วันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

เปิดเงื่อนไขศาลปล่อยตัว "อานนท์" 3 เดือนถึง 28 พ.ค. นี้

 


เปิดเงื่อนไขศาลปล่อยตัว "อานนท์" 3 เดือนถึง 28 พ.ค. นี้


วันนี้ (28 ก.พ. 65) ศาลอาญากรุงเทพใต้ออกเอกสารข่าวเผยเเพร่คำสั่งประกันนายอานนท์ นำภา ความว่า นายนรเศรษฐ นาหนองตูม ทนายความได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว นายอานนท์ นำภา จำเลยในคดีหมายเลขดำที่ อ1671/2564 และในคดี หมายเลขดำที่ อ1802/2564 ของศาลอาญากรุงเทพใต้ ทางสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศ ผ่านระบบ บริการออนไลน์ศาลยุติธรรม (Court Integral Online Service : CIOS)


ซึ่งคณะผู้บริหารของศาลอาญากรุงเทพใต้ ได้ร่วมกันพิจารณาคำร้องขอปล่อยชั่วคราวและเอกสารประกอบแล้ว มีคำสั่งดังนี้ “เห็นว่าแม้จำเลยเคยปฏิบัติผิดเงื่อนไขการขอปล่อยตัวชั่วคราวและศาลเพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราวมาแล้วครั้งหนึ่ง จนจำเลยต้องถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำจนถึงปัจจุบัน การที่จำเลยยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวในวันนี้ โดยอ้างเหตุผลและสมัครใจเสนอเงื่อนไข การขอปล่อยตัวชั่วคราวมาหลายข้อว่า จำเลยจะไม่กระทำการใดอันทำให้เกิดความเสื่อมเสียต่อสถาบันพระมหากษัตริย์และจะไม่ก่อความวุ่นวายในบ้านเมืองอีกและจะปฏิบัติตามเงื่อนไข ของศาลอย่างเคร่งครัดนั้น การที่จำเลยเสนอเงื่อนไขมาจึงน่าเชื่อว่าเงื่อนไขดังกล่าวน่าจะควบคุม พฤติกรรมของจำเลยได้ว่า หากปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยจะไม่ไปก่อภัยอันตรายหรือก่อความเสียหาย ที่เกิดจากการปล่อยตัวชั่วคราวอีก ดังนี้ จึงเห็นควรให้โอกาสจำเลยปฏิบัติตามเงื่อนไขที่เสนอต่อศาล สักช่วงเวลาหนึ่ง มีกำหนด 3 เดือน (ครบกำหนดวันที่ 28 พฤษภาคม 2565)


ตีราคาหลักประกัน 200,000 บาท ยึดหลักประกัน ทำสัญญาประกัน ให้ตรวจคืนหลักประกันเมื่อสัญญาประกันสิ้นสุด ระหว่างปล่อยตัวชั่วคราวโดยมีกำหนดเวลา เห็นควรกำหนดเงื่อนไข ดังนี้


1. ห้ามจำเลยทำกิจกรรมหรือกระทำการใด ๆ ที่อันจะทำให้เกิดความเสื่อมเสีย หรือด้อยค่าต่อสถาบันพระมหากษัตริย์และสถาบันศาลในทุกด้าน


2. ห้ามจำเลยกระทำการใด ๆ อันเป็นการขัดขวางกระบวนพิจารณาคดีของศาล


3. ห้ามจำเลยโพสต์ข้อความที่เป็นการยั่วยุ ปลุกปั่น หรือชักชวนให้มวลชนเข้าร่วม


4. ห้ามจำเลยทำกิจกรรมชุมนุมในสื่อโซเชียลมีเดียหรือเข้าร่วมชุมนุมที่อาจก่อให้เกิดความวุ่นวาย ในบ้านเมือง


5. ห้ามจําเลยออกนอกเคหสถานในช่วงเวลา 19.00 น. - 06.00 น. ของวันใหม่ เว้นแต่มีเหตุจำเป็นเพื่อการรักษาพยาบาลหรือได้รับอนุญาตจากศาล


6. ห้ามจำเลยเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาล


7. ให้จําเลยมารายงานตัวต่อศาลทุก ๆ 30 วัน นับแต่วันที่ปล่อยตัวชั่วคราว (วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565)


8. ให้จำเลยติดอุปกรณ์ติดตามตัวอิเล็กทรอนิกส์ EM เพื่อจำกัดระยะเวลาเดินทาง ศาลอาญากรุงเทพใต้


ขอชี้แจ้งต่อสื่อมวลชนว่า เนื่องจากจําเลยเสนอเงื่อนไข รวมถึงให้คำมั่นว่าจะปฏิบัติตามเงื่อนไข ดังนั้น ศาลจึงเห็นควรให้โอกาสจำเลย โดยการปล่อย ตัวชั่วคราวอันมีเวลาจำกัดเพียง 3 เดือน เมื่อครบกำหนดแล้ว นายอานนท์ นำภา ต้องถูกกักขัง ณ ทัณฑสถานบำบัดพิเศษกลาง เว้นแต่จะมีการยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวอีกครั้งหนึ่ง


อนึ่ง หากนายอานนท์ นําภา ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขดังกล่าวศาลอาจมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง หรือเพิกถอนคำสั่งให้ปล่อยตัวชั่วคราวอันมีเวลาจำกัดและเมื่อครบกำหนดปล่อยตัวชั่วคราว ให้ นายอานนท์ นำภา มารายงานตัวต่อศาลและให้ผู้ประกันส่งตัว นายอานนท์ นำภาต่อศาลในวันที่ 28 พ.ค.65 เวลา 10.00 น. ซึ่งการกำหนดเงื่อนไขให้ปฏิบัตินั้นเป็นการกำหนดตามที่นายนรเศรษฐ นาหนองตูม ทนายความของนายอานนท์ นำภา เสนอต่อศาลและนายอานนท์ นำภา ยินยอมที่จะปฏิบัติตามโดยสมัครใจ หากศาลกำหนดเงื่อนไขดังกล่าว


#ปล่อยเพื่อนเรา #อานนท์

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์

ด่วน ศาลอาญากรุงเทพใต้ให้ประกัน อานนท์ เเล้ว ทนายด่างเผยปล่อยเรือนจำเย็นนี้

 


ด่วน ศาลอาญากรุงเทพใต้ให้ประกัน อานนท์ เเล้ว ทนายด่างเผยปล่อยเรือนจำเย็นนี้


วันนี้ (28 ก.พ. 65) เมื่อเวลา 16.20 น.นายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความ เปิดเผยว่าภายหลังทางทีมทนายความได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวนายอานนท์ นำภา เเกนนำราษฎรในคดีการชุมนุมที่อยู่ในศาลอาญากรุงเทพใต้ที่เหลืออยู่ 1 สำนวน


หลังจากเมื่อวันที่ 23 ก.พ.ที่ผ่านมา ศาลอาญากรุงเทพใต้เคยมีคำสั่งยกคำร้องไม่ให้ประกัน ว่า เมื่อสักครู่ได้ทราบข่าวจากทีมทนายความว่าศาลอาญากรุงเทพใต้มีคำสั่งอนุญาตให้ประกันนายอานนท์เเล้ว เเละเมื่อทำสัญญาประกันเสร็จสิ้นจะได้ปล่อยตัวที่เรือนจำวันนี้ 


ต่อมา ทวิตเตอร์ของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนได้ทวิตข้อความว่า 


ศาลระบุ "การที่จำเลยยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว โดยสมัครใจเสนอเงื่อนไขว่า จําเลยจะไม่กระทําการใดอันที่เสื่อมเสียต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ -ไม่ก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง จึงน่าเชื่อว่าหากปล่อยตัว จะไม่ไปก่อภัยอันตรายอีก จึงเห็นควรให้โอกาสจําเลยปฏิบัติตามเงื่อนไขโดยมีกําหนด 3 เดือน"


ทั้งนี้ เมื่อครบกําหนดแล้ว "อานนท์" จะต้องถูกกักขัง ณ ทัณฑสถานบําบัดพิเศษกลางอีก เว้นแต่จะมีการยื่นคําร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวอีกครั้งหนึ่ง


ทั้งนี้ มีพี่น้องประชาชนรวมทั้งผู้สื่อข่าว ทยอยเดินทางไปรอรับ "อานนท์" ที่ เรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานคร


#ปล่อยเพื่อนเรา #อานนท์

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์

ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พบพี่น้องประชาชนและแฟนคลับผ่านทาง Facebook Live #เป็นอย่างไรกันบ้าง

 


ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พบพี่น้องประชาชนและแฟนคลับผ่านทาง Facebook Live #เป็นอย่างไรกันบ้าง


วันนี้ (28 ก.พ. 65) เวลา 10.00 น. ที่แฟนเพจเฟซบุ๊ก Yingluck Shinawatra ได้มีการสนทนาตอบคำถามที่แฟนเพจของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ส่งคำถามมา โดยมี นายพงศ์เกษม สัตยาประเสริฐ หรือ กาย อดีตโฆษกพรรคไทยรักษาชาติ และอดีตผู้ประกาศข่าวโทรทัศน์ เป็นคู่สนทนา


เปิดการสนทนาด้วยการกล่าวถึงเพลงที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ฯ ขับร้องเอง ชื่อเพลง “เพลงของเธอ” ซึ่งเธอได้เลือกเพลงนี้เพราะมีความหมายดีและสื่อถึงความรู้สึกในใจได้ชัดเจน และเนื่องจากเธอไม่ได้พบเจอพี่น้องประชาชนและแฟนคลับมานาน จึงรู้สึกคิดถึงและอยากจะถามว่าเป็นอย่างไรกันบ้าง นั่นจึงเป็นที่มาของ #เป็นอย่างไรกันบ้าง ในขณะนี้


น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ตนมาอยู่ต่างประเทศเกือบ 4 ปีแล้ว ไม่น่าเชื่อวันเวลาผ่านไปเร็วมาก จะบอกว่าสบายดีมันก็คงไม่ใช่ เพราะว่าคนเราจากบ้านเกิด จากสิ่งที่เราเคยทำมาทุกวันก็กลับมาอยู่ ๆ ก็ว่างงาน ต้องห่างบ้านห่างเมือง ไม่ได้เจอญาติพี่น้องเพื่อนฝูงคนรู้จัก ก็คิดถึง แต่เราก็คงต้องทำอย่างไรให้เราดำรงอยู่ให้ได้ และได้จำคำสอนของพี่โทนี่ (ทักษิณ ชินวัตร) ที่บอกว่า “น้อง เวลามาอยู่นี่นะ เราต้องรักษาสุขภาพ ทำตัวเองให้มีความสุขเพื่อคนที่รักของเรา” นั่นคือสิ่งแรกที่ต้องทำ ถามว่าอยู่ได้ แต่ใจน่ะมันคิดถึงคนไทยอยู่ตลอดเวลา


อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ได้ติดตามสถานการณ์ทางประเทศไทยมาตลอด เป็นห่วงพี่น้องประชาชน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ ราคาสินค้าที่แพงขึ้น แต่เงินในกระเป๋ารายได้ของพี่น้องประชาชน ค่าแรงงาน ไม่ได้ขึ้น อยู่ในภาวะที่ยากลำบาก แล้วยังเจอกับโควิดระบาดเหมือนเป็นการซ้ำเติม หวังให้ทุกคนเข้มแข็ง และขอร้องรัฐบาลปัจจุบันให้ช่วยพี่น้องประชาชน


ตอบคำถามว่าอยากจะเป็นนายกฯ อีกสักรอบไหม น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ตอนนี้ก็ 50 กว่าแล้ว ใกล้ปลดระวางแล้ว จริง ๆ แล้วการเป็นนายกฯ อยู่ที่พี่น้องประชาชน ฟังเสียงพี่น้องประชาชนว่าอยากให้ใครมาบริหารประเทศ และประเทศไทยก็มีคนมีความรู้ความสามารถมาก สำหรับตัวเองไม่ว่าสถานะไหนก็อยากจะช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในฐานะที่ประเทศไทยเป็นบ้านเกิด มีความรักความผูกพัน แม้ตัวจะอยู่ต่างแดนก็แต่ใจอยู่ประเทศไทยตลอดเวลา


น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้กล่าวถึงนโยบายเมื่อครั้งเคยดำรงตำแหน่งนายกฯ ว่า ตอนนั้นมีนโยบายหลายตัวที่ออกไปแล้วก็คงต้องสานต่อให้เสร็จ โดยเฉพาะโครงการใหญ่ ๆ เช่น โครงการ 2 ล้านล้าน, รถไฟความเร็วสูง, การบริหารจัดการน้ำ ตอนเป็นรัฐบาลปีที่ 3-4 เตรียมที่คิดถึงการวางอนาคตข้างหน้าแล้ว ช่วงปีแรก ๆ มุ่งแก้ไขปัญหา เรื่องหนี้สินหรือรายได้ให้พี่น้องประชาชน วางไปถึงเรื่องยุทธศาสตร์จังหวัดเพื่อสร้างความแตกต่างในแต่ละจังหวัด เป็นการกระจายความเจริญจากเมืองหลวงไปยังภูมิภาคต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกัน ก็พยายามทำอยู่ แต่สุดท้ายก็ไม่มีโอกาสได้สานต่อ นโยบายบางตัวที่ได้ริเริ่มไปก็ถูกยกเลิกไป


ตอบคำถามกรณีเป็นนายกฯ หญิงคนแรกและรัฐมนตรีกลาโหมของประเทศไทย ซึ่งตอนนี้เป็นอดีตไปแล้ว น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ในฐานะนายกรัฐมนตรี ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายนั้นยากอยู่แล้ว ซึ่งขณะที่ตนเป็นอยู่ในช่วงที่มีความขัดแย้งด้วย ช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวยก็เยอะ รวมทั้งหนี้สินของพี่น้องประชาชน ตรงนี้ก็ยากอยู่แล้วในเรื่องของปัญหาเศรษฐกิจ พอมาเป็นผู้หญิงยิ่งลำบากกว่า การคาดหวังต่าง ๆ มีเยอะ เพราะบางทีเขาไม่ได้มองว่าเราจะอาศัยความรู้ความสามารถหรือประสบการณ์ของเรามาทำตามความตั้งใจจริง บางทีก็มัวแต่ไปมองเรื่องของเพศหญิงว่าทำไม่ได้ อ่อนแอบ้าง เราต้องอดทน ต้องทำงานหนักเป็นสองเท่าเพื่อพิสูจน์ว่าเราทำได้ ความเป็นผู้หญิงไม่ได้ทำให้งานลดน้อยถอยลงไป โดยเฉพาะการเป็นรัฐมนตรีกลาโหมมันท้าทายมากที่ต้องทำงานกับเหล่าทัพ ซึ่งตนเองมีความหนักใจ ตนต้องใช้ข้อกฎหมายในการสั่งงาน เพราะอยู่ ๆ ไปสั่งตรง ๆ เขาก็คงจะไม่ทำ เพราะเขามองว่าเราเองไม่มีอำนาจบางส่วน


ตอบคำถามกรณี ถ้าเจอหน้าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะยังคุยกันได้อยู่หรือไม่? น.ส.ยิ่งลักษณ์ ตอบว่า ต้องถามพล.อ.ประยุทธ์ฯ ว่าเจอหน้ายิ่งลักษณ์ ยังคุยกันได้อยู่หรือเปล่า?


นอกจากนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังได้พูดถึงโครงการ UCEP (ยูเซป) เป็นโครงการที่ตนเองก่อนมาเป็นนายกฯ ได้ไปเยี่ยมชาวบ้านตามโรงพยาบาลและทราบว่าพี่น้องประชาชนในกรณีฉุกเฉินไม่สามารถที่จะใช้ประกันหรือเบิกจ่ายได้ ซึ่งอาจจะเสียชีวิตไปได้ระหว่างที่รอนั้น เลยติดอยู่ในใจว่าเราจะขอต่อยอดจาก 30 บาทรักษาทุกโรคที่มีอยู่ พอได้เป็นรัฐบาลแล้วจึงมีการประชุมบูรณาการทั้ง 3 กองทุนนี้ให้ได้สิทธิตรงนี้ เรียกว่าบริการแพทย์ฉุกเฉิน คือป่วยที่ไหน ฉุกเฉินภายใน 72 ชม. รักษาได้ทุกโรงพยาบาล รวมทั้งโรงพยาบาลเอกชนด้วย ซึ่งตอนนั้นตามสถิติก็สามารถช่วยผู้คนได้


ในส่วนเรื่องค่าครองชีพปัจจุบัน น.ส.ยิ่งลักษณ์ แสดงความเห็นว่า จริง ๆ รัฐบาลต้องดูแลและคำนวณว่า ค่าครองชีพในปัจจุบันจะทำอย่างไรให้ผู้ใช้แรงงานเพียงพอแก่การยังชีพอยู่ได้ รัฐบาลต้องดูว่าค่าครองชีพที่สูงขึ้น จะเพิ่มค่าแรงได้อย่างไร แต่จะไม่ถาวรเท่าต้องสร้างรายได้ให้กับประเทศ ให้กับทุกคน ทำให้ประเทศมีรายได้ มีนักท่องเที่ยวมา ภาคธุรกิจก็จะดีขึ้น จะขึ้นค่าแรงอย่างเดียวไม่ได้ ต้องทำทั้งสองอย่างควบคู่กันไป


สุดท้าย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ฝากถึงผู้ที่ติดตามและให้กำลังใจมาตลอด โดยกล่าวว่า ขอบคุณแฟนเพจทุกคนที่เข้ามาฟัง วันนี้ได้หายคิดถึง ได้มีโอกาสได้พูดบอกความรู้สึกของตัวเองกับทุกคน สิ่งที่อยากจะบอกคือวันนี้ไม่ได้อยู่บ้านเกิดมา 4 ปีแล้ว เป็นปกติที่เราจะคิดถึงกัน ไม่ว่าฝนจะตกที่ไหน คนทางนี้ก็ต้องคิดถึงและอยากรู้เรื่องราว ถ้าบ้านเรามีความทุกข์ยากลำบาก คนที่อยู่ทางนี้ ดิฉันเอง พี่โทนี่เอง ก็รู้สึกสะเทือนใจและเป็นห่วงทุกคน และถ้ามีอะไรก็อยากจะเล่าสู่กันฟัง แม้จะทำอะไรไม่ได้ แต่กำลังใจหรือการอยู่เคียงข้างจะไม่มีวันลืม อะไรที่ทำเพื่อพี่น้องประชาชนได้ ดิฉันยินดีค่ะ ขอให้พี่น้องประชาชนทุกคนอดทน รักษาสุขภาพให้ดี แล้ววันหนึ่งก็เชื่อว่าความอดทนความเข้มแข็งของเราก็จะประสบผลสำเร็จและเจอกับสิ่งที่ดี ๆ หวังว่าวันหนึ่งประเทศไทยจะได้มีโอกาสลืมตาอ้าปาก พี่น้องประชาชนจะมีรายได้ที่ดี ดิฉันขอเป็นกำลังใจให้ค่ะ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวในที่สุด


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์




วันอาทิตย์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

ชาวยูเครนในประเทศไทย เดินขบวนจากสวนลุมพินีไปยังสวนเบญจกิติ แสดงจุดยืนไม่เอาสงคราม จี้ “รัสเซีย” ยุติสงคราม บรรยากาศสุดคึกคัก! ที่เชียงใหม่ก็จัดกิจกรรมเช่นกัน

 


ชาวยูเครนในประเทศไทย เดินขบวนจากสวนลุมพินีไปยังสวนเบญจกิติ แสดงจุดยืนไม่เอาสงคราม จี้ “รัสเซีย” ยุติสงคราม บรรยากาศสุดคึกคัก!


วันนี้ (27 ก.พ. 65) ที่สวนลุมพินี ชาวยูเครนในประเทศไทยได้นัดรวมตัวกันแสดงจุดยืนในการทำกิจกรรมเดินขบวนแสดงออกเชิงสัญลักษณ์เกี่ยวกับสถานการณ์วิกฤติระหว่างยูเครนและรัสเซีย เรียกร้องให้รัสเซียยุติสงคราม


บรรยากาศการแสดงออกในวันนี้มีผู้ชาวยูเครนในประเทศไทยและผู้สนับสนุนยืนข้างยูเครนเข้าร่วมกว่า 200 คน มีการเพ้นท์หน้ารูปธงชาติยูเครนและถือป้ายข้อความข้อเรียกร้องต่าง ๆ ในการการรณรงค์ไม่เอาความรุนแรง, ไม่เอาสงคราม โดยเริ่มเดินจากสวนลุมพินีไปยังสวนเบญจกิติ โดยใช้เส้นทางสะพานเขียว จากนั้นจึงยุติการชุมนุม


ทั้งนี้ พ.ต.อ.นิมิตร นูโพนทอง ผกก.สน.ลุมพินี พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ลุมพีนี ได้เข้ามาดูแลความเรียบร้อยในพื้นที่ พร้อมเปิดเผยว่า กิจกรรมดังกล่าวสามารถทำได้ตามสิทธิ แต่ต้องรักษาระยะห่าง และระวังการรวมกลุ่ม เนื่องจากประเทศไทยมีกฎหมายเกี่ยวกับมาตรการโควิด-19


นอกจากการเคลื่อนไหวของชาวยูเครนในกรุงเทพฯ แล้ว วันนี้ที่ประตูท่าแพ จ.เชียงใหม่ ก็มีรวมตัวกันทำกิจกรรมเรียกร้องไม่เอาสงคราม และต้องการให้รัสเซียยุติการรุกรานยูเครนทันที

 

#Ukraine #ยูเครน

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ 









วันเสาร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

เปิดตัวภาคีสหาย

 


เปิดตัวภาคีสหาย 


วันนี้ (26 ก.พ. 65) เวลา 20.12 น. กลุ่มภาคีสหาย จัดกิจกรรมบริเวณข้างศาลฎีกา ถนนราชดำเนินกลาง ชวนเชิญประชาชนพิมพ์ข้อความอะไรก็ได้ระบายความรู้สึกของประชาชน โปรยลงบนหน้าบ้านของตนเอง หรือสถานที่ผ่านไปมา เชื่อว่าจะเป็นอีกก้าวสำคัญในการแสดงแสนยานุภาพของประชาชนว่าเราจะไม่ทนกับผู้ปกครองเผด็จการอีกแล้ว 


โดยกล่าวว่า มีนาคม จะพบกับการเคลื่อนไหวของภาคีสหายทั่วประเทศ โดยเฉพาะสถานที่สำคัญ ๆ ที่นักสู้เพื่อประชาธิปไตยได้เสียชีวิตจากการต่อต้านอำนาจเผด็จการ  พร้อมประกาศโครงสร้างการเมืองการปกครองคือต้นตอปัญหาประเทศ


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ภาคีสหาย









"เพนกวิน" โพสต์ขอบคุณน้ำใจพี่น้องทุกท่าน ทำให้ผ่านเรื่องต่าง ๆ มาได้ อยากให้เพื่อนที่ยังถูกขังได้ออกมาพิสูจน์ด้วยกันว่าสิ่งที่เราสู้เป็นความจริง ไม่ใช่เรื่องบิดเบือนอย่างที่เขายัดเยียดเรา

 


"เพนกวิน" โพสต์ขอบคุณน้ำใจพี่น้องทุกท่าน ทำให้ผ่านเรื่องต่าง ๆ มาได้ อยากให้เพื่อนที่ยังถูกขังได้ออกมาพิสูจน์ด้วยกันว่าสิ่งที่เราสู้เป็นความจริง ไม่ใช่เรื่องบิดเบือนอย่างที่เขายัดเยียดเรา


วันนี้ (26 ก.พ. 65) ที่เพจเฟซบุ๊ก เพนกวิน - พริษฐ์ ชิวารักษ์ Parit Chiwarak ได้มีการโพสต์แสดงความขอบคุณพี่น้องราษฎร, ผู้เกี่ยวข้องทุกคนที่ทำให้ตนผ่านเรื่องราวต่าง ๆ มาได้ โดยมีความว่า


พี่น้องราษฎรที่เคารพ


หลังจากได้นอนพักผ่อนกายใจเมื่อวานนี้ ผมรู้สึกว่าผมยังติดค้างคำขอบคุณสำหรับน้ำใจของพี่น้องทุกท่านในช่วงครึ่งปีทรหดที่ผ่านมานี้ มันเป็นช่วงเวลาที่ผมต้องเผชิญกับเรื่องราว อารมณ์ ความรู้สึก และความยากลำบากหลายอย่าง หากผมไม่ได้รับความช่วยเหลือ การสนับสนุน และกำลังใจจากพี่น้องทุกท่าน ผมคงไม่สามารถผ่านมันมาได้


ร่วมเจ็ดเดือนที่ไม่มีอิสรภาพ และถูกบีบคั้นจากทุกทาง กำลังใจคือสิ่งที่สำคัญ ซึ่งพี่น้องทุกท่านได้เติมให้ผมเรื่อย ๆ ทั้งจากที่พี่น้องออกมาชุมนุมในครั้งต่าง ๆ จนผมได้ทราบข่าวคราว ทั้งจากที่พี่น้องร่วมกันลงชื่อเรียกร้องให้ยกเลิกมาตรา 112 ทั้งจากพี่น้องที่เขียนจดหมายมาถึงผม บางท่านเขียนถึงผมมาหลายฉบับ ผมรู้สึกดีใจทุกครั้งที่ได้อ่าน และที่สำคัญ การเคลื่อนไหวของพี่น้องมวลชนยืนหยุดขัง ทุกครั้งที่ผมนั่งรถจากศาลกลับมาเรือนจำผ่านมาเห็นพี่น้องยืนทำกิจกรรมที่หน้าเรือนจำ หัวใจของผมจะชื่นฉ่ำขึ้นมาอีกครั้ง และทุกครั้งที่ผมได้ยินเสียงพลุจากหน้าเรือนจำ หัวใจของผมก็ฟูไปตามเสียงพลุเช่นกัน กระทั่งวันท้าย ๆ แห่งการจองจำ การระดมทุนประกันตัวก็ส่งผลต่อกำลังใจของผมมาก ผมต้องขอขอบคุณพี่น้องมวลชนทุกท่าน ณ ที่นี้


นอกจากนี้ผมยังต้องขอขอบคุณทีมงานทนายความที่คอยช่วยดำเนินงานด้านคดีความต่าง ๆ รวมถึงดูแลสวัสดิภาพในเรือนจำของผม และขอขอบคุณอาจารย์ทุกท่านที่ช่วยเหลือผมเรื่องหนังสืออ่านและเอกสารประกันตัว โดยเฉพาะในครั้งล่าสุดนี้ที่ทางมหาวิทยาลัยได้อนุเคราะห์เอกสารให้ผมในเวลาอันรวดเร็ว ต้องขอขอบคุณอาจารย์เป็นอย่างยิ่งครับ


ที่สำคัญ สหายร่วมอุดมการณ์ร่วมชะตากรรมในเรือนจำได้ช่วยประคับประคองซึ่งกันและกันให้ผมฝ่าฟันออกมาได้ถึงวันสุดท้าย ทั้งพี่ไผ่ พี่ไมค์ ที่ได้ประกันออกมาก่อนหน้านี้ และพี่อานนท์ พี่อาทิตย์ พี่อาร์ต ที่ยังอยู่ข้างใน ผมอยากให้ทุกคนได้ออกมาใช้ชีวิตที่มีอิสรภาพและความเป็นมนุษย์ด้วยกันข้างนอกนี้ โดยเฉพาะพี่อานนท์ซึ่งเราต่างรู้ว่าเป็นคนที่มีอุดมการณ์มั่นคง เด็ดเดี่ยวมากที่สุดคนหนึ่ง ผมเองอยากให้พี่อานนท์ยื่นประกันตัวออกมา อย่างน้อย ๆ ให้พี่ได้ออกมาพักผ่อนอยู่กับครอบครัวที่พี่คิดถึง ได้พักกายพักใจใคร่ครวญสิ่งสำคัญ ๆ และจะได้มาช่วยกันดูคดีความที่กำลังดำเนินไปเรื่อย ๆ ในตอนนี้ เราทุกคนคิดถึงพี่และอยากให้พี่ได้รับอิสรภาพและความเป็นมนุษย์คืนมา ออกมาพิสูจน์ด้วยกันว่าสิ่งที่เราสู้มันเป็นความจริง ไม่ใช่เรื่องบิดเบือนอย่างที่เขากล่าวหายัดเยียดเรา


สุดท้าย ผมขอขอบคุณทุกท่านอีกครั้ง ผมก็ยังคงเป็นผม และความจริงก็ยังคงเป็นความจริง เรายังไม่ยอมย่อมไม่แพ้ และความเปลี่ยนแปลงย่อมเป็นสิ่งจีรัง


#เพนกวิน #UDDnews #ยูดีดีนิวส์

“เนติวิทย์” ออกแถลงการณ์ส่วนตัว กรณีถูกปลดจากตำแหน่ง ชี้! คนที่น่าสงสารคือคณะกรรมการตัดสิน รองอธิการบดี และผู้บริหารมหาวิทยาลัย คงเสพข่าวไม่กี่ช่องทาง ไม่เคยรับฟังความเห็นของนิสิตทั่วไป

 


“เนติวิทย์” ออกแถลงการณ์ส่วนตัว กรณีถูกปลดจากตำแหน่ง ชี้! คนที่น่าสงสารคือคณะกรรมการตัดสิน รองอธิการบดี และผู้บริหารมหาวิทยาลัย คงเสพข่าวไม่กี่ช่องทาง ไม่เคยรับฟังความเห็นของนิสิตทั่วไป


ภายหลังจากมีคำสั่งของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ 0821/1565 เรื่องลงโทษตัดคะแนนความประพฤตินิสิต และมีผลให้ “เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล” ซึ่งปัจจุบันเป็นนายกสโมสรนิสิตจุฬาฯ ต้นต้นจากการดำรงตำแหน่งโดยทันทีนั้น


วันนี้ (16 ก.พ. 65) ที่เพจเฟซบุ๊ก Netiwit Ntw ได้มีการโพตส์แถลงการณ์ส่วนตัว เกี่ยวกับกรณีดังกล่าว ความว่า


"แถลงการณ์ส่วนตัวกรณีถูกปลดจากตำแหน่งนายกสโมสรนิสิตจุฬาฯ"

"Personal Statement on Being Dismissed from office of President of Students Government" (See full English version below.)

____________________________________

วันนี้ผมได้เข้าไปรับทราบคำสั่งของชัยพร ภู่ประเสริฐ รองอธิการบดีจุฬาฯ ที่ได้สั่งตัดคะแนนพฤติกรรม ผมและอุปนายกคนที่ 1 ขององค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (อบจ.) เนื่องจากที่ผมเชิญเพนกวิน รุ้ง และอ.ปวิน มากล่าวต้อนรับนิสิตใหม่ในงานปฐมนิเทศ คำสั่งนี้ทำให้ผมหมดคุณสมบัติที่จะดำรงตำแหน่งนายกสโมสรนิสิตจุฬาฯ โดยทันที หรืออีกนัยคือ ผมถูกผู้บริหารมหาวิทยาลัยก่อรัฐประหารแล้ว พวกเขาไม่สนใจไยดีคะแนนเสียงนิสิตมากกว่าหมื่นคนที่เลือกผมเข้ามาทำหน้าที่นี้ แสดงให้เห็นชัดเจนว่าผู้บริหารมหาวิทยาลัยอันทรงเกียรตินี้ไม่เคารพหลักการเสรีภาพและประชาธิปไตย


อันที่จริง ผลลัพธ์นี้มิใช่เรื่องน่าประหลาดใจนัก ใครก็ตามที่กล้าพอจะมีกระดูกสันหลังในสังคมซึ่งนิยมการหมอบคลานนี้ก็ต้องถูกผู้มีอำนาจข่มเหงอยู่แล้ว เรื่องน่าอัปยศก็คือ ผู้บริหารมหาวิทยาลัยกลับมิได้อยู่ฝ่ายคนที่ต่อสู้เพื่อเสรีภาพประชาธิปไตยและมิได้มีจุดยืนอยู่ข้างพุทธิปัญญา หากแต่เชื่อฟังและโอนอ่อนผ่อนตามอำนาจนำของฝ่ายเผด็จการ


อนึ่ง ชัยพร ภู่ประเสริฐ รองอธิการบดีที่เซ็นคำสั่งลงโทษผมเป็นคนเดียวกับประธานคณะกรรมการตัดสินลงโทษผมและเพื่อนๆ ให้หลุดออกจากตำแหน่งประธานสภานิสิตในปี 2017 จนผมฟ้องศาลปกครองชนะจึงได้รับคะแนนกลับมาลงเลือกตั้งอีกครั้ง การที่เขาและพรรคพวกจะปลดผมอีกครั้งไม่ใช่เรื่องผิดคาด


แต่เรื่องที่ผมผิดคาดอย่างเดียวคือ ปีการศึกษานี้เป็นที่ยากลำบากที่สุด จากโรคระบาดโควิดทำให้สังคมแทบทุกด้านย่ำแย่ ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีนิสิตอย่างน้อย 8 คนเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายจากปัญหาสุขภาพจิต และมีนิสิตอีก 30 คนอาจจะถูกรีไทร์เพราะการเรียนออนไลน์ แม้ว่าครอบครัวทุกคนได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ มหาวิทยาลัยกลับลดค่าเทอมให้เพียงร้อยละ 10 ทั้งกิจกรรมต่างๆก็ถูกห้ามจัด แทนที่มหาวิทยาลัยจะใช้ “ยุทธศาสตร์” แก้ไขปัญหาเหล่านี้อย่างจริงจังและเป็นระบบ ผู้บริหารกลับใจเท่าหางอึ่ง เดือดร้อนใจอย่างหนักกับการที่เพนกวิ้น บอกว่านิสิตก็เป็นเจ้าของมหาวิทยาลัยไม่น้อยไปกว่าผู้บริหาร ชูนิ้วกลางท้าทายขึ้นมาในวิดีทัศน์ปฐมนิเทศ ถึงกับรีบร้อนและจริงจังตั้งคณะกรรมการสอบสวนหาความผิดผมและอุปนายกคนที่1 ที่จัดงานนี้ ตั้งใจทำให้ผมหลุดออกจากตำแหน่งนายกสโมสรนิสิตให้ได้


ตัวผมนั้นไม่ได้ติดใจเรื่องตำแหน่ง เพราะตำแหน่งไม่ใช่เรื่องหลัก ก่อนหน้าจะมีตำแหน่ง ผมก็ต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพในมหาวิทยาลัยและชุมชนรอบๆ มาโดยตลอด ผมสนุกและดีใจที่ได้รับใช้เพื่อนนิสิต พยายามหาโครงการต่างๆ ทำให้สังคมของเราดีขึ้น (แน่นอนว่า บางโครงการมหาวิทยาลัยก็คงรับไปเป็นผลงานของตน) ถึงผมไม่ได้มีตำแหน่งแล้ว แต่จะไม่ทอดทิ้งเสียงหมื่นเสียงที่ไว้วางใจ


ผมยังคงสนับสนุนเสรีภาพในการแสดงออกอย่างเต็มที่ ซึ่งรวมถึงเสรีภาพในการไม่เห็นด้วย เสียดสี ด่าว่า ชูนิ้วกลางใส่ หรือถือป้ายประท้วง ผู้มีอำนาจ ไม่ว่ารัฐบาล ผู้บริหารมหาวิทยาลัยควรจะต้องอดทนยอมรับได้ การกระทำของผู้บริหารในครั้งนี้เป็นการลดคุณค่าเสรีภาพ จำกัดระดับการวิพากษ์วิจารณ์ให้อยู่ในระดับที่ตัวเองพึงพอใจเท่านั้น แสดงออกถึงความอ่อนแอทางศีลธรรม ไม่ต่างกับผู้นำประเทศคนปัจจุบัน


คนที่น่าสงสารที่สุดจึงไม่ใช่ตัวผม แต่คือบรรดาคณะกรรมการตัดสิน ตัวรองอธิการบดี และผู้บริหารมหาวิทยาลัยต่างหาก พวกเขามองได้แต่ระยะสั้นและคงเสพข่าวสารไม่กี่ช่องทาง ทั้งไม่เคยรับฟังความเห็นของนิสิตทั่วๆไป จึงเห็นว่ามหาวิทยาลัยเสียชื่อเสียงเพราะผม โดยไม่รู้ตัว พวกเขาต่างหากได้สร้างประวัติศาสตร์บาดแผลให้มหาวิทยาลัยและครอบครัวพวกเขาเอง (โดยที่ไม่มีใครสามารถตัดคะแนนพฤติกรรมพวกเขาได้!) อนุชนคนรุ่นหลังจะยิ้มเย้ยความเอาจริงเอาจังของผู้ใหญ่ในวันนี้อย่างขบขันแกมสมเพช พวกเขาคิดไม่ถึงว่ามีการตัดคะแนนเช่นว่านี้เกิดขึ้น ดังที่ ในปัจจุบันนี้คงไม่มีใครคิดแล้วว่ากรณีโยนบก จิตร ภูมิศักดิ์ เป็นเรื่องชอบธรรม และทุกวันนี้ผู้กระทำผิดทางศีลธรรมในวันนั้นต่างถูกประณามอย่างสาสม


ผมเชื่อเหมือนคนไทยจำนวนมากว่า เรากำลังได้รับความไม่เป็นธรรมอยู่ เพียงเพราะเรากล้าพูดความจริง และเรียกร้องเสรีภาพประชาธิปไตย เราต่างทุกข์ทรมานกันมาไม่น้อย แต่เราก็เชื่อว่าเราอยู่ในฝ่ายถูกต้องของประวัติศาสตร์ ในไม่ช้า ความอยุติธรรมที่เราได้รับจะถูกชำระล้าง และบุปผชาติแห่งเสรีประชาธิปไตยจะกลับมาผลิบานอีกครั้ง


ปัจฉิมลิขิต: งานสุดท้ายที่ผมภูมิใจก่อนถูกไล่ออกจากตำแหน่งคือ การก่อตั้ง ฝ่ายส่งเสริมสิทธิฯ SGCU ฝ่ายส่งเสริมมนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชนสากล ขององค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาฯ ผมต้องการสนับสนุนให้นิสิตมีบทบาทส่วนร่วมช่วยเหลือคนที่เดือดร้อนจากการถูกละเมิดสิทธิโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ เมื่อวานเราไปร่วมชุมนุมเป็นกำลังให้พี่น้องชาวยูเครนจากการถูกรุกรานโดยรัสเซีย ตอนนี้พวกเรากำลังทำแคมเปญระดมทุนค่าอาหารและยาให้พี่น้องชาวพม่าที่อยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยในประเทศไทย ผมอยากเชิญชวนทุกๆคนให้ร่วมสนับสนุนกิจกรรมนี้ แม้ความทุกข์ที่ผมได้รับดูน่าเจ็บปวดอยู่บ้าง แต่ไม่เท่าความอยุติธรรมที่ประชาชนชาวพม่า ยูเครน และที่อื่นๆ กำลังเผชิญ


____________________________________

Today, I went to the campus to be notified of an order signed by Chaiyaporn Puprasert, Vice President of Chulalongkorn University, which deducted the merit points of myself and the First Vice President of Student Government of Chulalongkorn University (SGCU). The punishment was due to the fact that I had invited Parit Chiwarak (Penguin), Panusaya Sithijirawattanakul (Rung), and Professor Pavin Chachavalpongpun to give welcoming speech to freshmen during the Orientation. This order immediately disqualifies me from the office of the President of SGCU. In other words, I was ousted from office by a coup d’état from the University’s administrators. The administrators of this prestigious University do not care about more than ten thousand students who had voted me into office. It is clear that these administrators do not respect neither principles of liberty nor democratic principles.


In fact, this result is not surprising. Anyone who has enough bravery to be upright in the society where prostration is preferred is to be persecuted by the powerful. What is shameful is that the University’s administrators do not stand for those who fight for liberty, democracy, and intellectualism, but instead they are obedient and submissive to the power of the authoritarian regime.


Furthermore, Chaiyaporn Puprasert, the Vice President who signed the punishment order, is also the President of the Discipline Committee who had dismissed me and my friends from the office in the Student Council of Chulalongkorn University back in 2017. After that, I brought the case to the Administrative Court. I regained the merit points to be qualified in the election after I had won the case. It was not unexpected that he and his associates would disqualify me again.


But there is only one thing that is unexpected for me. This academic year is the most difficult yet. The pandemic adversely affects the society in every way. In Chulalongkorn University, at least 8 students have committed suicide from mental problems, and around 30 students might be dismissed because of difficulties in online learning. Although the current economic depression has deep impacts on every family, the University reduces tuition fees only by 10%. Student activities are also not allowed to be organized. Instead of deploying “strategies” to solve these problems seriously and systematically, the University administrator got a yellow streak down their backs. They became anxious Penguin said that the University belonged to the freshmen no less than to the University administrators and held his middle finger up in his welcoming speech video. They were so distressed that they quickly set up the Discipline Committee to bring charges against me and the First Vice President and seriously find a way to remove me from the office of President of Student Government.


Personally, I do not care about being removed from office because it is not my main concern. Before I came into office, I had always fought for rights and freedom in the campus and in communities around the University. I am glad and enjoy having served fellow students and coming up with projects to improve our society (of course, some projects were claimed by the University as their own). Although I am no longer in the office, I will not abandon more than ten thousand voters who trusted in me.


I still support fully many kinds of freedom of expression, including freedom to disagree, freedom of satire, and freedom to offend (giving middle finger and holding up protest banner). The people in power, whether they be the government or University administrators, should tolerate these freedoms. This action by University administrators undermines liberty, limiting criticism to the degree with which they are pleased. It shows the same moral weakness as that of the current head of the government.


Hence, I am not at all the most miserable person, but the Vice President and the University adminstration are. They are short-sighted people who might consume only a few media and never listen to opinions of students. These led them to unknowingly believe that the University was dishonored because of me. But they are the ones who to create traumatic history to the university and their family (and without anyone to deduct their merit points!) The future generations will sneer at seriousness of the adults in the present day. The posterity will find such deduction of merit points unthinkable in the same way that nobody in the present thinks the act of throwing Chit Phumisak off the stage in Chulalongkorn University Auditorium was justified. Nowadays, those who committed moral transgressions in the past were condemned as they deserved to be.


I believe, like many other Thais, that we are receiving injustice only because we dare to speak the truth and demand for democracy and liberty. We have faced a lot of misery, but we believe we are on the right side of the history. Soon, the injustice that we are receiving will be eliminated, and the flowers of democracy and liberty will bloom once again.


P S. My last project, which I am proud of, before being dismissed from office is the establishment of SGCU’s Division of Humanitarian and Human Rights Affairs ฝ่ายส่งเสริมสิทธิฯ SGCU. I want to encourage students to participate in helping people whose rights are being violated, no matter what ethnicity they belong to. Yesterday, we went to the anti-Russian invation protest to show support to Ukrainian people. Currently, we are doing a fundraising campaign to donate food and medicine to refugees from Myanmar living in refugee camps in Thailand. I want to invite everyone to supporting this campaign. Lastly, although the misery I have experienced might look painful, it is not comparable to the injustice that people in Myanmar, Ukraine, and elsewhere are receiving.


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์

จุฬาฯ สั่งปลด "เนติวิทย์" พ้นเก้าอี้นายกอบจ. เหตุเชิญ เพนกวิน-ปวิน-รุ้ง ไลฟ์เซอร์ไพรส์นิสิตใหม่ กิจการนิสิตระบุ ไม่แจ้งก่อน ขัดระเบียบและทำลายเกียรติมหาวิทยาลัย

 



จุฬาฯ สั่งปลด "เนติวิทย์" พ้นเก้าอี้นายกอบจ. เหตุเชิญ เพนกวิน-ปวิน-รุ้ง ไลฟ์เซอร์ไพรส์นิสิตใหม่ กิจการนิสิตระบุ ไม่แจ้งก่อน ขัดระเบียบและทำลายเกียรติมหาวิทยาลัย

 

วันนี้ (26 ก.พ. 65) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า องค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (อบจ.) ได้ออกประกาศว่า จุฬาฯ ได้สั่งปลด เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล พ้นจากตำแหน่งนายก อบจ. แล้ว โดยระบุว่า “ด่วน! จุฬาฯ สั่งปลด ‘เนติวิทย์’ พ้นตำแหน่งนายก อบจ. เหตุเชิญ เพนกวิน-ปวิน-รุ้ง ไลฟ์เซอร์ไพร้ส์นิสิตใหม่ กิจการนิสิตระบุ ไม่แจ้งก่อน ขัดระเบียบ และทำลายเกียรติมหาวิทยาลัย ระบุว่า

 

ตามคำสั่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ 0821/2565 เรื่อง ลงโทษตัดคะแนนความประพฤตินิสิต

 

สำนักบริหารกิจการนิสิตระบุว่า สืบเนื่องจากการจัดงานปฐมนิเทศนิสิตใหม่ ปีการศึกษา 2564 ที่จัดขึ้นในรูปแบบไลฟ์สด มีนิสิต 2 ราย ที่กระทำผิดวินัยนิสิต ได้แก่ นางสาวพิชชากร ฤกษ์สมพงษ์ นิสิตปริญญาตรี คณะครุศาสตร์ ผู้ดำรงตำแหน่งอุปนายกคนที่ 1 และนายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล นิสิตปริญญาตรี คณะรัฐศาสตร์ ผู้ดำรงตำแหน่งนายกสโมสรนิสิต

 

โดยบรรยายความผิดของนางสาวพิชชากรไว้ว่า มีเจตนากระทำกิจกรรม “เซอร์ไพร้ส์” โดยขัดต่อวัตถุประสงค์การจัดกิจกรรมของสำนักบริหารกิจการนิสิต อันได้แก่ “ให้นิสิตใหม่เกิดความประทับใจในมหาวิทยาลัย” ด้วยการนำเสนอวีดิทัศน์ของวิทยากรรับเชิญสามราย คือ คุณปวิน คุณรุ้ง และคุณเพนกวิน โดย “ไม่ได้แจ้งให้สำนักบริหารกิจการนิสิตทราบก่อน” ซึ่งในกิจกรรม “เซอร์ไพร้ส์” ดังกล่าว มีข้อความของคุณเพนกวินที่กล่าวเชิญชวนให้นิสิตใหม่ให้ของลับ (“แจกค_ย”) ทั้งยังมีกิริยาท่าทางและคำพูดที่สำนักบริหารกิจการนิสิตเห็นว่า “หยาบคาย”

 

สำนักบริหารกิจการนิสิตเห็นว่า การกระทำดังกล่าวก่อให้เกิดการแตกความสามัคคี ขัดต่อ “วัฒนธรรมและประเพณีอันดีงามของไทย” สุดท้าย การจัดกิจกรรมดังกล่าวจึงกระทบต่อชื่อเสียงเกียรติคุณของมหาวิทยาลัยอย่างร้ายแรง มีความผิดตามวินัยนิสิต ตามข้อ 6 แห่งระเบียบจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่าด้วยวินัยนิสิต ปี พ.ศ. 2527 และฐานนำขนบประเพณีหรือวิธีการอันไม่เหมาะสมแก่วัฒนธรรมไทยมาปฏิบัติ ตามข้อ 12 ของระเบียบเดียวกัน

 

สังเกตได้ว่า ระเบียบดังกล่าวที่ตราขึ้นเมื่อราว ๆ 40 ปีที่แล้วยังคงถูกนำมาบังคับใช้โดยไม่คำนึงถึงความเปลี่ยนแปลงของบริบทแห่งสังคมไทยแต่อย่างใด

 

ต่อมา สำหรับนายเนติวิทย์นั้น สำนักบริหารกิจการนิสิตบรรยายความผิดไว้ว่า ปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ควบคุมดูแลการดำเนินงานขององค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาฯ และรู้เห็นเป็นใจกับการจัดกิจกรรม “เซอร์ไพรส์” ดังกล่าว โดยเป็นผู้ติดต่อคุณเพนกวินให้เป็นวิทยากรรับเชิญ และนายเนติวิทย์ได้โพสต์ถึงการมีกิจกรรมเซอร์ไพรส์ดังกล่าวในสื่อมัลติมีเดียของตน นอกจากนั้น ยังจงใจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ด้วยการไม่ตรวจสอบกิจกรรมที่ไม่ได้ระบุไว้ในกำหนดการว่าสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของ “สำนักบริหารกิจการนิสิต” หรือไม่ มีความผิดตามระเบียบจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยว่าด้วยวินัยนิสิต ตามข้อ 6 และ 12 เช่นเดียวกัน

 

สุดท้าย สำนักบริหารกิจการนิสิตตัดคะแนนความประพฤติของทั้งสองคน คนละ 10 คะแนน และในส่วนของนายเนติวิทย์ จะมีผลให้พ้นจากการดำรงตำแหน่งนายกสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยโดยทันที”


ขณะที่ เนติวิทย์ ได้ส่งข้อความ มีความว่า


ถึงทุก ๆ คนในอบจ.

ขอบคุณที่มาร่วมทำอบจ.ปีที่ผู้ใหญ่กลั่นแกล้งต่าง ๆ นานาและยากลำบาก ขออย่าได้ท้อ หมดกำลังใจ หรือกลัว เรามาทำเพื่อนิสิต เพื่อมหาลัย และสังคมของเราให้ดีและก้าวหน้ายิ่งขึ้น อุปสรรคมีเป็นธรรมดา เราควรทำต่อไป 

เนติวิทย์

26/02/2022

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #อบจ #เนติวิทย์








วันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

ชาวยูเครนชุมนุมประท้วงหน้าสถานทูตรัสเซียในไทย แสดงจุดยืนไม่เอาสงคราม #Worldpeace และยืนเคียงข้างยูเครน “มีมี่และป้าเป้า” ร่วมสังเกตการณ์ ไม่อยากให้เกิดสงคราม

 


ชาวยูเครนชุมนุมประท้วงหน้าสถานทูตรัสเซียในไทย แสดงจุดยืนไม่เอาสงคราม #Worldpeace และยืนเคียงข้างยูเครน “มีมี่และป้าเป้า” ร่วมสังเกตการณ์ ไม่อยากให้เกิดสงคราม


สืบเนื่องมาจากวานนี้ (24 ก.พ.) ประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซียได้ประกาศสงคราม โดยใช้ปฏิบัติการทางทหารในภูมิภาคดอนบัส ทางภาคตะวันออกของยูเครน และชี้ว่าการปะทะกันระหว่างทหารยูเครนกับทหารรัสเซียเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง ทั้งนี้มีรายงานว่า กองทัพรัสเซียได้เริ่มทำการบุกโจมตีประเทศยูเครนโดยเริ่มต้นจากการยิงขีปนาวุธและจรวดเพื่อทำลายระบบป้องกันภัยทางอากาศและเป้าหมายทางทหารอื่น ๆ ทั่วยูเครน ท่ามกลางเสียงสัญญาณเตือนภัยทางอากาศที่ดังระงมทั่วกรุงเคียฟ เมืองหลวงของประเทศยูเครน และหัวเมืองใหญ่อื่น ๆ ทั่วประเทศ


วันนี้ (25 ก.พ. 65) เวลา 13.00 น. ที่หน้าสถานทูตสหพันธรัฐรัสเซีย ประจำประเทศไทย เขตบางรัก กรุงเทพฯ ได้มีการนัดหมายของชาวยูเครนในประเทศไทยประมาณ 30-40 คน ร่วมกันแสดงจุดยืนสันติภาพ ไม่ต้องการสงครามและยืนเคียงข้างยูเครน โดยผู้ชุมนุมได้ร่วมกันยืนชูป้ายข้อความต่าง ๆ อาทิ Hands OFF Ukraine, RUSSIA AGGRESSOR United Nationa General Assembly Resolution 3314, Stop War, STOP WAR STOP PUTIN, STOP Russian Aggression, WE WANT PEACE, SAY NO TO PUTIN เป็นต้น


นอกจากนี้ กลุ่มผู้ชุมนุมได้มีการร่วมร้องเพลงชาติยูเครนพร้อมถือธงชาติยูเครน และมีการนำธงชาติรัสเซียมากางแล้วนำสีแดงมาราดใส่พร้อมทั้งใช้เท้าเหยียบธงชาติดังกล่าวด้วย ซึ่งระหว่างผู้ชุมนุมทำกิจกรรม ได้มีเจ้าหน้าที่ของสถานทูตรัสเซีย 2 คน ได้ออกมายืนสังเกตการณ์ด้วย


ในการชุมนุมครั้งนี้ “มีมี่” ผู้มีบทบาทเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยในประเทศไทย ได้มาร่วมสังเกตการณ์ โดยแสดงความเห็นว่า “ตนเข้าใจสิ่งที่ยูเครนเจอ และไม่ต้องการให้มีสงครามหรือว่าการทำสงครามโดยการใช้กองกำลังทหารเกิดขึ้น”


ในส่วน นางวรวรรณ แซ่อั้ง หรือ “ป้าเป้า” เป็นอีกคนหนึ่งซึ่งมาสังเกตการณ์ กล่าวว่า “ไม่อยากให้มีสงครามเกิดขึ้น ถ้าสองประเทศทะเลาะกันก็มีแต่เสียทั้งสองฝ่าย ถ้าอยุ่กับอย่างสันติก็จะมีแต่ความเจริญ เปรียบเหมือนการสาดน้ำใส่กันมันก็เปียกด้วยกันทั้งคู่ ไม่มีอะไรดีขึ้นมา ตนไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นเลย” ป้าเป้า กล่าว


ทั้งนี้ การชุมนุมดังกล่าวเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไม่มีเหตุการณ์ความรุนแรงใด ๆ ท่ามกลางเจ้าหน้าที่ตำรวจที่คอยอำนวยความสะดวกด้านการจราจรและรักษาความปลอดภัยโดยรอบบริเวณ


#PrayforUkraine #SaveUkraine #รัสเซีย #ยูเครน

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์


ประมวลภาพการชุมนุม