วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น “อานนท์และพวก” มีความผิด ปรับคนละ 15,150 เหตุ ชุมนุมปราศรัยหน้ากองทัพบก ปี 63

 


ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น “อานนท์และพวก” มีความผิด ปรับคนละ 15,150 เหตุ ชุมนุมปราศรัยหน้ากองทัพบก ปี 63


วันนี้ (3 กุมภาพันธ์ 2568) ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานผ่าน X ความว่า


วันนี้ (3 ก.พ.) ศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีข้อหาหลักตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ของ "อานนท์ นำภา" และพวกรวม 5 คน เหตุ #ม็อบมุ้งมิ้ง ชุมนุมปราศรัยหน้ากองทัพบก ปี 63


พิพากษายืน เห็นว่า จำเลยทั้งห้ามีความผิดตามฟ้อง ลงโทษปรับคนละ 20,000 แต่ข้อหาใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต พิพากษาแก้จากโทษปรับทางอาญาเป็นปรับเป็นพินัยคนละ 200 บาท


รวมปรับคนละ 20,200 บาท ให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ลดโทษให้ 1 ใน 4 คงปรับคนละ 15,150 บาท


ทั้งนี้ นักกิจกรรม 5 คน ประกอบด้วย อานนท์ นำภา, ‘ไมค์’ ภาณุพงศ์ จาดนอก, ‘เพนกวิน’ พริษฐ์ ชิวารักษ์, สุวรรณา ตาลเหล็ก และ ‘โตโต้’ ปิยรัฐ จงเทพ ถูกฟ้องในข้อหาตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, กีดขวางทางสาธารณะ, กีดขวางการจราจร และใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต เหตุเกิดเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2563


ซึ่งเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2565 ศาลแขวงดุสิตมีคำพิพากษาศาลชั้นต้น ปรับจำเลยคนละ 20,000 บาท และปรับข้อหาใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาตคนละ 200 บาท รวมปรับคนละ 20,200 บาท เนื่องจากจำเลยให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา จึงลดโทษให้ 1 ใน 4 คงเหลือโทษปรับคนละ 15,150 บาท


อ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้น : https://tlhr2014.com/archives/49632


ขอบคุณข้อมูล/ภาพ : ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #TLHR #พรกฉุกเฉินฯ

พี่สาว “บุ้ง เนติพร” และคณะฯ จี้ ยธ. ตั้งคณะอนุกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ พร้อมถาม กรณี #ก้องอุกฤษฎ์ ที่ถูกคุมขังจากคดีม.112 และได้รับผลกระทบให้สภาพนักศึกษาจากการถูกคุมขังและไม่ได้รับสิทธิในการสอบ

 


พี่สาว “บุ้ง เนติพร” และคณะฯ จี้ ยธ. ตั้งคณะอนุกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ พร้อมถาม กรณี #ก้องอุกฤษฎ์ ที่ถูกคุมขังจากคดีม.112 และได้รับผลกระทบให้สภาพนักศึกษาจากการถูกคุมขังและไม่ได้รับสิทธิในการสอบ


วันนี้ (3 กุมภาพันธ์ 2568) เมื่อเวลา 9.00 น. คณะติดตามการเสียชีวิตนางสาวเนติพร นำโดย นางสาวชญาภัส โบ เสน่ห์สังคม (พี่สาวบุ้ง), นางสาวทิชา ณ นคร (ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนบ้านกาญจนาภิเษก), นางสาวนัยนา สุภาพึ่ง (ที่ปรึกษามูลนิธิเพื่อสิทธิและความเป็นธรรมทางเพศ, กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม, อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชน), นางสาวณัฐนิช ดวงมุสิทธิ์ (นักกิจกรรมอิสระ) และนางสาวทานตะวัน ตัวตุลานนท์ (นักกิจกรรมอิสระ) ได้นัดหมายกับท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง เพื่อมายื่นหนังสือกับทางกระทรวงยุติธรรมเกี่ยวกับการสอบถามความคืบหน้ากรณีตั้งคณะอนุกรรมการคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ


โดยเนื้อหามีใจความสำคัญ ดังนี้


ด้วยในการประชุมร่วมกันที่กระทรวงยุติธรรม วันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 เสนอเรื่องแนวทางการอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวในชั้นศาล และเสนอทางออกร่วมกันเรื่องสิทธิการปล่อยตัวชั่วคราวที่เป็นรูปธรรม ครอบคลุมถึงการบังคับใช้ และหนทางบูรณาการ ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้เห็นชอบให้ตั้งคณะอนุกรรมการคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ เพื่อให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจนตามประเด็นดังกล่าว


ดังนั้น จึงกราบเรียนมายังท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เพื่อขอทราบความคืบหน้าการดำเนินการตามที่กล่าวไว้ข้างต้น”


แต่เนื่องจากท่านรัฐมนตรีติดธุระด่วน ทางคณะได้รับเกียรติจาก พันตํารวจโทพงษ์ธร ธัญญสิริ ผู้อำนวยการสำนักงานกิจการยุติธรรม ในการมารับหนังสือและร่วมหารือถึงการตั้งอนุกรรมการดังกล่าว


โดยการพูดคุยดังกล่าวได้ข้อสรุปว่า ทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมรับปากในเรื่องของการตั้งอนุกรรมการโดยให้มีส่วนร่วมจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งศาล อัยการ ผู้บังคับใช้กฎหมาย รวมถึงส่วนร่วมของภาคประชาชนผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง ทั้งนี้เพื่อหาทางออกร่วมกันถึงปัญหาของสิทธิในการประกันตัว การปล่อยตัวชั่วคราว รวมถึงสิทธิต่างๆของผู้ต้องขังในเรือนจำ เช่น สิทธิในการรักษาพยาบาลของผู้ต้องขัง สิทธิในการศึกษา ฯลฯ


ทั้งนี้ ทางคณะติดตามการเสียชีวิตนางสาวเนติพรได้สอบถามความคืบหน้าถึงกรณี #ก้องต้องได้สอบ “ก้อง อุกฤษฎ์” นักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ที่ถูกคุมขังจากคดีม.112 และได้รับผลกระทบจากกรณีพ้นสภาพนักศึกษาจากการถูกคุมขังและไม่ได้รับสิทธิในการสอบทั้งที่กำลังจะจบการศึกษาในระดับชั้นปริญญาตรี


ซึ่งทางกระทรวงยุติธรรมแจ้งกับทางคณะว่า ทางกระทรวงได้มีการยื่นหนังสือเกี่ยวกับกรณี “ก้อง อุกฤษฎ์” ไปที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงแล้ว แต่ทางมหาวิทยาลัยไม่พร้อม ทั้งนี้ ทางกมธ.กฎหมายฯได้รับเรื่องนี้เป็นวาระเร่งด่วนแล้ว และจะสอบข้อเท็จจริงกับทางม.รามในวันที่ 5 ก.พ.นี้


ภายหลังท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมได้กลับมาและขอพบทางคณะ โดยได้ร่วมพูดคุยและหารือถึงประเด็นดังกล่าวด้วยเช่นกัน


ทั้งนี้ ทางคณะติดตามการเสียชีวิตนางสาวเนติพร หวังเป็นอย่างยิ่งว่า คณะอนุกรรมการคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติชุดนี้จะถูกตั้งขึ้นเพื่อแก้ปัญหาและความขัดแย้งที่เกิดขึ้นโดยเร็ว


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #บุ้งเนติพร #ก้องอุกฤษฎ์ #ก้องต้องได้สอบ #มาตรา112 





“กกต.”เผยยอดประชาชนใช้สิทธิเลือก อบจ. 58.45% พบลำพูนใช้สิทธิ์มากสุดถึง 73.43 % ต้องเลือกตั้ง ส.อบจ.ใหม่ 4 จังหวัดเหตุผู้สมัครถูกตัดสิทธิ - คะแนนแพ้โหวตโน ยันตัดสินใจไม่ผิดจัดเลือกวันเสาร์ พบบัตรเขย่ง 5 แห่ง จังหวัดเสนอนับใหม่ หรือหย่อนบัตรใหม่

 


กกต.” เผยยอดประชาชนใช้สิทธิเลือก อบจ. 58.45% พบลำพูนใช้สิทธิ์มากสุดถึง 73.43 % ต้องเลือกตั้ง ส.อบจ.ใหม่ 4 จังหวัดเหตุผู้สมัครถูกตัดสิทธิ - คะแนนแพ้โหวตโน ยันตัดสินใจไม่ผิดจัดเลือกวันเสาร์ พบบัตรเขย่ง 5 แห่ง จังหวัดเสนอนับใหม่ หรือหย่อนบัตรใหม่


วันนี้ (3 กุมภาพันธ์ 2568) ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายแสวง บุญมี เลขาธิการกกต. แถลงสรุปภาพรวมการเลือกตั้งนายกและสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 ว่า ภาพรวมมีจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 27,991,587 คน มีผู้มาใช้สิทธิ 16,362,185 คน คิดเป็น 58.45 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าลดลงจากการเลือกตั้ง อบจ.ปี 2563 ประมาณ 4% โดยในจำนวนเป็นบัตรดี 14,272,694 ใบ คิดเป็น 87.23 เปอร์เซ็นต์ ส่วนบัตรเสีย 931,290 ใบ คิดเป็น 5.69 เปอร์เซ็นต์ ก็ถือว่าเกือบจะเท่ากับปี 2563 ที่มีบัตรเสียอยู่ที่ 5.63 เปอร์เซ็นต์ และบัตรไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด 1,158,201 ใบ คิดเป็น 7.08 เปอร์เซ็นต์


ขณะที่ภาพรวมผู้มีสิทธิสมาชิก อบจ. 47,124,842 คน มีผู้มาใช้สิทธิ 26,418,754 คน คิดเป็น 56.06 เปอร์เซ็นต์ โดยเป็นบัตรติ 23,131,324 ใบ คิดเป็น 87.56 เปอร์เซ็นต์ บัตรเสีย 1,488,086 ใบ คิดเป็น 5.63 เปอร์เซ็นต์ และบัตรไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด 1,799,344 ใบ คิดเป็น 6.81 เปอร์เซ็นต์


นายแสวง กล่าวต่อว่า ส่วนจังหวัดที่มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภา อบจ. และนายก อบจ.47 มากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่ 1. ลำพูน คิดเป็น 73.43 สปอร์เซ็นต์ 2. นครนายก คิดเป็น 73 เปอร์เซ็นต์ 3 พัทลุง คิดเป็น 72.56 เปอร์เซ็นต์ 4. นราธิวาส คิดเป็น 68.42 เปอร์เซ็นต์ 5. มุกดาหาร คิดเป็น 68.03 เปอร์เซ็นต์ จังหวัดที่มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภา อบจ. (29 จังหวัด) มากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่ 1. พะเยา คิดเป็น 61.68 เปอร์เซ็นต์ 2. เลย คิดเป็น 58.04 เปอร์เซ็นต์ 3. เพชรบุรี คิดเป็น 57.44 เปอร์เซ็นต์ 4. ยโสธร คิดเป็น 56.72 เปอร์เซ็นต์ คิดเป็น 56.63 เปอร์เซ็นต์ 5. ชัยนาท คิดเป็น 56.63 เปอร์เซ็นต์


นายแสวง กล่าวต่อว่า จากข้อมูลที่เห็นว่า มีผู้ออกมาใช้สิทธิ์น้อย ไม่ได้ตามเป้าเพราะจัดการเลือกตั้งวันเสาร์ว่า เรื่องนี้ตนเคยชี้แจงว่ามีข้อจำกัดที่ข้อกฎหมายที่ต้องเลือกภายใน 45 วัน และข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นพบว่า มี6 จังหวัดที่อยู่ในถิ่นทุรกันดาร เกาะ ส่งรายงานผลคะแนนและหับบัตรเกินเวลา 24 นาฦกาของวันที่ 1 ก.พ. สะท้อนว่าสิ่งที่เราได้ตัดสินใจนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ขณะดัยกวันเราได้คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งครั้งนี้ก็เกิดเหตุกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง (กปน.) เกิดอุบัติเหตุเสียชีวิตระหว่างส่งหีบบัตร ซึ่งตนขอแสดงความเสียใจ และทางกกต.จะดูแลตามสิทธิที่กปน.ควรจะได้รับ ดังนั้น การเลือกวันเลือกตั้ง จึงต้องตัดสินใจบนพื้นฐานที่ไม่กดดันการทำงานของผู้ปฏิบัติงานด้วย และการกำหนดวันเลือกตั้งเป็นวันเสาร์ ไม่ได้กระทบต่อการเลือกตั้งที่สุจริตและเที่ยงธรรม เพราะผู้สมัครทุกคนแข่งขันขันอย่างเท่าเทียม ภายใต้กติกาเดียวกัน อีกทั้งจำนวนผู้ออกมาใช้สิทธิ น้อยกว่าการจัดเลือกตั้งปี 2563 เพียง 4% แต่ถ้าเทียบการจัดเลือกตั้งอบจ.วันเสาร์คราวนี้ มีการ 29 จังหวัดไปก่อนหน้านี้แล้ว ถือว่า ครั้งนี้ดีกว่า


นายแสวง กล่าวต่อว่า ส่วนจำนวนบัตรเสีย ยืนยันว่าไม่ต่างจากปี 2563 โดยบัตรเสียจากการเลือกนายก ถือว่าเท่ากับปี 2563 ขณะที่บัตรเสียจากการเลือกสมาชิกดีครั้งนี้มีน้อยกว่าเมื่อครั้งปี 2563 อยู่ที่ 7.63 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจากการได้รับข้อมูลพบว่า สาเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากตัวระบบเองที่ทำให้มีเบอร์ของผู้สมัครที่ส่งในนามพรรค และส่งในนามสมาชิก บางจังหวัดมีการแข่ง ทำให้จำนวนไม่เท่ากัน เพราะบางจังหวัดเลือกเฉพาะสมาชิก บางจังหวัดก็เลือกทั้ง 2 ประเภท ทำให้ประชาชนอาจสับสน ลงคะแนนในช่องที่ไม่มีผู้สมัคร มองได้ว่าไม่ได้เป็นการตั้งใจทำให้บัตรเสีย ขณะเดียวกัน ยังมีการแบ่งเขตใหม่จึงทำให้ประชาชนสับสน ส่วนที่ตั้งใจทำให้เป็นบัตรเสียนั้นมีส่วนน้อย


สำหรับบัตรโหวตโน ไม่เลือกใครนั้น ทางกกต.ไปตอบแทนประชาชนไม่ได้ แต่ช่องนี้น่าจะเป็นการแสดงความรู้สึกของประชาชนต่อผู้สมัครในเขตนั้น ๆ ซึ่งครั้งนี้ สมาชิกสภาอบจ.ไม่ผ่านเกณฑ์คะแนนตามที่กฎหมายกำหนด 3 เขต คือได้คะแนนเสียงไม่มากกว่าคะแนนที่ไม่เลือกผู้ใด ประกอบด้วย จังหวัดสุพรรณบุรี อำเภอเมืองสุพรรณบุรี เขตเลือกตั้งที่ 1 จังหวัดตรัง อำเภอเมืองตรัง เขตเลือกตั้งที่ 2 และ จังหวัดชุมพร อำเภอสวี เขตเลือกตั้งที่ 4 และมีอีก 1 เขตที่ ไม่มีผู้สมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากผู้สมัครถูกตัดสิทธิไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง คือหวัดชัยนาท อำเภอวัดสิงห์ เขตเลือกตั้งที่ 1 ดังนั้น ทั้ง 4 จังหวัดนี้ต้องเลือกตั้งใหม่ โดยผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัดทั้ง 4 จังหวัด จะต้องประกาศให้มีการเลือกตั้งใหม่ ภายใน 7 วัน นับแต่วันเลือกตั้ง และดำเนินการรับสมัครใหม่ในเขตเลือกตั้ง และกำหนดวันเลือกตั้งไม่เกิน 45 วัน นับแต่วันที่ประกาศให้มีการเลือกตั้งใหม่


นอกจากนี้ ยังพบว่า มี 4-5 จังหวัดที่พบจำนวนบัตรกับจำนวนผู้มาใช้สิทธิ์จำนวนไม่ตรงกัน ซึ่งตรงนี้ทางจังหวัดต้องพิจารณาและเสนอมาที่กกต.ว่าสมควรจะให้มีนับคะแนนใหม่ หรือลงคะแนนเลือกตั้งใหม่


ส่วนที่พรรคประชาชนจะเสนอให้มีการนับคะแนนเลือกนายกอบจ.ที่จังหวัดเชียงใหม่ และสมุทรปราการ เนื่องจากเห็นว่า มีจำนวนบัตรเสียเยอะ นายแสวงกล่าวว่า เรื่องการนับคะแนนใหม่นั้น มีหลักเกณฑ์อยู่ เช่น ระหว่างการนับคะแนนมีการทักท้วงและมีการทำบันทึกไว้หรือไม่ ซึ่งต้องไปพิจารณาว่าเข้าหลักเกณฑ์นั้นหรือไม่ ส่วนเรื่องทุจริตการเลือกตั้ง ทั้งที่ปรากฏทางสื่อช่องทางต่างๆ นั้น อยู่ระหว่างการดำเนินการของสำนักงาน และล่าสุดจำนวนเรื่องร้องเรียนมี 180 เรื่อง


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #กกต #เลือกตั้งอบจ2568 #บัตรเขย่ง

ธิดา ถาวรเศรษฐ : ผลการเลือก นายก อบจ. บอกอะไร? เหล้าเก่าในขวดเก่า!!!

 


ธิดา ถาวรเศรษฐ : ผลการเลือก นายก อบจ. บอกอะไร? เหล้าเก่าในขวดเก่า!!!


1. ผู้ชนะการเลือกตั้ง เกือบทั้งหมด มาจากแชมป์เก่าและเครือข่ายแชมป์เก่า เช่น .  

ภาคใต้ 10 ใน 11 คน


ภาคตะวันออก 5 ใน 6 คน


จริง ๆ แล้วที่พรรคเพื่อไทยนำส่งในปราจีนบุรีเพราะคดีสามีผู้สมัครถูกยิงเสียชีวิต แต่ก็เป็นเครือข่ายของแชมป์เดิม


ภาคกลาง ทั้ง 11 คน ก็เป็นแชมป์เก่าและเครือข่ายแชมป์เก่าทั้งหมด


ภาคเหนือ นายก อบจ. มี 8 คน ก็มาจากแชมป์เก่า ซึ่งเพื่อไทยส่งแชมป์เก่าเข้าแข่ง ได้ 4 คนที่ชนะ และพรรคประชาชนส่งชนะ โค่นแชมป์เก่าได้ 1 คน ที่ลำพูน รวมแล้วแชมป์เก่าภาคเหนือชนะ 7 แพ้ 1 ที่ลำพูน


ภาคอีสาน พรรคเพื่อไทยนำส่งมาก แต่เอาเข้าจริงเครือข่ายและแชมป์เก่าก็ชนะ 5 จังหวัด จากจำนวนผู้สมัคร 11 จังหวัด


ถือว่าพรรคเพื่อไทยล้มแชมป์เดิม 4 จังหวัด


แต่นครราชสีมา ซึ่งส่งในนามพรรคเพื่อไทย แต่เขาเป็นแชมป์เก่าแล้ว คือ ยลดา หวังศุภกิจโกศล


ดังนั้น การมองภาพว่าพรรคใด? ส่งเท่าใด? ได้เท่าใด? จึงไม่ตรงความจริงทั้งหมด เพราะรวม ๆ แล้วยิ่งถ้ารวมผู้แข่งขันก่อนวันที่ 2 กุมภาพันธ์ เห็นชัดเจนว่าผู้สมัครที่เป็นแชมป์เดิมและเครือข่ายแชมป์เดิม ได้รับชัยชนะเกือบทั้งหมด ชื่อพรรคในหลายท้องที่มีทั้งที่ไม่ประกาศตัว และไม่ต้องการชื่อพรรคด้วยก็มีมาก แสดงถึงอิทธิพลและระบบอุปถัมภ์ในท้องถิ่นไทยมีอยู่สูงมาก จนทำให้ผลการเลือกตั้งท้องถิ่นค่อนข้างได้เหมือนในอดีตนับสิบ ๆ ปี หลายสมัยของผู้สมัคร นายก อบจ. คนเดิม


2. พรรคเพื่อไทยชนะในฐานะผู้ท้าชิงแชมป์เก่าในภาคอีสาน แต่ผู้สมัครก็มีพื้นฐานการเมืองของอดีตผู้สมัครสส. เช่น สกลนคร, มหาสารคาม


พรรคประชาชนท้าชิงได้ 1 จังหวัดคือ ลำพูน แต่ผู้สมัครก็มีครอบครัวที่เป็นอดีตนักการเมืองท้องถิ่น


พรรคภูมิใจไทยไม่ใช้วิธีประกาศตัวนำเสนอในนามพรรค เพราะยึดความสัมพันธ์กับบ้านใหญ่เป็นหลักอยู่แล้ว และพรรคภูมิใจไทยไม่มีกระแสจะไปช่วย ส่วนกระสุนนั้น บ้านใหญ่แชมป์เก่า ๆ เขามีอยู่เพียบแล้ว ไม่ต้องการ


3. ข้อสังเกตเรื่องจำนวนบัตรเสียและบัตรผู้ไม่ประสงค์จะลงคะแนนมีมากผิดปกติ วิเคราะห์ได้ดังนี้

 

3.1 ความไม่ชอบมาพากลในการอ่านบัตรเสียและการบันทึก

3.2 ผู้ไม่ประสงค์จะลงคะแนนให้ใครมีมาก แสดงถึงผู้ไม่พึงพอใจผู้สมัคร นายก อบจ. ในแต่ละจังหวัดมีอยู่สูง อาจจะเป็นเพราะอุดมการณ์ไม่ตรงกัน และปัญหาคุณภาพของผู้สมัครที่ไม่พึงประสงค์ เพราะพรรคการเมืองไม่ได้ส่งผู้สมัครทุกจังหวัด ถ้าพรรคที่ตนเองชื่นชอบและบุคคลที่ชื่นชอบไม่ลงสมัคร ก็ไปกาบัตรไม่ประสงค์จะเลือก


ในทัศนะดิฉัน ระบบอุปถัมภ์แบบพึ่งพาอำนาจและทรัพยากร ยังครอบงำประชาชนในการเลือกตั้งท้องถิ่น ข่าวคราวจากมวลชนที่มาถึงก็ทราบว่ามีการให้ผลประโยชน์ ทั้งเป็นรายบุคคล, ครอบครัว, หมู่บ้าน และตำบล


การที่มีพรรคเปิดตัว 2 พรรค คือ พรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชน ก็เป็นเรื่องดีสำหรับอนาคตการเมืองท้องถิ่น แต่การรณรงค์ให้คนตระหนักถึงความสำคัญของการเมืองท้องถิ่นที่ประชาชนต้องใส่ใจ ก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาล, สส. ไม่ต้องหวังพึ่งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพราะเขายังอยากปกครองประชาชนแบบยุคโบราณของพวกอนุรักษ์นิยม ผ่านผู้ใหญ่บ้าน-กำนัน มากกว่าจะเห็นการกระจายอำนาจให้ประชาชน


เราเลือกการเมืองท้องถิ่นมาแล้วหลายสิบปี แต่นี่เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น ที่จะให้การเมืองท้องถิ่นมีบทบาท มีอำนาจ และโปร่งใส


ดิฉันขอให้ช่วยกันสร้างบริบทใหม่การเมืองท้องถิ่นที่ไม่ใช่แบ่งเงินงบประมาณกันทำมาหากิน แล้วโยนเศษเงินให้ประชาชน!!!


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ธิดาถาวรเศรษฐ #การเมืองท้องถิ่น #เลือกตั้งอบจ2568 #พรรคเพื่อไทย #พรรคประชาชน #พรรคภูมิใจไทย

‘ประเสริฐ’ เผย ระงับบัญชีม้าแล้วกว่า 1.6 ล้านบัญชี จับกุมเจ้าของบัญชีไปแล้ว 2,495 ราย เตือนประชาชนระวังตกเป็นเหยื่อ ผู้เกี่ยวข้องโทษหนักจำคุก 3 ปี


‘ประเสริฐ’ เผย ระงับบัญชีม้าแล้วกว่า 1.6 ล้านบัญชี จับกุมเจ้าของบัญชีไปแล้ว 2,495 ราย เตือนประชาชนระวังตกเป็นเหยื่อ ผู้เกี่ยวข้องโทษหนักจำคุก 3 ปี


วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า จากมาตรการการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ตามนโยบายของรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งเน้นให้ความสำคัญกับมาตรการป้องกัน ตรวจสอบ และปราบปรามบัญชีม้า ซึ่งเป็นช่องทางหลักการหลอกลวงรับเงินของมิจฉาชีพ  ซึ่งกระทรวงดีอี ได้ร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) สมาคมธนาคารไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการระงับบัญชีม้า ตัดเส้นทางการเงินของกลุ่มมิจฉาชีพ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยมีสถิติการระงับบัญชีม้าจนถึง ธันวาคม 2567 จำนวนรวมกว่า 1,660,000 กว่าบัญชี (ปปง. 630,537 บัญชี ธนาคารระงับ 581,637 บัญชี และ ศูนย์ AOC ระงับ 455,241 บัญชี) 


นายประเสริฐ กล่าวว่า นอกจากนี้ยังได้ขยายผลดำเนินการจับกุมเจ้าของบัญชีม้าอย่างเข้มข้น โดยมีสถิติผลการจับกุมบัญชีม้า ซิมม้าที่เป็นความผิดตาม พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 พบว่าในปี 2567 ตั้งแต่เดือน มกราคม – ธันวาคม  (12 เดือน) มีการจับกุมบัญชีม้าจำนวนรวม 2,495 ราย เฉพาะในเดือนธันวาคม 2567 มีผลการจับกุมจำนวน 328 ราย


ที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ได้มีการหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินงานการตามนโยบายปราบปรามภัยออนไลน์ของรัฐบาล เพื่อลดปัญหา พยายามหยุดการหลอกลวงที่สร้างความเสียหายจากบัญชีม้า โดยตาม พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 ได้กำหนดโทษของการยินยอมให้ผู้อื่นใช้บัญชีเงินฝากฯ หรือที่เรียกว่า บัญชีม้า จะถูกดำเนินคดี ตามมาตรา 9 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ และยังอาจถูกดำเนินคดีตามฐานความผิดที่มิจฉาชีพนำบัญชีนั้นไปใช้ ในฐานะเป็นตัวการร่วม หรือผู้สนับสนุนในการกระทำความผิด และอาจถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งจากผู้เสียหาย


นายประเสริฐ กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ยังได้พิจารณายกระดับมาตรการจัดการภัยทุจริตทางการเงิน โดยธนาคารแห่งประเทศไทย ธปท. ได้ออกเป็นหนังสือเวียน เลขที่ ธปท.ฝตท. (01) ว. 384/2567 แจ้งต่อสถาบันการเงิน สถาบันการเงินเฉพาะกิจ และผู้ให้บริการเงินอิเล็กทรอนิกส์ทุกแห่ง ให้ถือเป็นแนวปฏิบัติเดียวกัน เรื่อง การเพิ่มความเข้มงวดในการจัดการบัญชีเงินฝาก หรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ในกรณีลูกค้ามีความเสี่ยงสูงหรือใช้บัญชีที่มีลักษณะหรือพฤติกรรมผิดปกติ ลงวันที่ 31 พฤษภาคม 2567 เพื่อเป็นการจัดกลุ่มบัญชีม้า โดยยกระดับการจัดการ ‘บัญชี’ เป็นระดับ ‘บุคคล’ (ระงับช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ทุกบัญชี ทุกธนาคาร ถ้ามีชื่อว่าเป็นผู้ขายบัญชี ให้คนร้าย หรือ บัญชีม้า) และดำเนินการเข้มข้นขึ้นทั้งบัญชีในปัจจุบันและการเปิดบัญชีใหม่


“กระทรวงดีอีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ดำเนินการป้องกันและปราบปรามบัญชีม้าอย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มความเข้มงวดในการเปิดบัญชีธนาคารใหม่ในธนาคารทุกสาขา ซึ่งหากพบความผิดปกติจะดำเนินการตรวจสอบทันที ให้ดังนั้นขอเตือนประชาชนว่า การขายบัญชีธนาคารไม่ว่าจะในรูปแบบใด มีโทษหนักจำคุกถึง 3 ปี ทั้งนี้หากหลงเชื่อขายบัญชีธนาคารให้กับบุคคลอื่นไปแล้ว ให้รีบติดต่อกับธนาคารเพื่อขอปิดบัญชีธนาคารดังกล่าวโดยเร็ว เพื่อไม่ให้มีรายชื่ออยู่ในลิสต์ว่าขายบัญชี และถูกระงับทุกบัญชีธนาคารของทุกธนาคารที่มี รวมทั้งไม่ให้ถูกดำเนินคดีตามฐานความผิดที่มิจฉาชีพนำบัญชีไปใช้ ในฐานะเป็นผู้สนับสนุนในการกระทำความผิด” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอีกล่าว


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #กระทรวงดีอี #บัญชีม้า

วันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

ปชน.แถลงหลังทราบผลเลือกตั้ง อบจ. “เท้ง ณัฐพงษ์” ขอโทษประชาชน รับยังรณรงค์ให้คนไปใช้สิทธิได้ไม่มากเท่าที่ควร เตรียมลุยงาน อบจ.ลำพูน เดินหน้าพิสูจน์การทำงานท้องถิ่นแบบ ปชน. “ศรายุทธิ์” เผยเลือกตั้งวันเสาร์ทำจำนวนผู้ใช้สิทธิลดถึง 2 ล้าน ลุยยื่น กกต.ตรวจสอบบัตรเสียที่เชียงใหม่-สมุทรปราการ

 


ปชน.แถลงหลังทราบผลเลือกตั้ง อบจ. “เท้ง ณัฐพงษ์” ขอโทษประชาชน รับยังรณรงค์ให้คนไปใช้สิทธิได้ไม่มากเท่าที่ควร เตรียมลุยงาน อบจ.ลำพูน เดินหน้าพิสูจน์การทำงานท้องถิ่นแบบ ปชน. “ศรายุทธิ์” เผยเลือกตั้งวันเสาร์ทำจำนวนผู้ใช้สิทธิลดถึง 2 ล้าน ลุยยื่น กกต.ตรวจสอบบัตรเสียที่เชียงใหม่-สมุทรปราการ


วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2568 ที่อาคารอนาคตใหม่ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน พร้อมด้วย ศรายุทธิ์ ใจหลัก เลขาธิการพรรคประชาชน และ วีระเดช ภู่พิสิฐ ว่าที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูน ร่วมแถลงข่าวหลังทราบผลการเลือกตั้งนายก อบจ. และ ส.อบจ. อย่างไม่เป็นทางการ พร้อมเปิดแผนการทำงานในอนาคตของพรรคประชาชน หลังได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งนายก อบจ. ที่จังหวัดลำพูน


โดยณัฐพงษ์ระบุว่า ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาชน ตนต้องขอโทษประชาชน ที่พรรคประชาชนยังไม่ประสบความสำเร็จในการรณรงค์ให้ประชาชนออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งในระดับท้องถิ่นได้มากเท่าที่ควร และวันนี้พรรคประชาชนก็ยังไม่สามารถบรรลุการมีนายก อบจ. ในหลายจังหวัดได้


อย่างไรก็ตาม ตนขอขอบคุณประชาชนชาวลำพูนที่ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง จนมีสัดส่วนผู้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งสูงที่สุดเป็นอันดับที่หนึ่งเมื่อเทียบกับอีก 47 จังหวัดที่เหลือ และเป็นที่มาที่ทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้พรรคประชาชนได้นายก อบจ. ในจังหวัดลำพูน แต่ก็ยังเป็นที่น่าเสียดายโอกาส ที่หากพรรคประชาชนสามารถรณรงค์ให้ประชาชนออกไปใช้สิทธิได้มากกว่านี้ ก็อาจจะชนะการเลือกตั้งในระดับ อบจ. ได้อีกหลายจังหวัด ไม่ว่าจะเป็นเชียงใหม่ นครนายก สมุทรปราการ ตราด และสมุทรสงคราม ที่พรรคประชาชนแพ้ผู้ชนะอันดับที่ 1 ไปไม่ถึง 10% เท่านั้น


ส่วน ส.อบจ. พรรคประชาชนได้รับความไว้วางใจจากประชาชนรวม 132 คนจาก 33 จังหวัด มาจากจังหวัดที่พรรคประชาชนส่งผู้สมัครนายก อบจ. 80 คน และจังหวัดที่ไม่มีผู้สมัครนายก อบจ. 52 คน ซึ่งพรรคประชาชนยืนยันว่าการทำงานในระดับ ส.อบจ. สามารถทำหน้าที่ตรวจสอบการใช้งบประมาณของ อบจ. ได้อย่างแข็งขัน รวมถึงผลักดันการบรรจุบงบประมาณและโครงการต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาให้ประชานในพื้นที่ได้


ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่า สำหรับการทำงานไปข้างหน้าของพรรคประชาชนในจังหวัดลำพูน มีทั้งสิ่งที่พร้อมทำงานขับเคลื่อนทันทีในนโยบายที่พรรคประชาชนได้นำเสนอไว้ ลงรายละเอียดนโยบายไปถึงระดับพื้นที่ ภายใต้ฐานข้อมูลการพัฒนาเมือง (City Data Platform) รวมทั้งข้อมูล GIS หรือข้อมูลเชิงพื้นที่ เช่น จุดกำเนิดไฟป่า พื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก ความกระจุกตัวของชุมชนหมู่บ้าน โครงข่ายถนน จุดที่เกิดอุบัติเหตุบ่อย ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำมาวิเคราะห์ในการจัดทำนโยบายต่อจากนี้ 


ยกตัวอย่างเช่น การยกระดับ รพ.สต. ให้สอดคล้องกับความกระจุกตัวของชุมชน เพื่อลดความแออัดของโรงพยาบาลศูนย์ต่างๆ ในจังหวัด รวมถึงการปรับปรุงถนนหนทางและไฟส่องสว่าง แก้ปัญหาน้ำท่วม สิ่งแวดล้อม การจัดการขยะ ฯลฯ ซึ่งว่าที่นายก อบจ.ลำพูนพร้อมลงมือทำงานต่อจากนี้ ทั้งในช่วงที่มีการจัดทำงบประมาณเพิ่มเติมกลางปี 2568 รวมถึงการปรับปรุงแผนปฏิบัติราชการท้องถิ่น เพื่อนำไปสู่การจัดทำงบประมาณปี 2569 


โดยในช่วงเดือนกุมภาพันธ์จนถึงพฤษภาคม 2568 เป็นช่วงที่พรรคประชาชนจะเดินทางไปทั่วทุกพื้นที่ของจังหวัดลำพูน เพื่อสอบถามประชาชนว่าจุดไหนที่มีความจำเป็นเร่งด่วนมากน้อยกว่ากัน นำแพลตฟอร์มการจัดทำงบประมาณแบบมีส่วนร่วมมาใช้ และเปิดเผยการใช้และตั้งงบประมาณอย่างโปร่งใส โดยนำองค์ความรู้ที่มีจากคณะก้าวหน้ามาผนวกกับการใช้เทคโนโลยีต่างๆ เพื่อพัฒนาจังหวัดลำพูนให้ดีกว่าเดิม


ณัฐพงษ์ยังกล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้พรรคประชาชนจะยังคงมุ่งมั่นตั้งใจในการทำงานการเมืองระดับท้องถิ่นต่อไป ทั้งในระดับ อบจ. รวมถึงระดับเทศบาลและ อบต. ที่กำลังจะมีการเลือกตั้งในอนาคตอันใกล้นี้ ภายใต้แนวทางการทำงานเชิงพื้นที่ที่พร้อมลงไปเก็บเกี่ยวปัญหา รวบรวมประเด็น เปิดให้มีประชาชนมีส่วนร่วม โดยตนเชื่อว่า อบจ.ลำพูนจะเป็นสนามแรกที่จะพิสูจน์ให้ประชาชนเห็นว่า การทำงานการเมืองท้องถิ่นแบบพรรคประชาชนจะสามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้ประชาชนชาวไทยได้


ในส่วนของศรายุทธิ์ ระบุว่า ที่ผ่านมามีประชาชนและสื่อมวลชนหลายคนอยากทราบว่าการเลือกตั้งวันเสาร์มีผลกระทบอย่างไรบ้าง ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้น พบข้อมูลที่น่าสนใจคือสัดส่วนผู้มาใช้สิทธิลดลงจาก 62% มาอยู่ที่ประมาณ 55% หมายความว่าคะแนนหายไป 7-8% หรือราว 2 ล้านกว่าคนที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในการเลือกตั้งครั้งนี้ ซึ่งน่าจะมีผลมาจากการเลือกตั้งวันเสาร์ โดยบางจังหวัดมีผู้มาใช้สิทธิลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เช่น ที่จันทบุรีสัดส่วนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งลดลงถึง 15% ภูเก็ตลดลงกว่า 11% นนทบุรีลดลงกว่า 9% สมุทรปราการ สุราษฎร์ธานี ชลบุรี และระยอง ลดลงกว่า 7-8% ซึ่งจำนวนตัวเลขผู้ไม่ได้มาใช้สิทธิแต่ละที่อาจจะส่งผลต่อผลการเลือกตั้งด้วย


จากสิ่งที่เกิดขึ้น กกต. ควรต้องทบทวนการประกาศเลือกตั้งในวันเสาร์ ว่าสอดคล้องกับการอำนวยความสะดวกให้ประชาชนหรือไม่ การเลือกตั้งครั้งนี้ถือว่าเป็นบทพิสูจน์หนึ่งว่าการเลือกตั้งวันเสาร์ไม่ตอบโจทย์ต่อการใช้ชีวิตจริงและการใช้สิทธิเลือกตั้งของประชาชน


ศรายุทธิ์ยังกล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้ มีสองจังหวัดที่พรรคประชาชนยังมีความสงสัย นั่นคือกรณีเชียงใหม่และสมุทรปราการ โดยเฉพาะประเด็นการมีบัตรเสียจำนวนมาก โดยทั้งผู้สมัครนายก อบจ. รวมถึงกองอำนวยการเลือกตั้งจะติดตามตรวจสอบต่อไป ซึ่งบ่ายนี้ทางพรรคประชาชนจะดำเนินการยื่นเรื่องกับ กกต. เพื่อขอให้ตรวจสอบบัตรเสียว่ามีจำนวนถูกต้องตามที่มีการเปิดเผยออกมาก่อนหน้านี้หรือไม่ต่อไป


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #อบจประชาชน #เลือกตั้งอบจ2568




วีระเดช ภู่พิสิฐ ปักธงพรรคประชาชน นายก อบจ.ลำพูน นำคู่แข่ง อนุสรณ์ เพื่อไทย

 


วีระเดช ภู่พิสิฐ ปักธงพรรคประชาชน นายก อบจ.ลำพูน นำคู่แข่ง อนุสรณ์ เพื่อไทย


วันที่ 1 ก.พ.68 ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการนับคะแนนเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูน ว่า เมื่อเวลา 23.11 น. พบว่า นับไปแล้ว 99.59 %  

1 นายวีระเดช ภู่พิสิฐ พรรคประชาชน 108,999 คะแนน

2 นายอนุสรณ์ วงศ์วรรณ พรรคเพื่อไทย 103,205 คะแนน(ผลคะแนนไม่เป็นทางการ)


โดยในวันพรุ่งนี้ (2 กุมภาพันธ์ 2568) เวลา 15.00 น. พรรคประชาชนจะมีการแถลงสรุปผลการเลือกตั้งนายก อบจ.อีกครั้งหนึ่ง โดยณัฐพงษ์ หัวหน้าพรรคประชาชนและศรายุทธิ์ ใจหลัก เลขาธิการพรรคฯ จะเป็นผู้แถลง

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #อบจประชาชน #อบจลำพูน

“เท้ง ณัฐพงษ์” ขอบคุณประชาชนออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ลุ้นคะแนน 4 จังหวัดพรรคประชาชนปักธง อบจ. จ่อแถลงความชัดเจนอีกครั้งพรุ่งนี้บ่าย (2 ก.พ.)

 


“เท้ง ณัฐพงษ์” ขอบคุณประชาชนออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ลุ้นคะแนน 4 จังหวัดพรรคประชาชนปักธง อบจ. จ่อแถลงความชัดเจนอีกครั้งพรุ่งนี้บ่าย (2 ก.พ.) 


วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 ที่พรรคประชาชน ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน พร้อมด้วย ศรายุทธิ์ ใจหลัก เลขาธิการพรรค แถลงข่าวหลังทราบผลการเลือกตั้ง อบจ. ทั่วประเทศอย่างไม่เป็นทางการ 


โดยณัฐพงษ์กล่าวว่า ขอขอบคุณประชาชนที่ออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง แม้ขณะนี้ยังเป็นผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการ ตนขอแสดงความยินดีกับผู้สมัครนายก อบจ. และผู้สมัคร ส.อบจ. หลายจังหวัดที่ผลการเลือกตั้งปัจจุบันมีแนวโน้มชัดเจนว่าใครจะได้เป็นผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภา อบจ.


ขณะเดียวกันพรรคประชาชนยังติดตามสถานการณ์การรายงานผลคะแนนอย่างใกล้ชิด ตอนนี้หลายจังหวัดมีแนวโน้มที่พรรคประชาชนมีลุ้นเข้าไปบริหารจังหวัด ไม่ว่าจะเป็น ตราด นครนายก ลำพูน เชียงใหม่ โดยคืนนี้จะใช้เวลาในการติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป


ณัฐพงษ์กล่าวต่อว่า หากดูบรรยากาศภาพรวมการเลือกตั้งท้องถิ่นครั้งนี้ มีความคึกคักยิ่งขึ้น ประชาชนสนใจติดตามข้อมูลข่าวสาร ตนขอขอบคุณทีมงานผู้สมัคร ผู้ช่วยหาเสียงทุกคน ที่ช่วยรณรงค์หาเสียงอย่างเข้มข้น วัตถุประสงค์ตั้งแต่ต้นของพรรคประชาชนในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง คือการทำงานการเมืองเพื่อการเปลี่ยนแปลง 


โดยพรุ่งนี้ (2 ก.พ.) ช่วงบ่ายคาดว่าจะมีการแถลงข่าวอีกครั้งเมื่อได้ความชัดเจนว่าผลการเลือกตั้งเป็นอย่างไร กรณีที่พรรคประชาชนสามารถเอาชนะได้ในหลายจังหวัดที่มีแนวโน้ม เราจะพูดถึงแผนการทำงานต่อไปในอนาคตด้วย 


ส่วนการเลือกตั้งวันเสาร์จะกระทบต่อการออกมาใช้สิทธิ์ของประชาชนหรือไม่นั้น ขอรอดูตัวเลขในวันพรุ่งนี้ โดยจะเปรียบเทียบกับการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #อบจประชาชน




วันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

บรรยากาศการออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งนายก อบจ. และ ส.อบจ.เชียงใหม่ ของประชาชนชาวเขาเผ่าม้ง บ้านม้งดอยปุย เป็นไปตามคาดประชาชนสนใจเข้ามาคูหาแต่เช้าเพื่อลงคะแนนและใช้สิทธิ์ของตัวเอง

 


บรรยากาศการออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งนายก อบจ. และ ส.อบจ.เชียงใหม่ ของประชาชนชาวเขาเผ่าม้ง บ้านม้งดอยปุย เป็นไปตามคาดประชาชนสนใจเข้ามาคูหาแต่เช้าเพื่อลงคะแนนและใช้สิทธิ์ของตัวเอง


วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 โดยในช่วงเช้าประชาชนทั้งวัยรุ่นและผู้สูงอายุได้สวมชุดชนเผ่าม้งที่ประดับตกแต่งอย่างสวยงาม เดินทางมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งอย่างไม่ขาดสาย ท่ามกลางอากาศหนาวที่หนาวเย็น 


สำหรับการเลือกตั้งในครั้งนี้คาดหวังว่าจะมีผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้งเพิ่มมากขึ้นกว่าการเลือกตั้งเมื่อครั้งก่อนเมื่อปี 2563 ซึ่งในภาพรวมทั่วประเทศ มีผู้ออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งร้อยละ 62.86 ส่วนการเลือกตั้งครั้งนี้ได้ตั้งเป้าไว้ว่าจะมีผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้งมากขึ้นถึงร้อยละ 65 แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนวันเลือกตั้งจากเดิมที่เป็นวันอาทิตย์มาเป็นวันเสาร์ก็ตาม ซึ่งอาจจะมีผลกระทบเล็กน้อย แต่ในช่วงที่ผ่านมาได้เน้นการประชาสัมพันธ์ให้หนักขึ้นกว่าเดิม พร้อมทั้งได้ขอความร่วมมือสถานประกอบการต่าง ๆ รวมถึงประสานขอให้โรงงานต่าง ๆ ประกาศให้วันนี้เป็นวันหยุดเพื่อให้พนักงานออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง 


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #อบจเชียงใหม่ #เลือกตั้งอบจ2568










ประชาชนทยอยใช้สิทธิ์เลือกตั้งนายกอบจ. และ ส.อบจ.สมุทรปราการ 'นันทิดา' อดีตนายกฯ ใช้สิทธิ์ปากน้ำ ขณะที่ 'หมอเอ็กซ์-นพดล' เดินทางลงคะแนนที่บางพลีเมื่อเวลา 9.00 น.

 


ประชาชนทยอยใช้สิทธิ์เลือกตั้งนายกอบจ. และ ส.อบจ.สมุทรปราการ 'นันทิดา' อดีตนายกฯ ใช้สิทธิ์ปากน้ำ ขณะที่ 'หมอเอ็กซ์-นพดล' เดินทางลงคะแนนที่บางพลีเมื่อเวลา 9.00 น. 


วันนี้ (1 ก.พ. 68) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศที่หน่วยเลือกตั้งที่ 6 อำเภอเมือง หมู่ 6 เทพารักษ์ จุดบริษัทหมอเส็ง หน่วยเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ และนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ พบว่าประชาชนมาใช้สิทธิ์คึกคัก หลายรายรีบออกมาใช้สิทธิ์ตั้งแต่เปิดหีบ ด้วยว่าต้องรีบไปทำงานต่อ เพราะ กกต. กำหนดวันเลือกตั้งเป็นวันเสาร์ ซึ่งยังคงเป็นวันทำงานของหลายบริษัท โรงงาน


ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 08.00 น. นายศุภมิตร ชิณศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ นายสมศักดิ์ แก้วเสนา ปลัดจังหวัดสมุทรปราการ มาใช้สิทธิเลือกตั้งนายกและสมาชิกสภา อบจ.สป. หน่วยเลือกตั้งที่ 15 เต็นท์บริเวณศูนย์ป้องกันบรรเทาสาธารณภัย 


จากนั้นผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 09.00 น. ที่หน่วยเลือกตั้งที่ 14 ซึ่งตั้งอยู่ภายใน เทศบาลเมืองบางแก้ว ตำบลบางแก้ว อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ นายนพดล (หรือหมอเอ็กซ์) สมยานนทนากุล ผู้สมัครเลือกตั้งนายก อบจ.สมุทรปราการ เบอร์3 ได้เดินทางมาตรวจสอบรายชื่อที่หน้าคูหาเลือกตั้ง ก่อนจะเดินเข้าคูใช้สิทธิ์เลือก นายก อบจ. และ ส. อบจ.

 

นายนพดล หลังลงคะแนนเสร็จได้มีการออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชลสั้นๆว่า วันนี้ไม่สามารถพูดอะไรได้มาก ก็ขอให้ประชาชนออกมาใช้สิทธ์เลือกตั้งตามหน่วยเลือกตั้งของตนเองที่มีสิทธ์ลงคะแนน ส่วนเรื่องวันเลือกตั้งที่ตรงกับวันเสาร์วันทำงานนั้น ทราบว่าทาง กกต.ได้ส่งหนังสือถึงผู้ประกอบการเพื่อขอความร่วมมือแล้ว ก็อยากจะฝากให้ผู้ประกอบการให้ความร่วมมือ


และเมื่อเวลา 10.15 น. ที่ หน่วยเลือกตั้งที่ 32 เขต 1 อำเภอเมือง ภายในโรงเรียนราฟาแอล ตำบลปากน้ำ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ พบว่าขณะนี้นางสาวนันทิดา แก้วบัวสาย อดีต นายก อบจ.สมุทรปราการ เดินทางมาใช้สิทธิเลือกตั้ง โดยทันทีที่เดินทางมาถึงก็ตรวจสอบสิทธิ์และลำดับเลขที่ก่อนจะเข้าคูหาลงคะแนน ซึ่งใช้เวลาไม่นาน 


และทันทีที่ลงคะเสร็จ เจ้าตัวก็รีบขึ้นรถกลับออกไปทันที โดยไม่ขอให้สัมภาษณ์ใด ๆ กับสื่อมวลชน 


อย่างไรก็ตามประชาชนสามารถ ออกไปเลือกตั้งได้ตั้งแต่เวลา 08.00 - 17.00 น. โดยหลังปิดหีบจะมีการนับคะแนนที่หน่วยเลือกตั้ง หลังจากนั้น กรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งจะนำผลคะแนนมารวม ณ จุดรวมคะแนนที่เขตเลือกตั้ง (หน่วยงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น)


โดยชาวสมุทรปราการสามารถรับชมผลการนับคะแนน แบบ Real-time ได้ตั้งแต่เวลา 17.30 น. ณ ลานศาลากลางจังหวัดสมุทรปราการ 


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์  #เลือกตั้งอบจ68






วันศุกร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2568

จม.จากแดน 4 อานนท์ เขียน "ในห้วงเวลาที่ยากลำบาก หลายบทกวี หลายบทเพลง ถูกร้องซ้ำๆ ในห้วงคำนึง" ขอก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากยิ่งนี้ไปด้วยกัน

 


จม.จากแดน 4 อานนท์ เขียน "ในห้วงเวลาที่ยากลำบาก หลายบทกวี หลายบทเพลง ถูกร้องซ้ำๆ ในห้วงคำนึง" ขอก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากยิ่งนี้ไปด้วยกัน


วันที่ 30 มกราคม 2568 เพจ “อานนท์ นำภา” โพสต์จดหมายจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และข้อความในจดหมายระบุว่า จดหมายฉบับลงวันที่ 31 ม.ค. 2568


รู้สึกโล่งใจที่ทราบข่าวว่าน้องๆ หลายคนศาลยกฟ้อง ส่วนในคดีม.112 ที่ศาลพิพากษาลงโทษ ศาลได้มีคำสั่งให้ประกันตัว ได้กลับบ้าน กลับไปอยู่กับครอบครัว ส่วนน้อง ๆ อีกหลายคนที่ติดคุกอยู่ตอนนี้ก็กำลังทยอยยื่นประกันตัว หวังว่าไม่นานคงได้รับอิสรภาพด้วยกันทุกคน


31 มกราคม 2568 ถึงปราณและขาล ลูกรักทั้งสอง


วันนี้ พ่อต้องตื่นเช้าเพื่อเตรียมตัว อาบน้ำ แปรงฟัน ไปทำหน้าที่ทนายความที่ศาลทหาร ไปในเครื่องแบบนักโทษเช่นทุกครั้งก่อนหน้านี้ ศาลทหารเดิมอยู่ที่ข้างกระทรวงกลาโหมตรงสนามหลวง ตอนนี้ย้ายมาสร้างใหม่ที่ถนนศรีสมาน นนทบุรี พื้นที่กว้างขวางกว่าเดิม ทุกครั้งที่ไปศาลทหาร พ่อจะนึกถึงสมัยก่อนที่พวกเราต้องขึ้นศาลทหารหลังรัฐประหารปี 2557 พ่อต้องทำหน้าที่ทนายความให้เพื่อนๆพ่อหลายคน ได้เดินทางไปหลายจังหวัดที่มีนักกิจกรรมต้องขึ้นศาล เป็นช่วงชีวิตที่มีคสามสนุกในการทำงาน มีความทรงจำดีๆ เอาไว้เก็บให้คิดถึง


เอาเข้าจริง ช่วงชีวิตหลายๆช่วง มักจะมีเรื่องราวให้คิดถึง ให้ทรงจำแตกต่างกันไป กับหลายเรื่อง กับหลายคน ความคิดถึงและความทรงจำมักจะอึงอลอยู่เสมอในห้วงเวลาที่ยากลำบาก หลายบทกวี หลายบทเพลง ถูกร้องซ้ำๆ ในห้วงคำนึงของพ่อ เพื่อนพ้องน้องพี่หลายคนก็ยังทำงาน ทำหน้าที่อย่างมั่นคงในวิถีของตน พ่อเองจากทนายน้อยๆ ก็กลายเป็นรุ่นพี่ที่ต้องคอยให้คำปรึกษา ฝึกน้องๆทนายรุ่นใหม่ เพื่อเข้ามาทำงานด้านสิทธิมนุษยชน ทั้งการทำงานคดี การว่าความในศาล น้องๆทนายหลายคนก็เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่พ่อว่าความในชุดสูทผูกไท้ จนพ่อกลายเป็นจำเลยในคดีการเมืองและต้องว่าความในชุดนักโทษอย่างทุกวันนี้


การยื่นประกันตัว การว่าความในหลายคดีต้องอาศัยทนายความรุ่นใหม่ ขอให้ไฟฝันของพวกเขา จงโชติช่วงส่องทางผู้คนในห้วงเวลาที่มืดมน ก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากยิ่งนี้ไปด้วยกัน


รักและคิดถึงลูก / ให้กำลังใจน้องๆทุกคน

อานนท์ นำภา


สำหรับ อานนท์ นำภา ขณะนี้ถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ภายหลังศาลอาญาพิพากษาจำคุก 4 ปี ปรับเป็นเงิน 20,000 บาท โดยไม่รอลงอาญา ในคดี #มาตรา112 เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2566 เหตุจากการขึ้นปราศรัยใน #ม็อบ14ตุลา63


จากนั้น 17 ม.ค. 67 ศาลอาญาสั่งจำคุก "อานนท์ นำภา" เพิ่มอีก 4 ปี จากคดีมาตรา 112 กรณีโพสต์เฟซบุ๊กปี 2564 โดยให้บวกโทษเก่าอีก 4 ทำให้อานนท์มีโทษจำคุกรวมแล้ว 8 ปี


ต่อมา เมื่อวันที่ 29 เม.ย. 2567 เวลา 09.00 น. ศาลอาญากรุงเทพใต้ นัดฟังคำพิพากษาคดีของ อานนท์ นำภา หลังถูกฟ้องใน 4 ข้อกล่าวหา ได้แก่ หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ และ ใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต เหตุมาจากการปราศรัยถึงข้อเรียกร้องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ในกิจกรรม ‘เสกคาถาผู้พิทักษ์ปกป้องประชาชน’ หรือ #ม็อบแฮร์รี่พอตเตอร์2 ที่ลานหอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 3 ส.ค. 2564


โดยศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดทุกข้อหาตามฟ้อง พิพากษาจำคุกรวม 3 ปี 1 เดือน ปรับ 150 บาท ก่อนลดเพราะให้การเป็นประโยชน์ เหลือจำคุก 2 ปี 20 วัน และปรับ 100 บาท


ทำให้รวม 4 คดี อานนท์ถูกลงโทษจำคุกรวมทั้งสิ้น 10 ปี 20 วัน เมื่อรวมกับสองคดีในข้อหามาตรา 112 ที่ศาลอาญามีคำพิพากษาลงโทษจำคุกคดีละ 4 ปี ไปเมื่อวันที่ 26 ก.ย. 2566 และ 17 ม.ค. 2567


โดยเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2567 นี้ อานนท์ นำภา มีนัดฟังคำสั่งที่ศาลอาญา รัชดา คดีเขียนจดหมายถึงกษัตริย์ โดยศาลอาญาพิพากษาจำเลยผิดตาม #มาตรา112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(3) ลงโทษจำคุก 3 ปี มีเหตุลดโทษตามมาตรา 78 ลดโทษ 1/3 คงจำคุก 2 ปี นับโทษต่อจากคดีอื่น ทำให้รวมโทษจำคุกอานนท์เป็น 16 ปี 2 เดือน 20 วัน ใน 5 คดี


และวันที่ 19 ธันวาคม 2567 ที่ศาลอาญา รัชดา มีนัดฟังคำสั่ง ม.112 นับเป็นคดีที่ 6 #แฮรี่พอร์ตเตอร์1 โดยมีคำพิพากษา“ จำคุก 4 ปี ก่อนลดเหลือ 2 ปี 8 เดือน ตามความผิดในข้อหา ม.112 ม.116 แต่ยกฟ้องในข้อหา พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, พ.ร.บ.เครื่องขยายเสียง และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ทำให้โทษจำคุกรวมล่าสุด 18 ปี 10 เดือน 20 วัน


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #อานนท์นำภา #มาตรา112

วันสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง! #ทิมพิธา ขอส่ง #จิมจักรพันธ์ สานฝันนครนายกต้องไปต่อ ก่อนกลับบอสตัน ที่ #ตลาดสวนหลวง ลั่น เมื่อเราร่วมมือกัน อะไรก็เกิดขึ้นได้

 


วันสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง! #ทิมพิธา ขอส่ง #จิมจักรพันธ์ สานฝันนครนายกต้องไปต่อ ก่อนกลับบอสตัน ที่ #ตลาดสวนหลวง ลั่น เมื่อเราร่วมมือกัน อะไรก็เกิดขึ้นได้


วันนี้ (31 ม.ค. 68) เวลา 16.00 น. -17.00 น. นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงพรรคประชาชน (ปชน.) ลงพื้นที่จังหวัดนครนายก ช่วยหาเสียงให้ นายจักรพันธ์ จินตนาพากานนท์ (จิม) ผู้สมัครนายก อบจ.นครนายก เบอร์ 2 พรรคประชาชน และ ส.อบจ.พรรคประชาชน


โดยหลังจากลงพื้นที่ นายพิธา โพสข้อความ ระบุว่า จากลาด้วยความมั่นใจ หน้าที่ผมในฐานะผู้ช่วยหาเสียงจบลงแล้ว หน้าที่พลเมืองของทุกท่านกำลังจะเริ่มต้นในอีกไม่


เมื่อเราร่วมมือกัน อะไรก็เกิดขึ้นได้ เมื่อเราร่วมมือกัน


ขอเป็นกำลังใจให้พรรคประชาชน ทุกคนครับ สู้!


Let’s get out and vote together! 👊


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #อบจนครนายก  #อบจประชาชน






‘ดีอี’ คิกออฟกวาดล้างบัญชีม้า ยกระดับจัดการโจรออนไลน์ ‘ประเสริฐ’ สั่งเดินหน้ามาตรการ ‘Mobile Banking’ อัพเดตข้อมูลชื่อเจ้าของซิมมือถือให้ตรงกับชื่อผู้ใช้งานให้ตรงกัน

 


‘ดีอี’ คิกออฟกวาดล้างบัญชีม้า ยกระดับจัดการโจรออนไลน์ ‘ประเสริฐ’ สั่งเดินหน้ามาตรการ ‘Mobile Banking’ อัพเดตข้อมูลชื่อเจ้าของซิมมือถือให้ตรงกับชื่อผู้ใช้งานให้ตรงกัน 


วันที่ 31 มกราคม 2568 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ในฐานะประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เป็นประธานแถลงข่าวการดำเนินมาตรการ ‘การยกระดับความปลอดภัยในการใช้ Mobile Banking’ โดยมีศาสตราจารย์พิเศษ วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดีอี , นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) ในฐานะโฆษกกระทรวงดีอี , นายเอกพงษ์ หริ่มเจริญ ผู้ตรวจราชการกระทรวงดีอี , พลตำรวจตรีเอกธนัช ลิ้มสังกาศ รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) , นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รองเลขาธิการ รักษาการแทนเลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) , นายภิญโญ ตรีเพชราภรณ์ ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารความเสี่ยงภาพรวม ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) , นายธวัชชัย ชีวานนท์ ประธานผู้บริหาร Product & Business Solutions บมจ.กรุงไทย ผู้แทนสมาคมธนาคารไทย และนางสาวณัฐกาญจน์ ช่วงหาราช กรรมการบริหารสมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมการแถลงข่าว 


นายประเสริฐ กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลได้กำหนดให้การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และบัญชีม้า เป็นนโยบายสำคัญ โดยจากมติที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ได้มอบหมายให้ ปปง. ธปท. กสทช. สมาคมธนาคารไทย และสมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ยกระดับความปลอดภัยการใช้งาน Mobile Banking ซึ่งเป็นการสกัดกั้นบัญชีม้าที่เป็นเส้นทางก่ออาชญากรรมของมิจฉาชีพให้ชื่อผู้ใช้งานตรงกับชื่อเจ้าของซิมมือถือ 


กระทรวงดีอีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันกำหนดมาตรการการดำเนินการตรวจสอบรายชื่อเจ้าของหมายเลขโทรศัพท์มือถือ และเจ้าของบัญชีธนาคาร Mobile Banking หรือ การ Cleaning Mobile Banking เพื่อให้ชื่อผู้ใช้งาน Mobile Banking ตรงกับชื่อเจ้าของซิมหมายเลขโทรศัพท์มือถือ โดย กสทช. และ Telco (ผู้ให้บริการโทรคมนาคม) สำนักงาน ปปง. ธปท. และธนาคาร ได้ดำเนินการตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์จำนวนกว่า 120 ล้านหมายเลข แล้วเสร็จเมื่อสิ้นเดือน พฤศจิกายน 2567 โดยได้แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ 1 ลูกค้าที่ Telco แจ้งเป็น M (ชื่อเจ้าของซิม และ Mobile Banking ตรงกัน) มีจำนวนประมาณ 75.8 ล้านหมายเลข คิดเป็นร้อยละ 63.02 , กลุ่มที่ 2 ลูกค้าที่ Telco แจ้งเป็น N (ชื่อเจ้าของซิม และ Mobile Banking ไม่ตรงกัน) มีจำนวนประมาณ 30.9 ล้านหมายเลข คิดเป็นร้อยละ 25.68 และ กลุ่มที่ 3 ลูกค้าที่ Telco แจ้งกลับมาเป็น P (ไม่พบชื่อเจ้าของซิม/ไม่มีข้อมูล) มีจำนวน 13.5 ล้านหมายเลข คิดเป็นร้อยละ 11.29


โดยขั้นตอนการดำเนินการคือ ธนาคารจะดำเนินการแจ้งประชาชน (ลูกค้าในกลุ่มที่ 2 (N) และกลุ่มที่ 3 (P) ) ผ่านช่องทาง Mobile Banking ของแต่ละธนาคาร ภายในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 โดยประชาชนที่ได้รับแจ้งต้องดำเนินการอัพเดตข้อมูลชื่อเจ้าของซิม และชื่อผู้ใช้งาน Mobile Banking ให้ตรงกัน ภายในเวลา 90 วัน (สิ้นสุดวันที่ 30 เมษายน 2568) หากไม่ดำเนินการภายในเวลาที่กำหนด ปปง. ธปท. และ กสทช. จะพิจารณาระงับการใช้งาน Mobile Banking เป็นการชั่วคราวต่อไป


สำหรับ กลุ่ม N (เจ้าของซิม และ Mobile Banking ไม่ตรงกัน) บัญชีต่างชาติ กลุ่มลูกค้าต่างชาติที่เปิดบัญชีตั้งแต่ปี พ.ศ. 2565 และเปิดใช้งาน Mobile Banking ก่อนปี พ.ศ. 2566 ที่มีชื่อเจ้าของซิม กับชื่อผู้ใช้งาน Mobile Banking ไม่ตรงกัน ประชาชนสามารถดำเนินการได้ดังนี้ กรณีหมายเลขโทรศัพท์มือถือมีชื่อเจ้าของซิมไม่ตรงกับชื่อ ผู้ใช้งาน Mobile Banking สามารถติดต่อศูนย์บริการโทรศัพท์มือถือ เพื่อเปลี่ยนเจ้าของซิม หรือติดต่อธนาคารที่ใช้งาน Mobile Banking เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์มือถือที่ผูกกับ Mobile Banking ของธนาคาร เพื่อดำเนินการให้ข้อมูลชื่อเจ้าของซิมตรงกับชื่อที่ใช้งาน Mobile Banking ภายในวันที่ 30 เมษายน 2568 แต่หากไม่ดำเนินการภายในกำหนด บริการ Mobile Banking อาจถูกระงับการใช้งาน


ในส่วนของกลุ่ม P (ไม่พบชื่อเจ้าของซิม) กลุ่มลูกค้าที่เปิดบัญชีตั้งแต่ปี พ.ศ. 2565 และเปิดใช้งาน Mobile Banking ก่อนปี พ.ศ. 2566 ที่ตรวจสอบจากค่ายมือถือแล้ว แต่ไม่พบชื่อเจ้าของซิม (ดำเนินการพร้อมกัน 2.4 ล้านเลขหมาย) 


สำหรับกรณี หมายเลขโทรศัพท์มือถือที่ใช้ลงทะเบียนกับธนาคารมีข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์ สามารถติดต่อศูนย์บริการโทรศัพท์มือถือที่ใช้บริการด้วยตนเอง เพื่อดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง ได้แก่ ลงทะเบียนชื่อเจ้าของซิมให้ตรงกับชื่อผู้ใช้งาน Mobile Banking หรือ ลงทะเบียนชื่อเจ้าของซิมเป็นชื่อตามที่ประสงค์ที่เข้าเกณฑ์การจดทะเบียนซิมได้ตามเงื่อนไขของผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือ (ธนาคารไม่สามารถดำเนินการในส่วนนี้แทนได้) พร้อมบัตรประชาชน เพื่อดำเนินการให้ข้อมูลชื่อเจ้าของซิมตรงกับชื่อที่ใช้งานโมบายแบงก์กิ้ง ภายในวันที่ 30 เมษายน 2568 หากไม่ดำเนินการภายในกำหนด บริการ Mobile Banking อาจถูกระงับการใช้งาน ส่วนลูกค้าที่ได้รับแจ้ง ต้องดำเนินการอัพเดตข้อมูลชื่อเจ้าของซิม และชื่อผู้ใช้งาน Mobile Banking ให้ตรงกัน ภายในวันที่ 30 เมษายน 2568 หากไม่ดำเนินการภายในเวลาที่กำหนด ปปง. ธปท. และ กสทช. จะพิจารณาระงับการใช้งาน Mobile Banking เป็นการชั่วคราวต่อไป


กรณีของประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้รับการแจ้งผ่านช่องทาง Mobile Banking ของแต่ละธนาคาร ยังไม่ต้องดำเนินการใด ๆ และสามารถใช้ Mobile Banking ได้ตามปกติ แม้ชื่อเจ้าของหมายเลขโทรศัพท์จะไม่ตรงกับเจ้าของ Mobile Banking

.

อย่างไรก็ตาม กระทรวงดีอีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการพิจารณายกเว้น ในกลุ่มบุคคลดังต่อไปนี้ 1.เบอร์มือถือที่จดทะเบียนในชื่อหน่วยงานราชการ (เช่น สำนักงานอัยการสูงสุด) หรือองค์กรที่ใช้โดยพนักงานหรือเจ้าหน้าที่ จะได้รับการพิจารณาเป็นข้อยกเว้น และไม่จำเป็นต้องดำเนินการตามมาตรการนี้ , 2.ลูกค้าที่มีความจำเป็น หรือข้อจำกัดเฉพาะ เช่น ไม่สามารถเปลี่ยนเบอร์มือถือได้ เนื่องจากข้อจำกัดทางกฎหมาย หรือเอกสาร สามารถยื่นคำขอยกเว้น พร้อมเอกสารประกอบแสดงเหตุผลต่อธนาคาร , 3.กลุ่มบุคคลในครอบครัว เช่น พ่อ แม่ บุตร พี่น้อง ปู่ ย่า ตายาย คู่สมรส (จดทะเบียน) โดยจะต้องแสดงเอกสารความสัมพันธ์ต่อธนาคาร ได้แก่ เอกสารที่ออกโดยหน่วยงานราชการ เช่น ทะเบียนบ้าน สูติบัตร ทะเบียนสมรส เป็นต้น และเอกสารแสดงความเป็นเจ้าของเบอร์โทรศัพท์ เช่น ใบกำกับภาษี ใบเสร็จ ค่าโทรศัพท์ , 4.นิติบุคคล ได้แก่ บริษัทเอกชน หรือนิติบุคคลตามกฎหมาย (กรณีที่ลงทะเบียนในนามนิติบุคคล และให้พนักงานในองค์กรใช้งาน) จะต้องมีเอกสารรับรองจากบริษัท ที่มีข้อความระบุชื่อ เบอร์โทรศัพท์ และอนุญาตให้ใช้เบอร์โทรศัพท์ผูก Mobile Banking และ 5.ผู้ที่ต้องได้รับความดูแลตามกฎหมาย ได้แก่ ผู้ไร้ความสามารถ ผู้เสมือนไร้ความสามารถ และผู้พิการ จะต้องนำเอกสารตามคำสั่งศาลแต่งตั้งผู้อนุบาล หรือเอกสารตามคำสั่งศาลแต่งตั้งผู้พิทักษ์ บัตรผู้พิการ หรือเอกสารที่หน่วยงานราชการออกให้ มายื่นแสดงต่อธนาคาร


“มาตรการนี้จะเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งประชาชนที่จะต้องดำเนินการติดต่อธนาคาร จะได้รับการแจ้งเตือนผ่าน Mobile Banking ของธนาคารโดยตรงเท่านั้น จะไม่มีการแจ้งเตือนประชาชนผ่านช่องทางอื่นๆ ที่ไม่ใช่ Mobile Banking เพื่อป้องกันมิจฉาชีพหลอกลวง โดยการยกระดับมาตรการด้าน Mobile Banking เป็นส่วนหนึ่งของการยกระดับการทำงานร่วมกันของกระทรวงดีอี กสทช. ปปง. ภาคธนาคารและภาคโทรคมนาคม เพื่อยกระดับการป้องกันและปราบปรามการก่ออาชญากรรมออนไลน์ของกลุ่มมิจฉาชีพ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ เพื่อสักดเส้นทางการใช้บัญชีม้าในการหลอกลวงประชาชน ซึ่งรัฐบาลถือว่าเป็นนโยบายที่สำคัญ” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอีกล่าว


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #แก๊งคอลเซ็นเตอร์ #บัญชีม้า