#12ปีรำลึกเมษาพฤษภา53 ตอนที่ 9
จากบทบรรยาย
ยุทธการขอคืนพื้นที่ เมษา 53
(เหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน 2553)
วันที่
10 เมษายน 2553 ช่วงเวลา 13.45
น. เกิดเหตุชุลมุนที่แยกพาณิชยการใกล้ทำเนียบรัฐบาลและกองทัพภาคที่ 1
โดยเจ้าหน้าที่ทหารได้ใช้น้ำฉีดผู้ชุมนุมที่ปิดล้อมแยกดังกล่าว จากนั้นได้ยิงแก๊สน้ำตาและยิงกระสุนยางใส่ผู้ชุมนุมเป็นระยะ
ทำให้กลุ่มผู้ชุมนุม นปช. จำนวนมากได้รับบาดเจ็บและแตกฮือสลายตัวออกจากการชุมนุมที่แยกพาณิชยการ
หลังจากนั้นทหารนำรถที่กลุ่มผู้ชุมนุมจอดขวางออกนอกพื้นที่
และเดินจากแยกพาณิชยการมุ่งหน้าเข้าถนนราชดำเนิน
เพื่อขับไล่ประชาชนออกจากพื้นที่ถนนราชดำเนินนอก โดยการใช้แก๊สน้ำตา กระสุนยาง
และกระสุนจริง
ทางด้านสะพานชมัยมรุเชฐ
กองทหารตั้งแถวขวางแนวถนน มีกลุ่มผู้ชุมนุมถอยร่นกลับไปที่สะพานผ่านฟ้า
มีการยิงแก๊สน้ำตาและกระสุนยางใส่ผู้ชุมนุมเป็นระยะแยกวังแดง คุรุสภา
ผู้ชุมนุมเสื้อแดงเผชิญหน้ากับทหารที่มาพร้อมกับรถสายพานลำเลียงแบบ Type 85 ติดปืนกลจำนวน
6 คัน ทหารทุกนายมีอาวุธประจำกาย ในขณะที่ผู้ชุมนุมนั่งประนมมือเผชิญหน้ากับรถถังและไพร่พลของทหารมากมายที่มาพร้อมกับเสื้อเกราะและอาวุธแบบครบมือ
บริเวณสะพานอรทัย
มีการเผชิญหน้าระหว่างผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ทหารที่ตรงข้ามวัดโสมนัส
ซึ่งเจ้าหน้าที่มีการใช้กระบองตีตอบโต้ในขณะตะลุมบอนกับกลุ่มผู้ชุมนุม นปช.
บริเวณถนนดินสอหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา
รถหุ้มเกราะทหาร 10
คัน ได้เข้ามาปิดกั้นถนน ตั้งแนวถือกระบองและโล่พร้อมอาวุธประจำกาย
ในส่วนของผู้ชุมนุม นปช. นั้น ได้นำเครื่องขยายเสียงและรถปิ๊กอัพเข้าขวาง
และมีการกระทบกระทั่งกันเล็กน้อย
บริเวณสนามม้านางเลิ้ง
กลุ่มผู้ชุมนุมหลายพันคนจากบริเวณกองทัพภาคที่ 1 ได้มาประจำอยู่พื้นที่นี้
และเผชิญหน้ากับกองทหารพร้อมอาวุธครบมือกว่า 300 นาย
บริเวณเลียบคลองผดุงกรุงเกษม
ก็มีการเผชิญหน้ากันระหว่างทหารกับผู้ชุมนุมบ้างประปราย พร้อมเฮลิคอปเตอร์บินวนทิ้งแก๊สน้ำตาเพื่อเป็นยุทธวิธีในการเบิกทางเข้าสลายการชุมนุม
ช่วงเวลา
14.00 น. ทหารได้ทยอยยึดถนนราชดำเนินได้บางส่วน โดยตรึงกำลังตามสี่แยกต่าง ๆ
ตั้งแต่กองบัญชาการกองทัพภาคที่ 1 แยกมิสักวัน
และสะพานมัฆวานรังสรรค์
ในขณะที่กลุ่มผู้ชุมนุมต่างถอยร่นไปรวมตัวที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ
และพยายามจอดรถขวางเพื่อสกัดกั้นทหารยึดพื้นที่เข้ามา
ช่วงเวลา
14.20 น. การชุมนุมกลุ่ม นปช. บริเวณแยกมิสักวัน
ทหารได้ยิงแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุม อย่างไรก็ตามเกิดโต้ลม ทำให้พัดย้อนกลับไปโดนทหาร
และมีผู้ชุมนุมบางส่วนได้ขว้างแก๊สน้ำตากลับไปยังทหารเช่นกัน ทางด้านบริเวณคลองผดุงกรุงเกษม
ทหารได้รุกคืบฉีดน้ำใส่ผู้ชุมนุมพร้อมกับได้จับผู้ปราศรัยบนเวที ขณะเดียวกันทางผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงได้ปรับขบวนเพื่อตั้งแนวป้องกันการรุกคืบของทหารเข้ามายังบริเวณพื้นที่ชุมนุม
บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์
ฝ่ายทหารได้เพิ่มความกดดันกลุ่มผู้ชุมนุมเพื่อให้ถอยไปยังสะพานผ่านฟ้า
โดยการยิงแก๊สน้ำตาและการเดินรุกคืบยึดพื้นที่
ช่วงเวลา
15.00 น. มีกลุ่มเจ้าหน้าที่ทหารพร้อมปืนลูกซอง ปืน M16 พกโล่พร้อมอาวุธครบมือได้ยืนตั้งแถวอยู่ตรงบริเวณสวนสาธารณะเชิงสะพานพระปิ่นเกล้าฝั่งอรุณอัมรินทร์
ช่วงเวลา
15.30 น. เจ้าหน้าที่ทหารได้เสริมกำลังและตั้งแนวกั้นบริเวณสะพานพระปิ่นเกล้าฝั่งขาเข้าอนุสาวรีย์
ส่วนผู้ชุมนุม นปช. ได้ตั้งแนวรับบริเวณหน้าตึก UN จากนั้นเจ้าหน้าที่ทหารได้ระดมยิงแก๊สน้ำตา
ฉีดน้ำ และยังมีการยิงกระสุนจริงขึ้นฟ้า จนฝั่งผู้ชุมนุมต้องตะโกนบอกให้เจ้าที่หยุดใช้อาวุธ
แต่ก็ยังมีการยิงแก๊สน้ำตาเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
มีการขว้างแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุมอย่างต่อเนื่อง
จนทำให้ผู้ชุมนุมบริเวณดังกล่าววิ่งหลบแก๊สน้ำตาอย่างชุลมุน เหตุการณ์ในช่วงเวลานี้บริเวณแถวประตูศึกษาธิการก็ได้ทำให้เกิดการสูญเสียขึ้นของฝั่งประชาชนจากการใช้ความรุนแรงของเจ้าหน้าที่ทหาร
ซึ่งถือว่าเป็นผู้สูญเสียชีวิตเป็นรายแรกของการชุมนุมเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยของประชาชนในเหตุการณ์เดือนเมษา-พฤษภา
53 นั่นก็คือกรณีการเสียชีวิตของนายเกรียงไกร คำน้อย
บริเวณข้างกำแพงกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพยายามในการสลายการชุมนุมโดยใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบซึ่งได้มีการปฏิบัติมาตั้งแต่ช่วงเช้าของวันที่
10 เมษายน 2553
ช่วงเวลา
16.00 น. มีการโปรยใบปลิวจากเฮลิคอปเตอร์ 2 ชุด
ทางด้านฝั่งผู้ชุมนุม นปช. ได้มีการนำเอาปืน กระสุนยาง และกระสุนจริง เช่น
หัวกระสุน M16 กระป๋องแก๊สน้ำตา และปลอกกระสุนปืนลูกซองเบอร์
12 ที่เก็บได้จากพื้นที่เผชิญหน้าบริเวณสะพานมัฆวานฯ
เพื่อเป็นตัวอย่างให้สื่อมวลชนได้เห็นถึงความพยายามในการใช้ความรุนแรงของรัฐบาลอภิสิทธิ์
และยืนยันถึงการชุมนุมในครั้งนี้ว่าไม่ได้ใช้หลักสากลในการสลายการชุมนุม หลังจากนั้นได้มีการแจกใบปลิว
2 ชุด ชุดแรกเป็นหมายจับแกนนำ นปช. 24 คน
ชุดที่สองบอกว่าเจ้าหน้าที่กำลังเคลียร์พื้นที่
ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องให้ออกจากบริเวณที่ชุมนุม
ช่วงเวลา
17.00 น. บริเวณเวทีสะพานผ่านฟ้า ได้มีการนำเอาปืนยิงกระสุนยาง 20 กระบอก ปืนกลยาว 8 กระบอก เครื่องกระสุน และระเบิด
ที่ยึดมาจากทหารที่เชิงสะพานพระปิ่นเกล้า มาแสดงต่อผู้ชุมนุมและนักข่าว
พร้อมประกาศยอดผู้บาดเจ็บขณะนั้นว่ามีถึง 83 ราย
ช่วงเวลา
17.45 น. มีเฮลิคอปเตอร์บินวนบริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ
และได้มีการปล่อยแก๊สน้ำตาลงมาจากเฮลิคอปเตอร์เพื่อสลายการชุมนุม 2 ระลอก ทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมแตกกระเจิง
บางรายมีอาการปวดแสบปวดร้อนจากการถูกพิษจากแก๊สน้ำตา
และก็ได้มีการวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้างเกี่ยวกับเรื่องของแก๊สน้ำตาที่ใช้ในการสลายการชุมนุมในครั้งนี้ว่า
เป็นแก๊สน้ำตาที่ไม่ได้คุณภาพสากล ทำให้ผู้ชุมนุมได้รับบาดเจ็บรุนแรง
และมีบางรายถึงกับเสียชีวิต
เพราะการได้รับพิษจากแก๊สน้ำตาที่เจ้าหน้าที่ทหารใช้ในการสลายการชุมนุมครั้งนี้
ขณะเดียวกันแกนนำได้ประกาศให้ผู้ชุมนุมออกมารวมตัวกันที่หน้าเวทีพร้อมกับปลุกระดมให้ต่อสู้
และดูสถานการณ์ต่อไป ขณะที่ผู้ชุมนุมได้มีการปล่อยลูกโป่งและโคมลอย
เพื่อรบกวนการบินของเจ้าหน้าที่บนเฮลิคอปเตอร์ แต่ไม่มีผลแต่อย่างใด แก๊สน้ำตาที่เจ้าหน้าที่ทิ้งลงมาจากเฮลิคอปเตอร์
ตกลงมาด้านหลังเวทีซึ่งมีสื่อมวลชนปักหลักทำข่าวอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้แตกตื่นและหาที่หลบแก๊สน้ำตา
อีกจุดที่ทิ้งไปคือด้านหน้าเวที ซึ่งมีผู้ชุมนุมรวมตัวค่อนข้างหนาแน่น และการใช้แก๊สน้ำตาที่ทิ้งลงมาจากเฮลิคอปเตอร์นั้น
แน่นอนว่าไม่ใช่วิธีสลายการชุมนุมตามหลักสากลอย่างแน่นอน
ระหว่างนั้นที่บริเวณแยกวิสุทธิกษัตริย์
ได้มีการใช้ความรุนแรงจากเจ้าหน้าที่ทหารเข้าสลายการชุมนุมอีกรอบ โดยทหารมีการยิงกระสุนยางปนกระสุนจริงใส่ผู้ชุมนุม
บริเวณรถปราศรัยบางรายถูกทำร้ายและถูกจับตัว มีผู้ได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ในขณะที่ชาวบ้านบริเวณแถบนั้นได้ประณามการปฏิบัติการของทหารว่ารุนแรงเกินไปกับผู้ชุมนุมที่ไม่มีอาวุธ
Cr.
ภาพประชาไท และอื่น ๆ
#นปช #คนเสื้อแดง
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์