อัยการสั่งฟ้อง ม.112 “เจ๊จวง – เจ๊เทียม” สองแม่ค้าบะหมี่ กรณีติดป้ายหน้าร้านเรียกร้องยกเลิก 112 – ปล่อยเพื่อนเรา ก่อนศาลอาญาพระโขนงให้ประกันตัว วางหลักประกันคนละ 200,000 บาท จากกองทุนราษฎรประสงค์
วันที่ 20 พ.ย. 2568 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า เวลา 11.00 น. ที่ศาลอาญาพระโขนง พนักงานอัยการได้สั่งฟ้องคดีของ “เจ๊จวง” (สงวนชื่อสกุล) อายุ 54 ปี และ “เจ๊เทียม” (สงวนชื่อสกุล) อายุ 59 ปี สองแม่ค้าขายบะหมี่-ก๋วยเตี๋ยว ในข้อหา “หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เหตุจากการติดป้ายไว้บริเวณหน้าร้าน ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการยกเลิกมาตรา 112, งบประมาณแผ่นดิน และเรียกร้องให้ “ปล่อยเพื่อนเรา” จำนวน 2 ป้าย เมื่อวันที่ 18 ม.ค. 2566
คดีนี้มี ทรงชัย เนียมหอม สมาชิกกลุ่มประชาภักดิ์พิทักษ์สถาบัน (ปภส.) เป็นผู้กล่าวหา โดยทรงชัยอ้างว่า ถ้อยคำภายในแผ่นป้ายดังกล่าวนั้น เป็นถ้อยคำหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ อันเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญและมาตรา 112
เกี่ยวกับคดีนี้ เมื่อวันที่ 18 มี.ค. 2567 เจ๊จวงและเจ๊เทียม ได้เดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหาที่ สน.บางนา พนักงานสอบสวนระบุพฤติการณ์โดยสรุปว่า เมื่อวันที่ 19 ม.ค. 2566 ทรงชัยได้มากล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้งสอง ในความผิดตามมาตรา 112 โดยผู้กล่าวโทษพบโพสต์ภาพและข้อความผ่านทางเฟซบุ๊กซึ่งเป็นสาธารณะ ในวันที่ 18 ม.ค. 2566 เวลาประมาณ 18.30 น. เป็นแผ่นป้ายที่ติดแสดงอยู่บริเวณหน้าร้านขายก๋วยเตี๋ยว จำนวน 2 แผ่นป้าย ที่ประชาชนทั่วไปสามารถพบเห็นได้ ซึ่งเห็นว่าถ้อยคำเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ อันเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญไทยและประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
ทั้งนี้ เฟซบุ๊กที่ผู้กล่าวหาอ้างว่าพบภาพและข้อความนั้น ไม่ได้เป็นของ “เจ๊จวง” และ “เจ๊เทียม” แต่อย่างใด ซึ่งผู้ต้องหาทั้งสองได้ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา
ต่อมาพนักงานสอบสวน ได้ส่งสำนวนคดีให้กับพนักงานอัยการพระโขนงเมื่อวันที่ 21 ส.ค. 2568 และอัยการนัดผู้ต้องหามารายงานตัวและฟังคำสั่งเดือนละหนึ่งครั้ง จนกระทั่งมีคำสั่งฟ้องในเดือนนี้
⭕️อัยการสั่งฟ้องคดี ม.112 เห็นว่าป้ายที่หน้าร้านก๋วยเตี๋ยว มีประชาชนเดินผ่านไปมาเห็น ข้อความทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติ-ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง
ในวันนี้ (20 พ.ย.) ภาสวิชญ์ บัณฑิตทัศนานนท์ พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญาพระโขนง 3 เป็นผู้เรียงฟ้อง ตามข้อกล่าวหาในมาตรา 112 โดยมีใจความสำคัญในคำฟ้องระบุว่า เมื่อวันที่ 18 ม.ค. 2566 จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันนำแผ่นป้ายจำนวน 2 ป้าย โดยป้ายที่ 1 ระบุข้อความที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการยกเลิกมาตรา 112 และป้ายที่ 2 ระบุข้อความเรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้ต้องขังการเมือง พร้อมกับมีข้อความว่า “ไปไหนก็เป็นภาระ” มาติดไว้บนตู้กระจกร้านขายก๋วยเตี๋ยวของจำเลยทั้งสอง
ข้อความดังกล่าว อัยการกล่าวหาว่า เป็นข้อความที่ทำให้ประชาชนทั่วไปสามารถพบเห็นได้ และทำให้เข้าใจว่าพระมหากษัตริย์ พระราชินี ทรงใช้พระราชอำนาจโดยมิชอบ แสวงหาผลประโยชน์ที่ไม่ควรได้แก่พระองค์เอง และทรงใช้เงินงบประมาณแผ่นดิน อันเป็นภาษีของประชาชนจำนวนมาก ไม่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนทั่วไป และทรงเสด็จไปพระราชดำเนินที่ใด ก็เป็นภาระให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน
อัยการระบุว่า ที่ตั้งร้านก๋วยเตี๋ยวเป็นสถานที่ซึ่งมีประชาชนเดินผ่านไปมา และพบเห็นข้อความดังกล่าวได้ แล้วนำไปโพสต์ลงในโซเชียลมีเดีย เกิดการกดไลค์ กดแชร์เผยแพร่ต่อสาธารณชน อันเป็นการจงใจ เสียดสี จาบจ้วง ล่วงเกินพระมหากษัตริย์และราชินี ให้เกิดการเสื่อมเสียพระเกียรติยศ เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชังอย่างร้ายแรง
อัยการยังคัดค้านการประกันตัวจำเลย โดยระบุว่าคดีมีอัตราโทษสูง และเป็นภัยต่อสังคม เกรงจำเลยทั้งสองจะหลบหนี
ต่อมา เวลา 14.33 น. ศาลอาญาพระโขนงอนุญาตให้ประกันตัวจำเลยในระหว่างพิจารณาคดี โดยให้วางหลักประกันคนละ 200,000 บาท ซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากกองทุนราษฎรประสงค์
คำสั่งระบุว่า “พิเคราะห์แล้วเห็นว่าคดีมีอัตราโทษสูง พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง เห็นสมควรให้กำหนดเงินประกันคนละ 200,000 บาท จึงจะอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว” ลงนามคำสั่งโดย สาโรจน์ จิตต์ศิริ พร้อมกับศาลกำหนดวันนัดพร้อมและตรวจพยานหลักฐาน ในวันที่ 22 ม.ค. 2569 เวลา 08.30 น.
ทั้งนี้ คดีนี้นับว่าเป็นคดีมาตรา 112 คดีที่สองของเจ๊จวงที่ถูกกล่าวหา โดยก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 18 มี.ค. 2568 ศาลอาญากรุงเทพใต้ได้พิพากษาในคดีที่เธอถูกกล่าวหาจากเหตุการปราศรัยในประเด็น ‘ขบวนเสด็จ’ หน้าศาลอาญากรุงเทพใต้ เมื่อวันที่ 20 ก.ค. 2565 โดยพิพากษาลงโทษจำคุก 2 ปี และให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี
ขอบคุณข้อมูล : ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษย์ชน

















































