วันศุกร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2568

‘บิ๊กเล็ก’ ชี้ คลิปเสียงนายกฯ คุย ฮุน เซน หวัง ยิงกระสุนนัดเดียวได้นกทั้งรัง เชื่อ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ขอทุกฝ่าย ยึดถือผลประโยชน์ประเทศชาติฝ่าวิกฤตครั้งนี้

 


‘บิ๊กเล็ก’ ชี้ คลิปเสียงนายกฯ คุย ฮุน เซน หวัง ยิงกระสุนนัดเดียวได้นกทั้งรัง เชื่อ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ขอทุกฝ่าย ยึดถือผลประโยชน์ประเทศชาติฝ่าวิกฤตครั้งนี้ 


วันที่ 19 มิถุนายน 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจ ศูนย์เฉพาะกิจไทย-กัมพูชา ได้มีการโพสต์ข้อความของ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ระบุว่า 


ในการประชุมศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 68 ดังนี้


เรียน ท่านหัวหน้าหน่วยงาน ผู้บริหารระดับสูง และเจ้าหน้าที่ของ “ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (Team Thailand) ทุกท่าน


ในช่วงเวลา 4–5 เดือนที่ผ่านมา ประเทศไทยต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่เปราะบางและท้าทายตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา ความตึงเครียดที่เกิดขึ้น ไม่เพียงแต่ท้าทายอธิปไตยของชาติ หากยังทดสอบความพร้อมของเรา ในฐานะคนไทย ที่ต้องยืนหยัดอย่างมั่นคง ด้วยสติ ปัญญา และความสามัคคี


รัฐบาลจึงมีมติให้จัดตั้ง “ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา” หรือ “Team Thailand” ขึ้น โดยมอบหมายให้ผมทำหน้าที่หัวหน้าทีม พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ คณะผู้บริหารระดับสูง จากส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและจำเป็น เพื่อทำหน้าที่ติดตามสถานการณ์ และทำหน้าที่บูรณาการและขับเคลื่อนส่วนราชการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ดังกล่าวให้กลับมาสู่ความสงบสุขโดยเร็ว และอย่างมีศักดิ์ศรี


วานนี้ ประเทศของเราต้องเผชิญกับอุบัติการณ์ทางการเมืองที่ไม่มีใครคาดคิด คลิปเสียงการสนทนาระหว่างผู้นำระดับสูงของไทยและกัมพูชา ถูกเผยแพร่ออกมาโดยเจตนาหวังผลร้ายต่อประเทศไทย อย่างแน่นอน


แต่ผมขอเรียนอย่างหนักแน่นว่า เหตุการณ์นี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หากแต่เป็นส่วนหนึ่งของการวางแผนการที่ซับซ้อน มีเป้าหมายที่ลึกซึ้งและแยบยลจากฝ่ายตรงข้าม การปล่อยคลิปเสียงในครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพียงการหวังผลทางการทูต แต่เป็นการ “ยิงกระสุนนัดเดียว เพื่อหวังจะได้นกทั้งรัง” และเราจะไม่ยอมให้เขาสมหวัง เป็นอันขาด


ในส่วนของการเมือง ผมขอไม่กล่าวถึง ให้เป็นไปตามกลไกการเมืองที่เหมาะสม แต่ในส่วนของ “Team Thailand” ผมขอยืนยันว่าศูนย์เฉพาะกิจนี้ หรือทีมงานนี้ เกิดขึ้นมาเพื่อรองรับเหตุไม่คาดฝัน อย่างวันนี้ และจะต้องเดินหน้าต่อไป


นาทีนี้ เราต้องมองไปข้างหน้า มองไปที่ประชาชน มองไปยังชายแดนที่ร้อนระอุ และถามตัวเราเองว่า…เราจะทำอย่างไร ให้แผ่นดินนี้มีแต่ความสงบสุข มีความสามัคคี มีความร่มเย็น บริเวณชายแดนมีความสงบเรียบร้อย และประชาชนปลอดภัย สามารถดำรงชีวิตประจำวันอย่างสงบสุข เช่นเดิม


ผมขอวิงวอนให้ทุกท่านร่วมใจกัน “บูรณาการและขับเคลื่อนงานระยะสั้น“ ...”ติดตาม ให้ข้อเสนอแนะ และสนับสนุนงานระยะยาว” ให้ความสำคัญสูงสุดกับความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของแผ่นดิน ด้วยหลัก “รอบคอบ รอบด้าน ใช้สติ สร้างสันติ” โดยยึดถือผลประโยชน์ของชาติเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง


ผมกราบขอความกรุณาจากทุกท่าน ในการที่จะเสียสละทุ่มเท กำลังกาย กำลังใจ และกำลังสติปัญญา ฝ่าฟันวิกฤติชาติครั้งนี้ไปให้ได้


ขอให้เราทำงานด้วยการให้เกียรติซึ่งกันและกัน ถกแถลงกันด้วยเหตุผล ด้วยความอดทนอดกลั้น และยืนหยัดบนหลักการแห่งความร่วมมือร่วมใจ ผนึกกำลังกันเป็นหนึ่งเดียว ไม่หวั่นไหวต่อการยั่วยุ และไม่ปล่อยให้ความแตกแยกทางอุดมการณ์ความคิด มาบั่นทอนความเป็นหนึ่งเดียวของเรา


แม้วันหนึ่งข้างหน้า ผมจะไม่ได้อยู่ ณ จุดนี้ แต่ผมขอฝากใจของผมไว้กับทุกท่าน ขอฝากประเทศไทยไว้ในมือของคนกล้าคิด กล้าทำ กล้าร่วมกันรักษาแผ่นดินนี้ อย่างสง่างาม


ขอขอบพระคุณทุกท่านจากใจจริงครับ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ หัวหน้าทีมประเทศไทย


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #TeamThailand #ชายแดนไทยกัมพูชา #รัฐบาลแพทองธาร #คลิปเสียงนายก #ฮุนเซน




วันพฤหัสบดีที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2568

“ภูมิธรรม” แจง “นายกฯ” ขอโทษ ประชาชนแล้ว ถือว่าจบ ยันกองทัพเข้าใจนายกฯ ให้คำมั่นไม่มีรัฐประหาร เชื่อพรรคร่วมฯ ไม่ปล่อยมือ-เสียงพอไม่ต้องหาเพิ่ม มั่นใจอยู่ครบเทอม อัด “ภูมิใจไทย” ขยี้ปมกัมพูชาตอนนี้ไม่เหมาะ อ้างรู้กระบวนการตั้งแต่ต้น

 


“ภูมิธรรม” แจง “นายกฯ” ขอโทษ ประชาชนแล้ว ถือว่าจบ ยันกองทัพเข้าใจนายกฯ ให้คำมั่นไม่มีรัฐประหาร เชื่อพรรคร่วมฯ ไม่ปล่อยมือ-เสียงพอไม่ต้องหาเพิ่ม มั่นใจอยู่ครบเทอม อัด “ภูมิใจไทย” ขยี้ปมกัมพูชาตอนนี้ไม่เหมาะ อ้างรู้กระบวนการตั้งแต่ต้น


วันที่ 19 มิ.ย.68 เวลา 13.25 น.ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในฐานะแกนนำพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงการทำงานร่วมกันระหว่างทหาร กับรัฐบาลต่อสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะกระทรวงกลาโหมสามารถคุมทหารได้ใช่หรือไม่ว่า ว่า ไม่ได้คุมอะไร แต่เราสามารถทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดี และผู้นำเหล่าทัพที่มาร่วมประชุมวันนี้ ในแง่ของการทำงานก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร เราพูดคุยกันอย่างชัดเจนว่ามองอย่างไร และมีสถานการณ์อย่างไร ขณะนี้มีเรื่องหลายอย่างเกี่ยวกับกัมพูชาที่เราต้องคำนึงถึงประชาชนทั้งสองประเทศ สิ่งที่ทำอยู่ขณะนี้เราได้ตกลงกันแล้วว่าพร้อมทำตามขั้นตอน โดยเตรียมมาตรการไว้หมดแล้ว ซึ่งรัฐบาลประกาศชัดเจนจะสนับสนุนกองทัพเต็มที่ เพราะทหารไม่ได้ห่วงสถานการณ์ภายในประเทศ แต่ห่วงภัยความมั่นคงของชาติ ซึ่งเป็นภัยความมั่นคงภายนอก


จึงต้องร่วมมือกันภายในประเทศให้แข็งแรงที่สุด ซึ่งเรื่องภายในประเทศเป็นสิ่งที่พรรคการเมืองต้องพูดคุยกัน โดยทหารอยู่ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี ซึ่งนายกฯได้ให้ความมั่นใจว่าภัยคุกคามภายนอก หรือการรุกล้ำอธิปไตยของไทยเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ วันนี้กระทรวงการต่างประเทศได้เรียกเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทย มาเพื่อประณามซึ่งเป็นขั้นตอนจากเบาไปหาหนัก


ทั้งนี้ เราจะยืนยันกับนานาชาติว่ายึดสันติวิธี เราไม่ได้เริ่มก่อน และพยายามประคองไปตามขั้นตอน หากมีอะไรเกิดขึ้นจะแสดงไปตามสถานการณ์ที่เหมาะสม ส่วนหากมีภัยคุกคาม ยืนยันว่าทหารพร้อม และหากมีการรุกล้ำเราก็จะยอมไม่ได้


เมื่อถามถึงกรณีกระแสกดดันเรียกร้องให้นายกฯลาออก หลังมีคลิปเสียงพูดคุยกับ สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา นายภูมิธรรม กล่าวว่า กรณีดังกล่าวเป็นเรื่องภายนอกที่มากดดันเพื่อต้องการเห็นเราอ่อนแอที่สุด และอยากเห็นความแตกแยกภายใน เพื่อใช้เป็นเงื่อนไขบุกรุกเราในทางต่างประเทศ แต่วันนี้เข้าใจตรงกัน และคิดทางออกร่วมกัน ซึ่งกองทัพก็บอกว่านายกฯเดินหน้าไม่ต้องห่วง เพียงแต่ว่าเอาให้ถูกขั้นตอน เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องระยะสั้น แต่เป็นเรื่องระยะยาว จึงเชื่อว่าไม่มีปัญหาอะไร และที่พรรคร่วมรัฐบาลนัดประชุมพรรคของตัวเองถือเป็นเรื่องปกติ ที่เมื่อมีการปรับพรรคภูมิใจไทยออกไปเรียบร้อย เมื่อชัดเจนหลังจากนี้ก็ต้องคุยกันภายในอยู่แล้ว


นายภูมิธรรม ยืนยันด้วยว่า พรรคร่วมที่เหลืออยู่ยังเหนียวแน่นไม่มีปัญหา เพราะเข้าใจสถานการณ์กันดี แต่ตอนนี้มีบางสิ่งที่พยายามสร้างเงื่อนไขจากทั้งภายใน และภายนอก โดยภายในเป็นกลุ่มที่อยากจะล้มรัฐบาลก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา และความจริงแล้วการที่พรรคภูมิใจไทยออกมาพูดเรื่องสถานการณ์ตรงนี้ ตอนนี้ก็ไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่ เพราะรู้กันอยู่ตั้งแต่แรกในกระบวนการต่างๆ ของการแก้ไขปัญหากัมพูชาตั้งแต่ต้น


ดังนั้น ประเด็นนี้กองทัพยังเข้าใจเลย ทำไมพรรคภูมิใจไทยไม่เข้าใจว่าไม่ใช่เป็นปัญหาของเรา แต่เป็นเรื่องของต่างประเทศที่ต้องการกระทบเรา ดังนั้น ต้องขอความกรุณาในฐานะเคยร่วมงานกันมา ก็อยากให้อย่าใช้ประเด็นอย่างนี้เอามาสร้างให้เกิดความไม่สบายใจ และเกิดความรู้สึกแตกแยก เพราะสิ่งนี้จะไปเข้าทางกัมพูชาที่อยากให้เราอ่อนแอภายในประเทศ จึงอยากให้เข้าใจประเด็นนี้ด้วย เพราะถ้าวันนี้เราเป็นไปตามที่เขาอยากเห็นมันก็จะอ่อนแอ และเป็นปัญหาได้ จึงควรคำนึงถึงเรื่องนี้อย่าให้ภัยคุกคามส่งผลถึงเรา


เมื่อถามว่าย้ำว่า มั่นใจว่ารัฐบาลสามารถเดินหน้าได้โดยพรรคร่วมที่เหลือไม่ปล่อยมือใช่หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า มีพรรคร่วมที่ปล่อยมือไปพรรคเดียวคือพรรคภูมิใจไทย ส่วนพรรคอื่นไม่มีปัญหา ซึ่งเขาได้มีการคุยกันและบอกเราว่าจะมีการประชุมพรรค เพราะสถานการณ์เช่นนี้ก็ต้องมีการพูดคุยกัน


เมื่อถามว่า การประชุมของหลายพรรคจะพูดเรื่องอธิปไตยของไทยด้วย นายภูมิธรรม กล่าวว่า ก็ถูกต้องแล้ว เพราะเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสนใจร่วมกัน และเรื่องนี้เราก็ยืนยัน หลังจากนี้เมื่อเคลียร์เรื่องนี้ให้ทุกส่วนเข้าใจร่วมกันว่ารัฐบาลกำลังทำอะไรอยู่ จากนี้ก็จะต้องเดินหน้าคุยเนื่องปรับ ครม. ซึ่งความจริงก็คุยกันบ้างแล้วเพื่อความชัดเจน เพราะเราอยากเห็นนโยบายต่างๆ สามารถเอาไปปฏิบัติได้จริงส่งตรงนโยบายไปทำให้ประชาชน ที่ผ่านมามีการติดขัดก็ต้องเคลียร์


เมื่อถามว่า ผู้นำเหล่าทัพให้คำมั่นว่าจะไม่รัฐประหารใช่หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ให้คำมั่นว่าเป็นทีมเดียวกันภายใต้การนำของรัฐบาล และให้คำมั่นว่าไม่มีแน่นอน ยุคสมัยนี้มันเลยไปแล้ว ส่วนพรรคร่วมรัฐบาลจะมีเท่านี้หรือจะหาเพิ่มนั้น นายภูมิธรรม กล่าวว่า พอ ไม่มีปัญหา พรรคร่วมที่มีอยู่ก็พอ


เมื่อถามว่า รัฐบาลจะไปได้นานแค่ไหน นายภูมิธรรม กล่าวว่า “ก็ไปได้จนครบวาระ” พร้อมย้ำว่า ไม่มีอะไรที่ทำให้เป็นปัญหา จากนี้ไปจะได้ทำนโยบายให้เกิดขึ้นอย่างเป็นจริง ทำให้กลไกมหาดไทยสามารถเอานโยยบายรัฐบาลไปสู่การปฏิบัติได้


นายภูมิธรรม กล่าวว่า ส่วนกระแสกดดันจากภายนอกนั้น คิดว่าอยู่ที่ความเข้าใจ ซึ่งนายกฯได้พยายามชี้แจงแล้ว และขอโทษประชาชนไปแล้วว่าเป็นสิ่งที่อาจจะเข้าใจกันคลาดเคลื่อน ซึ่งท่านก็ขอโทษและบอกว่าเป็นความปรารถนาจะทำเพื่อประเทศชาติ ไม่ใช่ผลประโยชน์ส่วนตัวและครอบครัว และสิ่งที่สมเด็จฮุนเซน ทำก็เป็นสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนในระหว่างประเทศ ซึ่งถือว่าไม่เหมาะสม


เมื่อถามว่า คำแถลงของ นายกฯ ที่บอกว่าต่อสู้กับภัยคุกคามนอกประเทศ ถือว่าวันนี้เราประกาศศึกกับกัมพูชาแล้วหรือยัง นายภูมิธรรม กล่าวว่า เราพูดความจริงให้ประชาชนฟัง ว่าขณะนี้มีภัยคุกคามจากภายนอก ซึ่งเราจะมองตรงนี้เป็นเรื่องหลักมากกว่าภายในประเทศ และต้องเคลียร์เรื่องนี้ให้จบ


เมื่อถามย้ำว่า ประชาชนจะมาลงถนนจะซ้ำรอยกับสมัยนายทักษิณ ชินวัตร และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ไม่ได้กังวล มีแต่เรื่องต้องทำความเข้าใจ และความจริงอย่างกลุ่มผู้ชุมนุมกลุ่มนี้ก็มาตลอดอยู่แล้ว โดยเย็นวันศุกร์ก็ออกมาพูดปราศรัยถือเป็นเรื่องธรรมดาที่ออกมาใช้สิทธิในการแสดงออก ซึ่งได้กำชับตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินการโดยละมุนละม่อม และให้ทำตามกฎหมาย รวมถึงนายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่จะมาลงถนนก็ถือเป็นสิทธิ


เมื่อถามย้ำว่า กระแสกดกันให้ นายกฯ ลาออก ปลุกขึ้นหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ปลุกขึ้นหรือไม่ ไม่ทราบ แต่เราได้ชี้แจงความตั้งใจ และส่วนราชการทั้งหมดเข้าใจแล้ว และกองทัพก็เข้าใจ จากนี้ก็เป็นเรืองที่ต้องทำความเข้าใจกับประชาชน


เมื่อถามว่า หลังจากเหตุการณ์นี้ได้คุยกับนายทักษิณ บ้างหรือยัง นายภูมิธรรม กล่าวว่า ยังไม่ได้คุยเลย


เมื่อถามถึงท่าทีความสัมพันธ์ของตระกูลชินวัตร กับตระกูลฮุน หลังจากนี้เป็นอย่างไร นายภูมิธรรม กล่าวว่า ไม่ใช่ประเด็นที่เราจะเอามาใส่ใจมาพูดถึง วันนี้เราคิดเรื่องประเทศชาติ ประชาชน และเอกราชของประเทศ


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ชายแดนไทย #รัฐบาลแพทองธาร

รัฐบาลออกแถลงการณ์ กรณีสถานการณ์ความสัมพันธ์ ไทย-กัมพูชา นายกฯ ขออภัยต่อพี่น้องประชาชน จากกรณีคลิปเสียง ให้คำมั่นต่อพี่น้องประชาชนว่า จะทุ่มเทอย่างที่สุดเพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ พร้อมรับใช้และรักษาทุกชีวิตของประชาชนชาวไทยอย่างสุดความสามารถดังที่ได้ดำเนินการเสมอมา

 


รัฐบาลออกแถลงการณ์ กรณีสถานการณ์ความสัมพันธ์ ไทย-กัมพูชา นายกฯ ขออภัยต่อพี่น้องประชาชน จากกรณีคลิปเสียง ให้คำมั่นต่อพี่น้องประชาชนว่า จะทุ่มเทอย่างที่สุดเพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ พร้อมรับใช้และรักษาทุกชีวิตของประชาชนชาวไทยอย่างสุดความสามารถดังที่ได้ดำเนินการเสมอมา


พี่น้องประชาชนชาวไทยที่เคารพ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ขออภัยต่อพี่น้องประชาชนด้วยความจริงใจจากกรณีคลิปเสียงสนทนาทางโทรศัพท์กับผู้นำกัมพูชาที่เกิดขึ้น ทุกการดำเนินการเป็นไปภายใต้เจตจำนงที่จะปกป้องอธิปไตยของชาติ รักษาผลประโยชน์และความปลอดภัยของประชาชนไทย ทั้งที่อยู่ในประเทศไทยและพักอาศัยอยู่ในกัมพูชา ด้วยเจตนาบริสุทธิ์ดังกล่าว ไม่นีกว่าจะเกิดเหตุไม่พึงประสงค์ น่าเสียใจอย่างยิ่งที่ความจริงใจของเรา กลับมีผลตอบรับตรงกันข้าม


รัฐบาลไทยยึดหลักสันติวิธี ใช้กลไกทวิภาคีเรื่องเขตแดนที่มีอยู่ โดยเฉพาะการทำงานของ JBC ที่รัฐบาลไทยและกัมพูชา ร่วมมือกันมาตลอด 26 ปี เพื่อคลี่คลายปัญหา แต่ในระหว่างนั้นได้ปรากฏเหตุการณ์สื่อสารโต้ตอบที่ทำให้สถานการณ์ตึงเครียดยิ่งขึ้น หากรัฐบาลนิ่งเฉย และไม่แก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า ย่อมเกิดความเสี่ยงที่จะบานปลายไปสู่ความรุนแรงและความสูญเสียต่อชีวิตและความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนชาวไทยได้ นายกรัฐมนตรีจึงตัดสินใจใช้วิธีทางการทูต ผ่านการโทรศัพท์พูดคุยโดยตรงกับผู้นำกัมพูชา ซึ่งถือเป็นวิธีปฏิบัติหนึ่งที่ผู้นำประเทศโดยทั่วไปใช้แก้ไขปัญหาระหว่างรัฐบาลและเลือกใช้ถ้อยคำที่มุ่งโน้มน้าวให้กัมพูชาร่วมมือลดระดับการเผชิญหน้า โดยมีเป้าหมายสำคัญประการเดียว คือ ปกป้องอธิปไตย รักษาผลประโยชน์ของชาติ


รัฐบาลที่มาจากประชาชน ต้องปกป้องชีวิตและความปลอดภัยของประชาชน และต้องไม่แสดงออกเพียงมุ่งหวังคะแนนนิยมทางการเมือง เมื่อปรากฏเหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าฝ่ายกัมพูชาขาดความจริงใจ และไม่มีความเคารพซึ่งกันและกันในการร่วมมือแก้ไขปัญหา รัฐบาลไทยจึงได้สั่งการให้ฝ่ายความมั่นคงเตรียมความพร้อมรับมือต่อภัยคุกคามของชาติโดยนายกรัฐมนตรีได้ประชุมหารือและประสานการปฏิบัติกับผู้นำเหล่าทัพและฝ่ายความมั่นคงอย่างใกล้ชิดเป็นเอกภาพ


ขณะเดียวกัน กระทรวงการต่างประเทศได้เชิญเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทยมาเพื่อยื่นหนังสือประท้วงแสดงความผิดหวังอย่างยิ่งต่อการกระทำของผู้นำกัมพูชา ซึ่งขัดต่อหลักปฏิบัติในการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่เป็นสากล และจะดำเนินมาตรการที่เหมาะสมเป็นลำดับต่อไป


ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงาน ที่ทุ่มเทปฏิบัติหน้าที่พิทักษ์ผืนแผ่นดินไทย ในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่มีพลังใดจะยิ่งใหญ่ไปกว่าพลังสามัคคีของพี่น้องชาวไทย ไม่ตกเป็นเหยื่อของสงครามข่าวสารที่อาจมีผู้ไม่หวังดีมุ่งทำลายเอกภาพของฝ่ายไทย ด้วยปฏิบัติการหลายรูปแบบซึ่งถือเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ


รัฐบาลขอให้คำมั่นต่อพี่น้องประชาชนว่า จะทุ่มเทอย่างที่สุดเพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ พร้อมรับใช้และรักษาทุกชีวิตของประชาชนชาวไทยอย่างสุดความสามารถดังที่ได้ดำเนินการเสมอมา

 

วันที่ 19 มิถุนายน 2568 เวลา 13.30 น.

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #รัฐบาลไทย #ไทย #กัมพูชา #ชายแดนไทย

กต.เชิญทูตกัมพูชา รับหนังสือประท้วง ปมกัมพูชาปล่อยคลิปเสียงนายกฯ ผ่านสื่อ ซัด! ไร้มารยาททางการทูต ผิดมารยาทระหว่างรัฐ ทำลายความไว้ใจสองประเทศ ย้ำไม่ว่านายกฯ จะเป็นใครต้องให้เกียรติ

 


กต.เชิญทูตกัมพูชา รับหนังสือประท้วง ปมกัมพูชาปล่อยคลิปเสียงนายกฯ ผ่านสื่อ ซัด! ไร้มารยาททางการทูต ผิดมารยาทระหว่างรัฐ ทำลายความไว้ใจสองประเทศ ย้ำไม่ว่านายกฯ จะเป็นใครต้องให้เกียรติ


วันนี้ (19 มิถุนายน 2568) นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงตอบโต้ต่อสถานการณ์ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ความว่า ตามที่ได้มีการเปิดเผยบทสนทนาส่วนตัวระหว่าง นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย และอดีตนายกรัฐมนตรี ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชาว่า การกระทำของอดีตนายกรัฐมนตรี ฮุน เซน ดังกล่าว เป็นการกระทำที่ขัดต่อจรรยาบรรณและมารยาทพื้นฐานของการปฏิสัมพันธ์ระหว่างรัฐ ที่ไม่สามารถยอมรับได้ และเป็นการทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน ที่ส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อความสัมพันธ์สองประเทศ และความพยายามการใช้กลไกทวิภาคีแก้ปัญหา 2 ฝ่ายตามแนวปฏิบัติสากล รวมถึงการเป็นเพื่อนบ้านที่ดี


โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ยังระบุว่า ไม่ว่าผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจะเป็นใคร แต่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คือหัวหน้ารัฐบาลของประเทศ ที่ควรได้รับการเคารพและให้เกียรติตามแนวปฏิบัติสากลของการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ดังนั้น ในวันนี้ (19 มิ.ย.) จึงได้เชิญเอกอัครราชทูตกัมพูชา ประจำประเทศไทย มารับทราบหนังสือประท้วงจากการกระทำดังกล่าว เพื่อแจ้งว่าการกระทำดังกล่าวไม่สามารถยอมรับได้ ผิดมารยาทพื้นฐานการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างรัฐ และเป็นการทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง การดำเนินการของฝ่ายไทยและการตอบโต้ เป็นไปตามแนวปฏิบัติทางการทูต โดยใช้จารณญาณ มีความรอบคอบ โปร่งใส มีวุฒิภาวะ ใช้สันติวิธี และดำเนินอย่างเป็นทางการ


โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ยังกล่าวอีกว่า ได้มีการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดูแลประชาชนในกัมพูชาเรียบร้อยแล้ว พร้อมย้ำว่า เรื่องดังกล่าว เป็นการดำเนินการทางการทูต ซึ่งเป็นเรื่องระหว่างรัฐบาลสองฝ่าย ไม่ใช่ปัญหาระหว่างประชาชนสองประเทศ ซึ่งต่างจากกัมพูชา ที่ใช้การสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดีย มุ่งหวังเพื่อปลุกระดม สร้างความนิยมจากความแตกแยกให้กับประชาชนสองประเทศ แสดงถึงการไม่เคารพหลักการเป็นเพื่อนบ้านที่ดี และไม่ควรได้รับการยอมรับ และไม่ควรได้รับความไว้วางใจจากประชาคมระหว่างประเทศ


ส่วนการแถลงข่าวตอบโต้ครั้งนี้ เป็นไปตามคำสั่งหรือรัฐบาลหรือไม่นั้น โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ยังยืนยันว่า การแถลงครั้งนี้ เป็นไปตามแนวปฏิบัติสากลในการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ ไม่ว่าใครเป็นนายกรัฐมนตรี หรือดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล ควรได้รับความเคารพและให้เกียรติ การดำเนินการของกัมพูชา จึงเป็นการไม่ให้เกียรติไทย ดังนั้น ไม่ใช่เรื่องตัวบุคคล แต่เป็นเรื่องของหลักการที่กระทรวงการต่างประเทศรับไม่ได้ จึงไม่ได้ทำตามคำสั่งจากใคร


โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ยังย้ำถึงการดูแลประชาชนคนไทยในกัมพูชาว่า สถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ได้ติดต่อประสานงานกับคนไทยในกัมพูชาอย่างใกล้ชิด และการดำเนินการทางการทูตของไทย เป็นการดำเนินการโดยมีวิจารณญาณ จึงเชื่อว่าไม่น่าจะมีผลกระทบกับคนไทยในกัมพูชา แต่ก็ได้มีการเตรียมมาตรการในการดูแลไว้แล้ว


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #กระทรวงการต่างประเทศ #กัมพูชา #แพทองธาร #ฮุนเซน #คลิปเสียงหลุด

นายกฯ แถลงขอโทษประชาชนไทย เผยทำความเข้าใจกับ “กองทัพ” แล้ว ยืนยันรัฐบาลกับกองทัพเป็นหนึ่งเดียว ต่อไปจะระวังการพูดมากขึ้น เวลานี้ไม่ใช่เวลาทะเลาะกันเอง

 


นายกฯ แถลงขอโทษประชาชนไทย เผยทำความเข้าใจกับ “กองทัพ” แล้ว ยืนยันรัฐบาลกับกองทัพเป็นหนึ่งเดียว ต่อไปจะระวังการพูดมากขึ้น เวลานี้ไม่ใช่เวลาทะเลาะกันเอง


วันที่ 19 มิถุนายน 2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เรียกประชุมด่วน โดยมี นายภูมิธรรม เวชยชัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พลเอกทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พลเอกพนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก และผู้เกี่ยวข้องเกี่ยวกับสถานการณ์ไทย-กัมพูชา โดยหลังการประชุม น.ส.แพทองธาร ได้แถลงต่อผู้สื่อข่าว ความว่า


สวัสดีทุกท่านนะคะ วันนี้ได้มีการเชิญหน่วยงานความมั่นคง, กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มาพูดคุยถึงเรื่องของสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาที่เกิดขึ้น ก่อนอื่นดิฉันต้องขออภัยพี่น้องประชาชนคนไทยทุก ๆ คน ในเรื่องกรณีที่มีคลิปเสียงหลุดออกมาระหว่างที่ดิฉันคุยกับผู้นำทางกัมพูชา ก็จริง ๆ เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นนะคะ ต้องขออภัยพี่น้องประชาชนที่ทำให้เกิดความไม่สบายใจนะคะ


ตัวดิฉันเองค่ะได้มีโอกาสได้คุยกับทางแม่ทัพภาคที่ 2 และทางกองทัพ อธิบายถึงเจตนาว่าเป็นเพียงเทคติคของการสื่อสารที่จะเจรจาต่อไปว่าเราจะต้องแสดงความเข้าใจเขาก่อน แล้วก็เพื่อจะคุยถึงรายละเอียดต่อ ๆ ไปนะคะ เพื่อจะให้เป็นการต่อรอง เพื่อให้การปะทะนั้นหยุดลงนะคะ อันนี้คือความตั้งใจที่แท้จริงว่าต้องการจะให้สถานการณ์สงบสุขเท่านั้นเอง แล้วก็ไม่ทราบจริง ๆ ว่าจะมีการอัดคลิปและเผยแพร่แบบนี้นะคะ ก็ได้ทำความเข้าใจกับทางกองทัพเรียบร้อยแล้วนะคะ


ทางกองทัพก็รับฟัง แล้วก็บอกว่าวันนี้เองเราต้องร่วมมือกันเพื่อที่จะผนึกกำลังเอาไว้ คนไทยทุกคนก็ต้องผนึกกำลังเอาไว้เช่นกันค่ะ เพราะว่าวันนี้เองทุกภาคส่วนได้สรุปว่ามันเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ อันนี้คือภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาตินะคะ อันนี้ไม่ใช่ภัยคุกคามเล็ก ๆ ของประชาชนหรือว่าของอะไรที่จะพูดถึงเรื่องว่ารัฐบาลกับกองทัพต้องมาสู้กัน


วันนี้เราไม่มีเวลาที่จะมาทะเลาะกันเองแบบนี้ค่ะ เราต้องปกป้องอธิปไตยของเราไว้ และนี่คือสิ่งที่เห็นตรงกัน และรัฐบาลยินดีที่จะสนับสนุนกองทัพทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการสนับสนุนใด ๆ ก็ตามที่กองทัพต้องการ อันนี้คือสิ่งที่เราตั้งใจว่าจะทำร่วมกันค่ะ


และวันนี้เองค่ะ การที่เราจะออกมาทำอะไรหรือว่าตัดสินใจในมิติต่าง ๆ เราต้องคำนึงถึงประชาชนคนไทยที่อยู่ในกัมพูชาด้วย และแน่นอนว่าประชาชนตรงชายแดนด้วย อันนี้คือสิ่งที่เราต้องนึกถึงและต้องให้ความมั่นใจ ให้ความปลอดภัยกับพี่น้องประชาชนตรงนั้นด้วยค่ะ


วันนี้กระทรวงการต่างประเทศเองได้ย้ำการดำเนินการโดยสันติวิธี ผ่านกระบวนการทวิภาคี แล้วกระทรวงการต่างประเทศได้เชิญเอกอัครราชทูตของกัมพูชาประจำประเทศไทย เพื่อมายื่นหนังสือประท้วงเพื่อแสดงความผิดหวังอย่างยิ่งต่อการกระทำของผู้นำกัมพูชา อันนี้จริง ๆ ทั่วโลกไม่มีใครทำแบบนี้ ที่ผู้นำคุยกันไม่ว่าจะเป็นประเทศใหญ่ ๆ ที่มีการตกลงกัน หรือมีการพูดคุยเจรจาใด ๆ ถ้าไม่ได้บอกก่อนว่าจะมีการอัดคลิปเป็นทางการที่คุยกัน เช่นเวลาที่ทุกท่านจะได้เห็นดิฉันโทรไปแสดงความยินดีกับประเทศต่าง ๆ เราก็ติดต่อทางกระทรวงการต่างประเทศเป็นโปรโตคอลที่ถูกต้องและทราบว่ามีการอัดคลิปเกิดขึ้น แต่แบบนี้เป็นการโทรคุยส่วนตัวโดยมือถือส่วนตัวของดิฉัน เพราะฉะนั้นการกระทำแบบนี้ก็ถือว่าไม่ควรเป็นที่ยอมรับต่อทั่วโลกอยู่แล้วค่ะ


รัฐบาลไทยและกองทัพก็ขอแสดงความรับผิดชอบในเรื่องของการปกป้องอธิปไตยที่เราดูแลร่วมกัน และขอยืนยันอีกครั้งว่าทางรัฐบาลกับกองทัพเองเป็นหนึ่งเดียวกัน ก็อยากให้พี่น้องประชาชนเป็นหนึ่งเดียวกับเราด้วย เพื่อที่จะสามัคคีเอาไว้ในชาติ ปกป้องอธิปไตยของเราไว้ และเวลานี้ที่เคยบอกไปค่ะ ไม่ใช่เวลาที่เราจะต้องมาสู้กันเอง สิ่งที่เกิดขึ้นดิฉันก็ต้องขออภัยในความที่ไม่ทราบจริง ๆ ว่ามีการอัดคลิปแบบนี้เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นเรื่องนี้เองดิฉันรับทราบดี และต่อจากนี้ก็จะระวังในเรื่องของการพูดคุยให้มากขึ้นค่ะ


และแน่นอนว่าทางกองทัพที่เราคุยกัน เรามั่นใจอย่างหนึ่งว่าถ้าเรารวมกันเป็นหนึ่ง ถ้าเราสามัคคีกัน เราจะสามารถผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปด้วยกันอย่างแข็งแรงได้ค่ะ ขอบคุณค่ะ


หลังจบการแถลงข่าว นายกฯ และคณะฯ ไม่ได้เปิดโอกาสให้ผู้สื่อข่าวซักถามแต่อย่างใด


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #แพทองธาร #สถานการณ์ไทยกัมพูชา #ชายแดนไทยกัมพูชา 




ศาลอาญาพิพากษาคดี #ม112 ยกฟ้อง “นรินทร์” กรณีถูกกล่าวหาว่าเป็นแอดมินเพจ “กูKult” เห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์ยังชี้ไม่ได้ว่าเกี่ยวข้องกับเพจ ด้านตะวันพร้อมมวลชน ร่วมให้กำลังใจ

 


ศาลอาญาพิพากษาคดี #112 ยกฟ้อง “นรินทร์” กรณีถูกกล่าวหาว่าเป็นแอดมินเพจ “กูKult” เห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์ยังชี้ไม่ได้ว่าเกี่ยวข้องกับเพจ ด้านตะวันพร้อมมวลชน ร่วมให้กำลังใจ


วันนี้ 19 มิถุนายน 2568 เวลา 09.00 น. ศาลอาญา รัชดาฯ นัดฟังคำพิพากษาในคดีของ “นรินทร์” นักกิจกรรมวัย 35 ปี ในข้อหา “หมิ่นประมาทกษัตริย์” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ หลังถูกกล่าวหาว่าเป็นแอดมินเพจเฟซบุ๊ก “กูKult” เผยแพร่รูปภาพ และข้อความล้อเลียนเสียดสีรัชกาลที่ 9 และรัชกาลที่ 10 รวม 12 โพสต์ ในช่วงปี 2563


ศาลพิพากษายกฟ้อง เนื่องจากเห็นว่าโจทก์ไม่สืบให้เห็นความเชื่อมโยงทางธุรกรรมการเงินของจำเลยกับเพจ และไม่ได้นำสืบว่าจำเลยใช้เฟซบุ๊กส่วนตัวไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับเพจที่โพสต์อย่างไร พยานหลักฐานโจทก์ยังมีความสงสัยว่าจำเลยทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย


สำหรับบรรยากาศที่ศาลวันนี้ มีประชาชนและเพื่อนนักกิจกรรม ประมาณ 20 คน อาทิ ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ร่วมมาให้กำลังใจและฟังคำพิพากษา ภายหลังศาลมีคำพิพากษายกฟ้อง นรินทร์จึงเดินทางกลับบ้านตามปกติ


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์




“ณัฐพงษ์” ชี้วิกฤตผู้นำ “แพทองธาร” ไม่อาจเป็นที่ไว้วางใจได้ต่อไป เรียกร้องนายกฯ รับผิดชอบทางการเมือง ยุบสภาคืนอำนาจประชาชน เลือกรัฐบาลใหม่ที่มีความชอบธรรมเดินหน้าแก้ปัญหาประเทศ

 


“ณัฐพงษ์” ชี้วิกฤตผู้นำ “แพทองธาร” ไม่อาจเป็นที่ไว้วางใจได้ต่อไป เรียกร้องนายกฯ รับผิดชอบทางการเมือง ยุบสภาคืนอำนาจประชาชน เลือกรัฐบาลใหม่ที่มีความชอบธรรมเดินหน้าแก้ปัญหาประเทศ 


วันที่ 19 มิถุนายน 2568 ที่รัฐสภา พรรคประชาชน นำโดย ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรค แถลงข่าวข้อเรียกร้องต่อนายกรัฐมนตรี หลังกรณีคลิปเสียงสนทนาระหว่างนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร กับ สมเด็จฮุน เซน อดีตนายกฯ กัมพูชาและประธานวุฒิสภาของกัมพูชา รวมถึงการประกาศถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลของพรรคภูมิใจไทย 


ณัฐพงษ์กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ถือเป็น “ฟางเส้นสุดท้าย” ที่ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ทำลายความเชื่อมั่นของพี่น้องประชาชนต่อการบริหารราชการแผ่นดินในฐานะนายกฯ ไปจนหมดสิ้น หลังจากก่อนหน้านี้พรรคประชาชนได้เตือนแล้วว่าการจัดตั้งรัฐบาลผสมข้ามขั้วของพรรคเพื่อไทยเป็นจุดเริ่มต้นที่จะสร้างปัญหาตามมา โดย 2 ปีที่ผ่านมาก็ได้พิสูจน์แล้วว่ารัฐบาลไม่สามารถส่งมอบนโยบายที่เสนอไว้ ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การปฏิรูปกองทัพ แม้แต่ความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจของประชาชน ลามมาจนถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ตั้งแต่สงครามการค้าจนถึงปัญหาชายแดน 


บรรยากาศในสังคมเมื่อวานนี้ มีข้อเรียกร้องหลากหลาย ซึ่งวันนี้ตนและ สส.พรรคประชาชน ขอเป็นอีกหนึ่งเสียงในการยืนยันการหาทางออกตามวิถีทางประชาธิปไตย และยืนยันอีกครั้งกับจุดยืนของพรรคประชาชนดังที่เราประกาศชัดมาตลอด ว่าภายใต้รัฐสภาชุดนี้เราจะไม่ร่วมเป็นรัฐบาล ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับประเทศคือการยุบสภา คืนอำนาจให้กับประชาชน เพื่อร่วมกันตัดสินใจเลือกตัวแทนและผู้นำประเทศใหม่ กลับไปจุดเริ่มต้นของการมีผู้นำที่มีความชอบธรรม 


สำหรับข้อเสนอให้นายกฯ ลาออกจากตำแหน่ง หากเราดูหน้ากระดานทางการเมืองที่เป็นอยู่ จำนวน สส. แต่ละพรรคการเมืองในสภาฯ และรายชื่อแคนดิเดตนายกฯ ที่ได้ยื่นต่อ กกต. ในการเลือกตั้งปี 2566 ก็ไม่ชัดเจนว่าการลาออกของนายกฯ จะทำให้เกิดทางเลือกใหม่ที่ดีกับการบริหารจัดการประเทศในภาวะวิกฤตเพียงใด 


สิ่งที่เราทุกคนควรช่วยกันยืนหยัดขันแข็งคือ ไม่ยอมรับข้อเรียกร้องที่เลยเถิดออกจากวิถีประชาธิปไตย ด้วยการใช้อำนาจนอกระบบอย่างการรัฐประหาร ตนเข้าใจดีว่าอารมณ์ของสังคมตอนนี้ กำลังขาดความเชื่อมั่นต่อผู้นำประเทศ แต่ขอเชิญชวนให้ทุกคนยืนยันหลักการให้แน่น และตั้งคำถามกับตัวเองว่าสิ่งที่ทุกท่านต้องการคืออะไร ตนเชื่อมั่นว่าทุกคนต้องการรัฐบาลที่สามารถแก้ปัญหาให้ประเทศได้ ดังนั้นทางออกเดียวที่เราจะได้รัฐบาลที่สามารถแก้ปัญหาของประเทศได้ คือรัฐบาลที่มีความชอบธรรม มาตามระบบกลไกของระบอบประชาธิปไตย การปฏิวัติรัฐประหารไม่ใช่ทางออกแน่นอน 


ดังนั้นด้วยบริบทสถานการณ์ทั้งหมด จุดยืนของตนและพรรคประชาชน คือการเรียกร้องให้นายกฯ ใช้อำนาจในการยุบสภาเพื่อคืนอำนาจให้ประชาชนในการเลือกตั้ง เปิดโอกาสให้ทุกพรรคนำเสนอนโยบายของตัวเอง ประชาชนออกไปใช้สิทธิ์ใช้เสียงซึ่งเป็นอำนาจสูงสุดในการตัดสินใจเลือกรัฐบาลใหม่ เลือกนายกฯ คนใหม่เข้ามาแก้ปัญหาของประเทศ 


นอกจากนี้ ตนยังขอส่งข้อเรียกร้องไปยังพรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบันที่ยังไม่ได้ประกาศถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล ถ้าท่านคิดเห็นตรงกับเราว่าการใช้อำนาจนอกระบบและการเปลี่ยนตัวแคนดิเดตนายกฯ อย่างเดียว ไม่ใช่ทางออก ถ้าท่านให้ความสำคัญกับการหาทางออกให้กับประเทศไทย สร้างรัฐบาลที่มีความชอบธรรมเพื่อกอบกู้ความเชื่อมั่นของประชาชน เราขอเรียกร้องให้พรรคการเมืองที่จะมีการประชุมในวันนี้ มีมติประกาศถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลเช่นกัน 


ในช่วงตอบคำถามสื่อมวลชน ณัฐพงษ์กล่าวว่า ถ้าวันนี้มีการยุบสภา พรรคประชาชนมีความพร้อมในการเลือกตั้งอย่างเต็มที่ เชื่อมั่นว่าถ้าได้รับความไว้วางใจจากประชาชน ภายใต้การประชุมสภาสมัยแรก เราพร้อมผลักดันกฎหมายทุกฉบับที่ได้เตรียมไว้ 


ส่วนการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 ตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ หากสภาฯ ไม่สามารถผ่านร่างได้ ก็สามารถใช้ร่างของปีที่แล้วไปพลางก่อนได้ โดยจากที่พรรคประชาชนเคยอภิปรายไปว่าภาพรวมงบปี 68 และงบปี 69 แทบไม่ต่างกัน มองในทางกลับกัน ถ้าเราเดินหน้าให้มีรัฐบาลใหม่ที่มีความชอบธรรมสูงมาจากพี่น้องประชาชน เราอาจจะกำลังพิจารณางบประมาณ 69 ที่มีหน้าตาเปลี่ยนแปลงไปจากงบปี 68 อย่างมีนัยสำคัญ สามารถตอบโจทย์ปัญหาของประเทศได้มากกว่า 


ส่วนกรณีหากพรรคเพื่อไทยสามารถคุมเสียงข้างมากได้อยู่ ตนคิดว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นแน่นอนคือความเชื่อมั่นศรัทธาของประชาชนที่เสื่อมถอยลงเรื่อย ๆ ทั้งนี้ พรรคประชาชนพร้อมใช้กลไกทุกอย่างตามระบอบรัฐสภาเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุดให้กับประเทศ


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #วิกฤตผู้นำ #แพทองธาร #ยุบสภา #คืนอำนาจประชาชน 




อดีตที่ปรึกษากระทรวง ICT เตือนคนไทย ปฏิบัติการปล่อยคลิปเสียง...กับบทเรียนที่คนไทยต้องรู้เท่าทัน มองเป็นแผนสงครามจิตวิทยา!!!


อดีตที่ปรึกษากระทรวง ICT เตือนคนไทย ปฏิบัติการปล่อยคลิปเสียง...กับบทเรียนที่คนไทยต้องรู้เท่าทัน มองเป็นแผนสงครามจิตวิทยา!!!


วานนี้ (18 มิถุนายน 2568) พลอากาศตรีสุรพล นวะมวัฒน์ อดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ICT) โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า


สงครามในเงามืด ปฏิบัติการปล่อยคลิปเสียง...กับบทเรียนที่คนไทยต้องรู้เท่าทัน” โดย นายทหารที่ผ่านพื้นที่การรบจริง และอดีตที่ปรึกษา รมต.ICT ผู้เคยปฏิบัติการข่าวสารในหลายพื้นที่ปฏิบัติการ


ถ้าผมเป็นฮุนเซน... ผมคงยิ้มออกตอนนี้แหละ เพราะแผน “สงครามจิตวิทยา” ที่วางไว้ กำลังได้ผล โดยที่คนไทยจำนวนไม่น้อยยังไม่รู้ตัวว่า ตกเป็นเครื่องมือ” ไปแล้ว


การปล่อยคลิปเสียงสนทนาระหว่างผู้นำสองประเทศ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มันคือ ปฏิบัติการจิตวิทยาเชิงรุก” (Psychological Warfare) ที่มีเป้าหมายเพื่อบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชนต่อผู้นำ และทำให้ความมั่นคงของไทยปั่นป่วนจากภายใน


ในฐานะที่เคยทำงานด้านนี้ ผมจะบอกตรงนี้เลยว่า...สงครามยุคนี้ไม่ได้ยิงกันด้วยกระสุนอย่างเดียวอีกต่อไป แต่ยิงกันด้วย ข้อมูล ความรู้สึก และอารมณ์ของประชาชน”


ประเด็นที่คนไทยต้องตื่นรู้เกมป่วนจากภายนอกได้ผลทันตา ยิ่งคนไทยแตกแยกกันเอง เสียงเรียกร้องให้ยุบสภา หรือแม้แต่รัฐประหารยิ่งดัง ฮุนเซนก็ยิ่งขำ เพราะสิ่งที่เขาต้องการ คือ “การทำให้ระบบการเมืองไทย เข้าสู่ภาวะสุญญากาศ” เพื่อให้เขา “เล่นเกมต่อ” ได้ โดยไม่มีฝ่ายตรงข้ามในระดับรัฐ


การรัฐประหาร = กับดักทางการทูต


ประเทศใดก็ตามที่มีรัฐบาลทหาร มักตกอยู่ในความยากลำบาก ทางการต่างประเทศมีตัวอย่างให้ดู และรับรู้ได้จริงในช่วงรัฐบาล คสช. ข้อตกลง ความช่วยเหลือ การสนับสนุนจากพันธมิตรจะถูกแขวนไว้หมด และในจังหวะนั้น เขมรจะเดินหน้าเต็มกำลังบนเวทีโลก”


การรบ = เข้าทางอีกฝั่ง


อย่าลืมว่าฮุนเซน ได้ฟ้องไทยต่อศาลโลกแล้ว ถ้ามีการปะทะเกิดขึ้นจริง ศาลจะถือว่าไทยใช้กำลัง และการตัดสินมักจะไม่เป็นธรรมต่อฝ่ายที่ใช้กำลังก่อน นี่คือบทเรียนจากเวทีโลกที่ผมเคยเห็นมาในหลายประเทศ


คลิปเสียงคือเครื่องมือปั่นประสาท อย่าเอามาตัดสินว่า ใคร “ขายชาติ” จากบทสนทนาไม่ถึง 20 นาที เพราะคนทำงานด้านความมั่นคงจริง ๆ รู้ดีว่า การพูดคุยระหว่างผู้นำ มันเต็มไปด้วยชั้นเชิง บางทีต้องยอมถอยเพื่อเอาชนะในอีกวัน อย่าให้เขมร ยิงประชาชนไทยด้วยข้อมูล” แล้วคนไทยเราหันไปยิงกันเอง คนปล่อยคลิป (ฮุนเซน) ไม่ได้ต้องการแค่ให้คนไทยโกรธนายกฯ แต่ต้องการให้คนไทยทะเลาะกันเอง แบ่งฝักแบ่งฝ่าย ยิ่งคนไทยตีผู้นำของตัวเองเท่าไร ศัตรูก็ยิ่งเข้มแข็งเท่านั้น


วันนี้เราต้องถามตัวเองว่า เราจะให้ต่างชาติแทรกแซงและกำหนดอารมณ์เราได้ขนาดนี้เลยหรือ?”


บทสรุปจากความคิดเห็นของผมในฐานะคนไทยคนหนึ่งที่มีประสบการณ์และเรียนรู้ในด้านนี้มากจากการฝึกร่วมผสมคอบร้าโกลด์อยากจะขอกระตุกความคิดให้พวกเราคนไทย ต้องมี สติทางยุทธศาสตร์” ไม่ใช่แค่ อารมณ์ทางการเมือง” เราต้องปกป้องชาติ ไม่ใช่ด้วยอาวุธ แต่ด้วย “ความเข้าใจและวุฒิภาวะ”


ถ้าศัตรูใช้ข้อมูลเป็นอาวุธ เราต้องใช้ปัญญาเป็นเกราะ อย่าเพิ่งรีบด่าผู้นำของเรา เพราะคลิปเสียง ไม่ใช่ ภาพรวมของข้อตกลง” มันคือ “ช่วงหนึ่งของบทสนทนา” ที่ฝ่ายตรงข้ามตั้งใจเลือกมาให้เราฟัง อย่าใจร้อน อย่าใจเบา ถ้าเราแพ้สงครามข้อมูล #เราอาจไม่ต้องรบเลยก็แพ้แล้ว


ผมขอให้คนไทยตั้งสติ และปกป้องประเทศของเราให้ได้ จากสงครามที่ไม่มีเสียงปืน... แต่รุนแรงยิ่งกว่า


ด้วยความเคารพ


จากคนเคยเห็นเลือดเนื้อความสูญเสียของประชาชนบนผืนดินของชาติอื่นที่ได้ไปทำหน้าที่ผู้สังเกตการณ์ทางทหาร ของ UN


#ผู้การเสือ


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #คลิปเสียงหลุด #แพทองธาร #ฮุนเซน 

“อาจารย์เจษฎ์” ชี้ ในระบอบประชาธิปไตย ถ้าเกิดวิกฤติศรัทธาในตัว “ผู้นำ” ทางออกแค่ “ลาออก” หรือ “ยุบสภา” แต่ไม่ใช่ “รัฐประหาร” เด็ดขาด!!!

 


“อาจารย์เจษฎ์” ชี้ ในระบอบประชาธิปไตย ถ้าเกิดวิกฤติศรัทธาในตัว “ผู้นำ” ทางออกแค่ “ลาออก” หรือ “ยุบสภา” แต่ไม่ใช่ “รัฐประหาร” เด็ดขาด!!!


วันที่ 19 มิถุนายน 2568 ที่เพจ Jessada Denduangboripant รศ. ดร. เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ และนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ชี้ชัด ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า

 

ในระบอบประชาธิปไตย ถ้าเกิดวิกฤติศรัทธาในตัวผู้นำ 😞.. ทางออกก็แค่ "ลาออก" เปลี่ยนคนใหม่ .. ไม่ก็ "ยุบสภา" คืนอำนาจประชาชน .. หรือไม่ก็ทนรอ "อภิปรายไม่ไว้วางใจ" ให้โดนถล่มในสภาฯ


#แต่ ไม่ใช่รัฐประหาร เด็ดขาด !! 😠นั่นมีแต่จะทำลายประเทศชาติ ! ไม่ต้องไปเรียกหาทหารมายึดอำนาจอีก !!


การโพสต์ของ อาจารย์เจษฎ์ ครั้งนี้ เกิดจากกรณีมีคลิปเสียงการพูดคุยระหว่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา และอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา หลุดออกมา และมีการพูดถึง พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ว่าอยู่ฝั่งตรงข้าม ตามที่ข่าวเสนอไปก่อนหน้านี้


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #คลิปเสียงหลุด #แพทองธาร #ฮุนเซน #ลาออก #ยุบสภา #ไม่เอารัฐประหาร

แถลงการณ์ #พรรคภูมิใจไทย ถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล!!!

 


แถลงการณ์ #พรรคภูมิใจไทย ถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล!!!


พรรคภูมิใจไทย


กรณีการโทรศัพท์เจรจาระหว่างนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับ สมเด็จ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภา กัมพูชา ซึ่งมีผลกระทบต่ออธิปไตย ดินแดง ผลประโยชน์ของประเทศไทย และกองทัพไทย ตามที่ประชาชนได้รับทราบแล้วนั้น


พรรคภูมิใจไทย ขอเรียนว่ากรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทย ได้ประชุมพิจารณาถึงกรณีที่เกิดขึ้น และมีมติให้พรรคภูมิใจไทย ถอนตัวออกจากการร่วมรัฐบาล ทั้งนี้ รัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทยทุกคน ได้ส่งใบลาออกต่อนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีผลวันที่ 19 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป


พรรคภูมิใจไทย ขอเรียกร้องให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แสดงความรับผิดชอบต่อการทำให้ประเทศไทย ต้องเสียเกียรติภูมิ ศักดิ์ศรีของชาติ ประชาชน และกองทัพ


พรรคภูมิใจไทย พร้อมจะร่วมมือกับประชาชนชาวไทย สนับสนุนกองทัพ และ เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติภารกิจ เพื่อธำรงรักษาอธิปไตย ดินแดน และ ประโยชน์ของประเทศไทย ทุกวิถีทาง อย่างสุดกำลัง


18 มิถุนายน 2568


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคภูมิใจไทย #สถานการณ์ไทย กัมพูชา #ชายแดนไทยกัมพูชา #ลาออก


วันพุธที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2568

'เท้ง-ณัฐพงษ์' ให้ความเห็นต่อคลิปเสียงบทสนทนาของผู้นำไทย-กัมพูชา เรียกร้องนายกฯยุบสภา ลดการปลุกปั่น กันบานปลายจนนำไปสู่สถานการณ์ที่ไม่เป็นผลดีต่อระบอบประชาธิปไตยของเรา

 


'เท้ง-ณัฐพงษ์' ให้ความเห็นต่อคลิปเสียงบทสนทนาของผู้นำไทย-กัมพูชา เรียกร้องนายกฯยุบสภา ลดการปลุกปั่น กันบานปลายจนนำไปสู่สถานการณ์ที่ไม่เป็นผลดีต่อระบอบประชาธิปไตยของเรา


วันนี้ (18 มิ.ย. 68) นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน โพสข้อความระบุว่า ความเห็นต่อคลิปเสียงบทสนทนาของผู้นำไทย-กัมพูชา และข้อเรียกร้องต่อนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร 


จากกรณีคลิปเสียงสนทนาบางส่วนระหว่างคุณแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย กับนายฮุน เซน ประธานองคมนตรีและประธานวุฒิสภากัมพูชา ที่เผยแพร่ออกมาวันนี้ ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านและหัวหน้าพรรคประชาชน ผมมีความเห็นและข้อเรียกร้องต่อคุณแพทองธาร ชินวัตร ดังนี้


(1) ผมเห็นเช่นเดียวกับท่านนายกรัฐมนตรีว่า เป้าหมายในการบริหารจัดการปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา คือ การกลับสู่ภาวะปกติและสันติภาพระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ขยายความขัดแย้งจนกระทบต่อพี่น้องประชาชนของทั้งสองประเทศ


(2) การเจรจาพูดคุยเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ สามารถทำได้ทั้งผ่านช่องทางที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ แต่ผมก็คาดหวังว่า คุณแพทองธารจะสื่อสารกับผู้นำของประเทศเพื่อนบ้านอย่างมีวุฒิภาวะและมีเกียรติภูมิในฐานะนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย เพื่อแก้ไขปัญหาของส่วนรวม ไม่ใช่สื่อสารในฐานะหลานสาวของผู้นำประเทศเพื่อนบ้านเพื่อแก้ไขปัญหาการเมืองส่วนตัว


(3) การแสวงหาความร่วมมือกันระหว่างรัฐบาลไทย-กัมพูชาเพื่อลดความตึงเครียดตามแนวชายแดนและคืนชีวิตความเป็นอยู่อันปกติสุขให้แก่ประชาชนทั้งสองประเทศเป็นสิ่งที่ดี โดยหากคุณแพทองธารไม่ต้องการแค่ลดแรงกดดันทางการเมืองต่อตัวเองเฉพาะหน้าเท่านั้น สิ่งที่ผมคาดหวังจะได้ยินจากนายกรัฐมนตรีไทยในการพูดคุยกับผู้นำของกัมพูชาด้วย แต่กลับไม่ได้ยิน คือการโน้มน้าวให้ผู้นำกัมพูชาเห็นว่า การนำข้อพิพาทเรื่องชายแดนไทย-กัมพูชาไปสู่ศาลโลกนั้น ไม่ใช่วิธีการที่ดีที่สุดในการแก้ไขข้อพิพาทระหว่างประเทศเพื่อนบ้านโดยยังรักษาความรู้สึกที่ดีต่อกัน ดังนั้น ควรใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่แล้ว และช่วยกันลดบรรยากาศที่อาจทำให้ประชาชนของทั้งสองประเทศเกลียดชังต่อกัน 


(4) ส่วนสิ่งที่ไม่ควรออกจากปากผู้นำไทยคือการสื่อสารกับผู้นำของประเทศเพื่อนบ้านว่ากองทัพไทยเป็นฝ่ายตรงข้ามทั้งกับรัฐบาลไทยและกัมพูชา ทั้งๆ ที่คุณแพทองธารเป็นคนแถลงต่อสาธารณะเองหลายครั้งว่ารัฐบาลมอบหมายให้กองทัพตัดสินใจเกี่ยวกับมาตรการเปิดปิดด่าน และไม่มีความแตกแยกระหว่างกองทัพกับรัฐบาล 


(5) ผมตระหนักดีว่า มีบุคคลบางกลุ่มต้องการขยายความขัดแย้งและฉวยใช้สถานการณ์ข้อพิพาทไทย-กัมพูชาเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของตนเองทั้งในไทยและในกัมพูชา ผมไม่อยากเห็นฝ่ายใดฉวยโอกาสนี้ไปทำให้กองทัพมีอำนาจเหนือรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง รวมทั้งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองด้วยวิถีทางที่ไม่เป็นประชาธิปไตย


ดังนั้น วิธีการที่ดีที่สุดในการป้องกันสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ คือนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลต้องแสดงบทบาทนำในการคลี่คลายความตึงเครียดระหว่างไทยกับกัมพูชาให้ได้โดยเร็ว โดยจำกัดบทบาทของกองทัพให้ปฏิบัติหน้าที่และสื่อสารเฉพาะที่รัฐบาลสั่งการเท่านั้น 


(6) นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลจะมีบทบาทนำในการคลี่คลายสถานการณ์ไทย-กัมพูชาได้ ก็ต้องดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ เท่าทันสถานการณ์ และแสดงออกให้ประชาชนเชื่อมั่นหรือไว้วางใจ แต่บทสนทนาที่ปรากฏในคลิปเสียงระหว่างคุณแพทองธารกับนายฮุน เซน กลับยิ่งทำลายความเชื่อมั่นและความไว้วางใจของพี่น้องประชาชนต่อนายกรัฐมนตรีของพวกเขาลงอย่างสิ้นเชิง 


หากนายกรัฐมนตรีไม่สามารถฟื้นฟูความเชื่อมั่นและความไว้วางใจของประชาชนไทยให้กลับมาได้โดยเร็ว ผมขอเรียกร้องให้คุณแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แสดงความรับผิดชอบทางการเมืองตามระบอบประชาธิปไตยด้วยการยุบสภา เพื่อคืนอำนาจให้แก่ประชาชน และเพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลบางกลุ่มปลุกปั่นความผิดพลาดของคุณแพทองธารให้บานปลายจนนำไปสู่สถานการณ์ที่ไม่เป็นผลดีต่อระบอบประชาธิปไตยของเรา


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #ยุบสภา #ชายแดนไทยกัมพูชา #นายกแพทองธาร

หลังคลิปเสียงหลุด "ฮุนเซน" สะพัด "ปิยบุตร" โพสต์เรียกร้อง "แพทองธาร" ยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชน หาทางออกวิกฤตการเมือง เลี่ยงถึงทางตัน เข้าทางพวกจ้องรัฐประหาร

 


หลังคลิปเสียงหลุด "ฮุนเซน" สะพัด "ปิยบุตร" โพสต์เรียกร้อง "แพทองธาร" ยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชน หาทางออกวิกฤตการเมือง เลี่ยงถึงทางตัน เข้าทางพวกจ้องรัฐประหาร


วันนี้ (18 มิ.ย. 68) นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว แสดงความคิดเห็น กรณีคลิปเสียงการสนทนาระหว่างนายกรัฐมนตรีไทยกับสมเด็จฮุนเซน และกรณีความขัดแย้งระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคภูมิใจไทยในเรื่องการแย่งตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จนกระทบกับเสถียรภาพของรัฐบาล


โดยนายปิยบุตร ระบุข้อความว่า ประกอบกับ เกือบ 2 ปีภายใต้รัฐบาล “ข้ามขั้ว” นี้ พรรคเพื่อไทยไม่สามารถดำเนินการตามนโยบายที่หาเสียงไว้ได้


จึงขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรียุบสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้ประชาชนผู้ทรงอำนาจสูงสุดของประเทศ ได้ตัดสินใจกันใหม่ว่าต้องการให้ใครเป็นรัฐบาล


เพื่อแก้วิกฤตการเมืองในระยะสั้น ทั้งของประเทศ และทั้งของพรรคเพื่อไทยเอง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถึงทางตัน และเพื่อไม่ให้สถานการณ์เดินไปจนเข้าทางพวกจ้องรัฐประหาร นายกรัฐมนตรีโปรดแสดงภาวะผู้นำ ยุบสภาเถิดครับ ไม่มีอะไรใหญ่กว่าประชาชน


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ปิยบุตร #ยุบสภา

นายกรัฐมนตรี แถลงข่าวด่วน ชี้แจงคลิปเสียงหลุดจากฝั่งกัมพูชา ซึ่งเป็นคลิปสนทนากับ "ฮุนเซน" ยอมรับคุยกันจริง แต่ต้องการสื่อสารเพื่อต้องการความสงบ ชี้ พาดพิงแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นเทคนิควิธีเจรจา

 


นายกรัฐมนตรี แถลงข่าวด่วน ชี้แจงคลิปเสียงหลุดจากฝั่งกัมพูชา ซึ่งเป็นคลิปสนทนากับ "ฮุนเซน" ยอมรับคุยกันจริง แต่ต้องการสื่อสารเพื่อต้องการความสงบ ชี้ พาดพิงแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นเทคนิควิธีเจรจา


วันนี้ (18 มิ.ย.2568) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงข่าวกรณีคลิปเสียงหลุดจากฝั่งกัมพูชา ที่ถูกปล่อยบนโซเชียลมีเดีย มีความยาว 17 นาที ซึ่งเป็นการสนทนาระหว่างนายกรัฐมนตรี และสมเด็จฯ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา โดยยอมรับว่าเป็นเสียงของตัวเองจริง แต่ต้องการสื่อสารเพื่อต้องการความสงบ และเป็นการพูดคุยด้วยความสัมพันธ์ส่วนตัว แต่ต่อไปคงเป็นการพูดคุยเป็นทางการเท่านั้น เพราะเป็นเรื่องของความไว้ใจ


"ไม่อยากให้คนไทยไปหลงกล ว่าจริงๆ เราทะเลาะกัน แต่ประโยคแรกที่พูดคืออยากสร้างความเข้าใจ และให้สงบสุข ให้การปะทะยุติลง เพราะดิฉันไม่ยอมเปิดด่านอย่างเดียว แต่ต้องการให้เปิดด่านร่วมกัน ไม่ทะเลาะกันแล้ว แต่ท่านไม่ยอมแต่ก็ฟังไม่ชัดว่า ไม่เปิดเพราะทหารโกหก ซึ่งตนเองบอกว่าขอปรึกษากองทัพก่อน"


ผู้สื่อข่าวถามว่า จากนี้จะไปคุยกันต่อได้หรือไม่ นายกรัฐมนตรีตอบว่า "ไม่ทราบ" พร้อมระบุว่า "ดิฉันไม่ใช่คนที่จะไปท้าตีท้าต่อย ฉะนั้นคงไม่มีการคุยส่วนตัวแล้ว


วันนี้ถือว่าความสัมพันธ์ 2 ตระกูลจบลงแล้วหรือไม่ นายกรัฐมนตรี ตอบว่า ไม่ทราบว่ายังไง แต่ไม่ขอคุยส่วนตัวแล้ว เพราะจะมีปัญหาเรื่องความไว้ใจ"


ส่วนกรณีที่เนื้อหาในคลิปบ่งชี้ว่า นายกรัฐมนตรี อยู่คนละฝั่งกับกองทัพภาคที่ 2 จะทำความเข้าใจอย่างไรนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าต้องรอกองทัพก่อนว่าจะทำอย่างไร แต่จากต้นคลิปก็เข้าใจว่ามีการสุมไฟเรื่องนี้อยู่ ว่าโกรธมากที่เห็นคลิป จึงพยายามที่จะทำความเข้าใจว่าคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็จะพูดแบบนี้ จึงพยายามทำความเข้าใจว่าปล่อยให้แม่ทัพภาคที่ 2 พูดเท่ๆ ไป ไม่มีอะไรจริงจัง เพื่อให้ประโยคต่อไปและพูดคุยเพื่อที่จะนำไปสู่การที่จะทำให้สงบสุข เช่น ถ้ายอมเรื่องนี้ ก็จะยอมเรื่องนี้


พอคุยเรื่องการเปิดด่าน เรื่องอาวุธ ก็แค่จำกัดเวลาตามที่ทราบ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นบทสนทนาแบบนี้ไม่ควรจะออกมาอยู่แล้ว ระดับผู้นำประเทศทั้งนายกฯ

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #นายกแพทองธาร #คลิปเสียงฮุนเซน

“สหัสวัต” แนะรัฐบาลเร่งเจรจาอิสราเอล ทำระบบติดตามแรงงานไทยเพื่อวางแผนเข้าช่วยเหลือทันท่วงที ระยะยาวควรหาตลาดแรงงานใหม่ ลดความเสี่ยงทำงานในพื้นที่เสี่ยงภัย

 


สหัสวัต” แนะรัฐบาลเร่งเจรจาอิสราเอล ทำระบบติดตามแรงงานไทยเพื่อวางแผนเข้าช่วยเหลือทันท่วงที ระยะยาวควรหาตลาดแรงงานใหม่ ลดความเสี่ยงทำงานในพื้นที่เสี่ยงภัย


วันนี้(18 มิ.ย. 68) นายสหัสวัต คุ้มคง สส.ชลบุรี พรรคประชาชน โพสข้อความระบุว่า


จากสถานการณ์ ความรุนแรงในอิสราเอล และ อิหร่านที่กำลังทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น เบื้องต้นผมขอแสดงความชื่นชมรัฐบาลที่ไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยเตรียมมาตรการรับมือได้ดีกว่าครั้งก่อนหน้า และ นำบทเรียนจากเหตุการณ์เมื่อ 2 ปีที่แล้วมาปรับใช้ นอกจากนี้ยังมีการประกาศให้พี่น้องแรงงานเตรียมพร้อมที่จะอพยพ และขอเป็นกำลังใจให้กับคนทำงานที่เตรียมพร้อมทำงานทุกท่าน


อย่างไรก็ดี เนื่องจากสถานการณ์การสู้รบครั้งนี้มีแนวโน้มที่จะรุนแรงขึ้น และส่งผลต่อความปลอดภัยของพี่น้องแรงงานทั้งที่ทำงานอยู่ และที่เตรียมจะส่งตัวไป ผมอยากเสนอให้หน่วยงานต่างๆของรัฐบาล ทั้งกระทรวงการต่างประเทศ หน่วยงานความมั่นคง และกระทรวงแรงงาน ประชุมร่วมกันเพื่อพิจารณาและประเมินว่าไทยควรจะระงับการส่งแรงงานไทยไปยังอิสราเอลหรือไม่ เป็นระยะเวลานานขนาดไหน เพื่อความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน


สำหรับในช่วงเวลาเร่งด่วนนี้ สิ่งที่รัฐบาลควรทำ ไม่เพียงแค่ประกาศให้แรงงาน “เร่งแจ้งตำแหน่งที่อยู่ปัจจุบัน” เองต่อกรมการจัดหางาน เพราะเพียงแค่หลบภัยก็ยากลำบอกแล้ว แต่สิ่งที่ต้องทำเพิ่มคือการเร่งเจรจากับทางอิสราเอล ให้มีมาตรการในการติดตามแรงงานไทยว่าอยู่ที่ไหนบ้าง เพื่อที่จะวางแผนเข้าช่วยเหลือและอพยพได้ทันท่วงที


นอกจากนี้ สิ่งที่รัฐบาลควรนำไปเป็นโจทย์ต่อไปในการจัดส่งแรงงานคือระบบในการติดตามตัวแรงงาน เนื่องจากกฎหมายในบางประเทศ เช่น อิสราเอล เปิดช่องให้นายจ้างเปลี่ยนตัวแรงงานได้ ทำให้การติดตามตัวเป็นไปด้วยความยากลำบาก ดังนั้นรัฐบาลควรมีระบบที่จะช่วยติดตามพี่น้องแรงงานทุกคนโดยเฉพาะเมื่ออยู่ในสถานการณ์อันตรายหรือต้องการความช่วยเหลือ


โจทย์ต่อมาคือ แม้อิสราเอลจะเป็นประเทศที่มีความต้องการในการจ้างงานแรงงานไทยสูง แต่รัฐบาลควรหาตลาดแรงงานใหม่ๆ เพิ่มเติม เช่นในยุโรป หรือ ตะวันออกกลางบางพื้นที่ เพื่อลดความเสี่ยงของพี่น้องแรงงานที่ต้องไปทำงานในพื้นที่เสี่ยงภัย โดยเราต้องเริ่มคิดใหม่ว่า มีความจำเป็นมากน้อยขนาดไหนที่ต้องส่งพี่น้องคนไทยของเราไปเสี่ยงภัยสงคราม โดยเฉพาะ สงครามครั้งนี้ที่สองปีมานี้คนไทยเสียชีวิตไปแล้วเกือบ 50 คน ทั้งที่เราไม่ได้มีส่วนร่วมกับสงครามนี้ด้วยซ้ำ รัฐบาลต้องเริ่มหาตลาดอื่นที่จะให้พี่น้องของเราทำงานได้โดยไม่ต้องเสี่ยงกับ ลูกระเบิด ลูกกระสุน หรือขีปนาวุธอีก


สุดท้ายนี้ผมขอแสดงความห่วงใยไปยังพี่น้องแรงงานที่ทำงานอยู่ที่อิสราเอลและอิหร่านทุกท่าน ขอให้ทุกคนปลอดภัยและผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้โดยเร็ว

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #แรงงานไทย #อิสราเอล

ศาลฎีกาจำคุก “สิระ” 6 เดือน 20 วัน คดีบุกรุกรพ.สนาม-หมิ่น “หมอเหรียญทอง” ไม่รอลงอาญา ส่งเข้าเรือนจำทันที!


ศาลฎีกาจำคุก “สิระ”  6 เดือน 20 วัน คดีบุกรุกรพ.สนาม-หมิ่น “หมอเหรียญทอง” ไม่รอลงอาญา ส่งเข้าเรือนจำทันที!


วันที่ 18 มิถุนายน 2568 ที่ห้องพิจารณา 5 ศาลแขวงดอนเมือง นัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาครั้งที่ 2 คดีหมายเลขดำ อ.594/2564 ที่ บริษัท รพ.มงกุฎวัฒนะ จำกัด โดย พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผอ.รพ.มงกุฎวัฒนะ เป็นโจทก์ที่ 1-2 ยื่นฟ้อง นายสิระ เจนจาคะ อดีต ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา, บุกรุกฯ


กรณีเมื่อวันที่ 7 พ.ค.2564 นายสิระ จำเลย กับพวกอีก 4-5 คน พากันบุกรุกล่วงล้ำเข้าไปในเขตก่อสร้าง รพ.ของโจทก์ และกล่าวใส่ความโจทก์ต่อหน้าผู้คนที่ยืนอยู่บริเวณทางเข้าเขต รพ.สนามที่ใช้รักษาผู้ป่วยโควิด-19 ซึ่งติดกับ รพ.มงกุฎวัฒนะ เขตหลักสี่ กทม. รวมทั้งหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ผ่านทางโทรทัศน์และสื่อออนไลน์ ทำให้โจทก์เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง แต่จำเลยให้การปฏิเสธ


คดีนี้ศาลชั้นต้นพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายที่นำสืบหักล้างแล้วเห็นว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องจริง เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ฐานหมิ่นประมาทผู้อื่น จำคุกรวม 5 กระทง กระทงละ 2 เดือน เป็น 10 เดือน และฐานบุกรุก จำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 16 เดือน ไม่รอลงอาญา


ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น และล่าสุดวันนี้ (18 มิ.ย.) ศาลมีคำพิพากษาจำคุกสิระ 6 เดือน 20 วัน ไม่รอลงอาญา จากกรณีหมิ่นประมาท และบุกรุกโรงพยาบาลสนามของ พล.ต.นพ.เหรียญทอง คุมตัวเข้าเรือนจำทันที


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #สิระเจนจาคะ #หมอเหรียญทอง #รพมงกุฎวัฒนะ #หมิ่นประมาท