วันจันทร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2568

“ณัฐพงษ์” ส่งหนังสือด่วนที่สุด โต้แย้ง “ประธานสภา” ชี้ไม่มีอำนาจแก้ไขเนื้อหาญัตติ ได้แค่ตรวจสอบข้อบกพร่องเชิงรูปแบบ-ข้อเท็จจริง ยันข้อบังคับไม่ได้ห้ามเอ่ย “บุคคลภายนอก” งัดเอกสาร “วันนอร์” ในอดีต เคยระบุชื่อ “ซีพี” บอกแจ้งช้าเกินกำหนด 7 วัน จี้เร่งบรรจุเข้าระเบียบวาระ

 


“ณัฐพงษ์” ส่งหนังสือด่วนที่สุด โต้แย้ง “ประธานสภา” ชี้ไม่มีอำนาจแก้ไขเนื้อหาญัตติ ได้แค่ตรวจสอบข้อบกพร่องเชิงรูปแบบ-ข้อเท็จจริง ยันข้อบังคับไม่ได้ห้ามเอ่ย “บุคคลภายนอก” งัดเอกสาร “วันนอร์” ในอดีต เคยระบุชื่อ “ซีพี” บอกแจ้งช้าเกินกำหนด 7 วัน จี้เร่งบรรจุเข้าระเบียบวาระ


วันที่ 10 มีนาคม 2568 นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ทำหนังสือด่วนที่สุดถึงนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เรื่องข้อโต้แย้งหนังสือให้แก้ไขข้อบกพร่องญัตติ ขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาล กรณีใส่ชื่อนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ลงในญัตติ ว่า


ตามที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรได้ขอให้ข้าพเจ้า นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและคณะ พิจารณาแก้ไขข้อบกพร่องญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล โดยอ้างว่าญัตติดังกล่าวมีเนื้อหาระบุรายชื่อบุคคลภายนอก อันอาจทำให้บุคคลภายนอกได้รับความเสียหาย เนื่องจากไม่สามารถชี้แจงในที่ประชุมสภาได้ ซึ่งประธานสภาผู้แทนราษฎรอ้างว่ามีข้อบกพร่อง ตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 ข้อ 176 นั้น


ข้าพเจ้า นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและคณะ ขอยืนยันว่าญัตติของข้าพเจ้าและคณะไม่มีข้อบกพร่องตามที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรอ้างแต่ประการใด ดังนี้


ข้อ 1 ประธานสภาผู้แทนราษฎรจะพิจารณาวินิจฉัยว่าเนื้อหาของญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะตามมาตรา 151 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ว่าสมควรมีเนื้อหาอย่างใดมิได้ เนื่องจากบทบัญญัติดังกล่าวมิได้ให้อำนาจแก่ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในการใช้ดุลพินิจวินิจฉัยว่าเนื้อหาของญัตติสมควรจะเป็นประการใด สมควรจะได้รับการบรรจุไว้ในระเบียบวาระการประชุมเพื่อเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะหรือไม่ หากแต่บทบัญญัติ ดังกล่าวกำหนดอำนาจผูกพันในการใช้อำนาจของประธานสภาผู้แทนราษฎรให้ต้องเปิดให้มีการอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะเท่านั้น


โดยหากรัฐธรรมนูญประสงค์กำหนดให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรมีอำนาจในการพิจารณาวินิจฉัยถึงเนื้อหาของญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติ ไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะ หรือมีอำนาจในการพิจารณาวินิจฉัยว่าจะบรรจุไว้ในระเบียบวาระการประชุมเพื่อเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะ


รัฐธรรมนูญจักต้องบัญญัติถ้อยคำที่แสดงถึงอำนาจในการใช้ดุลพินิจของประธานสภาผู้แทนราษฎรอย่างชัดแจ้ง เช่น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 236 ที่บัญญัติให้อำนาจดุลพินิจแก่ประธานรัฐสภาในการพิจารณา เสนอเรื่องไปยังประธานศาลฎีกาเพื่อตั้งคณะผู้ไต่สวนอิสระเพื่อไต่สวนหาข้อเท็จจริงกรณีมีการเข้าชื่อกล่าวหา ว่ากรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติผู้ใดกระทำการตามมาตรา 234(1) แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยเมื่อมีการยื่นเรื่องต่อประธานรัฐสภาพร้อมด้วยหลักฐานตามสมควรแล้ว


หากประธานรัฐสภา “เห็นว่า” มีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการกระทำตามที่ถูกกล่าวหา จึงให้ประธานรัฐสภาเสนอเรื่องไปยังประธานศาลฎีกาได้


อีกทั้ง ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2562 ข้อ 176 มิได้ให้ อำนาจแก่ประธานสภาผู้แทนราษฎรในการใช้ดุลพินิจว่าเนื้อหาของญัตติควรจะเป็นอย่างไร หรือมีความ เหมาะสมหรือไม่ กล่าวคือ ข้อ 176 กำหนดให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรตรวจสอบว่าญัตติมี “ข้อบกพร่อง” หรือไม่


ทั้งนี้ ข้าพเจ้าและคณะเห็นว่า คำว่า “ข้อบกพร่อง” ในข้อดังกล่าวมีเจตนารมณ์หมายถึงข้อบกพร่องที่ เป็นข้อผิดพลาดในเชิงข้อเท็จจริงหรือรูปแบบ เช่น มีรายชื่อผู้เสนอที่ไม่ครบตามเกณฑ์ที่รัฐธรรมนูญกำหนด ลายมือชื่อของผู้เสนอไม่ถูกต้องตรงกันกับลายมือชื่อจริง ระบุชื่อรัฐมนตรีที่ระบุในญัตติผิดพลาด ไม่ถูกต้อง หรือมีการอ้างถึงมาตราหรือข้อกฎหมายที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อน ดังนั้น การที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรใช้อำนาจโดยอ้างข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 โดยตีความในทางที่เป็นปฏิปักษ์ต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ย่อมเป็นการใช้และตีความกฎหมาย ที่ลุแก่อำนาจที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 ได้กำหนดไว้ ซึ่งส่งผลกระทบร้ายแรงและทำลายอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติในการควบคุมตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดินของฝ่ายบริหาร


ข้อ 2 ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 มิได้มีข้อห้ามมิให้ระบุชื่อบุคคลภายนอกในเนื้อหาญัตติ ดังนั้น การระบุชื่อบุคคลภายนอกในเนื้อหาของญัตติของข้าพเจ้าและคณะ จึงไม่ได้มีลักษณะเป็นการกระทำผิดหรือฝ่าฝืนข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรแต่อย่างใด อีกทั้ง ในอดีตที่ผ่านมา ญัตติที่เสนอต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร หลายญัตติก็มีการระบุชื่อของบุคคลภายนอก เช่น ญัตติด่วนของนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ฉบับลงวันที่ 26 มิถุนายน 2562 เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎร ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษา ตรวจสอบการดำเนินการโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน (ดอนเมือง สุวรรณภูมิ อู่ตะเภา) และการกำหนดพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก


โดยในเนื้อหาของญัตติ ได้ระบุชื่อบุคคลอื่นซึ่งมิใช่นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใด ได้แก่ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์ โฮลดิ้ง จำกัด และพันธมิตร (CPH) รายละเอียดปรากฏตามสำเนาญัตติ เรื่อง ขอเสนอญัตติด่วน เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษาตรวจสอบการดำเนินการโครงการรถไฟความเร็วสูง เชื่อมสามสนามบิน (ดอนเมือง สุวรรณภูมิ อู่ตะเภา) และการกำหนดพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก ตามสิ่งที่ส่งมาด้วย (1) และรวมถึงญัตติอื่น ๆ ตามสิ่งที่ส่งมาด้วย (2)


อีกทั้ง ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 ข้อ 178 กำหนดให้การอภิปรายของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้ใดที่อาจเป็นเหตุให้บุคคลอื่น ซึ่งมิใช่นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้รับความเสียหาย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผู้นั้นต้องรับผิดชอบผลแห่งการกระทำนั้นเอง เห็นได้ว่า ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 จึงไม่ได้มีบทบัญญัติห้ามมิให้ระบุชื่อบุคคลภายนอกในเนื้อหาญัตติแต่อย่างใด ยิ่งไปกว่านั้น หากบุคคลอื่นซึ่งไม่ใช่นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้รับความเสียหายจากการอภิปรายหรือการกล่าวถ้อยคำในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร บุคคลนั้นมีสิทธิร้องขอต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรภายในกำหนดเวลาสามเดือนนับแต่วันที่มีการประชุมครั้งนั้นเพื่อให้มีการโฆษณา คำชี้แจงได้ ตามข้อ 39 แห่งข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 และมาตรา 124 วรรคสาม แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เมื่อพิเคราะห์ตามเจตนารมณ์แห่งข้อบังคับการประชุมสภา ผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแล้ว เห็นได้ว่า ข้อ 39 แห่งข้อบังคับ การประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562และมาตรา 124 วรรคสาม แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยไม่ได้ห้ามการอภิปรายที่มีเนื้อหาพาดพิงถึงบุคคลอื่นซึ่งไม่ใช่นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีหรือสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรหรือบุคคลภายนอก


ในทางตรงกันข้าม ข้อ 39 แห่งข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 และมาตรา 124 วรรคสาม แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย สามารถถูกตีความเจตนารมณ์ได้ว่า การอภิปรายถึงบุคคลอื่นซึ่งไม่ใช่นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือบุคคลภายนอกนั้น สามารถกระทำได้ เพียงแต่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้อภิปรายนั้นจะต้องรับผิดชอบผลแห่งการกระทำเอง และ ประธานสภาผู้แทนราษฎรจัดให้มีการโฆษณาคำชี้แจงตามที่บุคคลนั้นร้องขอตามวิธีการและภายในระยะเวลา ที่กำหนดในข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562


ข้อ 3 ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 ข้อ 176 กำหนดให้เมื่อประธานสภา ผู้แทนราษฎรได้รับญัตติตามข้อ 175 แล้ว ให้ทำการตรวจสอบ หากมีข้อบกพร่องให้ประธานสภาผู้แทนราษฎร แจ้งผู้เสนอทราบภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับญัตติ


ข้อเท็จจริงปรากฏว่า สำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้ มีหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ สผ 0014/2559 ลงวันที่ 7 มีนาคม 2568 แจ้งถึงผลการพิจารณาญัตติของ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เห็นได้ว่า การแจ้งข้อบกพร่องตามข้อ 176 ในหนังสือฉบับดังกล่าวนั้นไม่เป็นไป ตามกรอบระยะเวลาที่ข้อ 176 กำหนด จึงเป็นการแจ้งข้อบกพร่องที่ไม่ชอบด้วยข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562


ด้วยประธานสภาผู้แทนราษฎรได้รับญัตติของข้าพเจ้าและคณะเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 แต่กลับมีหนังสือแจ้งข้อบกพร่องเมื่อวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2568 อันเป็นวันที่พ้นระยะเวลาเจ็ดวันตามที่ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 กำหนด จากที่กล่าวมาข้างต้น ข้าพเจ้าและคณะขอยืนยันว่าญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลของข้าพเจ้าและคณะนั้น ชอบด้วยข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ ดังนั้น จึงขอให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรได้ พิจารณาบรรจุญัตติดังกล่าวเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎรโดยเร็วที่สุดต่อไป


จึงกราบเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาดำเนินการต่อไป


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #อภิปรายไม่ไว้วางใจ

“รักชนก-สหัสวัต” แฉอีก! ประกันสังคมใช้เงินกองทุน 7 พันล้านซื้อตึกราคา 3 พันล้านย่านพระราม 9 แง้มมีนักการเมืองอดีตเจ้ากระทรวงเป็นเจ้าของ แถมมีอีกเจ้ากระทรวงใช้อำนาจตั้งเด็กหน้าห้องทำดีลซื้อ ฟาดกำไรเหนาะๆ 4 พันล้านจากเงินผู้ประกันตนจริงหรือไม่

 


“รักชนก-สหัสวัต” แฉอีก! ประกันสังคมใช้เงินกองทุน 7 พันล้านซื้อตึกราคา 3 พันล้านย่านพระราม 9 แง้มมีนักการเมืองอดีตเจ้ากระทรวงเป็นเจ้าของ แถมมีอีกเจ้ากระทรวงใช้อำนาจตั้งเด็กหน้าห้องทำดีลซื้อ ฟาดกำไรเหนาะๆ 4 พันล้านจากเงินผู้ประกันตนจริงหรือไม่


วันที่ 10 มีนาคม 2568 ที่หน้าอาคาร SKYY9 Centre ย่านพระราม 9 รักชนก ศรีนอก สส.กรุงเทพฯ พรรคประชาชน และ สหัสวัต คุ้มคง สส.ชลบุรี พรรคประชาชน ร่วมแถลงข่าว “แฉเสียดฟ้า กองทุนประกันสังคมจงใจลงทุนผิดพลาด เพื่อเอื้อผลประโยชน์พวกพ้องหรือไม่” กรณีสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ซื้ออสังหาริมทรัพย์ย่านพระราม 9 ที่มีข้อสงสัยถึงปัญหาธรรมาภิบาล


โดยรักชนกระบุว่า การลงทุนของคือหัวใจสำคัญของกองทุนประกันสังคม เพราะการที่กองทุนจะอยู่ได้หรือจะล้มอยู่ที่การนำเงิน 2.6 ล้านล้านบาทในกองทุนไปบริหารจัดการอย่างไร ซึ่งกรณีวันนี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งที่ทำให้เห็นถึงปัญหาธรรมาภิบาลในการลงทุนของ สปส. ที่เล่นแร่แปรธาตุซื้อตึกมูลค่า 3 พันล้านบาทด้วยราคา 7 พันล้านบาทในปี 2565-2566 ซึ่งไม่ใช่ตึกที่เพิ่งสร้างเสร็จ แต่เป็นตึกที่ในอดีตช่วงวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งเป็นตึกร้าง จนกระทั่งมีบริษัทแห่งหนึ่งซื้อตึกไปปรับปรุงซ่อมแซม เมื่อปรับปรุงเสร็จก็ประจวบเหมาะกับช่วงที่ สปส. ปรับแก้ระเบียบต่างๆ ทำการศึกษา และมีการตัดสินใจลงทุนพอดี


ตึกแห่งนี้ในช่วงปลายปี 2565 มีอัตราการเข้าทำกำไรหรืออัตราการเช่าอยู่ที่ 1% เท่านั้น อย่างไรก็ตาม สปส. ได้เข้าซื้อตึกนี้โดยมีการทำแผนงานที่สวยหรูเกินจริง อ้างถึงผลตอบแทนที่จะได้รับอย่างเหมาะสม แต่เมื่อเริ่มดำเนินการกลับมีผู้เช่าในปีแรกเพียง 1-2% เท่านั้น ปัจจุบันตัวเลขที่ สปส. รายงานมีคนเข้าใช้ตึกประมาณ 40% แต่เป็นตัวเลขที่น่าสงสัย น่าจะมีการรวมผู้เช่าที่คาดว่าจะเข้ามาใช้ในอนาคตด้วย และตัวเลขจริงอาจต่ำกว่า 40% อยู่ที่เพียง 20-30% เท่านั้น


รักชนกกล่าวต่อไปว่า ตึกนี้ทำกำไรในปี 2567 ประมาณ 40 ล้านบาท แต่ค่าบริหารจัดการรวมกับค่าจ้างกองทุนในการบริหารอยู่ที่ประมาณ 50 ล้านบาท ถ้าทำกิจการด้วยอัตรานี้ต่อไปเท่ากับจะติดลบทุกปี เงิน 7 พันล้านบาทที่ สปส. ทุ่มลงทุนไปจะสูญเปล่า ตึกแห่งนี้ถูกตั้งเป้าจัดทำประเมินการคาดการณ์ไว้อย่างสวยหรู แต่ตัวเลขที่ปรากฏในปัจจุบันต่ำกว่าเป้าทั้งหมด ทั้งการคาดการณ์ที่บอกว่าภายใน 2 ปีจะมีผู้มาเช่าใช้ 60% แต่ตัวเลขตามรายงานอยู่ที่ 40% และต่อให้มีคนมาเช่าใช้ 100% ก็ต้องใช้เวลา 30 ปีกว่าจะคืนทุน


กรณีดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าสำนักงานประกันสังคมในยุคที่ผ่านมามีปัญหาเรื่องธรรมาภิบาล เอกสารทุกอย่างในการศึกษามีความพยายามตีความให้เข้าข้างว่าต้องซื้อ และยังมีคำถามอีกว่าทำไม สปส. ถึงตัดสินใจใช้เงิน 7 พันล้านบาทในการลงทุนตึกแห่งเดียว แทนที่จะมีการกระจายความเสี่ยงไปยังแหล่งอื่นๆ สปส. ไม่มีประสบการณ์ในการบริหารสินทรัพย์แบบนี้ แล้วทำไมถึงยังลงทุนในตึกแห่งนี้


รักชนกกล่าวอีกว่า ตึกแห่งนี้ในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งเดิมชื่อ ICE ในช่วงโควิด-19 มีการประเมินมูลค่าของตึกนี้อยู่ที่ 3 พันล้านบาท ทำไม สปส. ถึงยอมจ่ายเงิน 7 พันล้านบาทเพื่อซื้อของในราคา 3 พันล้านบาท ทั้งที่ทุกล้านบาทที่ สปส. ประหยัดได้และนำไปลงทุนให้ได้ผลตอบแทน 5% ไปอีก 30 ปี จะงอกขึ้นมาเป็นเงิน 4.32 ล้านบาท นี่คือค่าเสียโอกาสที่เกิดขึ้นของผู้ประกันตน 


ตนอยากให้สื่อมวลชนลองคุ้ยประวัติของตึกนี้ว่ามือแรกและมือถัดๆ มามีชื่อใครเป็นเจ้าของ มีชื่อใครปรากฏอยู่บ้าง มีนักการเมืองพรรคไหนบ้างหรือไม่ นี่เป็นเรื่องที่น่าสงสัยเพราะอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานก็อยู่ในพรรคพลังประชารัฐ ตึกนี้ปรับปรุงเสร็จเมื่อต้นปี 2565 หลังจากพร้อมใช้งานก็พร้อมขายต่อให้ สปส. เลย เป็นการตกแต่งหน้าตาของตึกโดยรู้อยู่แล้วว่า สปส. พร้อมจะซื้อเลยหรือไม่ นอกจากนี้ตนยังได้ยินข่าวลือมาอีกว่า สปส. พยายามย้ายสำนักงานบางส่วนเข้ามาใช้พื้นที่ในตึกนี้ แต่มันเป็นเพียงการย้ายเงินจากกระเป๋าซ้ายมาเข้ากระเป๋าขวาหรือไม่ หรืออาจจะเป็นการอยากให้ตัวเลขการเช่าใช้ตึกสูงขึ้นหรือไม่


รักชนกยังกล่าวต่อไปว่า จากเรื่องที่ตนได้เปิดมาตั้งแต่มีการแฮ็กงบประมาณ สปส. นอกจากโครงการเว็บแอป 850 ล้านบาทที่ทุกวันนี้ยังไม่เสร็จ ยังไม่มีการปรับ และยังมีพิรุธเต็มไปหมด หรือโครงการต่างๆ ที่เป็นการใช้งบประมาณที่ไม่คุ้มค่าและไม่สอดคล้องกับงานของ สปส. เช่นการทำปฏิทิน วันนี้สังคมไปไกลหลายเรื่องแล้ว แต่ฝ่ายการเมืองถึงที่สุดกลับยังไม่ออกมาทำอะไรเรื่องนี้ ไม่ตั้งกรรมการสอบ ไม่สืบหาข้อเท็จจริง ตนจึงขอเรียกร้องไปถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน อย่างน้อยที่สุดควรตั้งกรรมการในการสอบสวนเรื่องนี้อย่างจริงจัง


“การลงทุนซื้อตึก 7 พันล้าน ส่วนต่างของมูลค่าจริงกับเงินที่จ่ายไปคือ 4 พันล้าน ดิฉันอยากตั้งคำถามว่าใครได้กำไร ประกันสังคมไม่ได้กำไรแน่นอน แต่ดิฉันเชื่อว่ามีคนกำไรแล้ว นอกจากนี้ในปีที่มีการลงทุนซื้อตึกนี้ก็เป็นช่วงที่ใกล้เลือกตั้งพอดี มีพรรคการเมืองใดมาหากินโดยเอาส่วนต่างของประกันสังคมไปเป็นทุนทรัพย์ในการเลือกตั้งหรือไม่” รักชนกกล่าว


ทางด้านสหัสวัตระบุว่า ในการเข้าลงทุนของประกันสังคม โดยปกติแล้ว สปส. จะทำแผนการลงทุน 5 ปีโดยบอร์ดใหญ่ ซึ่งเป็นเพียงการกำหนดกรอบการลงทุนใหญ่ๆ แต่คนที่ตัดสินใจจริงคืออนุกรรมการการลงทุนที่พิจารณาแผนลงทุนรายปี และคนที่มีอำนาจตัดสินใจจริงๆ ในการอนุมัติลงทุนนอกตลาดแบบนี้คือเลขาธิการสำนักงานประกันสังคม


ในช่วงปี 2565 มีความพยายามให้ สปส. ลงทุนนอกตลาดหุ้นมากขึ้น มีการพิจารณาแผนรายปีขึ้นมา ซึ่งตนขอตั้งคำถามว่ามีการแทรกแซงของฝ่ายการเมืองในการตัดสินใจซื้อสินทรัพย์ต่างๆ หรือไม่ เพราะคนที่มีอำนาจแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการในส่วนนี้คือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ซึ่งในช่วงปี 2565 มีการแต่งตั้งโยกย้ายเด็กหน้าห้องของตัวเองมาอยู่ในกลุ่มงานบริหารความเสี่ยงและกำกับการลงทุน เพื่อทำแผนรายปีและตัดสินใจว่าจะซื้ออะไร โดยอนุกรรมการการลงทุนนอกตลาดที่ตั้งขึ้นมาก็มีคนหน้าห้องคนเดิมเข้าไปอยู่ในอนุกรรมการชุดนั้นด้วย นอกจากนั้นยังมีที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานในขณะนั้นเข้ามาอยู่ในอนุกรรมการด้วย


สหัสวัตกล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้การเข้าซื้ออสังหาริมทรัพย์ของ สปส. สามารถซื้อโดยตรงได้ แต่การลงทุนซื้อตึกนี้กลับมีความซับซ้อน เพราะเป็นการตั้งกองทรัสต์ขึ้นมากองหนึ่งมูลค่า 9.8 พันล้านบาท โดย 30% เป็นการลงทุนในต่างประเทศ แต่ 70% กลับทุ่มมาซื้อตึกนี้ที่เดียว แล้วยังให้กองทรัสต์ไปซื้อบริษัทแห่งหนึ่งที่มีสินทรัพย์เพียงอย่างเดียวคือตึกแห่งนี้ เป็นการลงทุนซ้ำซ้อนและมีความพยายามปกปิด ทำให้น่าสงสัยว่าทำไมต้องมีการปกปิดขนาดนี้


ปกติกองทุนใหญ่ๆ ทั่วโลกที่มีการลงทุนนอกตลาดหุ้นในอสังหาริมทรัพย์ครั้งแรก มักจะไปร่วมลงทุนกับกองทุนอื่นๆ ที่มีความเชี่ยวชาญ มีการกระจายความเสี่ยง ไม่มีใครทุ่มซื้อตึกแห่งเดียวแบบนี้ จนตนต้องตั้งข้อสงสัยว่าดีลตึกนี้มีความเกี่ยวข้องกับฝ่ายการเมืองหรือไม่ เพราะมีการโยกเด็กหน้าห้องตัวเองมาทำดีลนี้โดยตรง และมาอยู่ในอนุกรรมการที่ผลักดันให้เกิดดีลนี้


“ที่ผ่านมาการลงทุนของประกันสังคมไม่เคยเปิดเผยต่อประชาชนว่าทำอะไร ซื้อตึกที่ไหนบ้าง เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ตราบใดที่การลงทุนของประกันสังคมยังอยู่ในมุมมืดแบบนี้ก็อาจจะเปิดช่องให้นักการเมืองเข้าไปแทรกแซงแล้วหาเงินกับเรื่องนี้ได้ การโยกย้ายข้าราชการในปี 2565 เป็นอำนาจโดยตรงของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานในขณะนั้น ท่านเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือไม่ และท่านได้ประโยชน์อย่างไรจากการซื้อตึกแห่งนี้” สหัสวัตกล่าว


สหัสวัตยังกล่าวต่อไปว่า เงินของผู้ประกันตนทุกบาทควรถูกพิจารณาอย่างโปร่งใส ไม่ควรมีใครได้ผลประโยชน์เอื้อพวกพ้องจากเรื่องนี้ การลงทุนของ สปส. มีปัญหาและถูกแทรกแซงจากผู้มีอำนาจ อีกทั้งโครงสร้างของ สปส. ทุกวันนี้ก็มีปัญหาจริงๆ และต้องได้รับการปฏิรูป นายกรัฐมนตรีควรตั้งกรรมการสอบสวนเรื่องนี้และบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการซื้อตึกนี้โดยตรง ไม่ว่าจะเป็นคนที่มีอำนาจในการอนุมัติคือเลขาธิการสำนักงานประกันสังคม ซึ่งในขณะนั้นคือ บุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ ปัจจุบันเป็นปลัดกระทรวงแรงงาน ซึ่งไม่เคยออกมาตอบคำถามใดๆ ว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือไม่ รวมถึงอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน สุชาติ ชมกลิ่น เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยหรือไม่


และต่อให้แม้เรื่องนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและเลขาธิการ สปส. คนปัจจุบัน แต่รัฐมนตรีฯ ก็ควรตั้งกรรมการสอบสวนย้อนหลังถึงการลงทุนที่ผิดปกติของ สปส. โดยในการประชุมบอร์ด สปส. วันพรุ่งนี้นอกจากเรื่องการพิจารณาปรับสูตรคำนวณเงินบำนาญแล้ว ยังจะมีการพิจารณาหลักเกณฑ์ในการเข้าซื้ออสังหาริมทรัพย์อีกครั้ง ซึ่งสังคมและสื่อมวลชนควรต้องช่วยกันจับตามองเพื่อไม่ให้เกิดการซื้อตึกแบบแปลกๆ เช่นนี้อีกในอนาคต


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ประกันสังคม #พรรคประชาชน










นายกฯ นำประชุมบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ แจกเงินหมื่นเฟส 3 หวังเศรษฐกิจไทยปี 2568 นี้ เติบโตมากกว่า 3%

 


นายกฯ นำประชุมบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ แจกเงินหมื่นเฟส 3 หวังเศรษฐกิจไทยปี 2568 นี้ เติบโตมากกว่า 3%


วันนี้ (10 มีนาคม 2568) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ครั้งที่ 1/2568 ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยดิจิทัลวอลเล็ตโดยการแจกเงิน 10,000 บาท ในเฟสที่ 3 โดยจะแจกผ่านในรูปแบบดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งรัฐบาลได้เตรียมวงเงินไว้กว่า 1.5 แสนล้านบาท ครอบคลุมประชาชนประมาณ 15 ล้านคน จากประชาชนที่มีการลงทะเบียนแล้วกว่า 20 ล้านคน


ซึ่งที่เพจเฟซบุ๊ก IngShinawatra ได้โพสต์ข้อความว่า


ด้วยความร่วมมือทุกภาคส่วน

ศักยภาพเศรษฐกิจไทยปี 2568

น่าจะเติบโตได้มากกว่า 3% ในปีนี้ค่ะ


ด้วยเศรษฐกิจในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา มีแนวโน้มฟื้นตัวตามลำดับ โดยมีการบริโภค การส่งออก และการท่องเที่ยวเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ โดยในปีนี้ กระทรวงการคลังประมาณการว่าเศรษฐกิจไทยปี 2568 จะเติบโตได้ 3% แต่รัฐบาลเชื่อว่า ด้วยศักยภาพเศรษฐกิจไทย การร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน ตัวเลขเศรษฐกิจน่าจะเติบโตได้มากกว่า 3% ค่ะ


วงประชุมวันนี้จึงเป็นวงที่เรามาร่วมกันคิด เสนอโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการรับผิดชอบของหน่วยงานต่าง ๆ และอยู่ในกรอบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ทั้งเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และร่วมกันวางโครงสร้างในระยะยาวไปพร้อม ๆ กัน


ซึ่งในวันนี้ที่ประชุมได้มีการเสนอโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 10,000 บาท ระยะที่สาม เพื่อเป็นการวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัล และต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อรับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ที่มีผลกระทบต่อกำลังซื้อของประชาชนในประเทศ โดยที่กลุ่มเป้าหมายจะเป็นผู้ลงทะเบียนผ่าแอปพลิเคชั่นทางรัฐ มีอายุตั้งแต่ 16-20 ปี และจะต้องใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชั่นทางรัฐ เพื่อสแกน QR code ณ ร้านค้าในพื้นที่เขตหรืออำเภอที่ประชาชนมีอยู่ตามทะเบียนบ้าน


โดยดิฉันได้เน้นย้ำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเครื่องยนต์สำคัญอย่างการท่องเที่ยว ที่จะต้องดำเนินต่อไปตามแผนงาน และมีแผนงานใหม่ที่มุ่งไปยังกลุ่ม luxury เพื่อเพิ่มการใช้จ่ายนักท่องเที่ยวต่อหัวมากขึ้น อีกเรื่องที่สำคัญคือกลุ่มการเกษตร ที่จะต้องพัฒนากระบวนการเกษตรทั้งกระบวนการ ตั้งแต่การวิจัยและพัฒนา การส่งออกสินค้าเกษตร และดูแลราคาสินค้าเกษตรให้เป็นธรรมหรือสูงขึ้น ซึ่งจะเป็นทั้งการยกระดับคุณภาพชีวิตพี่น้องเกษตรกร และทำให้รายได้ประเทศสูงขึ้นด้วย


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #นายกฯแพทองธาร #โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ #เงินหมื่นเฟส3 #แจกเงินหมื่นเฟส3 





“พิชัย” รับเงินดิจิทัลฯ เฟส 3 แจกแค่กลุ่มอายุ 16-20 ปี ชี้ พยายามจ่ายให้ได้ในไตรมาส 2 ส่วนเฟส 4 รอพิจารณาตามความเหมาะสม

 



พิชัย” รับเงินดิจิทัลฯ เฟส 3 แจกแค่กลุ่มอายุ 16-20 ปี ชี้พยายามจ่ายให้ได้ในไตรมาส 2 ส่วนเฟส4 รอพิจารณาตามความเหมาะสม


วันนี้ (10 มีนาคม 2568) นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ถึงการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งที่ 1/ 2568 วันนี้ว่า เป็นเรื่องของคณะกรรมการ ซึ่งได้มีการวางแผนไว้ ให้ทราบในเบื้องต้นก่อนว่าจะพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจให้ได้ 3% ซึ่งวันนี้ก็จะมีรายละเอียดออกมาให้ทราบ โดยจะเป็นแผนในระยะสั้น ส่วนในอนาคตก็จะมีแผนการแก้ไขโครงสร้างเข้ามาอีก เพราะในขณะที่เรากำลังทำงานไป ก็จะเจอปัญหาในเชิงโครงสร้าง


ผู้สื่อข่าวถามว่า ส่วนประเด็นเงินดิจิทัล 10,000 บาท ที่กำลังถกเถียงกันอยู่ ในขณะนี้นั้น จะเข้าสู่ที่ประชุมด้วยหรือไม่ นายพิชัย กล่าวว่า คงไม่ใช่ประเด็นถกเถียงกัน แต่ได้ข้อสรุปแล้วจึงนำมาพิจารณาในที่ประชุม โดยคาดว่าจะอยู่ในกรอบอายุ 16-20 ปี และพยายามจ่ายให้ได้ภายในไตรมาส 2 ส่วนจะมีเฟส 4 หรือไม่ ก็จะพิจารณาตามความเหมาะสมต่อไป


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ #เงินหมื่นเฟส3

วันอาทิตย์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2568

Stand Together ep.12 : “ในเดือนมีนา จับตา 112” อาเล็ก - ตี้ - อั๋ว ล้อมวงคุยเรื่องราวการต่อสู้ และความรู้สึกก่อนไปฟังคำพิพากษา ด้านทนายแจม กล่าวให้กำลังใจผู้ถูกดำเนินคดีทางการเมือง ก่อนปิดท้ายดนตรีจากอาเล็ก

 


Stand Together ep.12 : “ในเดือนมีนา จับตา 112” อาเล็ก - ตี้ - อั๋ว ล้อมวงคุยเรื่องราวการต่อสู้ และความรู้สึกก่อนไปฟังคำพิพากษา ด้านทนายแจม กล่าวให้กำลังใจผู้ถูกดำเนินคดีทางการเมือง ก่อนปิดท้ายดนตรีจากอาเล็ก


เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2568 ที่ อาคาร All Rise (iLaw) เวลา 17:00 - 20:00 น. กลุ่ม Thumb Rights เครือข่ายประชาชนเพื่อสิทธิพลเมือง จัดกิจกรรม Stand Together EP.12 เพื่อฟัง-คุย-แลกเปลี่ยน เพื่อส่งเสียงให้ดังขึ้น! โดยหลังจากจบวงพูดคุยเรื่องราว"ขนุน สิรภพ" แล้วนั้น


ต่อมาเป็นวงพูดคุย “ในเดือนมีนา จับตา 112” โดย นางสาววรรณวลี ธรรมสัตยา หรือ ตี้ อดีตแกนนำราษฎร นายโชคดี ร่มพฤกษ์ หรือ อาเล็ก โชคร่มพฤกษ์ และ น.ส.จุฑาทิพย์ ศิริขันธ์ อดีตแกนนำกลุ่มเยาวชนปลดแอก หรือ อั๋ว ดำเนินรายการโดย นายธีรภพ เต็งประวัติ


น.ส. จุฑาทิพย์ ศิริขันธ์ หรือ อั๋ว กล่าวว่า ตนเองภายหลังจากถูกดำเนินคดีก็ต้องโดนถูกติดตาม ต้องไปขึ้นศาล ซึ่งตนเองก็ได้รับการประกันตัวในทุก ๆ คดีและได้มีโอกาสมาต่อสู้คดี แต่สิ่งหนึ่งที่โดนคดีซึ่งก็มีประวัติ จนกว่าจะได้ทำงานในระดับที่มั่นคงก็ต้องต่อสู้หน่อย เพราะตนก็ว่างงานอยู่ประมาณห้าถึงหกเดือน ภายหลังจากเรียนจบ ในการทำงานก็มาพร้อมกับความกังวลตลอดเวลาว่าจะถูกดำเนินคดีตอนไหน ถ้าตัดสินแล้วงานที่จะทำอยู่อนาคตจะเป็นอย่างไร มันก็จะทำให้เราทำงานหนักมากขึ้นเพื่อจะได้เก็บเงินไว้ตอนติดคุก


นายโชคดี ร่มพฤกษ์ หรือ อาเล็ก โชคร่มพฤกษ์ กล่าวว่า คนที่ออกมาต่อสู้เขาคิดไว้แล้วว่าสักวันนึงมันต้องโดนคดี ตนเองก็เป็นนักร้องที่คาดการณ์มาแล้วว่าจะต้องโดนคดีสักวันหนึ่ง และก็ไม่คิดว่ามันจะเยอะขนาดนี้ ตนเองก็พร้อมที่จะรับสภาพในส่วนของคดี 112 ที่โดนดำเนินคดีไป 2 คดี โดยทางทนายอานนท์ได้แนะนำเรื่องการรอลงอาญา 2 ปี ซึ่งสองปีนี้ก็จะทำไม่ได้ ให้ร้องเพลงเฉพาะเพลงรักประโลมโลก อุปสรรคที่ตนเองจะต้องเจอในวันที่ 19 มีนานี้ ตนไม่รู้ศาลจะว่าอย่างไร แต่ก็ไม่คิดว่าคงจะไม่โดนโทษจำคุกเพราะแค่ไปยืนร้องเพลง 


นางสาววรรณวลี ธรรมสัตยา หรือ ตี้ อดีตแกนนำราษฎร กล่าวว่า ในวันที่ 24 มีนาคมนี้ตนเองก็จะถูกตัดสินในคดีมาตรา 112 ซึ่งคดีมาตรานี้เป็นคดีที่ใช้ปิดปากเรามานาน มาในยุคของตน ยังมีความโชคดีกว่าคนเสื้อแดง สำหรับคนที่โดน 112 ทุกคนก็เข้าใจความเห็นของต่าง อย่างตนทำงานอิสระ อาทิ พิธีกร เมื่อโดนคดีชีวิตมันพลิกจากที่เคยทำงานออกหน้ากล้องได้ เพราะว่าทางผลิตภัณฑ์กังวลว่าจะกระทบความเชื่อมั่น หรือมีอยู่วันหนึ่งมีเจ้าหน้าที่ไปเฝ้าในขณะที่ตนเองกำลังทำงานอยู่ในห้าง เมื่อตอนที่ตนใส่กำไล EM ก็ต้องปิดกำไลให้มิดชิด ไม่งั้นบุคคลภายนอกก็จะมองดูไม่ดี 


“สำหรับในวันที่ 24 มีนาคมนี้ที่จะมีการตัดสินตนมองว่าอาจจะได้มีการเข้าเรือนจำประมาณ 50% เพราะว่าหลายคนที่ผ่านมาก็เข้าไปกันเยอะมาก ๆ ทั้งนี้ตนก็มีความหวัง แต่มันก็ริบหรี่ หากได้เข้าไปจริงตนก็บอกว่าเป็นการเข้าค่าย ไม่ได้เครียดอะไรมากมาย” นางสาววรรณวลี กล่าว


หลังจากนั้นมี น.ส.ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ หรือ แจม ส.ส.พรรคประชาชน มากล่าวให้กำลังใจผู้ถูกดำเนินคดีการเมือง ที่จะเข้าฟังการพิพากษาในเดือนนี้ โดย น.ส.ศศินันท์ กล่าวว่า ยังขอบคุณทุกคนที่ยังอยู่ด้วยกัน อยากให้เป็นกำลังใจให้กัน อย่างที่ใครหลายคนพูดว่าไม่มีใครอยากไปจากบ้านของตนเอง แต่ด้วยอะไรบางอย่างที่เป็นเงื่อนไขในชีวิตแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน หลาย ๆ คนที่อยู่ในเรือนจำก็เชื่อว่าทุกคนไม่ได้มีใครลืม แต่เพียงแค่ว่าเราก็ต้องสู้กันไปในเส้นทางที่เรามีหรือเงื่อนไขที่เรามีอยู่ และนอกจากนี้ตนได้ทวงถาม พ.ร.บ.นิรโทษกรรมไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะได้ยื่นเข้ามาเมื่อใด


และปิดท้ายด้วยการเล่นดนตรีจากนายโชคดี ร่มพฤกษ์ ก่อนสิ้นสุดกิจกรรมในเวลาประมาณ 20.20 น.


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #คดีการเมือง #นิรโทษกรรมประชาชน









Thumb Rights ชวนอ.อนุสรณ์ นำล้อมวงเล่า “ขนุน สิรภพ” ชีวิตและการต่อสู้ หวังปลอดภัยจากการอดอาหาร วาดหวังศาลให้ประกันตัวนักโทษการเมือง

 


Thumb Rights ชวนอ.อนุสรณ์ นำล้อมวงเล่า “ขนุน สิรภพ” ชีวิตและการต่อสู้ หวังปลอดภัยจากการอดอาหาร วาดหวังศาลให้ประกันตัวนักโทษการเมือง 


เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2568 ที่ อาคาร All Rise (iLaw) เวลา 17:00 - 20:00 น. กลุ่ม Thumb Rights เครือข่ายประชาชนเพื่อสิทธิพลเมือง จัดกิจกรรม Stand Together EP.12 เพื่อฟัง-คุย-แลกเปลี่ยน เพื่อส่งเสียงให้ดังขึ้น! โดยมีกิจกรรม เสวนา “บอกเล่าเรื่องขนุน“ หรือ นายสิรภพ พึ่งพุ่มพุทธ ผู้ต้องขังคดี ม.112 ตั้งแต่การต่อสู้ ชีวิตในเรือนจำ จนถึงการอดอาหารประท้วง โดยมี รศ.ดร.อนุสรณ์ อุณโณ อาจารย์ประจำคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, นายเสกสิทธิ แย้มสงวนศักดิ์ กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม และ เข็มหมุด กลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย ดำเนินรายการโดย น.ส.อชิรญา บุญตา


รศ.ดร.อนุสรณ์ อุณโณ กล่าวว่า ขนุนเป็นนักศึกษาคนแรกแรกที่ทำกิจกรรมทางการเมืองที่ตนได้รู้จัก ซึ่งจริงแล้วได้รู้จักก่อนหน้านี้ก่อนที่จะมีกระแสใหญ่ มีกลุ่มนักศึกษาในระดับกลุ่มย่อยของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่ตนรู้จักผ่านกลุ่มเสรีเกษตรฯ ซึ่งตอนนั้นเราทำกิจกรรม คณะรณรงค์รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน หรือ ครช. ซึ่งตัวขนุนก็ได้มีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมด้วย และจากนั้นเราเป็นคนที่อยู่บ้านในโซนเดียวกัน มี มีช่วงหนึ่งเราทำกิจกรรมเสร็จแล้วก็ไปกินอาหารด้วยกัน แล้วก็ถามกันว่าอาจารย์กลับอย่างไร ซึ่งตนก็ได้มีการพูดคุยสอบถามว่าบ้านอยู่ที่ไหน ซึ่งหลายครั้งเวลาทำกิจกรรม ขนุนจะติดรถตนเองกลับบ้าน ซึ่งก็ได้ขับรถไปส่งที่บ้านขนุนฉะนั้นก็เลยไปบ้านผม มันก็เลยทำให้มีความผูกพันกับคนพิเศษ


รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวต่อว่า ตนก็สะท้อนใจอยู่ลึก ๆ ว่าเดือนนี้เดือนมีนาคม เมื่อวันที่ 24 มีนาคมปีที่แล้ว ในลักษณะเช่นนี้ก็ไปพูดที่ร้านของเนติวิทย์ ขนุนก็นั่งข้างข้างผมและชวนผมคุยซึ่งวันนั้นจะเป็นวันรุ่งขึ้นที่ขนุนจะไปฟังคำพิพากษา ซึ่งขนุนก็ได้รับคำตัดสินลงโทษจำคุกไม่รอลงอาญา 


รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวต่อว่า เด็กนักกิจกรรมที่ตนรู้จักและสนิทที่สุดก็จะเป็นขนุนที่รู้จัก เป็นคนแรกและตอนที่ตนเองทำวิจัยว่าด้วยขบวนการเยาวชน ซึ่งตนเองก็ไปสัมภาษณ์ขนุนเป็นคนแรก 


สำหรับความประทับใจที่ตนเองมีต่อขนุน ก็เพราะว่าขนุนได้ประมวลเรียบเรียงและรวบรวมเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นฉากๆ ทุกครั้งเวลาเจอขนุน ตนเองจำได้แม่นว่าเขาเต็มด้วยความฝันและความคิดไปข้างหน้าตลอด และมีความกระตือรือร้น แม้วันที่เขาเข้าเรือนจำ ก็ไม่เคยพบแววตาที่เขาเศร้าสร้อยหรือว่าหมดหวัง ฉะนั้นขนุนถือว่าเป็นตัวอย่างของเด็กรุ่นใหม่ที่มีความฝันและมีพลังตลอดเวลา และมีจิตใจที่บริสุทธิ์และไม่ได้มีความท้อแท้กับสิ่งที่เผชิญและคิดสร้างสรรค์ทำสิ่งใหม่ ๆ ตลอดเวลา ตนมั่นใจว่าการอดอาหารที่เขากำลังทำ เขาได้ครุ่นคิดมาแล้ว

 

“ทุกครั้งถ้ามีโอกาสจะทำอะไรให้ช่วยขนุนออกมาจากเรือนจำหรือสิทธิ์ในการปล่อยตัวชั่วคราว ตนเองก็ยินดีที่จะทำ ถ้าเกิดว่าอะไรก็ตามแต่ถ้าเขาวาดหวังอยากให้บรรลุในการเปลี่ยนแปลงสังคม ตนก็ยินดีช่วยเหลือตลอด” รศ ดร.อนุสรณ์ กล่าว 


ด้าน เข็มหมุด กล่าวว่า ตนเองรู้จักกับขนุนเมื่อสองสามปีก่อน เพราะสายงานของตนเองและขนุนไม่ได้เกี่ยวพันกัน แต่ก็ได้ไปลงพื้นที่ด้วยกันเรื่องของพม่า ขนุนซึ่งเป็นคนเอาใจใส่เพื่อนและช่างสังเกตว่าเพื่อนป่วย หลังจากจบการชุมนุมก็จะชวนเพื่อนไปอ่านหนังสือด้วยกัน ขนุนเป็นคนชอบเล่นมุกแม้ว่าจะไม่ค่อยขำ ภายหลังจากที่ขนุนมีคำพิพากษา ตนเองก็ได้ตั้งกลุ่มชื่อว่า ‘ผู้ประสบภัยจากการที่ขนุนไม่ได้ประกัน’ ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มเพื่อนของขนุนเข้ามาช่วยกันโดยเวลาที่ขนุนส่งจดหมายมาก็ช่วยกันเผยแพร่ จากนั้นตนก็ไปเยี่ยมบ่อย ๆ สิ่งที่ขนุนต้องการมาตลอดคืออิสรภาพ ซึ่งเป็นสิ่งที่นักโทษต้องการ


นายเสกสิทธิ แย้มสงวนศักดิ์ กล่าวต่อว่า ช่วงปริญญาโท ซึ่งตอนนั้นเราเจอกันที่ทำเนียบรัฐบาลที่ต้องไปให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องของประชามติ 


ขนุนเป็นคนที่กล้าถกเถียงกล้าแสดงออก เวลาเขาแสดงความเห็นก็จะมีความเป็นนักวิชาการ และทุกครั้งที่ขนุนให้ความเห็นก็จะมีเหตุผลหลักการชัดเจน และอีกครั้งหนึ่งที่ตนเองได้เจอกับขนุนคือตอนที่ขนุนเรียนปริญญาโทซักพักนึงแล้ว ขนุนเป็นคนที่มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แม้ว่าตนเองจะเจอไม่กี่ครั้ง


หลังจากจบวงพูดคุย ผู้ดำเนินรายการไดัเชิญนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข ขึ้นมาพูดคุยถึงขนุน และบอกเล่าเรื่องราวในเรือนจำที่ตนเองประสบมาและพูดคุยเรื่องราวสถานก่รณ์ในปัจจุบันที่เกี่ยวกับเรือนจำ


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ขนุนสิรภพ #คืนสิทธิประกันตัวประชาชน













วันเสาร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2568

ศาลฎีกายังคงไม่ให้สิทธิประกัน "ขนุน-สิรภพ" ระหว่างอุทธรณ์ แม้ยินยอมติด EM และอดอาหารเรียกร้องสิทธินี้กว่า 15 วัน แล้ว ศูนย์ทนายฯเผย มีภาวะเสี่ยง ร่างกายอ่อนล้า และสายตาเบลอ

 


ศาลฎีกายังคงไม่ให้สิทธิประกัน "ขนุน-สิรภพ" ระหว่างอุทธรณ์ แม้ยินยอมติด EM และอดอาหารเรียกร้องสิทธินี้กว่า 15 วัน แล้ว ศูนย์ทนายฯเผย มีภาวะเสี่ยง ร่างกายอ่อนล้า และสายตาเบลอ 


วันที่ 8 มีนาคม 2568 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า ด่วน! ศาลฎีกายังคงไม่ให้ประกัน “ขนุน” สิรภพ พุ่มพึ่งพุทธ ผู้ต้องขังในคดี #ม112 หลังวานนี้ (7 มี.ค. 68) ทนายยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่ให้ประกันของศาลอุทธรณ์ครั้งล่าสุด


ศาลฎีการะบุ "พิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหาและพฤติการณ์แห่งคดี ประกอบกับศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ทั้งศาลฎีกาเคยมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยจำเลยที่ 1 ชั่วคราวในระหว่างอุทธรณ์มาแล้ว หากอนุญาตให้ปล่อยจำเลยที่ 1 ชั่วคราวในระหว่างอุทธรณ์ มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าจำเลยที่ 1 อาจจะหลบหนี คำสั่งศาลอุทธรณ์ที่ไม่อนุญาตให้ปล่อยจำเลยที่ 1 ชั่วคราวนั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง"


ปัจจุบัน ขนุนอดอาหารประท้วงในเรือนจำเพื่อเรียกร้องสิทธิประกันตัวมาเป็นเวลา 16 วันแล้ว หลังถูกขังระหว่างอุทธรณ์มาจะครบ 1 ปี และยื่นประกันตัวมาแล้วครั้งที่ 15 แต่ยังไม่เป็นผล ศาลอุทธรณ์ตลอดจนศาลฎีกายกคำร้องเรื่อยมา แม้ขนุนจะขอโอกาสกลับไปเรียนต่อระดับปริญญาโท และเสนอเงื่อนไขประกันต่าง ๆ นานา


ทั้งนี้บันทึกเยี่ยมจากศูนย์ทนายฯ ได้ระบุว่า วานนี้ (วันที่ 7 มี.ค. 2568) “ขนุน” สิรภพ พุ่มพึ่งพุทธ ผู้ต้องขังในคดีมาตรา 112 น้ำหนักลดลงถึง 8 กิโล ร่างกายอ่อนล้า และสายตาเบลอ หลังอดอาหารประท้วงเป็นวันที่ 15 แล้ว จากการถูกปฏิเสธสิทธิประกันตัวระหว่างอุทธรณ์ โดยงดรับประทานอาหารและนมตั้งแต่วันที่ 21 ก.พ. 2568 และถูกส่งตัวมาที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ตั้งแต่วันที่ 26 ก.พ. 2568 


วันนี้ทนายได้เข้าเยี่ยมขนุนที่ห้องเยี่ยมญาติ เนื่องจากห้องเยี่ยมทนายที่โรงพยาบาลเต็ม การพูดคุยค่อนข้างเป็นไปด้วยความลำบาก เนื่องจากขนุนต้องยกมือถือโทรศัพท์ตลอดเวลา และช่องที่ให้ผู้ต้องขังและญาติมองหน้ากัน ต้องก้มหน้าลงในระดับหนึ่ง จึงจะสามารถมองเห็นหน้ากันตลอดการพูดคุยได้


เมื่อขนุนพบทนายก็รีบแจ้งเราว่า วันนี้เขาได้เขียนคำร้องเพื่อขอนำสมุดที่เขาบันทึกออกไปข้างนอก น่าจะใช้ระยะเวลาประมาณ 1 – 2 วัน ขอให้ทนายช่วยติดตามคำร้องอีกที


จากนั้นขนุนก็เล่าให้ฟังถึงผลตรวจร่างกายวันนี้และเมื่อวาน โดยเมื่อวานนี้ (6 มี.ค. 2568) ค่าแมกนีเซียมอยู่ที่ 1.8 (ตามเกณฑ์คือ 1.7 – 2.5), ฟอสฟอรัส 5 (ตามเกณฑ์คือ 2.7 – 4.5) เขาเล่าว่า ฟอสฟอรัสช่วยเรื่องความแข็งแรงและมวลกล้ามเนื้อ ที่เขาอยู่ได้ทุกวันนี้เพราะฟอสฟอรัสล้วน ๆ กับมวลกล้ามเนื้อที่ออกกำลังกายก่อนหน้านี้ ส่วนค่าโพแทสเซียมอยู่ที่ 3.5 (ตามเกณฑ์คือ 3.5 – 5), น้ำตาล 94, น้ำหนักอยู่ที่ 66.6 กก. ค่าไตปกติ ขนาดเม็ดเลือดแดงเล็กลง โดยแพทย์แจ้งว่าเกิดจากสารอาหารที่หายไป


ส่วนผลตรวจเมื่อวันที่ 7 มี.ค. 2568 ค่าน้ำตาลในเลือดอยู่ที่ 95, น้ำหนักอยู่ที่ 65.5 กก. ซึ่งน้ำหนักลดลงมา 8 กก. แล้ว เฉลี่ยแล้วน้ำหนักลดลง 2 วัน/ กก.


ตลอดการพูดคุย ทนายสังเกตว่าขนุนดมยาหม่องตลอดการพูดคุย เขาเล่าว่า ปกติแล้ว ไม่ใช่คนที่ชอบยาหม่อง เพราะมันมีกลิ่นฉุน ตอนช่วงมัธยมเขาไม่ค่อยแข็งแรง เป็นลมบ่อย พอเวลาเป็นลม ครูก็ชอบเอายาหม่องมาป้าย ทำให้รู้สึกทั้งแสบและทรมานจมูก แต่พอได้ลองอันนี้ที่พ่อซื้อให้ รู้สึกว่ากลิ่นมันไม่ฉุน หอมกำลังดี เวลาที่หิวข้าวก็ดมยาหม่องแทน


ทนายแจ้งกับขนุนว่า วันเสาร์ที่ 8 มี.ค. 2568 กลุ่มทำไรท์จัดงาน STAND TOGETHER และมีวงเสวนาบอกเล่าเรื่องขนุนด้วย ขนุนยิ้มออกมาแล้วบอกว่า เขามีข้อความที่อยากจะฝากผ่านทนายไปวงเสวนาด้วย แต่ขอเวลาคิดสักครู่


ทนายได้เล่าให้ขนุนฟังว่า เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ศาลปกครองพิพากษาเพิกถอนกฎกระทรวงเรื่องทรงผมนักเรียน ขนุนยิ้มแล้วบอกว่า สู้กันมาเป็น 10 ปี สู้มานาน ชนะเรื่องแรกก็เรื่องนี้ จากนั้นขนุนก็ขอตัวก่อน เนื่องจากมีญาติมาเยี่ยม


ในช่วงบ่ายทนายได้เข้าเยี่ยมอีกครั้ง ครั้งนี้สีหน้าขนุนดูเหนื่อย ๆ เขาเล่าว่า มีอาการมึน ๆ บ้าง รู้สึกอ่อนล้า ปวดเมื่อยร่างกาย ตามร่างกายดูจะชาเร็วขึ้นมาก นั่งไม่กี่อึดใจ ก็รู้สึกเหน็บกินแล้ว ที่นิ้วมือทั้ง 10 นิ้วของเขา ยังเป็นดวงสีม่วงอยู่ ขนุนบอกว่า แพทย์ตรวจดูแล้วแจ้งว่าน่าจะเป็นเพราะขาดวิตามิน 


ส่วนเรื่องสายตาที่ตอนเช้า ๆ จะรู้สึกตาเบลอ ๆ หรือตาไม่โฟกัส แพทย์มาตรวจแล้วบอกว่า ไม่มีอาการเป็นต้อกระจก ตายังแข็งแรงอยู่ แต่ก็เป็นการตรวจเพียงเบื้องต้น ไม่ได้ตรวจไปถึงเส้นประสาทตา


ตลอดการพูดคุยขนุนจะมีขวดน้ำเล็ก ๆ 2 ขวด วางอยู่ใกล้ตัว เขาเล่าว่า เป็นน้ำเกลือแร่และน้ำหวาน ซึ่งการดื่มน้ำหวานจะทำให้ร่างกายตื่น ไม่เช่นนั้นเขาอาจจะมีสภาพเหมือนซอมบี้ พูดคุยไม่รู้เรื่อง เขายังคงฉี่ 4-5 ครั้งต่อวัน และถ่ายครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ออกศาล แต่ 2 วันที่ผ่านมานี่ ไม่ได้ถ่ายแล้ว


ผื่นและจุดแดง ๆ ที่หน้าอกปรากฏชัดขึ้น แต่ไม่ลามแล้ว จากการตรวจเลือดค่าภูมิแพ้อยู่ที่ 7 แพทย์แจ้งว่า ถ้า 10 ขึ้นไป อาการจะน่าเป็นห่วง แต่เขาเป็นภูมิแพ้อยู่แล้ว เลยไม่รู้สึกกังวลเท่าไหร่ ขนุนคาดว่า แร่ธาตุในร่างกายคงไม่สมบูรณ์เท่าไหร่ ร่างกายคงกำลังดึงเอาพลังงานต่าง ๆ มาใช้ เลยมีอาการสะเปะสะปะ


เขายังเล่าว่า วันนี้ได้กินวิตามิน B1 กับธาตุเหล็กเพื่อช่วยเรื่องไตด้วย มีความรู้สึกหิวเพิ่มมากขึ้น เริ่มมีอาการปวดท้องบ้าง ไม่เรอแล้วแต่เหมือนมีลมตีขึ้นมา


เขาเล่าต่อว่า สถานการณ์เรื่องยุงที่โรงพยาบาลก็ดีขึ้น ทางโรงพยาบาลให้เจ้าหน้าที่เอาพัดลมและยากันยุงมาให้แล้ว กิจวัตรประจำวันของที่นี่ จะตื่นประมาณตี 5 จากนั้นจะมีพยาบาลมาวัดความดัน เสร็จแล้วเขาจะรีบจัดการอาบน้ำ จากนั้นก็จะมีการวัดความดันอีกครั้งตอน 6 โมงเช้า และประมาณ 8 – 9 โมงเช้า แพทย์ก็จะมาตรวจ


ขนุนขอทนายดูรูปโปสเตอร์งานเสวนาของทำไรท์อีกครั้ง เขาเล่าว่า รูปภาพเขาที่อยู่ในโปสเตอร์เป็นรูปที่เขาเข้าร่วมงานนี้ก่อนวันฟังคำพิพากษาคดีให้จำคุก 


ก่อนจากกันขนุนได้โชว์รูปที่เขาสเก็ตในระหว่างที่รอออกเยี่ยม เป็นภาพบริเวณจุดให้รอ ตรงนั้นจะเห็นต้นไม้ เห็นท้องฟ้า ขนุนวาดภาพที่เป็นกำแพง และมีลวดหนามอยู่ด้านบนกำแพง เขาเล่าว่าปกติเป็นคนวาดภาพไม่เก่ง เรียกว่าไม่เคยวาดภาพเลยก็ได้ แต่อยู่ข้างในมันว่าง 


ตอน ปี 64 ที่เขาเข้ามาที่เรือนจำครั้งแรก ได้เจอกับแอมมี่ แอมมี่ชวนเขาวาดภาพ ซึ่งภาพนั้นเขายังเก็บไว้อยู่ แต่ก็ไม่ได้กลับมาวาดภาพอีกหลังแอมมี่ออกไป จนกระทั่งเขาเข้ามาอีกรอบ สิ่งแรกที่เขาซื้อเลย คือ สมุดกับปากกา แล้วก็เริ่มวาดภาพห้องขัง วาดภาพพี่ ๆ ที่ถูกขังในแดนเดียวกัน หรือวาดภาพกำแพงเพราะบางจุดมีร่องรอยที่ผู้ต้องขังทางการเมืองที่เข้ามาก่อนหน้านี้ไปขูดไว้ บ้างเขียน ‘ประยุทธ์ส้นตีน’ หรือ ‘ยกเลิก 112’ 


ที่แดน 4 เพื่อนผู้ต้องขังหลายคนเป็นศิลปิน ขนุนเลยไปขอให้เขาช่วยสอนวาดภาพ การวาดภาพมันเหมือนได้ระบายความรู้สึกเวลาที่พูดไม่ถูกเหมือนกัน บางเรื่องมันเป็นสิ่งที่อยู่ในใจ บางเรื่องไม่สามารถที่จะสื่อสารออกมาเป็นคำพูดได้ แต่พอได้ลงมือวาดภาพ มันเหมือนได้ระบายออกมา


แล้วขนุนก็เปิดให้ทนายดูภาพที่เขาวาดเมื่อคืน เป็นรูปนิ้วมือที่ชี้ไปนอกหน้าต่าง พร้อมมีข้อความกำกับว่า ‘ข้างนอกนั้น มีอิสรภาพใช่ไหม’


สุดท้ายขนุนฝากคำอธิบาย หลังเห็นคอมเมนต์ในข่าวเรื่องศาลยกคำร้องขอประกันของเขาที่ทนายปรินท์มาให้ดู ซึ่งแนะนำให้เขาเสนอเงื่อนไขประกันขอติด EM หรือไม่ออกจากบ้าน “เงื่อนไขประกันตัวที่ยื่นมาโดยตลอดคือ ติด EM อยู่บ้าน 24 ชั่วโมง ไม่กระทำผิดซ้ำ ไม่ออกนอกประเทศ มีอาจารย์รับรอง 3 คน จาก 3 มหาลัย มีบิดามารดาเป็นผู้ปกครอง มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง พร้อมเอาบ้านหรือโฉนดเป็นหลักทรัพย์ประกันเสมอ เคยเสนอไปด้วยซ้ำว่า ให้ไปรายงานตัวที่กรมคุมประพฤติทุก 3-5 วัน ด้วย”


ขนุนกล่าวว่า สำหรับเขาเงื่อนไขขนาดนี้ก็เยอะมาก ๆ แล้ว แต่เขาก็ยอมเพื่อให้ได้อิสรภาพ ไม่อย่างนั้นหน่วยกิตของเขาจะหายไป หรือศาลจะกำหนดมากกว่านี้ก็ยอม แต่กลายเป็นว่าคดีอื่นที่ได้ประกันในชั้นอุทธรณ์หรือฎีกา ศาลแค่ให้วางเงินหลักแสน กับห้ามออกนอกประเทศ หรือห้ามกระทำผิดซ้ำ มันเป็นสิทธิของพวกเขาอยู่แล้วที่ต้องได้ประกัน แต่มันน่าคิดมั้ยว่า คนอื่นที่ต้องโทษจำคุก 2 ปี, 3 ปี, 5 ปี หรือ 9 ปี ในคดีเดียวกัน กลับได้ประกันหมดเลย ศาลเดียวกันด้วย แต่กรณีของเขากลับไม่ได้ประกัน และนี่เป็นสิ่งที่เขาต้องเจอ


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ขนุนสิรภพ #saveขนุน

ธิดา ถาวรเศรษฐ : ปัญหาวุฒิสมาชิกกับการเมืองไทย ปัญหาที่ยาวนานของสังคมไทย เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นว่า ฝั่งระบอบจารีตอำนาจนิยม ไม่ต้องการคืนอำนาจให้กับประชาชน

 


ธิดา ถาวรเศรษฐ : ปัญหาวุฒิสมาชิกกับการเมืองไทย ปัญหาที่ยาวนานของสังคมไทย เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นว่า ฝั่งระบอบจารีตอำนาจนิยม ไม่ต้องการคืนอำนาจให้กับประชาชน


ถอดเทป Facebook Live อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ

วันศุกร์ที่ 7 มีนาคม 2568

ประเด็น : ปัญหาวุฒิสมาชิกกับการเมืองไทย


สวัสดีค่ะ ในช่วงนี้น่าจะมีปัญหาหลายเรื่อง ในเรื่องของอุยกูร์ ในเรื่องวุฒิสมาชิก และในเรื่องอภิปรายนายกฯ แต่วันนี้ดิฉันจะพูดในเรื่อง “ปัญหาวุฒิสมาชิกกับการเมืองไทย” เพราะว่ามุมมองของดิฉันอาจจะไม่เหมือนกันกับหลายคน


ในประการแรกก็คือ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ถ้าเป็นแฟนคลับพรรคการเมืองก็จะมองว่านี่เป็นปัญหาการช่วงชิงอำนาจระหว่าง “พรรคเพื่อไทย” กับ “พรรคค่ายสีน้ำเงิน” หรือเปล่า? ก็คือต้องการทำลายแต้มต่อของพรรคสีน้ำเงิน เพื่อที่จะทำให้พรรคเพื่อไทยมีอำนาจจริง แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่าพรรคเพื่อไทยมองเห็นแล้วว่า อำนาจของตัวเองนั้นก็ยังมีจุดอ่อน และอำนาจต่อรองของพรรคสีน้ำเงินมีมาก อันนี้ดูเป็นปรากฏการณ์


คณะกรรมการคดีพิเศษทั้งหมด 22 ท่าน เข้าร่วมประชุมเพียง 18 ท่าน มติที่ประชุม บางคนก็ออกมาเช่นว่าเป็น 11 ต่อ 4 ต่อ 3 คือเห็นชอบ 11 ราย ที่เป็นเครือข่ายที่ยอมรับการนำของพรรคเพื่อไทยและรัฐบาล แล้วก็มี 4 ราย ที่ไม่เห็นชอบ และงดออกเสียง 3 ราย


แต่สำหรับดิฉัน ไม่ใช่ 11 ต่อ 4 ต่อ 3 แต่เป็น 11 ต่อ 11 เลย ท่านผู้ชมลองดูนะคะ ก็คือ “ลาที่ประชุม” 3 ราย เป็นตำรวจหมดเลย แปลว่าอะไร? นายกฯ ก็เป็นคนที่ดูแลตำรวจโดยตรง ถามว่าเกรงใจมั้ย? ไม่เกรงใจค่ะ!!! งดออกเสียง 3 ราย ก็คือเป็น 11 ต่อ 4 ต่อ 3 ก็แปลว่า 11 ต่อ 7 แต่ดิฉันขอเพิ่มคนที่ลาประชุม 3 คน แล้วก็ออกจากที่ประชุม 1 คนด้วย ดังนั้นแสดงให้เห็นว่าสถานภาพของพรรคเพื่อไทยในรัฐบาล ดังที่เราเคยพูดว่า “คุณจะทำอะไร คุณทำได้ตามที่เขาอนุญาตเท่านั้น” ถ้าเป็นภาษาของ อ.ปิยบุตร ก็จะมองว่าเป็นใบอนุญาตที่ 2


แต่สำหรับดิฉันก็คือว่า ฝั่งจารีตอำนาจนิยมจะควบคุมอยู่ตลอด คุณจะเห็นได้ว่า 11 ต่อ 11 เป็นไปได้ยังไง? แล้วดิฉันอยากจะเรียนว่า สำหรับฝั่งจารีตนะ เขาไม่ได้คำนึงถึงความชอบธรรม ถ้าเขาคำนึงถึงความชอบธรรม เขาจะทำรัฐประหารทำไม? เขาจะเขียนรัฐธรรมนูญแบบนี้ได้ยังไง? ดังนั้นที่มาของวุฒิสมาชิกเหล่านี้ ใคร ๆ ในสังคมก็รู้ว่ามีการแจกเงิน มีการจัดตั้งเป็นระบบ จะเป็นอั้งยี่, ซ่อง ไม่ใช่ซ่องโจรนะ แต่เป็นซ่องสว. หรือเปล่า? เขารู้กันทั้งแผ่นดิน แต่ถามว่ายังมีคนที่ไม่เห็นชอบกรณีที่ดีเอสไอจะทำคดีนี้ แม้จะคู่ขนานกันไปกับกกต. ก็ตาม ก็คือต้องการจะให้อำนาจเต็มกกต. และนับตั้งแต่มีการเลือกตั้งสว. มาจนถึงบัดนี้ ผ่านมาตั้งเกือบ 1 ปีแล้วนะ ผ่านมา 7-8 เดือนแล้วนะ ยังเงียบอยู่เลย ไม่พูดอะไรเลย ทั้ง ๆ ที่ว่าเขารู้กันทั้งประเทศ



ดิฉันอยากจะเรียนว่า สำหรับฝั่งจารีตอำนาจนิยมเขาไม่ได้แคร์ว่าชอบธรรมหรือเปล่า อย่างกกต.ในการเลือกตั้งผู้แทนราษฎร ปี 2562 คำนวณแบบผิดคณิตศาสตร์ ผิดกฎหมาย จนกระทั่งทำให้พรรคของ “บิ๊กตู่” พลังประชารัฐ ซึ่งเขารวมกันอยู่ยังสามารถเป็นรัฐบาลได้ ดังนั้น เรื่องของวุฒิสมาชิกจึงมีคำที่หลุดออกมาว่า “ก็รู้อยู่ว่าเขาวางแผนกัน” ประมาณว่าจะจับได้แค่นี้ อาจจะมีบางคนที่มีโยงใยเรื่องเงินไปถึง แต่ว่ามันมีข้อสรุปได้ว่า เครือข่ายของฝั่งใบอนุญาตที่ 2 แม้กระทั่งคณะกรรมการชุดนี้ ยังมีครึ่งต่อครึ่ง 11 ต่อ 11 แปลว่าคุณจะทำอะไรได้ ต้องทำตามที่เขาอนุญาตเท่านั้น ดิฉันเคยพูดมาแล้ว และมาแม้กระทั่งคุณทักษิณเห็นได้ชัดว่า ทำไมนายกฯ เศรษฐา ถึงต้องออกไป ทำไมการควบคุม แสดงว่า นายกฯ เศรษฐาไปล้ำเส้นแบงค์ชาติ หรือเปล่า?


เพราะฉะนั้น ถ้าดูคนที่ไม่เห็นด้วย บอกได้เลยว่าคนเหล่านี้เป็นตัวแทนหรือว่าอยู่ในขั้วของฝั่งอำนาจจารีตเลย ดิฉันพูดตรง ๆ เช่น ตัวแทนกฤษฎีกา ตัวแทนธนาคารแห่งประเทศไทย ตัวแทนมหาดไทย แล้วก็มีพลตำรวจเอกคนหนึ่ง ผู้ทรงคุณวุฒิ อันนี้ไม่เห็นชอบเลย ชัดเจน งดออกเสียง 3 ราย ก็เป็นปลัดพาณิชย์ อัยการสูงสุด ผู้แทนของปลัดกระทรวงการคลัง แล้วก็ฝั่งตำรวจไม่มาเลย ตำรวจขึ้นต่อนายกฯ นะ พาณิชย์ก็ขึ้นต่อรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทยนะ กระทรวงการคลังก็ขึ้นต่อพรรคเพื่อไทย และยังอัยการสูงสุด อันนี้ใช้วิธีงดออกเสียง


ดิฉันบอกได้เลยว่า ข้าราชการชั้นสูงเป็นข้าราชการที่ยังอยู่ในเครือข่าย ถ้าเป็นภาษาของโรงเรียนการเมืองนปช.ก็คือ อยู่ในเครือข่ายของระบอบอำมาตย์ฯ แล้วก็เขาจะคอยควบคุม โดยเฉพาะกฤษฎีกากับธนาคารแห่งประเทศไทย สองหน่วยงานนี้ดิฉันคิดว่าทำให้เกิดการ “เด้ง” นายกฯ เศรษฐา ไปแล้ว ตอนนี้ก็คือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับระบอบจารีตคงไม่ได้เห็นดีเห็นงามด้วยที่ดีเอสไอจะมากระทำ


แน่นอน ดิฉันไม่ได้เป็นกองเชียร์พรรคการเมือง แต่ดิฉันมองในฐานะของประวัติศาสตร์การต่อสู้ของประชาชนมายาวนาน เพราะฉะนั้น กระทั่งมติคณะนี้ก็ 11 ต่อ 11 แสดงว่าพรรคเพื่อไทยไม่ได้คุมอำนาจจริง แม้นว่าพรรคเพื่อไทยจะต้องเป็นเหมือนกับผู้นำในเครือข่ายพรรคการเมืองของระบอบจารีตอำนาจนิยมก็ตาม แต่ยังอยู่ภายใต้การควบคุม ล้ำเส้นไม่ได้ คุณทักษิณจะไปบางประเทศได้ บางประเทศไม่ได้ ยังไม่รู้คดี 112 จะเป็นยังไง? ยังไม่รู้คดีชั้น 14 จะเป็นยังไง? แต่ว่าไม่อนุญาตให้ไป ชัดเจนแล้ว!!!


เพราะฉะนั้น ดิฉันยังเชื่อมั่นอยู่ว่า ยิ่งคุณพูด “สามก๊ก” มากเท่าไหร่ คุณไม่ได้แสดงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับขั้วฝั่งระบอบอำมาตย์มากเท่าไหร่ คุณยิ่งถูกบีบมากเท่านั้น เตือนให้รู้ด้วย แต่ถ้ายังอยากจะทำอย่างนั้นอยู่ก็ต้องยอมรับผล เพราะว่าเขาคุมคุณอยู่ กฤษฎีกาก็คุมคุณอยู่ ธนาคารแห่งประเทศไทยก็คุมคุณอยู่ แล้วข้าราชการชั้นสูงทั้งหมด และตำรวจด้วย ดิฉันยังไม่ได้พูดถึงทหาร เพราะว่าประเด็นนี้ไปไม่ถึง แต่ถ้าพิจารณาจริง ๆ แล้วมันเกี่ยวข้องกับความมั่นคง นั่นก็คือสามารถใช้ระบบอั้งยี่ซ่องโจรในการจัดตั้ง แล้วซื้อคะแนน จ้างให้คนไปลงคะแนนได้ จริง ๆ มันเป็นปัญหาความมั่นคงด้วย แต่ว่าเขาไม่แยแส เพราะอะไร? ยังไงก็วุฒิสมาชิกพวกนี้เป็นสายสีน้ำเงิน


คือในอดีตวุฒิสมาชิกจะเป็นขุนนาง-ขุนศึก และส่วนมากจะถูกแต่งตั้งจากการทำรัฐประหารทั้งนั้น ออกมาในรูปสภานิติบัญญัติ หรือวุฒิสมาชิกในรัฐธรรมนูญต่าง ๆ เพิ่งจะมีตอนปี 2540 นี่แหละที่ว่าให้มีวุฒิสมาชิกมาจากการเลือกตั้งโดยตรง ก็มีปัญหาทันที รัฐธรรมนูญจากรัฐประหารปี 2549 ก็ทำให้วุฒิสมาชิกเลือกตั้งครึ่งหนึ่งแต่งตั้งครึ่งหนึ่ง (คือหน้ายังบางนิดหนึ่ง)


ปัญหาวุฒิสมาชิกกับการเมืองไทยในทัศนะดิฉันมันจึงเลยปัญหาการแย่งอำนาจระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคภูมิใจไทย ค่ายสีน้ำเงิน ดิฉันไม่ได้สนใจในแง่นั้น แต่ว่าแน่นอน ดิฉันก็ต้องการที่จะเปิดโปงกลเกมต่าง ๆ ที่มันเกิดขึ้น เพื่อที่จะให้ฝั่งระบอบอำมาตย์ฯ ได้เข้าใจว่า คุณพยายามยังไงก็ตาม คุณแก้ไขรัฐธรรมนูญ คือจริง ๆ ปัญหามันมาตั้งแต่ 2475 คือสมาชิกประเภทที่ 2 มีความขัดแย้งกับในหลวง ร.7 ซึ่งพระองค์ท่านไม่พอพระทัยว่า คณะราษฎรแต่งตั้งพรรคพวกมาในยุคนั้น และหลังจากนั้นเป็นต้นมา คณะราษฎรยังมีอำนาจอยู่ พอ 2489 ตามกำหนด ซึ่งมันเลยมาแล้วนะ สัญญาว่าสมาชิกประเภทที่ 2 จะต้องไม่มี ก็เกิด “พฤฒสภา” ก็คือวุฒิสภานั่นแหละที่มาจากการเลือกตั้งทางอ้อม นี่คือ 2489 ใช้ไปไม่กี่เดือน เกิดรัฐประหาร 2490 นับจากนั้นมา 2490, 2492, 2511, 2519, 2534 ก็มีอันนี้ (โชว์อินโฟกราฟฟิก สว.ลากตั้งกับรัฐประหารไทย) ที่แสดงให้เห็นว่าทหารได้เข้ามาจัดการกับ สว. ก็คือทำให้เป็นหนึ่ง ก็คือล้มเลิกสภาผู้แทนชุดเดิม ตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติใหม่ หรือสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือตั้งวุฒิสมาชิก


ขอบคุณภาพจาก ประชาไท

เพราะฉะนั้น คำว่าวุฒิสมาชิกมันเริ่มที่ 2490 แต่คำว่า พฤฒสภา มันอยู่ที่ 2489 มาจากการเลือกตั้ง แล้วคำว่า สมาชิกประเภทที่ 2 มีตั้งแต่ 2475 ดังนั้นมันยาวนาน ก็คือถ้าเป็นในยุคจอมพลสฤษดิ์ เป็นสภาร่างรัฐธรรมนูญเลย ยาวนานเลย 2550 หน้าบางหน่อย ให้เลือกครึ่งหนึ่ง แต่งตั้งครึ่งหนึ่ง ความพยายามที่จะไม่คืนอำนาจให้กับประชาชน ยอมได้แต่เพียงให้มีการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎร แต่ต้องการวุฒิสภาที่มาคานอำนาจ แปลว่าไม่ต้องการให้สภานิติบัญญัติมาจัดการเลือกตั้งโดยตรงทั้งหมด แม้นว่าวุฒิสมาชิกจะมีการกำหนดวุฒิ คุณวุฒิ วัยวุฒิหรืออะไรก็ตาม แต่ว่าผลจากการเลือกตั้งปี 2540 หรือแม้กระทั่งปี 2550 ก็ไม่เป็นที่พอใจของฝั่งจารีต


ดังนั้นดิฉันถึงได้อยากจะบอกว่าปัญหาวุฒิสมาชิก เป็นปัญหาที่ฝั่งจารีตพยายามจะหาทางแก้ว่า ทำยังไงจะอยู่ในมือ จนกระทั่งมือดีที่สุดที่เป็นผู้เขียนกฎหมายร่างรัฐธรรมนูญของฝั่งจารีต ซึ่งเขียนมาตั้งแต่ 2534 ที่มีการเขียนให้แต่งตั้ง 270 คน คุณมีชัย ฤชุพันธุ? แล้วก็มาเขียนอีกทีตอน 2560 ตอนปี 2540 ไม่ได้นะ เพราะว่าเขาเขียนรัฐธรรมนูญให้กับทหาร จนกระทั่งเกิดการต่อสู้ปี 2535 แล้วก็เกิดรัฐธรรมนูญ 2540


รัฐธรรมนูญ 2540 ก็แก้ปัญหาตัวนี้โดยให้มีการเลือกตั้ง แต่ยกระดับคุณวุฒิ วัยวุฒิ อะไรต่าง ๆ ขึ้นมา แล้วรัฐธรรมนูญ 2540 ให้อำนาจวุฒิสมาชิกในการเลือกองค์กรอิสระ ทำให้องค์กรอิสระมีอำนาจมาควบคุมนักการเมืองอีกที ไอ้ตรงมีองค์กรอิสระมาควบคุมนักการเมืองจากการเลือกตั้งนี่ถูกใจฝั่งจารีตอำนาจนิยมมาก แต่วุฒิสมาชิกมาจากการเลือกตั้งนี่ไม่ถูกใจเลย เพราะฉะนั้น จากวัดครึ่งกรรมการครึ่งมาจนปี 2560 นั้น มันเป็นเรื่องยืดยาว ต้องการแก้ปัญหาวุฒิสมาชิกจนกระทั่งให้วุฒิสมาชิกสามารถเลือกนายกฯ ได้ แล้วในบทเฉพาะกาลนั้นมีอายุถึง 5 ปี ท่านผู้ชมลองคิดดูว่าเขาอุตสาหะแค่ไหน? ทำรัฐประหารก็แล้ว เขียนรัฐธรรมนูญ หาวิธีโน้น วิธีนี้ เพื่อที่จะมาคานอำนาจที่ได้มาจากประชาชน แต่ปรากฎว่ามันไม่เป็นผล มาเที่ยวนี้มันตลกคือวุฒิสมาชิกไม่ใช่ขุนศึกขุนนางแบบเดิมที่มาจากการแต่งตั้ง แต่มาจากการจัดตั้งของพรรคการเมืองที่ต้องการแสดงตัวว่าเป็นฝั่งจารีตอำนาจนิยมสุด ๆ


ดังนั้น ไพร่พลของพรรคนี้ที่เข้ามาเป็นวุฒิสมาชิก ก็ต้องมีการวางแผน กกต.ก็บอกเอง “เขาวางแผนมาก่อนแล้ว” เพราะว่าอุตส่าห์เขียนรัฐธรรมนูญ ถ้าเลือกตั้งก็กลัวว่าจะกลายเป็นอิทธิพลของพรรคการเมืองแบบปี 2540 เพราะฉะนั้นไม่รู้จะไปทางไหน ดิฉันบอกได้เลยว่าในโลกนี้ไม่มีใครเขาเลือกวุฒิสมาชิกแบบนี้ ส่วนมากวุฒิสมาชิกเขาจะไม่มีแล้ว ที่มีก็คือมันมีประวัติศาสตร์ของมัน เช่น สภาขุนนางของอังกฤษที่มีประวัติศาสตร์ในการต่อสู้เพื่อที่จะเอาอำนาจของกษัตริย์มาอยู่ทั้งในมือขุนนางและในมือของประชาชน เขามีส่วนในการต่อสู้ ไม่เช่นนั้นก็เป็นการปกครองแบบของสหรัฐอเมริกา ซึ่งก็มีวุฒิสมาชิกเป็นตัวแทนของแต่ละรัฐไปอีกแบบหนึ่ง แต่ว่าจริง ๆ แล้ววุฒิสมาชิกในประเทศอื่น ๆ เป็นส่วนมาก เขาแทบไม่มีแล้วก็ยกเลิกไป เพราะว่าใช้ผู้แทนราษฎร ถ้าคิดว่าประชาชนเท่าเทียมกันก็เลือกตั้งผู้แทนราษฎร ก็มีสภาเดียว แต่หลายสภานั้นเป็นประวัติศาสตร์


แต่ประวัติศาสตร์ของเราไม่น่าชื่นชมเลย เหตุผลเพราะว่าประวัติศาสตร์ของเรามันเป็นประวัติศาสตร์ของการทำรัฐประหาร แล้วมีสภานิติบัญญัติและวุฒิสมาชิกมาจากการแต่งตั้งตลอด แล้วเมื่อครองอำนาจอยู่ แม้กระทั่งเกิน 10 ปี ก็ยังไม่ยอม เพราะฉะนั้นเราจึงได้วุฒิสมาชิกแบบนี้ คำถามก็คือเขารู้กันทั้งสังคม รู้กันทั้งโลก “กกต.” คุณไม่รู้สึกอายหรือ? หรือฝั่งจารีตคนที่ไม่ยินดีในการให้สืบสวนสอบสวน อ้างว่าจะไปขัดแย้งกับกกต. คำถามว่า แล้วคุณทำไมไม่ไปเร่งรัดกกต. กกต.ก็สามารถประสานกับดีเอสไอ แล้วเวลาผ่านไปจนเกือบปีแล้ว และก็ดังที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมพูดว่าถ้าเลย 1 ปี ก็เท่ากับคุณนิรโทษกรรมให้พวกเขาทั้งหมด



แต่ว่าท่วงทำนองของ “กกต.” มาจนถึงบัดนี้ คือจริง ๆ มันต้องทันทีตั้งแต่วันแรกแล้ว เพราะมีคนฟ้องร้องเป็นจำนวนมาก แต่ว่าท่วงทำนองนั้นเป็นท่วงทำนองที่เหมือน “ถ่วงเวลา” แปลว่าอะไร? แปลว่าก็โอเคนะ เดี๋ยวเขาก็จะมาเลือกกกต.เอง ก็คือ อัฐยายซื้อขนมยาย คือถึงแม้ว่าจะน่าเกลียด ไม่ใช่วุฒิสภาของผู้ทรงคุณวุฒิตามแบบเดิม แต่ก็ช่างหัวมันเถอะ ขอให้ได้เป้าหมายก็คือ 1) เขาสามารถเลือกองค์กรอิสระของฝั่งจารีตได้ 2) ยกตัวอย่างเช่นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรืออะไรก็ตามที่ประชาชนฝ่ายก้าวหน้าต้องการ วุฒิสมาชิกก็ไม่เอา ครั้งที่แล้วเรื่องลงมติเราก็เห็นชัด


เพราะฉะนั้นบัดนี้ดิฉันอยากจะเรียนว่า มันชัดเจนยิ่งกว่าชัดเจนว่า พรรคเพื่อไทย คุณเดินไปในสิ่งที่คุณคิดว่าดีที่สุด ดิฉันเองไม่ได้ไปด่าว่าหรือโจมตีนะ เพราะว่าดิฉันรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับพรรคเพื่อไทยอีก ทั้งความนิยมของประชาชนและความคาดหวังของพรรคเพื่อไทยที่คิดว่าจะสามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ คุณก็ทำพายุหมุนเศรษฐกิจไม่ได้จนถึงเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นเขาจะอนุญาตให้คุณทำตามที่เขาคิดว่าพอเป็นไปได้เท่านั้น แล้วยังมีตัวจำนำหรือผู้ที่อยู่ในมือ บีบก็ตายคลายก็รอดอยู่


ในทัศนะดิฉัน อยากจะฝากประชาชนไทยว่า ให้มองเรื่องปัญหาวุฒิสมาชิกและกรณีที่มีความขัดแย้งในขั้วรัฐบาลเดียวกัน แสดงให้เห็นว่าอำนาจของฝั่งจารีตอำนาจนิยมยังกล้าแข็งมาก และแสดงออกเป็นชื่อเลย อย่างกรณีที่ไม่เห็นด้วยในโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาล ไม่ได้แปลว่าโครงการของรัฐบาลจะดี แต่อย่างน้อยที่สุดก็คือมันอยู่ในความควบคุม ถ้าฉันไม่เห็นด้วย คุณทำไม่ได้!!! ประมาณนี้


เพราะฉะนั้น กองเชียร์ทั้งหลายและฝ่ายที่มองเห็นแต่เรื่องของการต่อสู้ของพรรคการเมือง มองไม่เห็นการต่อสู้ของประชาชน ดิฉันอยากจะฝากว่า ปัญหาวุฒิสมาชิกเป็นปัญหาที่ยาวนานของสังคมไทย และมันเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นว่า ฝั่งระบอบจารีตนิยม อำมาตย์ฯ อำนาจนิยม ไม่ต้องการคืนอำนาจให้กับประชาชน แม้นว่าผลจะน่าเกลียด วิธีการจะไม่ชอบธรรมอย่างไรก็ตาม ในส่วนของประชาชนที่เป็นนักต่อสู้ก็จำเป็นต้องเปิดโปง สนับสนุนให้เปิดโปง และแสดงให้เห็นว่าวุฒิสมาชิกของฝ่ายจารีตอำนาจนิยมนั้น คุณดิ้นจนคุณหมดทางแล้ว ดิฉันอยากจะรู้ว่าถ้าคุณไม่ทำวิธีนี้แล้วคุณจะทำวิธีไหน? แล้วคุณยังจะมีหน้ามีวุฒิสมาชิกของคุณไว้ทำไม คุณก็ทำให้พรรคการเมืองของคุณเก่งซิ ฝั่งอำมาตย์ฯ นั่นน่ะ แต่พรรคประชาธิปัตย์ ขออภัย! มันเรียบร้อยไปแล้ว คุณมีหน้าที่อย่างเดียวคือทำให้เก่งเหมือนพรรค conservative ของอังกฤษ และให้ประชาชนเลือก อย่าใช้วิธีสกปรก เพราะว่าวิธีที่คุณทำอย่างนี้ คุณรู้หรือเปล่า? คุณไปเพิ่มคะแนนให้กับพรรคของฝ่ายที่ก้าวหน้านะ แม้ว่าคุณขัดแย้งกันนะ แต่นี่เป็นการเพิ่มคะแนน เพราะว่าแสดงให้เห็นว่าคุณยังไม่ยอมคืนอำนาจให้กับประชาชน คุณกลัวประชาชน ยิ่งคุณกลัว ประชาชนจะยิ่งกล้าค่ะ!!!


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ธิดาถาวรเศรษฐ #สว #วุฒิสมาชิก #การเมืองไทย


ปชน.ร่วมเครือข่ายแรงงาน-สตรี จัดเสวนาเนื่องในวันสตรีสากล ย้อนประวัติศาสตร์การต่อสู้แรงงานหญิงจนได้กฎหมายแรงงาน-สิทธิลาคลอด 90 วัน ร่วมสะท้อนปัญหาแรงงานหญิงทั้งในระบบ-นอกระบบ-แรงงานอิสระ

 


ปชน.ร่วมเครือข่ายแรงงาน-สตรี จัดเสวนาเนื่องในวันสตรีสากล ย้อนประวัติศาสตร์การต่อสู้แรงงานหญิงจนได้กฎหมายแรงงาน-สิทธิลาคลอด 90 วัน ร่วมสะท้อนปัญหาแรงงานหญิงทั้งในระบบ-นอกระบบ-แรงงานอิสระ


วันที่ 8 มีนาคม 2568 ที่อาคารอนาคตใหม่ พรรคประชาชน ร่วมกับเครือข่ายภาคประชาสังคมด้านสตรีและแรงงาน จัดงานเสวนาในหัวข้อ “Women Forward: ก้าวข้ามเพื่อความเท่าเทียม” เนื่องในโอกาสวันสตรีสากล โดยมี ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สส.กรุงเทพฯ พรรคประชาชน, อรุณี ศรีโต อดีตประธานกลุ่มบูรณาการแรงงานสตรี, มาลี เตวิชา ผู้แทนผู้ชุมนุมกลุ่มแรงงานยานภัณฑ์ และ ประภาพร ผลอินทร์ ตัวแทนเครือข่ายไรเดอร์ ร่วมวงเสวนา


โดยในส่วนของอรุณี ได้เล่าถึงประวัติศาสตร์การต่อสู้ของขบวนการแรงงานและสตรีในประเทศไทย ตั้งแต่สมัยที่ตนเป็นคนงานในยุคแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ ฉบับแรกๆ เป็นยุคที่โรงงานทอผ้ารุ่งเรือง เป็นสินค้านำเข้าที่พัฒนาเศรษฐกิจประเทศไทยมหาศาล ในเวลานั้นค่าแรงอยู่แค่วันละ 10 บาท บางที่ก็ 8 บาท ไม่มีกฎหมายเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำ แล้วแต่นายจ้างว่าจะขึ้นค่าแรงให้หรือไม่ ในโรงงานที่ตนทำคนงาน 80% เป็นแรงงานหญิง และยังเต็มไปด้วยการเลือกปฏิบัติและความเหลื่อมล้ำที่สูงมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าจ้างหรือการจ่ายโบนัส ผู้หญิงได้น้อยกว่าผู้ชาย


จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 การต่อสู้ในโรงงานไม่ว่าจะเป็นการนัดหยุดงาน รวมถึงการต่อรองหรือกดดันนายจ้างก็เกิดขึ้นอย่างแพร่หลาย จากที่ก่อนหน้านั้นไม่สามารถทำได้ จนกระทั่งมีกฎหมายแรงงานปี 2518 เกิดขึ้น มีกฎหมายค่าจ้างขั้นต่ำ คนงานใช้สิทธิแรงงานนัดหยุดงานได้ เจรจาต่อรองค่าแรงได้ แม้ความเหลื่อมล้ำระหว่างเพศจะยังคงดำรงอยู่ ในสหภาพแรงงานมีแกนนำทั้งหมดเป็นผู้ชาย แต่หลังจากนั้นผู้นำแรงงานหญิงก็ใช้การต่อสู้เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่า ผู้หญิงก็เป็นผู้นำในขบวนการแรงงานและองค์กรอื่นๆ ได้


อรุณีกล่าวต่อไปว่า ที่สำคัญคือการต่อสู้เพื่อเรียกร้องกฎหมายลาคลอด 90 วันที่มีการรณรงค์มาตั้งแต่ปี 2535 สมัยนั้นคนงานราชการลาคลอดได้ 60 วันโดยได้รับค่าจ้างทั้ง 60 วัน ขณะที่คนงานในระบบอื่นๆ แม้จะได้สิทธิหยุด 60 วันตามกฎหมาย แต่จะได้รับค่าจ้างแค่เดือนเดียว และเนื่องจากค่าจ้างของคนงานได้รับน้อยอยู่แล้ว จึงทำให้ไม่สามารถลาหยุดได้ถึง 60 วันจริง คนงานจึงเริ่มรณรงค์ ล็อบบี้ ชุมนุมกดดัน จนภาคส่วนต่างๆ ของสังคมต่างก็ร่วมสนับสนุน จากกระแสที่เกิดขึ้นรัฐบาลจึงยอมออกกฎหมายลาคลอด 90 วันในวันแรงงานปี 2536 ซึ่งหากแรงงานไม่เริ่มต้นจากการกดดันและชุมนุมอย่างต่อเนื่อง การลาคลอด 90 วันก็อาจจะไม่ถูกพูดถึงโดยฝ่ายการเมืองเลย


ในส่วนของประภาพรระบุว่า ที่ผ่านมาตนพยายามขับเคลื่อนสิทธิของแรงงานขับรถจักรยานยนต์บริการรับส่งอาหาร หรือ “ไรเดอร์” มาโดยตลอด โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพ ซึ่งเกิดขึ้นจากการทำงานที่ต้องวิ่งรถบนท้องถนน ต้องเผชิญกับสภาพฝุ่นควันต่างๆ แต่ก็จำเป็นต้องทำ บางครั้งทำงานหนักจนไม่ได้ดูแลสุขภาพ สมัยที่ค่ารอบยังดีถึง 60 บาทต่อรอบก็พออยู่กันได้ แต่ตอนนี้ลดน้อยลงเหลือ 10-15 บาทต่อรอบ ไรเดอร์ต้องวิ่งให้ได้รอบมากขึ้น ถ้าไม่ได้ตามรอบก็ต้องอยู่จนดึกขึ้น จากการพักผ่อนน้อยและความเครียดจึงทำให้สุขภาพของไรเดอร์แย่ลง


ซึ่งปัญหานี้ ไรเดอร์ที่เป็นเพศหญิงและเป็นแม่ โดยเฉพาะแม่เลี้ยงเดี่ยวจะยิ่งส่งผลกระทบหนัก หลายคนต้องเอาลูกมาทำงานด้วย จะนำไปฝากสถานเลี้ยงเด็กก็ต้องมีค่าใช้จ่าย ค่าครองชีพสูงขึ้นแต่ค่าตอบแทนน้อยลงก็ต้องลำบาก คนที่มีคู่พอช่วยกันได้ แต่แม่เลี้ยงเดี่ยวลำบากและน่าเห็นใจเป็นอย่างมาก


ประภาพรกล่าวต่อไปว่า ไม่มีไรเดอร์คนไหนอยากให้ชีวิตเป็นแบบนี้ แต่ปัญหาก็คือสถานะของไรเดอร์ในปัจจุบันไม่มี พ.ร.บ. ใดมาคุ้มครองดูแล ไม่มีการควบคุมให้แพลตฟอร์มต้องดูแลสิทธิของแรงงานไรเดอร์ ทำจนตายก็ตายไป แต่ก็ต้องเสี่ยงทำมาหากิน ถ้าไม่มีกฎหมายคุ้มครองก็ไม่มีอะไรมาดูแลรับประกันไรเดอร์ได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย


ในส่วนของมาลี ซึ่งอยู่ในกลุ่มคนงานบริษัทยานภัณฑ์ ที่ถูกเลิกจ้างโดยนายจ้างไม่ได้จ่ายค่าชดเชยตามกฎหมาย ระบุว่าในเวลานี้พนักงานทั้ง 859 คนที่ถูกเลิกจ้าง มีทั้งคนท้องและคนพิการที่ออกมาเรียกร้องสิทธิของตัวเอง ชุมนุมกินนอนข้างถนนหน้าบริษัทมาได้ 2 เดือนแล้ว และยังถูกนายจ้างฟ้องร้องว่าขัดขวางไม่ให้เข้าออกสถานที่ ผู้หญิงมีแรงต่อสู้ ไม่เคยยอมแพ้ย่อท้อในอุปสรรคที่เจอ การเรียกร้องสิทธิของผู้หญิง แม้วันนี้จะยังไม่ได้รับสิทธิ แต่ก็จะยืนหยัดต่อสู้จนกว่าจะได้รับสิทธิ


ที่สำคัญคือตนอยากเห็นกฎหมายที่มีอยู่บังคับใช้ได้จริง ให้นายจ้างนำเงินชดเชยมาจ่ายให้ลูกจ้างเมื่อถูกเลิกจ้างทันที แม้ปัจจุบันจะมีกฎหมายอยู่แล้วแต่วันนี้ยังมองไม่เห็นผล ถ้าจ่ายทันทีพวกตนคงไม่ต้องมานั่งประท้วงแบบทุกวันนี้


ในส่วนของศศินันท์ระบุว่า จากประสบการณ์ตรงของตนในฐานะนักการเมืองหญิง ที่มีอายุน้อยด้วย ยิ่งต้องใช้พลังในการพูดคุยและต่อสู้เรื่องต่างๆ เหมือนกัน เช่น พ.ร.บ. แรงงานของพรรคประชาชนที่ถูกคว่ำไปในครั้งแรก แม้จะเป็นกฎหมายที่ดีมาก แต่ลับหลังที่ตนได้ฟังมาจาก สส. พรรคอื่น เวลาคุยกันไม่ได้มองว่ากฎหมายเป็นประโยชน์กับประชาชน แต่มองในมุมแค่ว่ากฎหมายนี้จะทำให้พวกเขาที่หลายคนมีฐานะนายจ้างด้วยลำบากขึ้น


โดยเฉพาะในประเด็นเกี่ยวกับการลาคลอด 180 วัน ข้อกังวลส่วนใหญ่มองแค่ว่าถ้าให้ลาคลอดได้มากแล้วใครจะมาทำงาน หรือจะเอาเงินที่ไหนมาจ่าย ซึ่งเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันจบตั้งแต่เมื่อครั้งรณรงค์ให้มีการลาคลอดได้ 90 วันแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่ผู้หญิง 100 คนจะคลอดพร้อมกันทั้ง 100 คน และไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนอยากท้องเพราะอยากลาคลอด การลาคลอดเป็นเรื่องพื้นฐาน และเป็นสิ่งที่เราขอไม่ได้เยอะเลย แค่ 3-6 เดือน ถ้ามีลูกจริงๆ จะรู้ว่าการลาคลอด 3 เดือนไม่ใช่การลาคลอดด้วยซ้ำ แต่เป็นการลาเพื่อให้ระบบร่างกายของแม่กลับฟื้นเป็นปกติ 3 เดือนหลังจากนั้นถึงจะเป็นช่วงที่แม่จะได้เริ่มให้นมลูกได้อย่างเต็มที่จริงๆ การลาคลอด 6 เดือนจึงไม่ได้มากเกินไปกว่าที่รัฐจะให้ได้เลย

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #วันสตรีสากล #สตรีสากล #พรรคประชาชน