุพบเจ้าหน้าที่เอี่ยวทำผิดเรื่องร้ายแรง

 


เด้ง “ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ” เข้ากรุ เหตุพบเจ้าหน้าที่เอี่ยวทำผิดเรื่องร้ายแรง


เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2568 รายงานข่าวภายในกระทรวงยุติธรรม ระบุถึงกรณีหนังสือคำสั่งกระทรวงยุติธรรมที่ 233/2568 เมื่อวันที่ 16 พ.ย. 68 เรื่อง มอบหมายให้ข้าราชการปฏิบัติหน้าที่ โดยภายในเอกสารระบุใจความ นางพงษ์สวาท นีละโยธิน ปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้ลงนามคำสั่งกระทรวงยุติธรรม ที่ 233/2568 เรื่อง มอบหมายให้ข้าราชการปฏิบัติหน้าที่ โดยที่มีความจำเป็นต้องตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีสืบเนื่องจากการจู่โจมตรวจค้นเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครและพบการกระทำผิด ซึ่งอาจมีเจ้าหน้าที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดดังกล่าว


ดังนั้น เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและเป็นธรรมต่อผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 23 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545 จึงมีคำสั่งให้ นายมานพ ชมชื่น ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ไปปฏิบัติหน้าที่ราชการในตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกรม กรมราชทัณฑ์


มีรายงานภายในกรมราชทัณฑ์ด้วยว่า การสั่งเด้งนายมานพ ผบ.เรือนจำฯ ในครั้งนี้ มาจากเหตุร้ายแรงอย่างยิ่ง ไม่ใช่เพียงเหตุการตรวจค้นจู่โจมภายในแดนแล้วเจอผู้ต้องขังใช้โทรศัพท์ ปัจจุบันได้มีการมอบหมายให้นายยุทธนา นาคเรืองศรี รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ปฏิบัติหน้าที่รักษาราชการแทน


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #กรมราชทัณฑ์ #ผบเรือนจำพิเศษกรุงเทพ

สรรพากร จี้ “ทักษิณ” ชำระภาษีหุ้นชินฯ 1.76 หมื่นล้าน ขณะนี้รอคำพิพากษาฉบับเต็มอย่างเป็นทางการจากอัยการ

 


สรรพากร จี้ “ทักษิณ” ชำระภาษีหุ้นชินฯ 1.76 หมื่นล้าน ขณะนี้รอคำพิพากษาฉบับเต็มอย่างเป็นทางการจากอัยการ


วันที่ 19 พฤศจิกายน 2568 ภายหลังจากที่ศาลฎีกามีคำพิพากษากลับในคดีภาษีหุ้นชินคอร์ป ของนายทักษิณ ชินวัตร โดยพิพากษาให้นายทักษิณต้องชำระภาษีจากการขายหุ้นชินคอร์ป 1.76 หมื่นล้านบาทให้กรมสรรพากร


โดยกรมสรรพากรยืนยัน พร้อมปฏิบัติตามขั้นตอนกฎหมายปกติและคำพิพากษาของศาลอย่างเคร่งครัด โดยหลังจากนี้กรมสรรพากร จะรอรับคำพิพากษาตัวเต็มอย่างเป็นทางการจากอัยการ


จากนั้นไม่เกินสิ้นเดือนพฤศจิกายนนี้ ในทางปฏิบัติ กรมสรรพากรจะมีหนังสือแจ้งเตือนส่งให้นายทักษิณ เพื่อชำระหนี้อีกครั้งหนึ่งตามระเบียบ หากมีการชำระหนี้ครบก็จะจบคดีด้วยดี


หากชำระไม่ครบถ้วนหรือไม่ชำระ กรมสรรพากรก็ได้ดำเนินการสอบสวนทรัพย์  ยึดหรืออายัดทรัพย์สินเพิ่มเติมทำคู่ขนานกันไป 


โดยที่ผ่านมากรมสรรพากรได้มีการประเมินภาษีไปแล้ว โดยจะครอบคลุมทั้งอสังหาริมทรัพย์ สังหาริมทรัพย์ เงินสด และสิทธิ์ที่เรียกต่างๆ เช่น หุ้น และบัญชีเงินฝาก ซึ่งกรมสรรพากรใช้ข้อตกลงแลกเปลี่ยนข้อมูลทางการเงินทั่วโลกกับ 113 ประเทศภาคี ทำการตรวจสอบบัญชีเงินฝาก หุ้น หรือกองทุนที่อยู่ต่างประเทศ เพื่อให้ทราบทรัพย์สินในต่างประเทศ


ในกระบวนการสืบสวน ยึดอายัด ขายทอดตลาด กรมได้ดำเนินการต่อเนื่องตั้งแต่ ปี 2563 และในระหว่างนี้ก็สามารถทำการสืบสวน ยึดอายัด ขายทอดตลาด เพิ่มเติมได้ต่อเนื่องไปอีก 10 ปี จนกว่าจะครบกำหนดอายุในปี 2578 ท้ายที่สุดหากยังไม่สามารถชำระหนี้ได้ครบ กรมสรรพากรมีหน้าที่ต้องฟ้องร้องเป็นบุคคลล้มละลายต่อไป


กรมสรรพากร ยืนยันว่าได้ดำเนินการทุกอย่างด้วยความเป็นธรรม ตามอำนาจหน้าที่และกฎหมาย โดยไม่ได้ถูกแทรกแซงโดยทางการเมือง ทั้งนี้ กรมฯ ต้องการให้สังคมรับรู้หลักการทำงาน ว่าได้ยึดหลักความเท่าเทียม ไม่มีการเลือกปฏิบัติโดยทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน“


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #กรมสรรพากร #คดีหุ้นชินคอร์ป #ทักษิณชินวัตร

'ทวิวงศ์' ยินดีรัฐปรับแก้เกณฑ์เยียวยาขั้นบันได สอดคล้องกับข้อเรียกร้องพรรคประชาชน แต่ต้องเร่งแก้เรื่องอื่นควบคู่กันและทบทวนการลงทุนโครงการใหญ่ป้องกันน้ำท่วม แนะเตรียมรับมือน้ำท่วมภาคใต้ที่กำลังจะมาด้วย

 


'ทวิวงศ์' ยินดีรัฐปรับแก้เกณฑ์เยียวยาขั้นบันได สอดคล้องกับข้อเรียกร้องพรรคประชาชน แต่ต้องเร่งแก้เรื่องอื่นควบคู่กันและทบทวนการลงทุนโครงการใหญ่ป้องกันน้ำท่วม แนะเตรียมรับมือน้ำท่วมภาคใต้ที่กำลังจะมาด้วย


วันที่ 18 พฤศจิกายน 2568 ทวิวงศ์ โตทวิวงศ์ สส. พระนครศรีอยุธยา เขต 1 พรรคประชาชน แสดงความคิดเห็นถึงประเด็นที่พรรคประชาชนเคยเดินหน้าเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ปัญหาน้ำท่วมเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนพี่น้องประชาชนที่กำลังได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัยมาโดยตลอด รวมทั้งล่าสุดยังได้แถลงที่อาคารอนาคตใหม่ ให้รัฐบาลทบทวนการแก้ปัญหาน้ำท่วมประกอบด้วย 5 เรื่องใหญ่ด้วยกัน 


โดยมี 5 ข้อเสนอให้ทบทวนแนวคิดเรื่องการบริหารจัดการน้ำ “ท่วมในทางก่อนท่วมในทุ่ง”, การปรับเกณฑ์เยียวยาประชาชนจากอัตราเดียวเป็นการเยียวยาตามระยะเวลาที่น้ำท่วม, การกำหนดมาตรฐานในการดูแลผู้ประสบภัย, การฟื้นฟูชุมชนนอกแนวคันกั้นน้ำ และทบทวนความเป็นไปได้ในการทำโครงการป้องกันน้ำท่วมขนาดใหญ่


ล่าสุด ทางรัฐบาลได้มีการปรับเกณฑ์การเยียวยาแบบขั้นบันได จากที่ทุกคนเคยได้รับเงินเยียวยา 9,000 บาทแบบเหมาจ่ายครั้งเดียว ปรับเพิ่มวงเงินขั้นละ 5,000 บาทตามระยะเวลาที่รัฐบาลกำหนดและจะจ่ายเงินชดเชยทั้งหมดให้จบภายในสิ้นปีนี้ ถือเป็นเรื่องน่ายินดีที่รัฐบาลได้ทบทวนการปรับเกณฑ์การจ่ายเงินเยียวยาเพื่อบรรเทาทุกข์พี่น้องประชาชนที่กำลังประสบเหตุอุทกภัยให้ลดลงบ้าง สอดคล้องกับที่พรรคประชาชนเรียกร้องมาโดยตลอด 


สส. ทวิวงศ์ ย้ำว่า ลำพังแค่การปรับเกณฑ์เยียวยาด้วยการจ่ายเงินชดเชยนั้น ยังไม่เพียงพอสำหรับการแก้ปัญหาน้ำท่วม ยังมีอีกหลายประเด็นสำคัญที่รัฐต้องเร่งแก้ ทั้งเรื่องการบริหารจัดการน้ำ การระบายน้ำทั้งในระยะสั้น รวมทั้งต้องแจ้งเตือนล่วงหน้าอย่างน้อย 24 ชั่วโมงเพื่อให้ประชาชนรับมือกับน้ำท่วมได้ทันการณ์ และในระยะยาวที่ควรเร่งระบายน้ำตามกรอบเวลาที่กำหนด


ทั้งการดูแลผู้ประสบภัยให้มีที่พักพิงที่เหมาะสม มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่เพียงพอ ไปจนถึงการฟื้นฟูชุมชนนอกแนวคันกั้นน้ำตามที่ทางพรรคประชาชนเสนอมา เหนือสิ่งอื่นใด คือการทำโครงการป้องกันน้ำท่วมขนาดใหญ่ที่รัฐจำเป็นต้องทบทวน เพราะมีความเสี่ยงที่จะไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ จาก 9 โครงการที่มีแผนป้องกันน้ำท่วมที่ผ่านมา พบว่า 8 โครงการแทบไม่มีความคืบหน้า ไม่สามารถกำหนดได้ว่าจะสำเร็จเมื่อไหร่


แทนที่รัฐบาลจะวางแผนเตรียมกู้เงินจากต่างประเทศเพื่อนำมาจัดทำโครงการใหญ่ป้องกันน้ำท่วมถาวรตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ให้ความเห็นไว้ รัฐบาลควรทบทวนความเป็นไปได้ของโครงการให้ถี่ถ้วนก่อน รวมทั้งรับฟังความคิดเห็นของประชาชนก่อนที่จะตัดสินใจดำเนินโครงการใหญ่เพื่อป้องกันน้ำท่วมดังกล่าว


ทั้งนี้ สส. ทวิวงศ์ ยังมีความเห็นว่ารัฐบาลควรเริ่มเตรียมรับมือน้ำท่วมในภาคใต้ด้วย เนื่องจากขณะนี้ ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือได้เคลื่อนลงไปทางภาคใต้ ทำให้ภาคใต้มีฝนตกชุก และจากการคาดการณ์ในหลายแบบจำลองสภาพอากาศ คาดการณ์ตรงกันว่า ภาคใต้ฝั่งตะวันออกจะเจอฝนตกหนักมาก โดยฝนจะตกต่อเนื่อง 18-23 พ.ย. 68 และโดยเฉพาะในช่วง 19-21 พ.ย. 68 อาจมีบางพื้นที่ที่มีปริมาณน้ำฝนมากกว่า 300 มม. ซึ่งอาจทำให้มีน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลากได้ 


อีกทั้งลักษณะทางภูมิศาสตร์ของพื้นที่ภาคใต้ มีความเสี่ยงที่จะเกิดน้ำท่วมฉับพลันได้ในหลายพื้นที่ และเมื่อเกิดเหตุขึ้นแล้วอาจมีความยากลำบากในการเข้าพื้นที่ พรรคประชาชนขอให้ประชาชน ชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ติดตามสถานการณ์ฝนและน้ำอย่างใกล้ชิด และควรจัดเตรียมความพร้อมสำหรับการเผชิญเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมศูนย์อพยพสำหรับผู้ประสบภัยที่ปลอดภัย สะดวกและเพียงพอ การแจ้งจุดที่ตั้งและเส้นทางอพยพไปศูนย์อพยพฯ การเตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็นในดำรงชีพและช่วยเหลือ เช่น เรือ ชูชีพ น้ำดื่ม ฯลฯ ไว้ให้พร้อม และพร้อมเตือนภัยกับประชาชนทันทีที่ได้รับแจ้งจากหน่วยงานราชการ และ/หรือเครือข่ายเฝ้าระวังและเตือนภัยในแต่ละพื้นที่


ขณะเดียวกัน ขอให้หน่วยงานระดับจังหวัด และระดับเขต/ภาค ในภาคใต้ จัดเตรียมอุปกรณ์ เสบียง และกำลังคนในการช่วยเหลือสำรองไว้ให้พร้อม เพื่อที่จะสามารถเข้าช่วยเหลือในพื้นที่ประสบภัยได้ทันทีที่มีการร้องขอ


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #น้ำท่วม #น้ำท่วม68



วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

แอมเนสตี้-พายุ บุญโสภณ เรียกร้องสอบสวนอิสระเหตุสลายการชุมนุม “ราษฎรหยุด APEC 2022”ที่กระทรวงยุติธรรม หลังครบ 3 ปี ไร้เยียวยา ไร้ความคืบหน้า

 


แอมเนสตี้-พายุ บุญโสภณ เรียกร้องสอบสวนอิสระเหตุสลายการชุมนุม “ราษฎรหยุด APEC 2022”ที่กระทรวงยุติธรรม หลังครบ 3 ปี ไร้เยียวยา ไร้ความคืบหน้า


วันนี้ (18 พ.ย. 68) เวลา 10.00 น. ณ กระทรวงยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย นำโดย น.ส.เพชรรัตน์ ศักดิ์ศิริเวทย์กุล ผู้จัดการฝ่ายรณรงค์แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย พร้อมด้วย นายเฝาซี ล่าเต๊ะ เจ้าหน้าที่รณรงค์เชิงนโยบาย แอมเนสตี้ ประเทศไทย และ พายุ บุญโสภณ นักกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชน ซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการถูกยิงด้วยกระสุนยางในระยะประชิดจนสูญเสียการมองเห็นถาวร ได้เดินทางเข้ายื่นหนังสือและส่งข้อเรียกร้องให้มีการสอบสวนเหตุการณ์สลายการชุมนุมอย่างอิสระ โปร่งใส และมีประสิทธิภาพ รวมถึงการเยียวยาผู้เสียหายตามหลักสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ โดยมี น.ส.ดวงดาว เกียรติพิศาลสกุล รองอธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เป็นผู้รับเรื่อง


พายุ บุญโสภณ ผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการถูกยิงด้วยกระสุนยาง เปิดเผยว่า ความเจ็บปวดที่สุดไม่ใช่เพียงบาดแผลทางร่างกาย แต่คือการที่ความจริงยังไม่ถูกเปิดเผย เหตุการณ์วันนั้นไม่ได้เป็นเพียงการสลายการชุมนุมประท้วงโดยสงบ แต่คือการทำร้ายศักดิ์ศรีของประชาชนที่ออกมาใช้สิทธิมนุษยชนของตน แต่สิ่งที่เจ็บปวดกว่าคือ ทางการไทยกำลังเลือกหลับตาไม่มองความจริงทั้งสองข้าง


“ผมไม่อยากให้กรณีของผมกลายเป็นเพียงเรื่องเล่าโศกนาฏกรรมส่วนบุคคล แต่อยากให้เป็นจุดเริ่มต้นของการยุติวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิด เพื่อให้คำว่าสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ มีความหมายที่แท้จริงสำหรับทุกคน”


พายุย้ำว่าการเดินทางมาในวันนี้ไม่ใช่เพียงเพื่อเรียกร้องสิทธิของตัวเองเท่านั้น แต่เพื่อไม่ให้มีใครต้องสูญเสียชีวิต ร่างกาย หรือเสียศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เพียงเพราะลุกขึ้นมาใช้สิทธิในการชุมนุมประท้วงโดยสงบอีกต่อไป


ด้าน น.ส.เพชรรัตน์ เผยว่า ในกรณีของนายพายุ ได้สะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวเชิงโครงสร้างที่หน่วยงานรัฐทุกระดับต้องเร่งแก้ไขอย่างเป็นระบบ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ต้องรับผิดชอบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ในสังกัด และการใช้กำลังควบคุมฝูงชนที่เกินความจำเป็น ขณะที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย มีหน้าที่ตามกฎหมายในการพิจารณาว่าเหตุการณ์นี้เข้าข่ายการกระทำที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีหรือไม่ รวมถึงต้องรับรองสถานะผู้เสียหายและกำหนดมาตรการเยียวยาที่เหมาะสม


ส่วนทาง นายเฝาซี กล่าวเสริมว่า กรณีผู้ได้รับบาดเจ็บจากการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 18 พ.ย.65 มีทั้งหมด 30 ราย และมีเกือบ 20 รายที่ได้ร่วมยื่นคำร้องกับศาลปกครองพร้อมนายพายุ บุญโสภณ


ขณะที่ ดวงดาว เกียรติพิศาลสกุล รองอธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เปิดเผยว่า กรมฯ ไม่ได้นิ่งนอนใจกับกรณีการใช้ความรุนแรงระหว่างการชุมนุมที่เกิดขึ้นกับ พายุ บุญโสภณ โดยเรื่องดังกล่าวจะถูกนำเข้าสู่การพิจารณาของอนุกรรมการกลั่นกรองข้อเท็จจริง ก่อนเสนอให้คณะกรรมการชุดใหญ่พิจารณาต่อไป พร้อมย้ำว่ากรมฯ มีการอบรมร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การควบคุมฝูงชนเป็นไปอย่างเรียบร้อยและไม่ใช้ความรุนแรง โดยทุกขั้นตอนจะดำเนินการตามระเบียบที่กำหนดไว้


ทั้งนี้ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพย้ำว่า พร้อมให้การช่วยเหลือในทุกกรณี ไม่ว่าจะเป็นการถูกกระทำจากเจ้าหน้าที่รัฐหรือบุคคลทั่วไป โดยมีทั้งกฎหมายที่ให้การช่วยเหลือด้านการเงิน และมาตรการตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมาน ซึ่งใช้กับกรณีที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่รัฐโดยตรง


ด้าน นิธิวดี พรหมอาจ หัวหน้ากลุ่มเลขานุการคณะกรรมการและอนุกรรมการ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ระบุว่า แม้กระทรวงยุติธรรมจะไม่สามารถก้าวล่วงอำนาจศาลได้ แต่ถ้าหากให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพติดตามความคืบหน้าของคดี ทางกรมฯ ก็ยินดีที่จะดูแลเรื่องนี้ให้


ทั้งนี้ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพย้ำว่า พร้อมให้การช่วยเหลือในทุกกรณี ไม่ว่าจะเป็นการถูกกระทำจากเจ้าหน้าที่รัฐหรือบุคคลทั่วไป โดยมีทั้งกฎหมายที่ให้การช่วยเหลือด้านการเงิน และมาตรการตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมาน ซึ่งใช้กับกรณีที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่รัฐโดยตรง


ในปีนี้ พายุ บุญโสภณ เป็นหนึ่งในบุคคลซึ่งแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย คัดเลือกให้เป็นกรณีรณรงค์ภายใต้แคมเปญ “Write For Rights” หรือ “เขียน เปลี่ยน โลก” เพื่อเชิญชวนให้ประชาชนทั้งในประเทศไทยและทั่วโลกร่วมกันเขียนจดหมายเรียกร้องความยุติธรรมไปถึงผู้มีอำนาจ และผลักดันให้ทางการไทยยุติวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิดในการสลายการชุมนุมโดยสงบ เยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างครบถ้วนตามหลักสิทธิมนุษยชน


แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทยยืนยันว่าจะเดินหน้ารณรงค์ร่วมกับภาคประชาสังคม เพื่อให้สิทธิมนุษยชนได้รับการเคารพ คุ้มครอง เติมเต็มและเกิดขึ้นจริงในชีวิตของทุกคน


ขอบคุณข้อมูล รูป : แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ราษฎรหยุดAPEC2022