วันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2568

ผลประชุม RBC “กัมพูชา” รับ ร่วมมือกำจัดทุ่นระเบิด-แก้ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ-ตั้งชุดประสานงานร่วม ปัดปัญหา MOU43

 


ผลประชุม RBC “กัมพูชา” รับ ร่วมมือกำจัดทุ่นระเบิด-แก้ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ-ตั้งชุดประสานงานร่วม ปัดปัญหา MOU43


วันที่ 22 สิงหาคม 2568 ที่ สโมสรสรนายทหาร มณฑลทหารบกที่ 19 พลโท อมฤต บุญสุยา แม่ทัพภาคที่ นำแถลงสรุปผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาคไทย-กัมพูชา (RBC) ในระดับแม่ทัพ ฝั่งกองทัพภาคที่ 1 โดยทั้ง 2 ฝ่าย ตกลงด้วยดี ตอบรับ 13 ข้อตกลงหยุดยิง จากการประชุม GBC ที่ผ่านมา นอกจากนี้ที่ประชุมได้เห็นชอบเพิ่มเติม 3 ประเด็น จากที่ไทยเสนอ 4 ประเด็น ดังนี้


1. ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกัน ดำเนินการร่วมมือกำจัดทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมโดยพิจารณาให้หารือร่วมกันในการประชุม GBC ครั้งต่อไป


2. ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกัน ร่วมมือประสานงานกันแก้ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยให้ใช้เวทีมหาดไทยกัมพูชา หารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทย และเห็นควรให้เสนอหารือร่วมกัน GBC ครั้งต่อไป


3. ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบ ให้มีกลไกแก้ปัญหา ด้วยการจัดตั้งชุดประสานงาน Coordination Group (CG) และคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น เพื่อเป็นกลไกรองรับคณะ RBC ในการแก้ไขปัญหาระดับพื้นที่


ส่วนข้อที่ 4 ในการแก้ไขปัญหาการละเมิด MOU43 ฝ่ายกัมพูชาขอให้ใช้กลไกอื่นในการหารือ เพราะไม่ได้อยู่ในอำนาจของ RBC โดยฝ่ายไทยยืนยันเสนอให้ฝ่ายกัมพูชาได้ทราบว่าเป็นพื้นที่ที่สำคัญ และได้แจ้งเจตนารมณ์ที่ชัดเจนของฝ่ายไทยในการแก้ไขปัญหา ทั้งนี้ แม่ทัพภาคที่ ย้ำว่า เรื่องนี้กัมพูชาขอไปใช้กลไก JBC หรือคณะกรรมาธิการร่วมเขตแดนไทยกัมพูชาแทน แต่อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ก็ต้องเสนอผ่านกลไก GBC


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #RBC #ชายแดนไทยกัมพูชา 

“เชตวัน” เผยคืบหน้า “เปลี่ยนสนามกอล์ฟเป็นสวนสาธารณะ” ทอ.เตรียมจัดให้ “บางส่วน” แบบใช้ร่วมกัน


เชตวัน” เผยคืบหน้า “เปลี่ยนสนามกอล์ฟเป็นสวนสาธารณะ” ทอ.เตรียมจัดให้ “บางส่วน” แบบใช้ร่วมกัน


วันที่ 22 สิงหาคม 2568 เชตวัน เตือประโคน สส.ปทุมธานี เขต 6 พรรคประชาชน ในฐานะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการถ่ายโอนธุรกิจของกองทัพไปอยู่ในความดูแลของหน่วยงานอื่น หรือย้ายไปอยู่ในสถานที่เหมาะสม ระบุว่า หลายคนอาจถามถึงสิ่งที่ตนเคยพูดเรื่องข้อเสนอ เปลี่ยนสนามกอล์ฟธูปะเตมีย์เป็นสวนสาธารณะให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ วันนี้แม้อาจจะไม่ได้อย่างที่ตั้งใจไว้ แต่เราก็จะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงในการใช้ประโยชน์ที่ดินของกองทัพ โดย คณะกรรมการพัฒนาพื้นที่สีเขียวและสวนสุขภาพ กองทัพอากาศ ก็ได้นำเสนอแนวทางปรับปรุงสนามกอล์ฟธูปะเตมีย์ให้เป็นแบบ Mixed-use หรือให้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน


เชตวัน เปิดเผยว่า ในการประชุมของกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณาศึกษาแนวทางการถ่ายโอนธุรกิจกองทัพฯ ทางตัวแทนจากกองทัพอากาศก็ได้นำเสนอ “แบบ” ออกมาให้เห็นแล้ว โดยมีพื้นที่ 3 จุดดังภาพ ที่กองทัพอากาศในฐานะเจ้าภาพ จะเข้าไปเปลี่ยนแปลง


จุดที่หนึ่ง ข้างวัดลาดสนุ่น หัวมุมด้านทิศเหนือซึ่งเป็นจุดที่ใช้วางเครื่องจักรและบ้านพักเจ้าหน้าที่ มีการกันที่ดินเพื่อทำเป็นสวนสุขภาพ มีทางเดิน-วิ่ง มีลานจอดรถที่สามารถรับผู้ใช้บริการได้มากถึง 50 คน นอกจากนี้ ที่น่าสนใจคือมี “สนามฟุตซอล” ให้กับน้องๆ เยาวชนด้วย


จุดที่สอง หลังสนามธูปะเตมีย์ติดกับกรมทหารฯ เชื่อมต่อมาทางแนวรั้วด้านถนนลำลูกกา ข้างๆ ปั๊มน้ำมันสวัสดิการกองทัพอากาศ ตรงนี้ก็เป็นอีกจุดที่เป็นสวนสุขภาพ


จุดที่สาม พื้นที่ด้านข้างสนามกอล์ฟ ตามแนวรั้วของถนนลำลูกกาซอย 1 จะมีการปรับปรุงทางเดิน-วิ่ง เลนจักรยาน เลียบไปตามแนวรั้วจนเชื่อมกับจุดที่หนึ่ง รวมระยะทางประมาณ 1.2 กิโลเมตร


นี่คือโครงการที่กองทัพอากาศจะเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับพี่น้องประชาชน ชาวคูคต -ลำสามแก้ว-ลาดสวาย อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ตลอดจนประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงในอนาคตอันใกล้นี้ จึงรายงานมาให้พี่น้องประชาชนได้รับทราบความเคลื่อนไหว ขอบคุณกองทัพอากาศที่เห็นถึงความสำคัญในข้อเสนอของตน รวมถึงก่อนหน้านี้ที่ได้มีการสร้างลานออกกำลังกาย ลานเปตองให้กับประชาชนในพื้นที่“ เชตวัน ระบุ


ทั้งนี้ เชตวันคือหนึ่งในผู้เสนอญัตติการขอใช้ที่ดินราชพัสดุสนามกอล์ฟธูปะเตมีย์ ในความครอบครองของกองทัพอากาศ เพื่อใช้เป็นสวนสาธารณะในการดูแลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน และต่อมามีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการถ่ายโอนธุรกิจของกองทัพฯ ซึ่งขณะนี้อยู่ในช่วงการจัดทำรายงานผลการศึกษา เตรียมเสนอต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรต่อไป

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน

ศาลอาญาเปิดเหตุผลศาลยกฟ้องทักษิณ ชี้ไม่ได้กล่าวถึงสถาบันฯ พยานหลักฐานของโจทก์ไม่สมกับภาระการพิสูจน์


ศาลอาญาเปิดเหตุผลศาลยกฟ้องทักษิณ ชี้ไม่ได้กล่าวถึงสถาบันฯ พยานหลักฐานของโจทก์ไม่สมกับภาระการพิสูจน์


วันนี้ (22 สิงหาคม 2568) เวลา 10.00 น. ศาลอาญา นัดฟังคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อ.1860/2567 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญา 8 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำเลยความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ กรณีกล่าวหาจำเลยให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนที่ประเทศเกาหลีได้ เมื่อปี พ.ศ.2558 อันมีลักษณะพาดพิงสถาบัน ชั้นพิจารณาจำเลยให้การปฏิเสธ และยื่นขอปล่อยตัวชั่วคราว ศาลอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวโดยกำหนดเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักรเว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาล


ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์และจำเลยแล้ว เห็นว่า สำหรับความผิดฐานร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ เห็นควรวินิจฉัยก่อนว่า จำเลยเป็นผู้ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวตามคลิปวิดีโอ โดยมีเนื้อหาของข้อความตามคำฟ้องหรือไม่


โจทก์มีพยานซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจและพยานปากนายอนันต์ เหล่าเลิศวรกุล มาเบิกความยืนยันว่าดูคลิปวิดีโอ แล้วเห็นว่าเป็นการกล่าวถ้อยคำให้สัมภาษณ์จำเลยจริง แม้โจทก์ไม่มีคลิปให้สัมภาษณ์ของจำเลยฉบับเต็มมาเป็นหลักฐาน


แต่เมื่อพยานโจทก์ต่างยืนยันว่าคลิปวิดีโอเป็นคลิปให้สัมภาษณ์ของจำเลยบางช่วงบางตอน และพยานโจทก์เห็นว่าสามารถนำมาใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีได้ ส่วนที่จำเลยอ้างว่าเป็นการตัดต่อคลิปวิดีโอ ไม่ปรากฏว่าเป็นการตัดต่อในส่วนใดและส่วนไหนไม่ถูกต้องหรือไม่ตรงกับความจริง จึงเป็นการกล่าวอ้างโดยไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือได้มาสนับสนุนหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ ประกอบกับจำเลยยังเบิกความตอบโจทก์ถามค้านรับว่า บุคคลและเสียงในคลิปวิดีโอ เป็นจำเลย พยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนักรับฟังได้ว่า จำเลยให้สัมภาษณ์นักข่าวที่สาธารณรัฐเกาหลี ตามคลิปวิดีโอโดยมีเนื้อหาของข้อความตามคำฟ้อง ไม่ได้เป็นการตัดต่อหรือเสริมแต่งเพื่อใส่ความให้ร้ายจำเลย


ส่วนของข้อความที่จำเลยให้สัมภาษณ์ตามฟ้องนั้นเป็นการพูดหรือแสดงหรือพาดพิงหรือทำให้เข้าใจได้ว่าเป็นการกล่าวถึง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 อันมีลักษณะเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อองค์พระมหากษัตริย์หรือไม่


เห็นว่า ข้อความที่จะถือว่าเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทนั้น จะต้องได้ความว่าการใส่ความนั้นระบุถึงตัวบุคคลผู้ถูกใส่ความ หรือเป็นการยืนยันข้อเท็จจริงที่รู้ได้แน่นอนว่าบุคคลที่ถูกใส่ความเป็นใคร หรือหากไม่ระบุถึงผู้ที่ถูกใส่ความโดยตรงการใส่ความนั้นก็ต้องได้ความว่าหมายถึงบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ


ส่วนการดูหมิ่น ต้องพิจารณาว่าถ้อยคำที่กล่าวเป็นการดูถูกเหยียดหยาม หรือสบประมาทผู้ที่ถูกกล่าวถึงขนาดทำให้อับอายหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นก็ถือได้ว่าเป็นการดูหมิ่นแล้ว อีกทั้งความผิดฐานหมิ่นประมาทและดูหมิ่นผู้อื่นด้วยการใช้ข้อความหรือคำพูด ก็ต้องพิจารณาด้วยว่า เมื่อวิญญูชนโดยทั่วไปได้พบเห็น หรือได้อ่านหรือได้ยินข้อความนั้นแล้ว จะส่งผลให้ผู้ถูกกระทำเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชังหรือไม่ เมื่อพิจารณาข้อความหรือถ้อยคำให้สัมภาษณ์ของจำเลยมิได้ใช้คำว่า "พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่9" โดยตรง และไม่ได้ใช้ถ้อยคำสรรพนามที่อ้างถึงบุคคลที่สามโดยมีคำราชาศัพท์หรือถ้อยคำที่สามารถระบุเฉพาะเจาะจงให้เข้าใจได้ว่าหมายถึงพระมหากษัตริย์แต่อย่างใด หากแต่ใช้คำสรรพนามบุรุษที่ 3 ว่า "เขา" เรียกแทนบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือบุคคลอื่นหลายคนรวมกัน และยังมีคำว่า "องคมนตรี" "ทหาร" "Palace Circle" และ "คนในวัง" ล้วนแต่อยู่ในประโยคคำให้สัมภาษณ์ของจำเลย


เห็นว่า พยานโจทก์ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาที่โจทก์นำมาเป็นพยานเพียงปากเดียว กับพยานบุคคลภายนอกที่โจทก์อ้างมา ล้วนแต่เข้าร่วมชุมนุมขับไล่จำเลยทางการเมือง อันส่อแสดงให้เห็นว่าเป็นผู้มีอคติต่อจำเลย จึงมีข้อสงสัยถึงความเป็นกลางและต้องรับฟังด้วยความระมัดระวัง พยานบุคคลดังกล่าวของโจทก์จึงไม่อาจแสดงให้เชื่อได้ว่า วิญญูชนทั่วไปจะตีความข้อความที่จำเลยกล่าวไปในลักษณะที่พยานเหล่านั้นเข้าใจ ส่วนพยานที่เป็นเจ้าพนักงานตำรวจของโจทก์ก็ต้องรับฟังด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากพยานเบิกความตอบคำถามค้านสอดคล้องกันว่า ในระหว่างการดำเนินคดีกับจำเลยนั้น


ความจริงพยานต่างเห็นว่าพยานหลักฐานไม่เพียงพอที่จะสั่งฟ้องจำเลยได้ เพราะคลิปวิดีโอของกลางไม่อาจยืนยันได้ว่าเป็นต้นฉบับ ทั้งไม่สามารถสืบหาบุคคลที่นำคลิปลงเผยแพร่ในระบบคอมพิวเตอร์ ประกอบกับเมื่อพิจารณาเพจแอปพลิเคชันเฟซบุ๊กและเว็บไซต์ยูทูบ ที่นำคลิปวิดีโอให้สัมภาษณ์ของจำเลยมาเผยแพร่ลงในระบบคอมพิวเตอร์


พบว่าบุคคลที่นำมาเผยแพร่ซึ่งเป็นคนที่ได้รับฟังคลิปวิดีโอมาตั้งแต่แรก ล้วนเข้าใจตรงกันว่าจำเลยให้สัมภาษณ์โจมตีการยึดอำนาจและรัฐประหาร โดยพาดพิงถึงนายสุเทพกับนายทหารชั้นผู้ใหญ่ และองคมนตรีเท่านั้น


ไม่ได้เข้าใจว่าถ้อยคำให้สัมภาษณ์นั้นจะพาดพิงหรือสื่อความหมายหรืออ้างว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงอยู่เบื้องหลังการปฏิวัติรัฐประหาร พยานหลักฐานทั้งหมดที่โจทก์นำสืบมา จึงยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังว่า จำเลยกล่าวข้อความตามคำฟ้องโดยเจตนาหมายถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 หรือเมื่อวิญญูชนทั่วไปได้พบเห็นหรืออ่านข้อความที่จำเลยกล่าวแล้วจะเข้าใจได้ว่าหมายถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9


ในขณะที่การสืบพยานหลักฐานของโจทก์ไม่สมกับภาระการพิสูจน์ในคดีอาญาว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมาจึงไม่อาจรับฟังลงโทษจำเลยในความผิดฐานร่วมกันหมิ่นประมาทหรือดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ตามฟ้อง


สำหรับข้อหาร่วมกันแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9 โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องแต่มิได้นำพยานหลักฐานใดๆ มานำสืบเกี่ยวกับข้อหานี้เลย จึงรับฟังไม่ได้


สำหรับความผิดฐานร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรตามประมวลกฎหมายอาญาหรือไม่ เห็นว่า เมื่อพยานหลักฐานโจทก์รับฟังไม่ได้ว่า คำให้สัมภาษณ์ของจำเลยเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ จำเลยจึงไม่มีความผิดในข้อหานี้

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #มาตรา112 #ทักษิณชินวัตร


 

"หวยเกษียณ" ผนึก "TrueMoney – AIS – ShopeePay" ขยายช่องทางซื้อสลาก เปิดบัญชี เช็คยอดออม และตรวจรางวัล

 


"หวยเกษียณ" ผนึก "TrueMoney – AIS – ShopeePay" ขยายช่องทางซื้อสลาก เปิดบัญชี เช็คยอดออม และตรวจรางวัล


วันที่ 22 สิงหาคม 2568 ที่กระทรวงการคลัง กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) จัดแถลงข่าวเปิดตัวความร่วมมือกับ 3 แพลตฟอร์มดิจิทัลชั้นนำของไทย ได้แก่ บริษัท ทรูมันนี่ จำกัด, บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ช้อปปี้เพย์ (ประเทศไทย) จำกัด โดยมี ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน เพื่อยกระดับการออมของคนไทยเข้าสู่โลกดิจิทัลเต็มรูปแบบ พร้อมทำให้การเปิดบัญชีและซื้อ “สลาก กอช.” หรือ “หวยเกษียณ” ผ่านมือถือผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล TrueMoney, myAIS และ ShopeePay เพิ่มเติมจากแอปพลิเคชัน กอช.


ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้ทำให้การออมผ่านการเปิดบัญชีและซื้อ “หวยเกษียณ” ได้อย่างกว้างขวางและเข้าถึงพี่น้องประชาชน ตนยินดีที่วันนี้มีผู้ให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัลมาร่วมขับเคลื่อนภารกิจสำคัญนี้ไปด้วยกัน เพื่อสร้างความมั่นคงยามเกษียณให้กับพี่น้องประชาชน โดยความร่วมมือในวันนี้จะนำไปสู่การพัฒนาให้พี่น้องประชาชนที่ต้องการซื้อหวยเกษียณสามารถเปิดบัญชี ซื้อสลาก เช็คยอดเงิน และตรวจรางวัล ผ่านแอปพลิเคชัน กอช., TrueMoney, myAIS และ ShopeePay ผ่านโทรศัพท์มือถือ ทำให้การออมกลายเป็นเรื่องเข้าถึงง่าย และสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัลในปัจจุบัน โครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจดิจิทัลจะช่วยให้ประชาชนทุกกลุ่มเข้าถึงบริการทางการเงิน ลดความเหลื่อมล้ำ และสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยยุคดิจิทัล ความร่วมมือนี้ยังช่วยให้คนไทยเข้าถึงการออมตั้งแต่วันนี้เพื่ออนาคตที่มั่นคงในยามเกษียณ


นอกจากนั้น ต้นเดือน ก.ย. เราจะเปิดตัวช่องทางการเปิดบัญชีและซื้อ “สลาก กอช.” หรือ “หวยเกษียณ” สำหรับผู้ไม่มีโทรศัพท์มือถือ และสถาบันการเงินที่เข้าร่วมอีกด้วย โปรดรอติดตาม


นายศุภวิทย์ หงส์อมรสิน กรรมการผู้จัดการบริษัท ช้อปปี้เพย์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า“ShopeePay รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ร่วมมือกับ กอช. และพันธมิตรดิจิทัลชั้นนำ เพื่อขยายช่องทางการออมของคนไทยผ่านโครงการสลาก กอช. เราเชื่อว่าการออมควรเป็นเรื่องง่าย เข้าถึงได้ และสอดคล้องกับวิถีชีวิตยุคดิจิทัล


ความร่วมมือนี้จะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถออมเงินได้อย่างมั่นใจ พร้อมทั้งมีโอกาสลุ้นรางวัลใหญ่ทุกสัปดาห์ เรามุ่งมั่นที่จะใช้เทคโนโลยีของ ShopeePay เชื่อมต่อบริการทางการเงินกับผู้คนทุกกลุ่ม เพื่อสร้างโอกาสที่เท่าเทียมและสนับสนุนการออมระยะยาวอย่างยั่งยืน เราเชื่อว่า หวยเกษียณ จะไม่เพียงทำให้การออมสนุกขึ้น แต่ยังเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับคนไทยทุกคน”


นายรัชชานนท์ ชินพัณณ์ หัวหน้าฝ่ายผลิตภัณฑ์การลงทุน บริษัท ทรูมันนี่ จำกัด กล่าวว่า “ทรูมันนี่มีความตั้งใจที่จะเปิดตัว “หวยเกษียณ” ร่วมกับ กอช. ในเฟสแรก โดยจะเปิดให้ลูกค้าสามารถสมัครเปิดบัญชีเพื่อรอซื้อสลากได้ตั้งแต่ช่วงปลายปีนี้ ทั้งนี้ได้ออกแบบ User Journey โดยคำนึงถึงความสะดวกและความรวดเร็วในการสมัครใช้งานเป็นหลัก นอกจากนี้ ทรูมันนี่ยังมีแผนจัดทำ แคมเปญโปรโมชันเพื่อส่งเสริมการออม ควบคู่ไปกับการสื่อสารสร้างการรับรู้ รวมถึง แผนความร่วมมือกับ กอช. ในการทำสื่อออนไลน์และแคมเปญต่างๆ อย่างต่อเนื่องในอนาคต อีกทั้งยังเตรียมเดินหน้าพัฒนา ฟีเจอร์ใหม่ๆ เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานในระยะยาว ที่ผ่านมา ทรูมันนี่ได้ให้บริการ กอช. แก่กลุ่มนักเรียนและผู้ประกอบอาชีพอิสระมาตั้งแต่ปลายปี 2566 จนถึงปัจจุบันมียอดเงินฝากรวมกว่า 120 ล้านบาท โดยในปัจจุบันยอดสมัครบัญชีใหม่ช่องทางออนไลน์ของ กอช. มากกว่า 50% มาจากทรูมันนี่ เรารู้สึกยินดีที่วันนี้มีผู้ให้บริการรายใหม่ๆ มาร่วมขับเคลื่อนภารกิจสำคัญนี้ไปด้วยกัน เพื่อทำให้คนไทยทุกคนสามารถเริ่มออมได้ง่ายขึ้น และเตรียมพร้อมสู่ชีวิตหลังเกษียณที่มั่นคง”


นายวรุณเทพ วัชราภรณ์ หัวหน้าฝ่ายงานรัฐกิจสัมพันธ์ AIS กล่าวว่า “เอไอเอส ในฐานะผู้ให้บริการโครงข่ายอัจฉริยะ เรามุ่งยกระดับประสบการณ์ดิจิทัลให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนไทย ควบคู่กับการสนับสนุนการเข้าถึงบริการภาครัฐ โดยเฉพาะการออมเงินกับ กอช. ที่เราได้ร่วมขับเคลื่อนมาอย่างต่อเนื่อง ผ่านช่องทางการสมัครสมาชิก เช็กยอด และส่งเงินออมได้สะดวกบนสมาร์ทโฟน ผ่านแอปพลิเคชัน myAIS ทำให้การออมเข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา และช่วยสร้างหลักประกันทางการเงินที่มั่นคงในระยะยาวเพื่อสอดรับกับยุคดิจิทัลไลฟ์สไตล์ และการเสริมสร้าง Digital Financial Literacy เอไอเอสจึงพัฒนา myAIS ให้เป็นศูนย์กลางด้านการเงินดิจิทัล พร้อมต่อยอดสู่บริการใหม่อย่างการจำหน่าย สลาก กอช. หรือ หวยเกษียณ ในช่วงปลายปี ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมที่พลิกพฤติกรรมการลุ้นโชคของคนไทย ให้กลายเป็นแรงจูงใจในการออมอย่างสร้างสรรค์และยั่งยืน”


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #หวยเกษียณ




ศาลอาญา ยกฟ้อง "ทักษิณ ชินวัตร" คดี มาตรา 112 - พ.ร.บ.คอมฯ กรณีให้สัมภาษณ์สื่อเกาหลีใต้ ปี 2558 ชี้โจทก์ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าคลิปสัมภาษณ์ตัดต่อหรือไม่


ศาลอาญา ยกฟ้อง "ทักษิณ ชินวัตร" คดี มาตรา 112 - พ.ร.บ.คอมฯ กรณีให้สัมภาษณ์สื่อเกาหลีใต้ ปี 2558 ชี้โจทก์ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าคลิปสัมภาษณ์ตัดต่อหรือไม่


วันนี้ (22 สิงหาคม 2568) ศาลอาญา อ่านคำพิพากษาในคดีดูหมิ่นสถาบันฯ หมายเลขดำ อ.1860/2567 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 8 เป็นโจทก์ฟ้องนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลยในความผิดฐานดูหมิ่นสถาบันฯ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 จากกรณีการให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศเมื่อปี 2558 ซึ่งนายทักษิณ เดินทางมาฟังคำพิพากษาด้วยตนเอง


โดย ศาลมีคำวินิจฉัยว่า การทำคลิปให้สัมภาษณ์เป็นเพียงการนำบางส่วนของคำให้สัมภาษณ์ซึ่งมีถ้อยคำที่จำกัดมาใช้ประกอบเป็นหลักฐาน ซึ่งศาลเชื่อว่ามีคำสัมภาษณ์จริงที่มากกว่านี้ และคลิปที่มีมาเป็นเพียงบางส่วน โดยโจทก์ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าคลิปตัดต่อหรือไม่ และคำพูดของจำเลยไม่ได้เจาะจงถึงพระมหากษัตริย์ จึงยกผลประโยชน์ให้จำเลย พิพากษายกฟ้อง


ส่วนขั้นตอนหลังจากนี้อัยการจะอุทธรณ์หรือไม่ นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของนายทักษิณ ระบุว่า การจะอุทธรณ์ต้องมีความผิดที่เข้าข่ายตามข้อกฎหมายซึ่งกรณีนี้มองว่าข้อเท็จจริงที่ศาลยกฟ้องค่อนข้างครบถ้วน แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับอัยการว่าจะอุทธรณ์หรือไม่


โดยหลังฟังคำตัดสินนายทักษิณมีอาการยิ้มและรู้สึกดีใจ พร้อมระบุว่าหลังจากนี้จะได้มีเวลาทำเพื่องานชาติได้อย่างเต็มที่ ซึ่งหลังจากฟังคำพิพากษาแล้วเสร็จนายทักษิณได้เดินทางกลับทันทีโดยไม่ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนแต่อย่างใด


ทั้งนี้พบว่ากลุ่มคนสวมเสื้อแดงจำนวนหนึ่งได้มายืนรอส่งนายทักษิณที่บริเวณประตูทางออกของศาล เมื่อรถของนายทักษิณเคลื่อนผ่าน ก็ได้ส่งเสียงร้องแสดงความดีใจและโบกมือทักทายนายทักษิณ

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #มาตรา112 #ทักษิณชินวัตร












“ทักษิณ” เดินทางถึงศาล ฟังคำตัดสิน คดี 112 "พินทองทา" เดินทางมาให้กำลังใจ ขณะที่ทนายวิญญัติ เชื่อต่อสู้มาถูกทางแล้ว เจ้าตัวยืนยันคลิปถูกตัดต่อ

 


“ทักษิณ” เดินทางถึงศาล ฟังคำตัดสิน คดี 112 "พินทองทา" เดินทางมาให้กำลังใจ ขณะที่ทนายวิญญัติ เชื่อต่อสู้มาถูกทางแล้ว เจ้าตัวยืนยันคลิปถูกตัดต่อ


วันนี้ (22 สิงหาคม 2568) ศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญา 8 เป็นโจทก์ฟ้องนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ จากการคำให้สัมภาษณ์สื่อเกาหลีใต้เมื่อเดือน พ.ค.2558 ในเวลา 10.00 น.


โดยเวลา 09.30 น. นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เดินทางถึงศาลอาญา รัชดา โบกมือ ทักทายสื่อมวลชน โดยไม่ให้สัมภาษณ์แต่อย่างใด พร้อมด้วยนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ และนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของนายทักษิณ เดินทางมาถึงศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก โดยมี นางสาวพินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ ลูกสาว เดินทางมาในวันนี้ด้วย


ทั้งนี้ ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีดูหมิ่นสถาบันหมายเลขดำ อ.1860/2567 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 8 เป็นโจทก์ฟ้องนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลยในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 กรณีให้สัมภาษณ์สื่อเกาหลีใต้


ด้านนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของนายทักษิณ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ศาลอาญานัดอ่านคำพิพากษาคดี ม.112 ของนายทักษิณ โดยยืนยันว่า นายทักษิณจะเข้ารับฟังคำพิพากษาด้วยตัวเอง และตามสัญญาประกันจะต้องมาฟังคำพิพากษาด้วยตัวเอง และประสงค์ที่จะเข้าร่วมฟังการพิจารณาคดีทุกนัด และในฐานะทนายความยังกล่าวถึงความมั่นใจพยานที่นำเข้าสู่ชั้นศาลการไต่สวน แต่ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นในผลของคดีว่าจะเป็นอย่างไร ขอให้ศาลมีคำพิพากษาออกมาก่อน


ทนายวิญญัติ กล่าวต่อว่า "หลังจากรับทำคดีนี้และเห็นพยานหลักฐานตั้งแต่เมื่อ 10 ปีก่อน มีความชัดเจน และในการสืบพยานโจทก์สามนัด ก็ยิ่งชัดเจนว่าเรามาถูกทางแล้ว เพราะการต่อสู้คดีอาญาต้องดูพยานหลักฐานของโจทก์ และผู้กล่าวหาเป็นหลัก รวมถึงดูเจตนาของจำเลยด้วย และพยานหลักฐานที่เราได้นำขึ้นพิสูจน์ต่อศาลตั้งแต่ต้น ซึ่งนายทักษิณก็ยืนยันแล้วว่าไม่ได้เจตนา ความจงรักภักดีของท่านมีอย่างชัดเจน และประจักษ์ชัด เหตุดังกล่าวนี้ท่านก็บอกแล้วว่า ไม่ได้มาจากคำพูดของท่านอย่างถูกต้อง และท่านเชื่อว่าเป็นการตัดต่อ ซึ่งเราก็พยายามพิสูจน์ แต่เมื่อจำเลยปฏิเสธ โจทก์ก็ต้องพิสูจน์ว่าไม่ใช่การตัดต่ออย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับว่าจะทำได้หรือไม่ได้"


นายวิญญัติ กล่าวต่อว่า ในคดีนี้ฝ่ายโจทก์สืบพยาน 10 ปาก และฝ่ายจำเลยสืบพยาน 3 ปาก โดยหลักฐานที่ฝ่ายจำเลยนำขึ้นพิสูจน์นั้น จะเป็นเรื่องของตัวบุคคลเป็นหลัก รวมถึงข้อเท็จจริงในอดีต ซึ่งไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่สร้างขึ้น เชื่อว่าเมื่อศาลเห็นก็จะสามารถหยิบไปประกอบคำวินิจฉัยได้ แต่การจะนำมาพูดและจะดีหรือไม่ดีตรงหรือไม่ตรง ต้องขออนุญาตยังไม่พูด ต้องรอฟังคำพิพากษาก่อน


นายวิญญัติ เปิดเผยว่า จากที่ได้คุยกันมาทักษิณยืนยันที่จะเดินทางมาฟังคำพิพากษาด้วยตัวเอง และย้ำไม่ว่าผลพิพากษาจะออกมาเป็นอย่างไร พร้อมน้อมรับ แต่ถ้าหากออกมาเป็นทางบวก ก็จะออกมาเปิดเผยรายละเอียดการต่อสู้ทางคดีให้รับทราบ


นายวิญญัติ กล่าวทิ้งท้ายว่า การนำเสนอข้อมูลข่าวสารในปัจจุบันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เทียบกับกรณีของนายทักษิณที่ถูกนำคลิปมา เมื่อเสนอข่าวสารไปแล้วผิดถูกตอนแรกยังไม่มีใครพิสูจน์ความจริง ดังนั้นการขยายให้เกิดความเข้าใจผิดหรือการบิดเบือนเป็นเรื่องที่สังคมควรจะระมัดระวัง ไม่ได้พูดถึงเพียงสื่อมวลชนเท่านั้น แต่ทุกคนควรที่จะระมัดระวังเพราะเป็นเรื่องที่อันตรายมาก และพวกท่านก็อาจจะถูกดำเนินคดีด้วย


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ทักษิณชินวัตร #มาตรา112






จับตา 10.00 น. วันนี้ ศาลอาญา พิพากษาคดี ม.112 ของ "ทักษิณ" พร้อมคุมเข้มมาตรการสื่อ และห้ามบุคคลภายนอกเข้าฟัง ขณะที่ กลุ่มมวลชนสวมเสื้อแดงทยอยมาให้กำลังใจ

 


จับตา 10.00 น. วันนี้ ศาลอาญา พิพากษาคดี ม.112 ของ "ทักษิณ" พร้อมคุมเข้มมาตรการสื่อ และห้ามบุคคลภายนอกเข้าฟัง ขณะที่ กลุ่มมวลชนสวมเสื้อแดงทยอยมาให้กำลังใจ


วันที่ 22 สิงหาคม 2568 ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก นัดอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อ.1860/2567 ซึ่งเป็นคดีที่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ตกเป็นจำเลยหลังถูกพนักงานอัยการ สำนักงานคดีอาญา 8 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และความผิดฐานนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จเพื่อระบบคอมพิวเตอร์ ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จากกรณีให้สัมภาษณ์กับสื่อเกาหลีใต้เมื่อเดือนพฤษภาคม 2558 โดยศาลจะนัดฟังพิพากษาในเวลา 10.00 น.ซึ่งนายทักษิณจะต้องเดินทางมาฟังคำพิพากษาด้วยตนเอง


ทั้งนี้ ศาลอาญาได้ออกข้อกำหนดให้สื่อมวลชนที่จะมาทำข่าวต้องทำใบอนุญาตขอทำข่าวในพื้นที่ศาลอาญา รวมทั้งต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการอนุญาตให้เก็บภาพและสัมภาษณ์ได้เฉพาะบริเวณบันไดทางขึ้นศาลหรือพื้นที่สำหรับสื่อมวลชนเท่านั้น ต้องติดบัตรสื่อมวลชนชั่วคราวของศาลตลอดเวลา ที่สำคัญคือการนัดฟังคำพิพากษาในวันนี้ เป็นการพิจารณาคดีแบบลับ ไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนและบุคคลภายนอกที่ไม่เกี่ยวข้องกับคดีเข้าห้องพิจารณาคดีเป็นอันขาด


โดยบรรยากาศขณะนี้ 8.30 น.กองทัพสื่อมวลชนปักหลักรอทำข่าวและมวลชนสวมเสื้อสีแดงทยอยเข้ามาบริเวณศาลเพื่อรอให้กำลังใจ

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ทักษิณชินวัตร #มาตรา112



วันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2568

“ณัฐชา” ไล่บี้ต่อ! 19 จังหวัดที่มีการแพร่ระบาดปลาหมอคางดำ ต้องเร่งสำรวจและประกาศเขตภัยพิบัติช่วยเหลือเกษตรกรทันที

 


“ณัฐชา” ไล่บี้ต่อ! 19 จังหวัดที่มีการแพร่ระบาดปลาหมอคางดำ ต้องเร่งสำรวจและประกาศเขตภัยพิบัติช่วยเหลือเกษตรกรทันที


วันที่ 21 สิงหาคม 2568 ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ สส.กรุงเทพมหานคร พรรคประชาชน เปิดเผยถึงการติดตามปัญหาการแพร่ระบาดของ “ปลาหมอคางดำ” ซึ่งกำลังสร้างความเสียหายให้กับเกษตรกรทั่วประเทศ โดยระบุว่า หลังจากที่ได้ผลักดันและย้ำต่อรัฐบาลมาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้มีความคืบหน้าสำคัญ เมื่อกรมบัญชีกลางได้ออกหนังสือชี้แจงไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ที่พบการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ ให้สามารถดำเนินการสำรวจความเสียหายและประกาศเป็น “เขตภัยพิบัติ” เพื่อให้ประชาชนและเกษตรกรได้รับการช่วยเหลือตามระเบียบราชการได้ทันที


“นี่ถือเป็นก้าวสำคัญ แต่ยังไม่เพียงพอ หากรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังทำเพียงออกหนังสือชี้แจงโดยไม่มีการติดตามผลอย่างจริงจัง ผมจึงขอย้ำไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาด ว่าจะต้องเร่งสำรวจความเสียหายและประกาศเขตภัยพิบัติโดยด่วนตามแนวทางที่กรมบัญชีกลางได้ชี้แจง เพื่อให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงการช่วยเหลือได้ทันที ไม่ใช่ปล่อยให้รอคอยไปวัน ๆ จนความเดือดร้อนบานปลาย”


นอกจากนี้ ณัฐชายังได้กล่าวขอบคุณ นพ.วาโย อัศวรุ่งเรือง ประธานคณะกรรมาธิการการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ที่ได้ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด โดยในชั้นคณะกรรมาธิการ นพ.วาโยได้มีบทบาทสำคัญ ทั้งการผลักดันให้ประเด็นปลาหมอคางดำถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณาอย่างจริงจัง รวมถึงการทำหนังสือสอบถามไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง เพื่อติดตามความคืบหน้า และเร่งรัดให้เกิดมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรอย่างเป็นรูปธรรม


ขณะเดียวกัน สส.ณัฐชา ยังได้วิจารณ์ถึงมาตรการแก้ปัญหาของ กรมประมง ว่า “ไร้ทิศทาง และสิ้นเปลืองงบประมาณมหาศาล” โดยชี้ว่า ที่ผ่านมา กรมประมงอ้างการรับซื้อปลาหมอคางดำกว่า 3 ล้านกิโลกรัม และเพิ่งขยายโควตาเพิ่มอีก 554,000 กิโลกรัม ใน 6 จังหวัด ใช้งบประมาณที่ครม. อนุมัติไปแล้วกว่า 450 ล้านบาท แถมล่าสุดยังมีการใช้งบกลางเร่งด่วนเกือบ 100 ล้านบาท แต่สิ่งที่สังคมและสื่อมวลชนตั้งคำถามก็คือ กระบวนการเหล่านี้โปร่งใสหรือไม่ เบิกจ่ายไปแล้วเท่าไหร่ และที่สำคัญคือจะต้องใช้งบภาษีประชาชนมาซื้อปลา “ซ้ำ ๆ ทุกปี” ไปจนถึงเมื่อไหร่?


“ทุกวันนี้เราเห็นแต่ภาพการรับซื้อปลา แต่ไม่เห็นแม้แต่เงา ‘แผนแก้ปัญหาระยะยาว’ ทั้ง ๆ ที่งบประมาณถูกเทลงไปมหาศาล ขนาดพารัฐมนตรีช่วยฯ ลงพื้นที่ตรวจสอบ สุดท้ายเจอปลาหมอคางดำเพียงตัวเดียว ทั้งที่ชาวบ้านร้องว่าในแหล่งน้ำมีเป็นจำนวนมาก สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่าการทำงานของหน่วยงานรัฐเป็นแค่ ‘การโรยผักชี’ เอาหน้าสื่อ แต่ไม่เคยจับต้องความจริงและความเดือดร้อนของเกษตรกรเลย” 


ทั้งนี้ ณัฐชายืนยันว่าจะทำหน้าที่ติดตามและกดดันต่อไป เพื่อให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่เพียงแค่ “ออกหนังสือบนกระดาษ” หรือ “สร้างภาพเพื่อเอาหน้า” แต่ต้องลงมือปฏิบัติจริง พร้อมทั้งวางแผนการแก้ไขระยะยาว ทั้งด้านระบบนิเวศ การควบคุมการแพร่พันธุ์ และการชดเชยความเสียหายแก่เกษตรกรอย่างเป็นธรรม


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #ปลาหมอคางดำ

ศาลรธน. ย้ำ ห้ามมิให้ผู้เข้ารับฟังการไต่สวนนำข้อมูลไปเผยแพร่และบิดเบือนทำให้สาธารณชนเกิดความเข้าใจผิด ให้คู่กรณียื่นคำแถลงปิดคดีเสนอต่อศาลภายในวันที่ 25 ส.ค. นี้

 


ศาลรธน. ย้ำ ห้ามมิให้ผู้เข้ารับฟังการไต่สวนนำข้อมูลไปเผยแพร่และบิดเบือนทำให้สาธารณชนเกิดความเข้าใจผิด ให้คู่กรณียื่นคำแถลงปิดคดีเสนอต่อศาลภายในวันที่ 25 ส.ค. นี้


วันที่ 21 สิงหาคม 2568 เวลา 13.02 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังศาลรัฐธรรมนูญได้ไต่สวนพยาน 2 ปาก ในราย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม และนายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ  แล้วเสร็จในคดีที่ประธานวุฒิสภา ส่งคำร้องของสว.จำนวน 36 คน ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่าความเป็นรัฐมนตรี ของน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 106 (4) และ (5) หรือไม่ เนื่องจากไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง จากกรณีคลิปเสียงบทสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร และสมเด็จฯฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา  ซึ่งใช้เวลา 2 ชั่วโมงกว่า


นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ได้ย้ำตอนหนึ่งระหว่างอ่านรายงานกระบวนวิธีพิจารณาคดีว่า ห้ามมิให้ผู้เข้ารับฟังการไต่สวนนำข้อมูลการไต่สวนไปเผยแพร่และบิดเบือนข้อมูลที่จะทำให้สาธารณชนเกิดความเข้าใจผิด และตามที่ศาลได้สั่งให้คู่กรณียื่นคำแถลงปิดคดีในวันพุธที่ 27 สิงหาคม 2568 และนัดแถลงด้วยวาจา ปรึกษาหารือและลงมติในวันที่ 29 สิงหาคมเวลา 09:30 น.และอ่านคำวินิจฉัยให้คู่กรณีฟังในเวลา 15.00 น.นั้น


พิจารณาแล้วเห็นว่า ตุลาการแต่ละท่านมีเวลาทำคำวินิจฉัยส่วนตนเพียง 1 วันเพื่อให้การวินิจฉัยของศาลเป็นไปอย่างรอบคอบและครบถ้วน อาศัยอำนาจตามพ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ 2561 มาตรา 31 ให้คู่กรณียื่นคำแถลงปิดคดีเสนอต่อศาลภายในวันที่ 25 สิงหาคม 2568 หากไม่ยื่นถือว่าไม่ติดใจยื่น ส่วนการนัดแถลงด้วยวาจา ปรึกษาหารือและลงมติ และนัดฟังคำวินิจฉัยให้เป็นไปตามกำหนดเดิม คือ 29 สิงหาคม 2568


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ศาลรัฐธรรมนูญ #แพทองธารชินวัตร #คลิปเสียงฮุนเซน



“ณัฐพงษ์” ตั้งกระทู้ถามรัฐบาลเยียวยาเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา สะท้อนเสียงประชาชนเยียวยาล่าช้า-ไม่ถ้วนหน้า-ไม่ชัดเจน แนะตั้งศูนย์วันสต็อป-แก้ระเบียบจ่ายให้ถ้วนหน้าก่อน ด้าน “ธีรรัตน์” ย้ำรัฐบาลดำเนินการอยู่แล้ว เยียวยาเหมือนน้ำท่วมไม่ได้เพราะเป็นภัยใหม่-ระเบียบไม่รองรับ

 


ณัฐพงษ์” ตั้งกระทู้ถามรัฐบาลเยียวยาเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา สะท้อนเสียงประชาชนเยียวยาล่าช้า-ไม่ถ้วนหน้า-ไม่ชัดเจน แนะตั้งศูนย์วันสต็อป-แก้ระเบียบจ่ายให้ถ้วนหน้าก่อน ด้าน “ธีรรัตน์” ย้ำรัฐบาลดำเนินการอยู่แล้ว เยียวยาเหมือนน้ำท่วมไม่ได้เพราะเป็นภัยใหม่-ระเบียบไม่รองรับ


วันที่ 21 สิงหาคม 2568 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคประชาชน ตั้งกระทู้ถามสดด้วยวาจาต่อนายกรัฐมนตรี กรณีมาตรการชดเชยเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุปะทะระหว่างไทย-กัมพูชา โดยนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งได้มอบหมายให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ มาเป็นผู้ตอบกระทู้แทน


ณัฐพงษ์เริ่มคำถามแรก โดยระบุว่าจากการเข้าพื้นที่ไปพบปะประชาชน ได้รับการสะท้อนปัญหาเกี่ยวกับมาตรการชดเชยเยียวยามา ว่ามีความสับสน ความเข้าใจและการปฏิบัติที่ไม่ตรงกันอยู่หน้างานอีกเป็นจำนวนมาก ปัจจุบันทางรัฐบาลมีมาตรการหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นมาตรการลดค่าน้ำค่าไฟ แต่ก็ยังมีข่าวออกอยู่ว่าประชาชนกลับจากศูนย์พักพิงไปที่บ้านเจอบิลค่าน้ำมา สรุปว่ามีการยกเว้นจริงหรือไม่


หรือจะเป็นเรื่องของมาตรการในการจ่ายเงินทดแทนจากการสูญเสียรายได้ต่างๆ ทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้รับและมีการเรียกร้องว่าอยากให้ได้รับเป็นรายครัวเรือนสามารถทำได้หรือไม่อย่างไร การจ่ายค่าเสียหายจากกรณีบ้านพังหรือรถเสียหายจะต้องมีกระบวนการในการทำอย่างไรบ้าง


ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่าตนมีสิ่งที่อยากให้รัฐมนตรีตอบเพื่อความชัดเจนสองประการ คือ 1) การแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการจ่ายเงินชดเชยเยียวยาให้แก่ประชาชนทั้งหมด และ 2) การดูแลสวัสดิการและสวัสดิภาพของเจ้าหน้าที่หน้างาน ไม่ว่าจะเป็นชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ที่หลายท่านยังมีภาวะ PTSD ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเต็มกำลัง รัฐบาลมีแนวทางหรือมาตรการดูแลอย่างไรบ้าง


ในส่วนของธีรรัตน์ ระบุว่ารัฐบาลได้ติดตามปัญหานี้มาโดยตลอดเช่นเดียวกันตั้งแต่เกิดเหตุการณ์เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม มีการอนุมัติวงเงิน 100 ล้านบาทลงไปใน 7 จังหวัดชายแดนเพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนในการช่วยเหลือประชาชนได้อย่างรวดเร็ว ที่สมาชิกได้สอบถามถึงการจ่ายเงินเยียวยา ตนก็เคยได้มีโอกาสนำเสนอต่อสภามาแล้ว ว่ามีขั้นตอนในการดำเนินการจำเป็นเร่งด่วน ทั้งส่วนของประชาชนที่มีการอพยพมาตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม สามารถใช้เงินที่อยู่ในท้องถิ่นสั่งจ่ายได้ทันที ส่วนหลังจากที่มีการอพยพมาแล้ว เมื่อประชาชนกลับบ้านก็มีการมอบสิ่งของที่มีความจำเป็นกับการดำรงชีพให้ด้วย นั่นคือส่วนที่รัฐบาลได้ทำทันทีไปแล้ว


ส่วนบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหาย ที่จังหวัดสุรินทร์มีบ้านเรือนเสียหาย 107 หลัง ซ่อมแซมไปแล้ว 58 หลัง อยู่ระหว่างการซ่อมแซม 49 หลัง ที่จังหวัดอุบลราชธานีมีบ้านเรือนเสียหาย 137 หลัง ซ่อมแซมไปแล้ว 129 หลัง อยู่ระหว่างการซ่อมแซมอีก 8 หลัง ที่จังหวัดบุรีรัมย์มีบ้านเรือนเสียหาย 16 หลัง ซ่อมแซมไปแล้ว 14 หลัง อยู่ระหว่างการซ่อมแซม 2 หลัง ที่จังหวัดศรีสะเกษมีบ้านเหลือเสียหาย 445 หลัง ซ่อมแซมไปแล้ว 134 หลัง อยู่ระหว่างการซ่อมแซม 311 หลัง และยังมีในส่วนของการให้ความช่วยเหลือจากภาคเอกชน โดยมีการมอบบ้านน็อคดาวน์ให้กับประชาชนที่บ้านเสียหายทั้งหลัง ให้มีพื้นที่พักพิงชั่วคราวระหว่างที่บ้านสร้างอยู่ด้วย


รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยยังกล่าวต่อไปว่ารัฐบาลเองยังได้อนุมัติในการช่วยเหลือค่าน้ำค่าไฟในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม ไม่ให้มีการจัดเก็บ แต่ที่เป็นข่าวว่ายังมีบิลมาจัดเก็บที่บ้านอยู่อาจจะเป็นเพราะเป็นบิลของเดือนมิถุนายนที่ทางการไฟฟ้ามาจัดเก็บย้อนหลัง ซึ่งตนได้สร้างความเข้าใจให้กับทางการไฟฟ้าฯ และประชาชนได้ทราบแล้ว ว่าเหตุที่มีบิลย้อนหลังมาเพราะอะไร และยังมีบางส่วนที่เป็นของเดือนกรกฎาคมแต่ยังมีการจัดเก็บอยู่เป็นเพราะบิลนั้นออกในช่วงของปลายเดือนมิถุนายน ต้นเดือนกรกฎาคม แต่ในส่วนที่รัฐบาลได้ประกาศไปคือส่วนของต้นเดือนกรกฎาคม ก็เลยทำให้มีบิลเพิ่มเข้ามา ซึ่งตนก็ได้ประสานกับทางการไฟฟ้าฯ ว่าขอให้แก้ปัญหานี้โดยการให้บิลที่ประชาชนจ่ายไปแล้วของเดือนกรกฎาคมให้หักกลบกับในเดือนต่อๆ ไป


ส่วนกรณีที่สมาชิกสอบถามถึงผู้ที่อยู่ในศูนย์อพยพแล้วไม่มีรายได้ในช่วงนั้นจะทำอย่างไร รัฐบาลมีการสำรวจอยู่ว่าแต่ละพื้นที่นั้นมีจำนวนผู้ที่ต้องได้รับการช่วยเหลือเท่าไหร่ ซึ่งในจังหวัดอุบลราชธานีมีพื้นที่ถูกประกาศเป็นเขตให้ความช่วยเหลือ 3 อำเภอ ศรีสะเกษ 5 อำเภอ สุรินทร์ 17 อำเภอ บุรีรัมย์ 3 อำเภอ สระแก้ว 4 อำเภอ จันทบุรี 10 อำเภอ ตราด 3 อำเภอ ซึ่งแต่ละพื้นที่ก็มีความแตกต่างกัน ขณะนี้ข้อมูลที่รัฐบาลมีอยู่ในมือสามารถที่จะทำให้เกิดการทำงานได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ช้าเกินไปและไม่สะดุด ประชาชนจะเข้าใจว่าเยียวยาล่าช้าหรือไม่ แต่จากการที่ตนได้ไปสัมผัสและพูดคุย มีการช่วยเหลืออยู่เป็นลำดับขั้นตามระยะเร่งด่วน ปานกลาง และระยะยาวอยู่แล้ว


ส่วนงบประมาณที่อนุมัติไปแล้วไปอยู่ที่ผู้ที่ประสบภัยอย่างแท้จริง ไม่ใช้มาตรการแจกและกระจายให้หมด แต่ใช้หลักเกณฑ์ที่มีอยู่ให้ได้ตรงตามข้อกฎหมายหรือข้อบังคับที่กำหนดไว้ด้วย ในส่วนที่เป็นหลักเกณฑ์และระเบียบที่ทำให้การทำงานมีอุปสรรคนั้น ทางกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัย (ปภ.) ก็สามารถของดเว้นการใช้หลักเกณฑ์ได้ทันทีโดยเช่นเดียวกัน


ส่วนเรื่อง ชรบ. อสส. หรือกำนันผู้ใหญ่บ้าน ที่ได้เสียสละอาสาทำหน้าที่ในส่วนของการสนับสนุนภารกิจของเจ้าพนักงาน รัฐบาลได้สำรวจมาว่ามีอยู่ในพื้นที่เท่าไหร่และต้องใช้งบประมาณเท่าไหร่ในการอุดหนุนเป็นค่าตอบแทน รัฐบาลมีมาตรการอยู่แล้วในส่วนนี้ และเป็นการดีที่ทุกคนได้มีความเห็นพ้องต้องกันว่าเราต้องดูแลกลุ่มอาสาสมัครเหล่านี้ให้ได้มีขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติภารกิจให้ประชาชนต่อไป


ทางด้านณัฐพงษ์ได้ถามกระทู้ต่อเป็นรอบที่สอง โดยระบุว่าตนขอเรียนด้วยข้อเท็จจริงว่าตนและรัฐมนตรี รวมถึงสมาชิกทุกคนทราบอยู่แล้วว่าที่ผ่านมารัฐบาลได้ออกมาตรการในการช่วยเหลือเยียวยาประชาชน รวมถึงเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานอยู่หน้างานอย่างไรบ้าง แต่ปัญหาที่วันนี้ตนอยากนำมาสะท้อนรวมถึงมีข้อเสนอบางส่วน คือช่องว่างระหว่างระดับนโยบายคือรัฐบาลกับระดับผู้ปฏิบัติงาน หลายมาตรการที่บอกมาเป็นสิ่งที่ตนเชื่อว่าเป็นประโยชน์ เจ้าหน้าที่ได้เตรียมข้อมูลให้รัฐมนตรีมารายงานสถานการณ์ล่าสุดว่าได้มีการช่วยเหลือเยียวยาประชาชนในแต่ละจังหวัดไปมากน้อยแล้วอย่างไรบ้าง แต่คนส่วนใหญ่ในพื้นที่ และเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ในพื้นที่ยังตกอยู่ในภาวะที่เครียดเพราะการขาดความชัดเจน


ตนเข้าใจดีว่าการจ่ายเงินเงินชดเชยเยียวยาบางส่วนต้องเป็นไปตามระบบระเบียบราชการและใช้กระบวนการในการพิสูจน์ แต่รัฐบาลจะช่วยให้ความชัดเจนสักหน่อยได้หรือไม่ ว่าตกลงการขอเงินชดเชยเยียวยาในแต่ละด้าน 1) ขอที่ใคร 2) หลักเกณฑ์เป็นอย่างไร และ 3) กระบวนการใช้ระยะเวลาเท่าไหร่ ทุกคนจะได้ไม่ต้องมานั่งรอความหวังทุกวันทุกคืนทุก วันนี้ประชาชนนอกจากต้องระแวงว่ากระสุนจะมาตกที่บ้านของเขาหรือเปล่า ยังต้องคอยระวังว่าจะตกข่าวหรือเปล่าด้วย เช่น มีประชาชนถามว่าที่บุรีรัมย์ทำไมได้ 3,000 ทำไมสุรินทร์ไม่ได้ ทั้งที่เกิดจากความเข้าใจผิด เนื่องจากว่าเป็นงบประมาณประจำในกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) หน่วยงานในพื้นที่ก็พยายามหาทุกช่องทาง อะไรที่เบิกได้ก็เบิกจากงบประมาณกลุ่มเปราะบาง ประชาชนก็เลยมีคำถามอีกว่าทุกวันนี้ทุกคนเดือดร้อนขาดรายได้ ทำไมต้องจ่ายให้เฉพาะกลุ่มคนเปราะบางด้วย


ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้ไม่ได้เกิดจากความผิดพลาดของการสั่งการและนโยบายที่ผ่านมา แต่เกิดจากความไม่ชัดเจน และตนอยากเน้นย้ำอีกครั้งว่าวันนี้เราเห็นปัญหาตรงกัน สิ่งที่ตนอยากได้ยินจากรัฐมนตรีและรัฐบาลคือความชัดเจน และถ้าเห็นแล้วว่าระบบระเบียบราชการปัจจุบันเป็นปัญหาอุปสรรคอย่างไร รัฐบาลจะปรับแก้ไขระบบระเบียบเหล่านั้น เพื่อทำให้เกิดการชดเชยเยียวยาประชาชนอย่างเร็วที่สุดได้หรือไม่


ในการนี้ ตนมีข้อเสนอที่คาดหวังอยากจะได้ยินเป็นการรับปาก บันทึกในที่ประชุมสภา ว่ารัฐบาลจะหยิบไปทำหรือไม่ หรือเห็นด้วยเห็นต่างอย่างไรหรือไม่ ตนเชื่อว่าปัญหาทั้งหมดที่พูดมาที่เกิดขึ้นเนื่องจากกระบวนการที่ยาก ช้า และตกหล่น ที่ยากเพราะเงินเยียวยามีหลายช่องทาง มีทั้งที่มาจากงบประมาณประจำของกระทรวง พม. มาจากส่วนของ ปภ. มาจากเทศบาลและ อบต. ถ้าเกินกำลังศักยภาพก็ต้องไปขอที่อำเภอ เกินกำลังอำเภอก็ต้องขอที่จังหวัด หรือจะมาจากส่วนอื่นๆ เช่นเอกชนหรือสภากาชาด ที่มีเงินช่วยเหลือประชาชนในส่วนนี้มีหลายช่องทาง กระบวนการต้องกรอกแบบฟอร์มอะไรบ้าง ต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ไม่รู้ทั้งหมด


ที่ช้าเพราะต้องพิสูจน์ทราบความเสียหาย อย่างกรณีที่ตนไปลงพื้นที่มา มีหมูคลอดลูกมาตายทั้ง 9 ตัว ผู้ว่าฯ ก็ต้องไปพิสูจน์ว่าหมูตายเพราะอะไร ก็ต้องให้ปศุสัตว์จังหวัดไปตรวจสอบ นี่คือกระบวนการที่ช้าเพราะต้องพิสูจน์ทราบ และที่ตกหล่นก็เพราะต้องมานั่งพิสูจน์ว่าใครเดือดร้อนบ้าง ทั้งที่เห็นแล้วว่าทุกคนเดือดร้อนเหมือนกันหมด ทำไมเหตุการณ์น้ำท่วมที่ผ่านมารัฐบาลสามารถจ่ายเงินชดเชยเยียวยาเป็นรายครัวเรือนแบบถ้วนหน้าในพื้นที่ประสบภัยได้ 5000-9000 บาท พื้นที่ไหนท่วมนานแตกต่างกันก็จ่ายลดหลั่นไป รัฐบาลจะจ่ายแบบถ้วนหน้าเป็นรายครัวเรือนแบบนี้ด้วยได้หรือไม่ แบ่งจ่ายมาบางส่วนในการเยียวยาพื้นฐาน ส่วนที่เยียวยาเฉพาะกลุ่มที่บ้านเรือน รถยนต์เสียหาย วัวควายล้มตายก็ไปพิสูจน์กัน แต่อย่างน้อยให้ทุกคนรู้สึกว่ารัฐไม่ได้ทอดทิ้งและมองเห็นทุกคนได้หรือไม่


ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่ารัฐบาลมีแนวคิดอย่างไรในการเปลี่ยนกระบวนการที่ยาก ช้า และตกหล่น เป็นง่าย เร็ว และทั่วถึง ทำให้ง่ายโดยมีหน่วยเยียวยาสัญจร รัฐบาลตั้งวันสต็อปเซอร์วิสได้หรือไม่ ให้ผู้ว่าฯ หรือ อบจ. เป็นประธานก็ได้ เอา พม. เกษตรจังหวัด พาณิชย์จังหวัด อำเภอ เทศบาล ท้องถิ่นทุกอย่าง ธอส. ธกส. ไปตั้งโต๊ะตามหมู่บ้าน ให้ประชาชนแต่ละครัวเรือนมีปัญหาอะไรมาหาที่โต๊ะสัญจรที่เดียว ไม่ต้องไปติดต่อแยกทีละหน่วยงาน แล้วหน่วยงานมีข้อเสนอเงินเยียวยาอะไรบ้างก็บอกไปเลย ให้ประชาชนยื่นเอกสารครั้งเดียวจบ


รัฐสามารถทำให้กระบวนการเยียวยารวดเร็วได้มากยิ่งขึ้นโดยใช้เทคโนโลยี รัฐบาลมีเครื่องมืออยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าเงินดิจิทัล แอปฯ “ทางรัฐ” ที่เปิดให้ลงทะเบียนต่างๆ รัฐบาลสามารถใช้ได้เอามาประยุกต์ใช้กับส่วนนี้ รัฐมีฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์อยู่แล้ว เอาเทคโนโลยีมาประกอบใช้ให้ประชาชนได้รับความสะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้นได้หรือไม่


และอย่าลืมกลุ่มที่ตกหล่นด้วย ตนได้เจอประชาชนอีกเป็นจำนวนมากที่เป็นคนในพื้นที่จริงๆ แต่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ในที่ดินทำกิน ไม่มีทะเบียนบ้าน มันปฏิเสธไม่ได้ว่ายังจำเป็นต้องใช้กระบวนการพิสูจน์อยู่บางส่วน แต่ก็ต้องมีกระบวนการที่รองรับสำหรับกลุ่มต่างๆ เหล่านี้ด้วยที่เป็นกลุ่มเฉพาะ ตนจึงอยากสอบถามความชัดเจนว่ารัฐบาลจะสามารถสั่งการใครได้ทันทีเลยหรือไม่ ถ้าไม่ได้ตนก็อยากได้ความชัดเจนว่าจะมีการเปลี่ยนกระบวนที่ยาก ช้า และไม่ทั่วถึง เป็นรวดเร็ว ง่าย และทั่วถึงอย่างไรได้บ้าง


ด้านรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ระบุว่ากระทรวงมหาดไทยมีบุคลากรอยู่ในพื้นที่ในการรับเรื่องร้องทุกข์ของประชาชนในหมู่บ้านและจุดพักอาศัยอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่บ้าน กำนัน หรือนายอำเภอเป็นผู้รับเรื่อง ส่วนที่สมาชิกระบุว่ามีขั้นตอนมากในการมีคณะกรรมการในการตรวจสอบ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่มีความจำเป็น ที่ต้องเน้นในส่วนของข้าราชการผู้ปฏิบัติงาน คือต้องเร่งทำให้ได้เร็วที่สุดในการสำรวจ รวมถึงจัดประชุมเพื่อขออนุมัติการสั่งจ่ายให้กับประชาชน ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการในระดับอำเภอ ที่พิจารณาจำนวนเงินที่ต้องชดเชยให้กับประชาชนโดยใช้กำลังของทางอำเภออนุมัติวงเงินได้เลย นั่นคือความรวดเร็วที่พื้นที่สามารถกระทำได้เลย


แต่ที่มีบางส่วนที่ประสบปัญหาอยู่ อาจเป็นเพราะประชาชนอาจยังขาดช่องทางในการติดต่อกับเจ้าหน้าที่ก็เป็นไปได้ เช่น กรณีเอกสารต่างๆ ที่ประชาชนต้องจ่ายค่าถ่ายเอกสารเอง เป็นเรื่องความไม่เข้าใจ เพราะเอกสารเหล่านี้ทางเจ้าหน้าที่จะต้องเป็นคนจัดหาบริการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนอยู่แล้ว จะไม่โยนภาระให้กับประชาชนต้องไปถ่ายเอกสารหรือซื้อเอกสารใดใดเป็นอันขาดซึ่งตนจะกำชับให้ทำความเข้าใจกับประชาชนให้ถูกต้องเพื่อลดความสับสนด้วย หรือเรื่องของการไฟฟ้าฯ ก็ได้ทำ CSR ที่จะเข้าไปจัดเปลี่ยนหลอดไฟโดยช่างพร้อมเข้าบริการทันที แต่พอไปอีกจังหวัดหนึ่งมาแต่ช่างแต่ไม่มีของ นี่คือความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนที่เกิดขึ้นได้ตลอด จึงเป็นความสำคัญที่เจ้าหน้าที่จะต้องลงไปสื่อสารว่าสรุปแล้วการไฟฟ้าฯ ให้ทั้งส่วนของช่างและหลอดไฟด้วยไปติดตั้งให้ฟรี


ธีรรัตน์กล่าวต่อไปว่าสิ่งที่ตนได้มอบหมายให้พื้นที่ไปดำเนินการ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งจุดรับเรื่องร้องทุกข์ รัฐบาลก็ทำอยู่แล้ว นายอำเภอท่านใดดูแลรับผิดชอบในส่วนใดก็ดำเนินการได้ทันที ที่สมาชิกบอกว่าขั้นตอนราชการมีความล่าช้าก็เป็นเรื่องจริงในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งรัฐบาลก็ได้พยามปรับและทำให้เกิดความราบรื่นในการทำงานแล้ว ที่สำคัญคือการดูประโยชน์ของประชาชนสูงสุด ว่าทำอย่างไรให้อุปสรรคที่มีอยู่ในปัจจุบันขจัดไปได้ การแก้ไขในเรื่องระเบียบข้อบังคับที่เป็นอุปสรรคให้ใช้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นก็ต้องร่วมมือกันโดยใช้สภาผู้แทนราษฎรแห่งนี้ด้วยในการทำงานต่อไป


ส่วนที่เยียวยาเหมือนกับกรณีน้ำท่วมไม่ได้ ก็เพราะภัยที่เกิดขึ้นจากกองกำลังนอกประเทศเป็นภัยใหม่จริงๆ ยังต้องมีการมาเขียนกฎเกณฑ์กันอีกครั้งหนึ่งในเรื่องของการดูแลเยียวยาประชาชน จะทำเหมือนกับภัยน้ำท่วมที่มีกฎเกณฑ์เดิมไว้อยู่แล้ว 5,000-9,000 บาทไม่ได้ กรณีน้ำท่วมที่สามารถจ่ายได้เลยก็เพราะมีน้ำท่วม บ้านเรือนเสียหาย มีดินโคลนถล่ม และยังต้องอนุมัติเพิ่มในการล้างโคลนที่เชียงรายอีก 10,000 บาท โดยใช้เงินทดลองราชการที่มีอยู่ไม่เพียงพอ แต่นี่เป็นภัยใหม่ที่ต้องดูว่ากรณีที่บ้านเรือนไม่ได้เสียหายแต่ต้องอพยพไปที่ศูนย์ จะทำอย่างไรให้เกิดความพึงพอใจกับประชาชนสูงสุด จึงไม่สามารถใช้เกณฑ์เดิมได้


ณัฐพงษ์ถามต่อเป็นครั้งสุดท้าย โดยระบุว่า สุดท้ายนี้ตนอยากได้สองคำตอบชัดๆ ที่วันนี้เจ้าหน้าที่หน้างานรวมถึงประชาชนน่าจะกำลังรับฟังคำตอบอยู่ แต่ถ้าได้รับความชัดเจนเพิ่มขึ้นตนเชื่อว่าจะเป็นกำลังใจให้กับทุกคนเป็นเป็นอย่างยิ่ง คือ 1) การจ่ายเงินชดเชยเยียวยาเป็นรายครัวเรือน ประชาชนเกือบทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ามากน้อยไม่เป็นไรแต่ขอให้อย่างน้อยให้ทุกคนได้รับอย่างถ้วนหน้ากัน เพราะทุกคนเดือดร้อนด้วยกันหมด รัฐบาลสามารถออกแบบได้ว่าจะให้เฉพาะประชาชนที่เข้าศูนย์พักพิง หรือจะเยียวยาทั้งหมด 800,000 กว่าคนที่ถูกประกาศในเขตภัยพิบัติ 2) เรื่องของเบี้ยที่รองนายกรัฐมนตรีได้ลงพื้นที่และรับปากไปว่าจะมีมีการจ่ายเบี้ยให้ ชรบ. ตนอยากทราบความชัดเจนว่าได้จริงหรือไม่ ได้เมื่อไหร่ และได้เท่าไหร่


ในส่วนของธีรรัตน์ ระบุว่าการชดเชยเป็นรายครัวเรือนในขณะนี้มีการทำแผนขึ้นมาแล้ว ว่าหากไปในพื้นที่ที่อพยพเกิน 15 วันจะต้องชดเชยเท่าไหร่ พื้นที่ที่ต่ำกว่า 7 วันจะดูแลอย่างไร ข้อมูลมีหมดแล้ว ขอให้สมาชิกไม่ต้องกังวล เพราะรัฐบาลทำงานมาโดยตลอดตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม จนถึงวันนี้ก็ยังทำงานและผ่านขั้นตอนด้วยความรอบคอบ ในส่วนของ ชรบ. ก็ไม่เป็นที่น่ากังวลเพราะประกาศตั้งแต่วันแรกแล้วว่ารัฐบาลสามารถจ่ายเงินให้กับ ชรบ. และ อสส. ที่เข้ามาอยู่ในพื้นที่ได้ โดยใช้เกณฑ์พื้นที่ประสบภัยรุนแรงและพื้นที่แนวหลัง หากไม่เกิน 8 ชั่วโมงวันละ 120 บาทต่อคน หากเกินก็จะเพิ่มเป็น 240 บาท นี่เป็นความชัดเจนที่ต้องขอนำเรียนให้ได้มีความเข้าใจที่ตรงกัน ว่าในขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการอยู่แล้ว

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ชายแดนไทยกัมพูชา

“ญาณธิชา” เรียกร้อง รมว.เกษตรฯ เร่งเจรจาจีน หลังเปลี่ยนข้อกำหนดตรวจสารซัลเฟอร์ในลำไยกะทันหัน หวั่นส่งออกไม่ได้-ถูกตีกลับ กระทบชาวสวน-ผู้ประกอบการเจ็บหนัก กระทุ้งเตรียมมาตรการรับมือเพื่ออนาคตหากเจรจาไม่สำเร็จ

 


ญาณธิชา” เรียกร้อง รมว.เกษตรฯ เร่งเจรจาจีน หลังเปลี่ยนข้อกำหนดตรวจสารซัลเฟอร์ในลำไยกะทันหัน หวั่นส่งออกไม่ได้-ถูกตีกลับ กระทบชาวสวน-ผู้ประกอบการเจ็บหนัก กระทุ้งเตรียมมาตรการรับมือเพื่ออนาคตหากเจรจาไม่สำเร็จ


วันที่ 21 สิงหาคม 2568 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ญาณธิชา บัวเผื่อน สส.จันทบุรี เขต 3 พรรคประชาชน ได้ตั้งกระทู้ถามสดด้วยวาจาต่อ อรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรณีเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา จีนมีการเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดเรื่องการตรวจวัดสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ตกค้างในลำไยที่จะส่งออกไปจีนอย่างกะทันหัน โดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า และไม่มีการหารือร่วมกันกับประเทศไทย ส่งผลให้ชาวสวนลำไยภาคตะวันออก ล้ง และผู้ประกอบการส่งออกเกิดความกังวลว่าจะส่งออกลำไยไปยังประเทศจีนไม่ได้


โดยญาณธิชากล่าวว่า จากเดิมตามพิธีสารไทย - จีน กำหนดว่าปริมาณสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ตกค้างในเนื้อต้องไม่เกิน 50 PPM หรือไม่เกิน 50 มิลลิกรัมต่อ 1 กิโลกรัม แต่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วจีนตั้งข้อกำหนดใหม่ว่า จะมีการสุ่มตรวจตัวอย่างลำไยทั้งบริเวณท้ายตู้ กลางตู้และในตู้ ตามระบบที่กำหนด แล้วนำตัวอย่างลำไยส่งห้องปฏิบัติการของศุลกากรจีน ซึ่งห้องปฏิบัติการจะทำการตรวจวิเคราะห์ตัวอย่าง “ทั้งผล” คือนำเปลือกและเนื้อมาปั่นรวมกันแล้วตรวจวิเคราะห์ โดยปริมาณสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ตกค้างสูงสุดต้องไม่เกิน 50 PPM โดยมีระยะเวลาในการตรวจ 3-7 วัน ในระหว่างรอผลตรวจสามารถนำตู้ลำไยออกจากด่านได้ แต่ยังไม่อนุญาตให้ขายจนกว่าผลตรวจจะผ่าน


ข้อความสำคัญอยู่ที่ “ปั่นรวมกันทั้งเปลือกและเนื้อแล้วเอามาตรวจให้ไม่เกิน 50 PPM” ซึ่งล้งยืนยันว่าอย่างไรก็ทำไม่ได้ แต่หากตรวจเฉพาะในเนื้อไม่เกิน 50 PPM แบบเดิมสามารถทำได้ ซึ่งหลายคนอาจสงสัยว่าทำไมลำไยต้องอบสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ เราอบสารซัลเฟอร์เพื่อยืดอายุและรักษาคุณภาพของลำไย ทำให้มีผิวเหลืองสวย เนื้อของลำไยยังคงขาวใส ไม่เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล อยู่ได้นานหลายวัน ไม่เป็นรา ไม่เน่าเสียก่อนถึงมือผู้บริโภค หากอบบางไป จะทำให้ลำไยเน่าเสียระหว่างขนส่ง และเมื่ออบแล้วส่วนใหญ่สารนี้จะตกค้างอยู่ที่เปลือก จึงทำให้เป็นเหตุว่าถ้าเราถูกตรวจแบบทั้งผลไม่เกิน 50 PPM ล้งจึงไม่สามารถทำได้


เพื่อให้เห็นภาพว่าพวกเราจะได้รับผลกระทบมากขนาดไหนหากส่งออกไม่ได้ ต้องดูปริมาณผลผลิตและมูลค่าการส่งออกของลำไย ในปี 2567 ปริมาณผลผลิตลำไยทั้งประเทศอยู่ที่ 1,420,000 ตัน โดยไทยส่งออกลำไยทุกประเภท ทั้งผลสด แช่แข็ง อบแห้ง ไปทั่วโลกอยู่ที่ 647,000 ตัน มูลค่าการส่งออกรวม 27,500 ล้านบาท หากดูเฉพาะลำไยที่เป็นผลสด ไทยส่งออกไปทั่วโลกอยู่ที่ 528,000 ตัน มูลค่าการส่งออกราว 20,000 ล้านบาท และในส่วนของผลสดเป็นการส่งออกไปประเทศจีน 371,000 ตัน มูลค่าการส่งออก 14,300 ล้านบาท ส่วนปี 2568 สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรประมาณการผลผลิตลำไยไว้ที่ 1,550,000 ตัน เป็นลำไยในภาคตะวันออกโดยเฉพาะจังหวัดจันทบุรีและสระแก้ว 456,000 ตัน ซึ่งตอนนี้อยู่ในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว ลำไย 4 แสนกว่าตันนี้เองที่กำลังจะเป็นปัญหา เพราะอาจไม่สามารถส่งออกได้ ถ้าจีนขอตรวจสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์แบบ “ทั้งผล”


มาตรการของจีนที่เปลี่ยนแปลงข้อกำหนดการตรวจสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์อย่างกะทันหัน และไม่เป็นไปตามพิธีสารที่ได้ตกลงกันไว้ ส่งผลกระทบอย่างมากต่อวงจรการซื้อขายลำไย ตนได้ประชุมร่วมกับล้งและผู้ประกอบการส่งออก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนจีนประเมินว่า แม้ว่าจีนจะทำการสุ่มตรวจ ไม่ได้ตรวจทุกตู้เหมือนการตรวจสาร BY2 ในทุเรียน แต่ลำไยที่ส่งออกไปก็อาจจะถูกสุ่มตรวจแล้วพบว่ามีซัลเฟอร์เกิน 50 PPM ได้ ส่งผลทำให้ตู้ลำไยถูกตีกลับมา


ตนขอยกตัวอย่างกรณีที่ได้รับฟังมา ในช่วงที่ผ่านมาล้งแห่งหนึ่งได้ส่งออกลำไยไปแล้ว 40 ตู้ แต่เมื่อประมาณสัปดาห์ที่แล้ว ถูกตีกลับมา 1 ตู้ ตรงกับช่วงที่จีนเปลี่ยนการตรวจวิเคราะห์เป็นแบบตรวจทั้งผล ทำให้ตรวจแล้วมีค่าซัลเฟอร์ไดออกไซด์เกิน 50 PPM แต่ก่อนหน้านี้ 39 ตู้ที่ไม่มีปัญหา เพราะจีนยังตรวจเฉพาะแค่ในเนื้อ ผลการตรวจจึงไม่เกิน


สิ่งที่ล้งเป็นกังวลคือ การที่จีนให้ตรวจวิเคราะห์ทั้งผลไม่เกิน 50 PPM ล้งไม่สามารถทำได้ หากจะตรวจแบบนี้แล้วหวังว่าค่าจะไม่เกิน คือต้องไม่อบเลย และหากจะลดปริมาณการอบให้บางลงกว่าเดิมหรือไม่อบเลย ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะจะทำให้ลำไยเน่าเสียก่อนไปถึงผู้บริโภคที่จีนแน่นอน ในสถานการณ์ปกติจะมีระยะเวลาจากล้งไปหน้าด่านที่จีน ประมาณ 3-4 วัน จากหน้าด่านไปถึงตลาดที่ใกล้ที่สุดอีก 3 วัน รวมแล้วจะถึงตลาดที่จีนประมาณ 7 วัน แต่เมื่อถูกสุ่มตรวจจะต้องรอผลตรวจเพิ่มไปอีกอย่างเร็วสุด 3 วัน กลายเป็น 10 วันแล้ว ยังไม่นับว่าต้องมีเวลาสำหรับวางขายที่ตลาดที่จีน อาจทำให้ลำไยเน่าเสียหายได้


เมื่อเกิดสถานการณ์ความไม่แน่ใจว่าจะส่งลำไยออกไปได้หรือไม่ จะถูกตีกลับหรือไม่ จึงส่งผลให้ล้งส่วนใหญ่ชะลอการจ่ายเงินมัดจำรอบ 2 หลังจากที่ได้วางเงินมัดจำจองสวนไปแล้วก่อนหน้านี้และตอนนี้ก็ยังไม่มีการทำสัญญาล่วงหน้าเพิ่มเติม ทำให้ชาวสวนลำไยไม่มีเงินไปซื้อปุ๋ยยาบำรุงในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเก็บเกี่ยว ส่งผลให้ลำไยอาจมีขนาดเล็กและคุณภาพต่ำลง


สถานการณ์นี้ทำให้ราคาลำไยภาคตะวันออกที่เคยทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้ากันไว้กิโลกรัมละ 30 บาท ตอนนี้ล้งมาขอลดราคาเหลือ 22 บาทเท่านั้น และหากล้งตัดสินใจหยุดซื้อจริงๆ ราคาก็อาจลดลงเหลือเพียงกิโลกรัมละไม่กี่บาท ชะตากรรมของลำไยภาคตะวันออกที่ตอนแรกดูท่าจะไม่ดีอยู่แล้ว เนื่องจากประสบกับปัญหาการขาดแคลนแรงงานในการเก็บ ยังมาถูกซ้ำเติมด้วยปัญหานี้อีก และหากแก้ไขปัญหาไม่ได้ คงมีสภาพไม่ต่างจากลำไยในภาคเหนือที่กิโลกรัมละ 3-5 บาท สุดท้ายพี่น้องชาวสวนลำไยอาจขาดทุนยับเยิน ไม่มีเงินจ่ายหนี้ ธ.ก.ส. ไม่มีเงินไปใช้หนี้ร้านปุ๋ยยา ไม่มีเงินให้ลูกไปโรงเรียน ติดหนี้ติดสินหนักไปอีก


อีกประเด็นสำคัญที่ตนต้องย้ำ คือเรื่องเงื่อนไขด้านเวลา เรื่องนี้ไม่เหมือนทุเรียน ครั้งแรกที่ตนตั้งกระทู้ถามรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรฯ ตอนนั้นเหลือเวลาอีก 4 เดือนกว่าจะถึงช่วงเวลาเก็บเกี่ยว ยังพอมีเวลาเหลือให้ทำงาน แต่กรณีลำไย พอจีนประกาศปุ๊บก็ถึงช่วงฤดูเก็บเกี่ยวพอดี ไม่มีเวลาให้ตั้งตัว เราไม่มีเวลาเหลือแล้ว ต้องเร่งจัดการปัญหาวันนี้ตอนนี้ ไม่เช่นนั้นจะไม่ทันการณ์ ดังนั้นคำถามแรก รัฐมนตรีมีแนวทางในการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้อย่างไร ทำอะไรไปแล้วบ้าง วางแผนจะไปเจรจากับประเทศจีนเร็วที่สุดเมื่อไร และจะเอาอะไรไปเจรจากับประเทศจีน


รมว.เกษตรฯ กล่าวว่า หลายปีที่ผ่านมา การค้าขายโดยเฉพาะเรื่องลำไยระหว่างไทยกับจีน ยึดมั่นในพิธีสารเป็นหลัก แต่วันนี้มีแนวโน้มที่หน่วยงาน อย. ของจีน ซึ่งตนตรวจสอบล่าสุด ยังไม่มีเอกสารราชการแจ้งมาชัดเจนว่าจะใช้มาตรการใดในการตรวจ แต่ได้แจ้งมาที่ตัวแทนของกระทรวงเกษตรฯ ที่กว่างโจวและปักกิ่ง ว่าอาจมีมาตรการเพิ่มหรือเปลี่ยนแปลงการตรวจลำไย จากตรวจที่เนื้อมาตรวจที่เปลือกด้วย


เมื่อวานนี้ (20 ส.ค.) ตนประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สิ่งที่ต้องทำเร่งด่วนคือต้องติดต่อไปที่จีน เพราะความชัดเจนเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ตนเชื่อว่าประเทศไทยมีความพร้อมเรื่องห้องแล็บที่จะสามารถตรวจค่าสารซัลเฟอร์ได้อย่างมีมาตรฐานที่จีนยอมรับได้ แต่ปัญหาคือถ้าตรวจวันนี้ เชื่อว่าจะเกิน 50 PPM จึงต้องพูดคุยว่าระหว่างนี้กระบวนการที่จะส่งไปจีนจะตรวจอย่างไร ซึ่งในเมื่อยังไม่มีเอกสารทางราชการออกมา เชื่อว่าจะเป็นช่องว่างที่ทำให้กระทรวงเกษตรฯ ของไทยเร่งเจรจากับทางจีนในการหาทางออกร่วมกัน สิ่งที่ยืนยันได้คือพร้อมร่วมทำงานกับทุกฝ่ายเพื่อเราจะได้ทำงานแข่งกับเวลา


จากนั้นญาณธิชากล่าวว่า ที่รัฐมนตรีบอกว่ายังไม่มีเอกสารส่งมาอย่างเป็นทางการ ตนได้เห็นเอกสารของฝ่ายเกษตรกรประจำสถานกงสุลใหญ่ ณ นครกว่างโจว ส่งถึงปลัดกระทรวงเกษตรฯ เรื่องการตรวจสอบกักกันลำไยผลสดที่ด่านนำเข้าของจีน เป็นเอกสารระหว่างหน่วยงานของไทยด้วยกัน


คำถามที่สองของตน คือรัฐมนตรีมีแนวทางในการบริหารจัดการล้งหรือผู้ประกอบการในประเทศอย่างไร ไม่ให้อบสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์เกินค่ามาตรฐาน จะมีคู่มือหรือคำแนะนำเพื่อให้ความรู้กับล้งหรือไม่ว่าควรอบอย่างไร มีสารใดทดแทนหรือไม่ หากเจรจาสำเร็จในอนาคตมีมาตรการอย่างไรไม่ให้ล้งอบเกินค่ามาตรฐาน


รมว.เกษตรฯ กล่าวว่า ตนได้รับเอกสารตามที่ สส.ญาณธิชา เอ่ยถึงเช่นกัน แสดงให้เห็นว่าเรารับทราบสถานการณ์ว่าเป็นอย่างไร และประเมินว่าอาจจะเกิดอะไรขึ้น สำหรับมาตรการต่างๆ ในระยะสั้นอาจต้องดูความเป็นไปได้ในการหาซอฟต์โลนเพื่อให้ผู้ประกอบการรับซื้อลำไยที่กำลังออกมาในภาคตะวันออก โดยเฉพาะจำนวน 7,500 ตันในเดือนนี้


ตอนนี้เรารู้โจทย์จากทางจีนประมาณ 90% การเร่งเจรจาพูดคุยเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ต้องให้เวลาเพื่อผู้ประกอบการและชาวสวนได้ปรับตัว เป็นไปได้ว่าถ้าเขาจะบังคับใช้ เราอาจขอขยายระยะเวลา แต่ถ้าขอไม่ได้ อาจต้องมีขั้นตอนว่าเราต้องทำอะไรบ้าง ถ้าไม่รู้โจทย์ว่าเขาให้เราทำอะไร แม้มีคู่มือก็อาจไม่สามารถตอบโจทย์หรือปัญหาความกังวลใจของพี่น้องชาวสวนลำไยและผู้ประกอบการได้


ญาณธิชากล่าวว่า คำถามสุดท้าย หากไม่สามารถเจรจาได้ผลสำเร็จ ไม่สามารถส่งออกได้จริงๆ ท่านมีแนวทางจัดการกับผลผลิตลำไยภาคตะวันออกประมาณ 4 แสนตันอย่างไร โดยเฉพาะในช่วงเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ ที่จะออกมาประมาณ 30,000 ตัน และมีแนวโน้มเจรจากับจีนประมาณเมื่อไร เพราะผู้ประกอบการและชาวสวนเป็นกังวล ขอฝากความหวังไว้ที่รัฐมนตรี


รมว.เกษตรฯ กล่าวว่า เมื่อวานนี้ที่ได้พูดคุยกับผู้บริหารกระทรวงเกษตรฯ ได้ให้คนที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับทางการจีนทำนัดเรื่องเวลาเข้าพบแล้ว ถ้าได้ผลอย่างไรจะมาแจ้งโดยเร็วที่สุด แต่เชื่อว่าด้วยความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างไทยกับจีน จะเป็นการพูดคุยทางการค้า ไม่ใช่เป็นศัตรู และจีนน่าจะเข้าใจ เพราะความต้องการของผู้บริโภคประเทศจีนให้ความเชื่อมั่นกับสินค้าทางการเกษตรของประเทศไทย


ส่วนผลผลิตลำไย 30,000 กว่าตันในภาคตะวันออกที่จะออกมาใน 2-3 เดือนนี้ ตนเชื่อว่ารัฐบาลไม่ปล่อยให้พี่น้องชาวสวนลำไยเดียวดาย คงมีการพูดคุยหารือหาทางออก ถ้าจำเป็นต้องใช้งบประมาณ เชื่อว่ารักษาการนายกรัฐมนตรีเข้าใจปัญหาเป็นอย่างดีที่จะนำงบประมาณซึ่งเป็นภาษีของประชาชนมาใช้ในส่วนนี้เพื่อดูแลแก้ไขปัญหาเบื้องต้นให้กับพี่น้องชาวสวนลำไย

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #กระทรวงเกษตร #ลำไย