วันที่
21 สิงหาคม 2568 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ณัฐพงษ์
เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคประชาชน
ตั้งกระทู้ถามสดด้วยวาจาต่อนายกรัฐมนตรี
กรณีมาตรการชดเชยเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุปะทะระหว่างไทย-กัมพูชา
โดยนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ซึ่งได้มอบหมายให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์
มาเป็นผู้ตอบกระทู้แทน
ณัฐพงษ์เริ่มคำถามแรก
โดยระบุว่าจากการเข้าพื้นที่ไปพบปะประชาชน
ได้รับการสะท้อนปัญหาเกี่ยวกับมาตรการชดเชยเยียวยามา ว่ามีความสับสน
ความเข้าใจและการปฏิบัติที่ไม่ตรงกันอยู่หน้างานอีกเป็นจำนวนมาก
ปัจจุบันทางรัฐบาลมีมาตรการหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นมาตรการลดค่าน้ำค่าไฟ
แต่ก็ยังมีข่าวออกอยู่ว่าประชาชนกลับจากศูนย์พักพิงไปที่บ้านเจอบิลค่าน้ำมา
สรุปว่ามีการยกเว้นจริงหรือไม่
หรือจะเป็นเรื่องของมาตรการในการจ่ายเงินทดแทนจากการสูญเสียรายได้ต่างๆ
ทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้รับและมีการเรียกร้องว่าอยากให้ได้รับเป็นรายครัวเรือนสามารถทำได้หรือไม่อย่างไร
การจ่ายค่าเสียหายจากกรณีบ้านพังหรือรถเสียหายจะต้องมีกระบวนการในการทำอย่างไรบ้าง
ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่าตนมีสิ่งที่อยากให้รัฐมนตรีตอบเพื่อความชัดเจนสองประการ
คือ 1) การแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการจ่ายเงินชดเชยเยียวยาให้แก่ประชาชนทั้งหมด และ 2)
การดูแลสวัสดิการและสวัสดิภาพของเจ้าหน้าที่หน้างาน
ไม่ว่าจะเป็นชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุข
ที่หลายท่านยังมีภาวะ PTSD ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเต็มกำลัง
รัฐบาลมีแนวทางหรือมาตรการดูแลอย่างไรบ้าง
ในส่วนของธีรรัตน์
ระบุว่ารัฐบาลได้ติดตามปัญหานี้มาโดยตลอดเช่นเดียวกันตั้งแต่เกิดเหตุการณ์เมื่อวันที่
24 กรกฎาคม มีการอนุมัติวงเงิน 100 ล้านบาทลงไปใน 7
จังหวัดชายแดนเพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนในการช่วยเหลือประชาชนได้อย่างรวดเร็ว
ที่สมาชิกได้สอบถามถึงการจ่ายเงินเยียวยา ตนก็เคยได้มีโอกาสนำเสนอต่อสภามาแล้ว
ว่ามีขั้นตอนในการดำเนินการจำเป็นเร่งด่วน
ทั้งส่วนของประชาชนที่มีการอพยพมาตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม
สามารถใช้เงินที่อยู่ในท้องถิ่นสั่งจ่ายได้ทันที ส่วนหลังจากที่มีการอพยพมาแล้ว
เมื่อประชาชนกลับบ้านก็มีการมอบสิ่งของที่มีความจำเป็นกับการดำรงชีพให้ด้วย
นั่นคือส่วนที่รัฐบาลได้ทำทันทีไปแล้ว
ส่วนบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหาย
ที่จังหวัดสุรินทร์มีบ้านเรือนเสียหาย 107 หลัง ซ่อมแซมไปแล้ว 58
หลัง อยู่ระหว่างการซ่อมแซม 49 หลัง
ที่จังหวัดอุบลราชธานีมีบ้านเรือนเสียหาย 137 หลัง
ซ่อมแซมไปแล้ว 129 หลัง อยู่ระหว่างการซ่อมแซมอีก 8 หลัง ที่จังหวัดบุรีรัมย์มีบ้านเรือนเสียหาย 16 หลัง
ซ่อมแซมไปแล้ว 14 หลัง อยู่ระหว่างการซ่อมแซม 2 หลัง ที่จังหวัดศรีสะเกษมีบ้านเหลือเสียหาย 445 หลัง
ซ่อมแซมไปแล้ว 134 หลัง อยู่ระหว่างการซ่อมแซม 311 หลัง และยังมีในส่วนของการให้ความช่วยเหลือจากภาคเอกชน
โดยมีการมอบบ้านน็อคดาวน์ให้กับประชาชนที่บ้านเสียหายทั้งหลัง
ให้มีพื้นที่พักพิงชั่วคราวระหว่างที่บ้านสร้างอยู่ด้วย
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยยังกล่าวต่อไปว่ารัฐบาลเองยังได้อนุมัติในการช่วยเหลือค่าน้ำค่าไฟในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม
ไม่ให้มีการจัดเก็บ
แต่ที่เป็นข่าวว่ายังมีบิลมาจัดเก็บที่บ้านอยู่อาจจะเป็นเพราะเป็นบิลของเดือนมิถุนายนที่ทางการไฟฟ้ามาจัดเก็บย้อนหลัง
ซึ่งตนได้สร้างความเข้าใจให้กับทางการไฟฟ้าฯ และประชาชนได้ทราบแล้ว
ว่าเหตุที่มีบิลย้อนหลังมาเพราะอะไร
และยังมีบางส่วนที่เป็นของเดือนกรกฎาคมแต่ยังมีการจัดเก็บอยู่เป็นเพราะบิลนั้นออกในช่วงของปลายเดือนมิถุนายน
ต้นเดือนกรกฎาคม แต่ในส่วนที่รัฐบาลได้ประกาศไปคือส่วนของต้นเดือนกรกฎาคม
ก็เลยทำให้มีบิลเพิ่มเข้ามา ซึ่งตนก็ได้ประสานกับทางการไฟฟ้าฯ
ว่าขอให้แก้ปัญหานี้โดยการให้บิลที่ประชาชนจ่ายไปแล้วของเดือนกรกฎาคมให้หักกลบกับในเดือนต่อๆ
ไป
ส่วนกรณีที่สมาชิกสอบถามถึงผู้ที่อยู่ในศูนย์อพยพแล้วไม่มีรายได้ในช่วงนั้นจะทำอย่างไร
รัฐบาลมีการสำรวจอยู่ว่าแต่ละพื้นที่นั้นมีจำนวนผู้ที่ต้องได้รับการช่วยเหลือเท่าไหร่
ซึ่งในจังหวัดอุบลราชธานีมีพื้นที่ถูกประกาศเป็นเขตให้ความช่วยเหลือ 3 อำเภอ
ศรีสะเกษ 5 อำเภอ สุรินทร์ 17 อำเภอ
บุรีรัมย์ 3 อำเภอ สระแก้ว 4 อำเภอ
จันทบุรี 10 อำเภอ ตราด 3 อำเภอ
ซึ่งแต่ละพื้นที่ก็มีความแตกต่างกัน
ขณะนี้ข้อมูลที่รัฐบาลมีอยู่ในมือสามารถที่จะทำให้เกิดการทำงานได้อย่างต่อเนื่อง
ไม่ช้าเกินไปและไม่สะดุด ประชาชนจะเข้าใจว่าเยียวยาล่าช้าหรือไม่
แต่จากการที่ตนได้ไปสัมผัสและพูดคุย มีการช่วยเหลืออยู่เป็นลำดับขั้นตามระยะเร่งด่วน
ปานกลาง และระยะยาวอยู่แล้ว
ส่วนงบประมาณที่อนุมัติไปแล้วไปอยู่ที่ผู้ที่ประสบภัยอย่างแท้จริง
ไม่ใช้มาตรการแจกและกระจายให้หมด
แต่ใช้หลักเกณฑ์ที่มีอยู่ให้ได้ตรงตามข้อกฎหมายหรือข้อบังคับที่กำหนดไว้ด้วย
ในส่วนที่เป็นหลักเกณฑ์และระเบียบที่ทำให้การทำงานมีอุปสรรคนั้น
ทางกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัย (ปภ.)
ก็สามารถของดเว้นการใช้หลักเกณฑ์ได้ทันทีโดยเช่นเดียวกัน
ส่วนเรื่อง
ชรบ. อสส. หรือกำนันผู้ใหญ่บ้าน
ที่ได้เสียสละอาสาทำหน้าที่ในส่วนของการสนับสนุนภารกิจของเจ้าพนักงาน
รัฐบาลได้สำรวจมาว่ามีอยู่ในพื้นที่เท่าไหร่และต้องใช้งบประมาณเท่าไหร่ในการอุดหนุนเป็นค่าตอบแทน
รัฐบาลมีมาตรการอยู่แล้วในส่วนนี้ และเป็นการดีที่ทุกคนได้มีความเห็นพ้องต้องกันว่าเราต้องดูแลกลุ่มอาสาสมัครเหล่านี้ให้ได้มีขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติภารกิจให้ประชาชนต่อไป
ทางด้านณัฐพงษ์ได้ถามกระทู้ต่อเป็นรอบที่สอง
โดยระบุว่าตนขอเรียนด้วยข้อเท็จจริงว่าตนและรัฐมนตรี
รวมถึงสมาชิกทุกคนทราบอยู่แล้วว่าที่ผ่านมารัฐบาลได้ออกมาตรการในการช่วยเหลือเยียวยาประชาชน
รวมถึงเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานอยู่หน้างานอย่างไรบ้าง แต่ปัญหาที่วันนี้ตนอยากนำมาสะท้อนรวมถึงมีข้อเสนอบางส่วน
คือช่องว่างระหว่างระดับนโยบายคือรัฐบาลกับระดับผู้ปฏิบัติงาน
หลายมาตรการที่บอกมาเป็นสิ่งที่ตนเชื่อว่าเป็นประโยชน์
เจ้าหน้าที่ได้เตรียมข้อมูลให้รัฐมนตรีมารายงานสถานการณ์ล่าสุดว่าได้มีการช่วยเหลือเยียวยาประชาชนในแต่ละจังหวัดไปมากน้อยแล้วอย่างไรบ้าง
แต่คนส่วนใหญ่ในพื้นที่
และเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ในพื้นที่ยังตกอยู่ในภาวะที่เครียดเพราะการขาดความชัดเจน
ตนเข้าใจดีว่าการจ่ายเงินเงินชดเชยเยียวยาบางส่วนต้องเป็นไปตามระบบระเบียบราชการและใช้กระบวนการในการพิสูจน์
แต่รัฐบาลจะช่วยให้ความชัดเจนสักหน่อยได้หรือไม่
ว่าตกลงการขอเงินชดเชยเยียวยาในแต่ละด้าน 1) ขอที่ใคร 2) หลักเกณฑ์เป็นอย่างไร และ 3) กระบวนการใช้ระยะเวลาเท่าไหร่
ทุกคนจะได้ไม่ต้องมานั่งรอความหวังทุกวันทุกคืนทุก
วันนี้ประชาชนนอกจากต้องระแวงว่ากระสุนจะมาตกที่บ้านของเขาหรือเปล่า
ยังต้องคอยระวังว่าจะตกข่าวหรือเปล่าด้วย เช่น มีประชาชนถามว่าที่บุรีรัมย์ทำไมได้
3,000 ทำไมสุรินทร์ไม่ได้ ทั้งที่เกิดจากความเข้าใจผิด
เนื่องจากว่าเป็นงบประมาณประจำในกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)
หน่วยงานในพื้นที่ก็พยายามหาทุกช่องทาง
อะไรที่เบิกได้ก็เบิกจากงบประมาณกลุ่มเปราะบาง
ประชาชนก็เลยมีคำถามอีกว่าทุกวันนี้ทุกคนเดือดร้อนขาดรายได้
ทำไมต้องจ่ายให้เฉพาะกลุ่มคนเปราะบางด้วย
ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่าสิ่งต่างๆ
เหล่านี้ไม่ได้เกิดจากความผิดพลาดของการสั่งการและนโยบายที่ผ่านมา
แต่เกิดจากความไม่ชัดเจน และตนอยากเน้นย้ำอีกครั้งว่าวันนี้เราเห็นปัญหาตรงกัน
สิ่งที่ตนอยากได้ยินจากรัฐมนตรีและรัฐบาลคือความชัดเจน
และถ้าเห็นแล้วว่าระบบระเบียบราชการปัจจุบันเป็นปัญหาอุปสรรคอย่างไร
รัฐบาลจะปรับแก้ไขระบบระเบียบเหล่านั้น
เพื่อทำให้เกิดการชดเชยเยียวยาประชาชนอย่างเร็วที่สุดได้หรือไม่
ในการนี้
ตนมีข้อเสนอที่คาดหวังอยากจะได้ยินเป็นการรับปาก บันทึกในที่ประชุมสภา
ว่ารัฐบาลจะหยิบไปทำหรือไม่ หรือเห็นด้วยเห็นต่างอย่างไรหรือไม่
ตนเชื่อว่าปัญหาทั้งหมดที่พูดมาที่เกิดขึ้นเนื่องจากกระบวนการที่ยาก ช้า และตกหล่น
ที่ยากเพราะเงินเยียวยามีหลายช่องทาง มีทั้งที่มาจากงบประมาณประจำของกระทรวง พม.
มาจากส่วนของ ปภ. มาจากเทศบาลและ อบต. ถ้าเกินกำลังศักยภาพก็ต้องไปขอที่อำเภอ
เกินกำลังอำเภอก็ต้องขอที่จังหวัด หรือจะมาจากส่วนอื่นๆ เช่นเอกชนหรือสภากาชาด
ที่มีเงินช่วยเหลือประชาชนในส่วนนี้มีหลายช่องทาง กระบวนการต้องกรอกแบบฟอร์มอะไรบ้าง
ต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ไม่รู้ทั้งหมด
ที่ช้าเพราะต้องพิสูจน์ทราบความเสียหาย
อย่างกรณีที่ตนไปลงพื้นที่มา มีหมูคลอดลูกมาตายทั้ง 9 ตัว
ผู้ว่าฯ ก็ต้องไปพิสูจน์ว่าหมูตายเพราะอะไร ก็ต้องให้ปศุสัตว์จังหวัดไปตรวจสอบ
นี่คือกระบวนการที่ช้าเพราะต้องพิสูจน์ทราบ
และที่ตกหล่นก็เพราะต้องมานั่งพิสูจน์ว่าใครเดือดร้อนบ้าง
ทั้งที่เห็นแล้วว่าทุกคนเดือดร้อนเหมือนกันหมด ทำไมเหตุการณ์น้ำท่วมที่ผ่านมารัฐบาลสามารถจ่ายเงินชดเชยเยียวยาเป็นรายครัวเรือนแบบถ้วนหน้าในพื้นที่ประสบภัยได้
5000-9000 บาท พื้นที่ไหนท่วมนานแตกต่างกันก็จ่ายลดหลั่นไป
รัฐบาลจะจ่ายแบบถ้วนหน้าเป็นรายครัวเรือนแบบนี้ด้วยได้หรือไม่
แบ่งจ่ายมาบางส่วนในการเยียวยาพื้นฐาน ส่วนที่เยียวยาเฉพาะกลุ่มที่บ้านเรือน
รถยนต์เสียหาย วัวควายล้มตายก็ไปพิสูจน์กัน แต่อย่างน้อยให้ทุกคนรู้สึกว่ารัฐไม่ได้ทอดทิ้งและมองเห็นทุกคนได้หรือไม่
ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่ารัฐบาลมีแนวคิดอย่างไรในการเปลี่ยนกระบวนการที่ยาก
ช้า และตกหล่น เป็นง่าย เร็ว และทั่วถึง ทำให้ง่ายโดยมีหน่วยเยียวยาสัญจร
รัฐบาลตั้งวันสต็อปเซอร์วิสได้หรือไม่ ให้ผู้ว่าฯ หรือ อบจ. เป็นประธานก็ได้ เอา
พม. เกษตรจังหวัด พาณิชย์จังหวัด อำเภอ เทศบาล ท้องถิ่นทุกอย่าง ธอส. ธกส.
ไปตั้งโต๊ะตามหมู่บ้าน
ให้ประชาชนแต่ละครัวเรือนมีปัญหาอะไรมาหาที่โต๊ะสัญจรที่เดียว
ไม่ต้องไปติดต่อแยกทีละหน่วยงาน
แล้วหน่วยงานมีข้อเสนอเงินเยียวยาอะไรบ้างก็บอกไปเลย
ให้ประชาชนยื่นเอกสารครั้งเดียวจบ
รัฐสามารถทำให้กระบวนการเยียวยารวดเร็วได้มากยิ่งขึ้นโดยใช้เทคโนโลยี
รัฐบาลมีเครื่องมืออยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าเงินดิจิทัล แอปฯ “ทางรัฐ”
ที่เปิดให้ลงทะเบียนต่างๆ รัฐบาลสามารถใช้ได้เอามาประยุกต์ใช้กับส่วนนี้
รัฐมีฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์อยู่แล้ว เอาเทคโนโลยีมาประกอบใช้ให้ประชาชนได้รับความสะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้นได้หรือไม่
และอย่าลืมกลุ่มที่ตกหล่นด้วย
ตนได้เจอประชาชนอีกเป็นจำนวนมากที่เป็นคนในพื้นที่จริงๆ
แต่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ในที่ดินทำกิน ไม่มีทะเบียนบ้าน
มันปฏิเสธไม่ได้ว่ายังจำเป็นต้องใช้กระบวนการพิสูจน์อยู่บางส่วน
แต่ก็ต้องมีกระบวนการที่รองรับสำหรับกลุ่มต่างๆ เหล่านี้ด้วยที่เป็นกลุ่มเฉพาะ
ตนจึงอยากสอบถามความชัดเจนว่ารัฐบาลจะสามารถสั่งการใครได้ทันทีเลยหรือไม่
ถ้าไม่ได้ตนก็อยากได้ความชัดเจนว่าจะมีการเปลี่ยนกระบวนที่ยาก ช้า และไม่ทั่วถึง
เป็นรวดเร็ว ง่าย และทั่วถึงอย่างไรได้บ้าง
ด้านรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย
ระบุว่ากระทรวงมหาดไทยมีบุคลากรอยู่ในพื้นที่ในการรับเรื่องร้องทุกข์ของประชาชนในหมู่บ้านและจุดพักอาศัยอยู่แล้ว
ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่บ้าน กำนัน หรือนายอำเภอเป็นผู้รับเรื่อง
ส่วนที่สมาชิกระบุว่ามีขั้นตอนมากในการมีคณะกรรมการในการตรวจสอบ
ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่มีความจำเป็น ที่ต้องเน้นในส่วนของข้าราชการผู้ปฏิบัติงาน
คือต้องเร่งทำให้ได้เร็วที่สุดในการสำรวจ
รวมถึงจัดประชุมเพื่อขออนุมัติการสั่งจ่ายให้กับประชาชน
ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการในระดับอำเภอ ที่พิจารณาจำนวนเงินที่ต้องชดเชยให้กับประชาชนโดยใช้กำลังของทางอำเภออนุมัติวงเงินได้เลย
นั่นคือความรวดเร็วที่พื้นที่สามารถกระทำได้เลย
แต่ที่มีบางส่วนที่ประสบปัญหาอยู่
อาจเป็นเพราะประชาชนอาจยังขาดช่องทางในการติดต่อกับเจ้าหน้าที่ก็เป็นไปได้ เช่น
กรณีเอกสารต่างๆ ที่ประชาชนต้องจ่ายค่าถ่ายเอกสารเอง เป็นเรื่องความไม่เข้าใจ
เพราะเอกสารเหล่านี้ทางเจ้าหน้าที่จะต้องเป็นคนจัดหาบริการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนอยู่แล้ว
จะไม่โยนภาระให้กับประชาชนต้องไปถ่ายเอกสารหรือซื้อเอกสารใดใดเป็นอันขาดซึ่งตนจะกำชับให้ทำความเข้าใจกับประชาชนให้ถูกต้องเพื่อลดความสับสนด้วย
หรือเรื่องของการไฟฟ้าฯ ก็ได้ทำ CSR ที่จะเข้าไปจัดเปลี่ยนหลอดไฟโดยช่างพร้อมเข้าบริการทันที
แต่พอไปอีกจังหวัดหนึ่งมาแต่ช่างแต่ไม่มีของ
นี่คือความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนที่เกิดขึ้นได้ตลอด
จึงเป็นความสำคัญที่เจ้าหน้าที่จะต้องลงไปสื่อสารว่าสรุปแล้วการไฟฟ้าฯ
ให้ทั้งส่วนของช่างและหลอดไฟด้วยไปติดตั้งให้ฟรี
ธีรรัตน์กล่าวต่อไปว่าสิ่งที่ตนได้มอบหมายให้พื้นที่ไปดำเนินการ
ไม่ว่าจะเป็นการตั้งจุดรับเรื่องร้องทุกข์ รัฐบาลก็ทำอยู่แล้ว
นายอำเภอท่านใดดูแลรับผิดชอบในส่วนใดก็ดำเนินการได้ทันที
ที่สมาชิกบอกว่าขั้นตอนราชการมีความล่าช้าก็เป็นเรื่องจริงในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งรัฐบาลก็ได้พยามปรับและทำให้เกิดความราบรื่นในการทำงานแล้ว
ที่สำคัญคือการดูประโยชน์ของประชาชนสูงสุด
ว่าทำอย่างไรให้อุปสรรคที่มีอยู่ในปัจจุบันขจัดไปได้
การแก้ไขในเรื่องระเบียบข้อบังคับที่เป็นอุปสรรคให้ใช้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นก็ต้องร่วมมือกันโดยใช้สภาผู้แทนราษฎรแห่งนี้ด้วยในการทำงานต่อไป
ส่วนที่เยียวยาเหมือนกับกรณีน้ำท่วมไม่ได้
ก็เพราะภัยที่เกิดขึ้นจากกองกำลังนอกประเทศเป็นภัยใหม่จริงๆ
ยังต้องมีการมาเขียนกฎเกณฑ์กันอีกครั้งหนึ่งในเรื่องของการดูแลเยียวยาประชาชน
จะทำเหมือนกับภัยน้ำท่วมที่มีกฎเกณฑ์เดิมไว้อยู่แล้ว 5,000-9,000 บาทไม่ได้ กรณีน้ำท่วมที่สามารถจ่ายได้เลยก็เพราะมีน้ำท่วม
บ้านเรือนเสียหาย มีดินโคลนถล่ม
และยังต้องอนุมัติเพิ่มในการล้างโคลนที่เชียงรายอีก 10,000 บาท
โดยใช้เงินทดลองราชการที่มีอยู่ไม่เพียงพอ
แต่นี่เป็นภัยใหม่ที่ต้องดูว่ากรณีที่บ้านเรือนไม่ได้เสียหายแต่ต้องอพยพไปที่ศูนย์
จะทำอย่างไรให้เกิดความพึงพอใจกับประชาชนสูงสุด จึงไม่สามารถใช้เกณฑ์เดิมได้
ณัฐพงษ์ถามต่อเป็นครั้งสุดท้าย
โดยระบุว่า สุดท้ายนี้ตนอยากได้สองคำตอบชัดๆ
ที่วันนี้เจ้าหน้าที่หน้างานรวมถึงประชาชนน่าจะกำลังรับฟังคำตอบอยู่
แต่ถ้าได้รับความชัดเจนเพิ่มขึ้นตนเชื่อว่าจะเป็นกำลังใจให้กับทุกคนเป็นเป็นอย่างยิ่ง
คือ 1) การจ่ายเงินชดเชยเยียวยาเป็นรายครัวเรือน
ประชาชนเกือบทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ามากน้อยไม่เป็นไรแต่ขอให้อย่างน้อยให้ทุกคนได้รับอย่างถ้วนหน้ากัน
เพราะทุกคนเดือดร้อนด้วยกันหมด
รัฐบาลสามารถออกแบบได้ว่าจะให้เฉพาะประชาชนที่เข้าศูนย์พักพิง
หรือจะเยียวยาทั้งหมด 800,000 กว่าคนที่ถูกประกาศในเขตภัยพิบัติ
2) เรื่องของเบี้ยที่รองนายกรัฐมนตรีได้ลงพื้นที่และรับปากไปว่าจะมีมีการจ่ายเบี้ยให้
ชรบ. ตนอยากทราบความชัดเจนว่าได้จริงหรือไม่ ได้เมื่อไหร่ และได้เท่าไหร่
ในส่วนของธีรรัตน์
ระบุว่าการชดเชยเป็นรายครัวเรือนในขณะนี้มีการทำแผนขึ้นมาแล้ว
ว่าหากไปในพื้นที่ที่อพยพเกิน 15 วันจะต้องชดเชยเท่าไหร่ พื้นที่ที่ต่ำกว่า 7
วันจะดูแลอย่างไร ข้อมูลมีหมดแล้ว ขอให้สมาชิกไม่ต้องกังวล
เพราะรัฐบาลทำงานมาโดยตลอดตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม
จนถึงวันนี้ก็ยังทำงานและผ่านขั้นตอนด้วยความรอบคอบ ในส่วนของ ชรบ.
ก็ไม่เป็นที่น่ากังวลเพราะประกาศตั้งแต่วันแรกแล้วว่ารัฐบาลสามารถจ่ายเงินให้กับ
ชรบ. และ อสส. ที่เข้ามาอยู่ในพื้นที่ได้
โดยใช้เกณฑ์พื้นที่ประสบภัยรุนแรงและพื้นที่แนวหลัง หากไม่เกิน 8 ชั่วโมงวันละ 120 บาทต่อคน หากเกินก็จะเพิ่มเป็น 240
บาท นี่เป็นความชัดเจนที่ต้องขอนำเรียนให้ได้มีความเข้าใจที่ตรงกัน
ว่าในขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการอยู่แล้ว
#UDDnews
#ยูดีดีนิวส์ #ชายแดนไทยกัมพูชา