วันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2565

“เดียร์ รวิสรา” ขอบคุณทุกคนทุกกำลังใจอย่างเป็นทางการ เชื่อว่านี่ไม่ใช่การต่อสู้ของตนคนเดียว แต่มันคือการต่อสู้ของทุกคน ความฝันครั้งนี้เป็นจริงได้เพราะทุกคน

 


“เดียร์ รวิสรา” ขอบคุณทุกคนทุกกำลังใจอย่างเป็นทางการ เชื่อว่านี่ไม่ใช่การต่อสู้ของตนคนเดียว แต่มันคือการต่อสู้ของทุกคน ความฝันครั้งนี้เป็นจริงได้เพราะทุกคน


รวิสรา เอกสกุล หรือ เดียร์ หนึ่งในจำเลยคดี ม.112 จากการอ่านแถลงการณ์ภาษาเยอรมันในการชุมนุมหน้าสถานทูตเยอรมันฯ เมื่อ 26 มี.ค. 63 โดยเธอได้ยื่นคำร้องต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ถึง 7 ครั้ง เพื่อขอเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เพื่อไปศึกษา ณ ประเทศเยอรมัน และในที่สุดเมื่อวันที่ 1 เม.ย. ที่ผ่านมา ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ไปเรียนต่อได้ พร้อมกำหนดเงื่อนไขห้ามทำกิจกรรมส่งผลกระทบกระเทือนต่อสถาบันฯ ทั้งในไทย-เยอรมนี นั้น


วานนี้ (2 เม.ย. 65) “เดียร์ รวิสรา” ได้โพสต์เฟซบุ๊กขอบคุณทุกคนทุกกำลังใจอย่างเป็นทางการ พร้อมเล่าความรู้สึกในการยื่นคำร้องฯ ดังกล่าว ความว่า


ปกติเวลาเราไปยื่นคำร้องขอเดินทางออกนอกประเทศ ช่วงห้าโมงกว่า ๆ เวลาเจ้าหน้าที่คนอื่นเก็บของกลับบ้าน แม่บ้านเลิกง านตอกบัตรกลับบ้านกันหมด ไฟห้องโถงใหญ่ปิด จะมีแค่เรา พ่อแม่ ทนาย นั่งตบยุงรอฟังคำสั่งกันอยู่แค่ไม่กี่คนในห้อง


ทุกครั้งที่คำสั่งมา เราหวังทุกครั้งว่าจะได้ยินคำว่า "ศาลอนุญาตนะครับ" แต่ครั้งแล้วครั้งเล่ากลับได้ยินแค่ว่า "ศาลท่านสั่งว่า..." กับ "ลองอีกครั้งนะครับ ใกล้แล้ว" ไม่เคยได้ยินคำที่ใจหวังอยากได้ยินเลย


เมื่อวานนี้เรารอนานผิดปกติ เรานั่งรอตั้งแต่บ่ายสามจนพระอาทิตย์ตกดิน ไฟในตึกปิดมืด เหลือแต่บริเวณห้องประชาสัมพันธ์ของศาลอาญากรุงเทพใต้ที่เปิดอยู่ ตอนนั้นเวลาประมาณทุ่มครึ่ง เจ้าหน้าที่เดินถือกระดาษลงมา เป็นภาพคุ้นเคยที่เห็นมานับครั้งไม่ถ้วน ใจเราคิดว่ารอบนี้คงเหมือนรอบแล้วๆ แต่เจ้าหน้าที่ขอบัตรประชาชนไปถ่ายเอกสาร ให้เราเซ็นสำเนา แล้วเจ้าหน้าที่ก็ไปง่วนกันอยู่ตรงนั้น ยังไม่มีคำตอบใดๆมาถึงเรา (เรา = เรา พ่อ แม่ ทนายเบียร์ น้องต้า และแฟนเรา) จนเจ้าหน้าที่ยื่นใบคำสั่งศาลมาให้ คำสั่งมีทั้งหมดสามหน้า เราแตกตื่นอยู่ในใจจนอ่านไม่รู้เรื่องซักคำ คิดในใจว่าถ้าตื่นเต้นขนาดนี้จะอ่านจนได้ใจความตอนไหนวะเนี่ย เจ้าหน้าที่เปิดไปที่หน้าที่สองพร้อมชี้ให้ดูตรงจุดที่มีดอกจันเน้นอยู่สามดอกพร้อมบอกว่า


"อนุญาตนะครับ"


เป็นคำที่ฟังแล้วไม่อยากเชื่อหูตัวเอง ทนายเบียร์รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแจ้งข่าวดี พร้อมบอกว่าผมดีใจจนมือสั่นเลย ส่วนเราก็ยังไม่หายงงกับเหตุการณ์ตรงหน้า สรุปศาลอนุญาตจริง ๆ ใช่ไหม


กว่าจะติดต่อกับเจ้าหน้าที่เสร็จเรื่องการไปติดต่อกับ ตม. เราแทบไม่มีเวลาได้รู้สึกยินดีกับเรื่องตรงหน้าซักเท่าไหร่ จนยกมือไหว้ขอบคุณทนายกับทุกคนที่ศูนย์ทนายไปกี่ครั้งก็จำไม่ได้ แล้วเราก็ร่ำลากันตรงนั้น เป็นความใจหายที่จะไม่ได้เจอกับทนายบ่อยๆเหมือนสองเดือนที่ผ่านมาแล้ง แต่มันก็คือความโล่งใจที่ได้จบกับที่นี่เสียที อย่างน้อยก็เกือบปีกว่าจะต้องกลับมาใหม่


เรามองทนายเดินแยกไปพร้อมคำขอบคุณอีกพันล้านคำในใจเพราะไม่รู้จะพูดออกไปยังไงหมด บรรยากาศที่ทุกคนกอดกันอยู่ตรงนั้น ยกมือไหว้ขอบคุณกันอยู่ตรงนั้นคงติดอยู่ในใจเราไปอีกนาน


วันนี้เราอยากมาขอบคุณทุกคนอีกครั้งอย่างเป็นทางการ เพราะเราเชื่อว่านี่ไม่ใช่การต่อสู้ของเราคนเดียว แต่มันคือการต่อสู้ของทุกคน


ก่อนอื่นและที่ไม่มีทางขาดไปได้ ขอบคุณศูนย์ทนาย ทนายด่าง ทนายเบียร์ที่เป็นคนดูแลในการขอไปเรียนในครั้งนี้ ทนายเปิ้ลและทนายเจ็ทที่พามายื่นเอกสารบ่อยๆ น้องต้าที่มาสังเกตการณ์ รวมถึงทีมงานทุกคนที่อยู่เบื้องหลัง ช่วยกระจายข่าว เป็นกระบอกเสียงให้กับเรา ขอบคุณทุกคนที่ทำงานกันอย่างเต็มที่เพื่อช่วยทำตามความฝันของคนคนนึง ทุกครั้งที่ศาลยกคำร้อง ทนายทุกคนไม่เคยคิดล้มเลิก ไม่เคยบอกให้เรายอมแพ้ ทนายเบียร์ชอบบอกเราบ่อยๆว่า "วันนี้พักผ่อนให้หายเหนื่อยก่อน พรุ่งนี้เราค่อยมาคิดกันใหม่" รวมถึงทนายด่างที่เชื่อมั่นเสมอว่ายังไงเราก็ต้องได้ไปถึงแม้จะโดนปฏิเสธมานับครั้งไม่ถ้วน ขอบคุณทุกคนจริงๆที่ยังเชื่อมั่นและไม่ยอมแพ้


ขอบคุณครอบครัวและพ่อแม่ที่เป็นเสาหลักที่ไม่เคยสั่นคลอนและเป็นทีมเวิร์คที่เข้ากันได้ดีอย่างประหลาด ทุกครั้งที่ศาลยกคำร้อง เรานั่งโมโหกันบนรถได้แค่แปปเดียว ซักพักก็กลับมาขำในความพิศดาร แล้วก็ไปหาอาหารอร่อย ๆ กินกัน วันรุ่งขึ้นก็ลุกขึ้นมาพร้อมสู้กันใหม่ เป็นแบบนี้ทุกครั้ง ชัยชนะครั้งนี้ เราได้มาด้วยความรักที่แข็งแรงที่เราทุกคนมีต่อกันอย่างที่สุด


ขอบคุณอาจารย์ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางไปเรียนในครั้งนี้ที่แม้เราอยากจะเอ่ยชื่อ ป่าวประกาศให้โลกรู้แค่ไหนว่าโลกนี้ยังมีอาจารย์ที่มีจิตวิญญาณของครูที่แท้จริงอยู่ตรงนี้ตั้งหลายคน แต่เรากลับอยู่ในประเทศที่ประหลาดเกินกว่าจะเอ่ยชื่อคนที่เข้ามาข้องเกี่ยวในครั้งนี้เพราะเรารักและเป็นห่วงในความปลอดภัยของพวกเขามาเกินไป ขอบคุณที่ทำให้เด็กคนนี้ไม่ได้รู้สึกเหมือนโดนทอดทิ้ง ตั้งแต่ถูกดำเนินคดีมาจนถึงการไปขึ้นศาลเกือบสิบครั้ง อาจารย์ทุกคนยื่นมือให้ความช่วยเหลือแบบไม่ลังเล อย่างที่เราพูดอยู่บ่อยครั้งว่าศาลยกคำร้องไม่สามารถทำให้เราเสียน้ำตาได้ซักหยด แต่การได้รับน้ำใจที่แสนจริงใจจากบุคคลเหล่านี้ทำให้เราไม่เคยห้ามน้ำตาไว้ได้เลย ขอบคุณทุกคนจริง ๆ ค่ะ


ขอบคุณเพื่อนๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ทั้งที่เรารู้จักและไม่รู้จัก ขอบคุณคนไทยทุกคนที่เป็นกำลังใจให้เรามาโดยตลอด ถ้าไม่มีทุกคน เราไม่มีทางเข้มแข็งได้ถึงขนาดนี้ ขอบคุณทุกคนที่ทั้งรู้จักและไม่รู้จักที่แวะเวียนกันมาหา เอาขนมมาฝาก มานั่งคุยเล่นกันในแต่ละครั้งที่เราไปยื่นคำร้องและนั่งรอฟังคำสั่ง ไม่เคยปล่อยให้เราโดดเดี่ยว


เคยมีคนถามว่าทำไมเราไม่เคยคิดหนี

แรก ๆ เราก็ตอบไปว่าเพราะครอบครัวเราอยู่ที่นี่ เราทำใจไม่ได้หรอกถ้าอยู่ดี ๆ จะไม่มีโอกาสได้เจอคน (และหมา )เหล่านี้อีกจนวาระสุดท้าย


แต่วันนี้เหตุผลที่ทำให้เราอยากกลับมามันยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ เรามีคนที่รักและช่วยเหลือเราด้วยความจริงใจมากมายยังรอเราอยู่ที่บ้าน เรารักคนเหล่านั้นและอยากกลับมาตอบแทนทุกวินาทีที่มีค่าที่เค้าสละมาเพื่อให้เราได้ไปเรียน


อนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร เราไม่มีทางบอกได้ แต่ความฝันในครั้งนี้ของเราเป็นจริงได้เพราะทุกคน


ขอบคุณที่ช่วยเตือนใจเราอยู่เสมอว่านี่มันไม่ใช่การต่อสู้ของเราคนเดียว แต่มันคือการต่อสู้ของทุกคน และวันนี้ แม้จะเป็นเพียงก้าวที่เล็กน้อยนิด


"แต่วันนี้เราก็ชนะแล้ว"


รักทุกคนค่ะ เจอกันนัดสืบพยานปีหน้านะคะ❤️


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์