“เดียร์
รวิสรา” ขอบคุณทุกคนทุกกำลังใจอย่างเป็นทางการ เชื่อว่านี่ไม่ใช่การต่อสู้ของตนคนเดียว
แต่มันคือการต่อสู้ของทุกคน ความฝันครั้งนี้เป็นจริงได้เพราะทุกคน
รวิสรา
เอกสกุล หรือ เดียร์ หนึ่งในจำเลยคดี ม.112
จากการอ่านแถลงการณ์ภาษาเยอรมันในการชุมนุมหน้าสถานทูตเยอรมันฯ เมื่อ 26 มี.ค. 63 โดยเธอได้ยื่นคำร้องต่อศาลอาญากรุงเทพใต้
ถึง 7 ครั้ง เพื่อขอเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เพื่อไปศึกษา ณ ประเทศเยอรมัน และในที่สุดเมื่อวันที่
1 เม.ย. ที่ผ่านมา ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ไปเรียนต่อได้ พร้อมกำหนดเงื่อนไขห้ามทำกิจกรรมส่งผลกระทบกระเทือนต่อสถาบันฯ
ทั้งในไทย-เยอรมนี นั้น
วานนี้
(2 เม.ย. 65) “เดียร์ รวิสรา” ได้โพสต์เฟซบุ๊กขอบคุณทุกคนทุกกำลังใจอย่างเป็นทางการ
พร้อมเล่าความรู้สึกในการยื่นคำร้องฯ ดังกล่าว ความว่า
ปกติเวลาเราไปยื่นคำร้องขอเดินทางออกนอกประเทศ
ช่วงห้าโมงกว่า ๆ เวลาเจ้าหน้าที่คนอื่นเก็บของกลับบ้าน แม่บ้านเลิกง านตอกบัตรกลับบ้านกันหมด
ไฟห้องโถงใหญ่ปิด จะมีแค่เรา พ่อแม่ ทนาย
นั่งตบยุงรอฟังคำสั่งกันอยู่แค่ไม่กี่คนในห้อง
ทุกครั้งที่คำสั่งมา
เราหวังทุกครั้งว่าจะได้ยินคำว่า "ศาลอนุญาตนะครับ"
แต่ครั้งแล้วครั้งเล่ากลับได้ยินแค่ว่า "ศาลท่านสั่งว่า..." กับ
"ลองอีกครั้งนะครับ ใกล้แล้ว" ไม่เคยได้ยินคำที่ใจหวังอยากได้ยินเลย
เมื่อวานนี้เรารอนานผิดปกติ
เรานั่งรอตั้งแต่บ่ายสามจนพระอาทิตย์ตกดิน ไฟในตึกปิดมืด เหลือแต่บริเวณห้องประชาสัมพันธ์ของศาลอาญากรุงเทพใต้ที่เปิดอยู่
ตอนนั้นเวลาประมาณทุ่มครึ่ง เจ้าหน้าที่เดินถือกระดาษลงมา
เป็นภาพคุ้นเคยที่เห็นมานับครั้งไม่ถ้วน ใจเราคิดว่ารอบนี้คงเหมือนรอบแล้วๆ
แต่เจ้าหน้าที่ขอบัตรประชาชนไปถ่ายเอกสาร ให้เราเซ็นสำเนา แล้วเจ้าหน้าที่ก็ไปง่วนกันอยู่ตรงนั้น
ยังไม่มีคำตอบใดๆมาถึงเรา (เรา = เรา พ่อ แม่ ทนายเบียร์ น้องต้า และแฟนเรา)
จนเจ้าหน้าที่ยื่นใบคำสั่งศาลมาให้ คำสั่งมีทั้งหมดสามหน้า
เราแตกตื่นอยู่ในใจจนอ่านไม่รู้เรื่องซักคำ
คิดในใจว่าถ้าตื่นเต้นขนาดนี้จะอ่านจนได้ใจความตอนไหนวะเนี่ย เจ้าหน้าที่เปิดไปที่หน้าที่สองพร้อมชี้ให้ดูตรงจุดที่มีดอกจันเน้นอยู่สามดอกพร้อมบอกว่า
"อนุญาตนะครับ"
เป็นคำที่ฟังแล้วไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
ทนายเบียร์รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแจ้งข่าวดี พร้อมบอกว่าผมดีใจจนมือสั่นเลย
ส่วนเราก็ยังไม่หายงงกับเหตุการณ์ตรงหน้า สรุปศาลอนุญาตจริง ๆ ใช่ไหม
กว่าจะติดต่อกับเจ้าหน้าที่เสร็จเรื่องการไปติดต่อกับ
ตม. เราแทบไม่มีเวลาได้รู้สึกยินดีกับเรื่องตรงหน้าซักเท่าไหร่
จนยกมือไหว้ขอบคุณทนายกับทุกคนที่ศูนย์ทนายไปกี่ครั้งก็จำไม่ได้
แล้วเราก็ร่ำลากันตรงนั้น เป็นความใจหายที่จะไม่ได้เจอกับทนายบ่อยๆเหมือนสองเดือนที่ผ่านมาแล้ง
แต่มันก็คือความโล่งใจที่ได้จบกับที่นี่เสียที
อย่างน้อยก็เกือบปีกว่าจะต้องกลับมาใหม่
เรามองทนายเดินแยกไปพร้อมคำขอบคุณอีกพันล้านคำในใจเพราะไม่รู้จะพูดออกไปยังไงหมด
บรรยากาศที่ทุกคนกอดกันอยู่ตรงนั้น ยกมือไหว้ขอบคุณกันอยู่ตรงนั้นคงติดอยู่ในใจเราไปอีกนาน
วันนี้เราอยากมาขอบคุณทุกคนอีกครั้งอย่างเป็นทางการ
เพราะเราเชื่อว่านี่ไม่ใช่การต่อสู้ของเราคนเดียว แต่มันคือการต่อสู้ของทุกคน
ก่อนอื่นและที่ไม่มีทางขาดไปได้
ขอบคุณศูนย์ทนาย ทนายด่าง ทนายเบียร์ที่เป็นคนดูแลในการขอไปเรียนในครั้งนี้
ทนายเปิ้ลและทนายเจ็ทที่พามายื่นเอกสารบ่อยๆ น้องต้าที่มาสังเกตการณ์
รวมถึงทีมงานทุกคนที่อยู่เบื้องหลัง ช่วยกระจายข่าว เป็นกระบอกเสียงให้กับเรา
ขอบคุณทุกคนที่ทำงานกันอย่างเต็มที่เพื่อช่วยทำตามความฝันของคนคนนึง
ทุกครั้งที่ศาลยกคำร้อง ทนายทุกคนไม่เคยคิดล้มเลิก ไม่เคยบอกให้เรายอมแพ้
ทนายเบียร์ชอบบอกเราบ่อยๆว่า "วันนี้พักผ่อนให้หายเหนื่อยก่อน
พรุ่งนี้เราค่อยมาคิดกันใหม่"
รวมถึงทนายด่างที่เชื่อมั่นเสมอว่ายังไงเราก็ต้องได้ไปถึงแม้จะโดนปฏิเสธมานับครั้งไม่ถ้วน
ขอบคุณทุกคนจริงๆที่ยังเชื่อมั่นและไม่ยอมแพ้
ขอบคุณครอบครัวและพ่อแม่ที่เป็นเสาหลักที่ไม่เคยสั่นคลอนและเป็นทีมเวิร์คที่เข้ากันได้ดีอย่างประหลาด
ทุกครั้งที่ศาลยกคำร้อง เรานั่งโมโหกันบนรถได้แค่แปปเดียว
ซักพักก็กลับมาขำในความพิศดาร แล้วก็ไปหาอาหารอร่อย ๆ กินกัน
วันรุ่งขึ้นก็ลุกขึ้นมาพร้อมสู้กันใหม่ เป็นแบบนี้ทุกครั้ง ชัยชนะครั้งนี้
เราได้มาด้วยความรักที่แข็งแรงที่เราทุกคนมีต่อกันอย่างที่สุด
ขอบคุณอาจารย์ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางไปเรียนในครั้งนี้ที่แม้เราอยากจะเอ่ยชื่อ
ป่าวประกาศให้โลกรู้แค่ไหนว่าโลกนี้ยังมีอาจารย์ที่มีจิตวิญญาณของครูที่แท้จริงอยู่ตรงนี้ตั้งหลายคน
แต่เรากลับอยู่ในประเทศที่ประหลาดเกินกว่าจะเอ่ยชื่อคนที่เข้ามาข้องเกี่ยวในครั้งนี้เพราะเรารักและเป็นห่วงในความปลอดภัยของพวกเขามาเกินไป
ขอบคุณที่ทำให้เด็กคนนี้ไม่ได้รู้สึกเหมือนโดนทอดทิ้ง
ตั้งแต่ถูกดำเนินคดีมาจนถึงการไปขึ้นศาลเกือบสิบครั้ง อาจารย์ทุกคนยื่นมือให้ความช่วยเหลือแบบไม่ลังเล
อย่างที่เราพูดอยู่บ่อยครั้งว่าศาลยกคำร้องไม่สามารถทำให้เราเสียน้ำตาได้ซักหยด
แต่การได้รับน้ำใจที่แสนจริงใจจากบุคคลเหล่านี้ทำให้เราไม่เคยห้ามน้ำตาไว้ได้เลย
ขอบคุณทุกคนจริง ๆ ค่ะ
ขอบคุณเพื่อนๆ
พี่ ๆ น้อง ๆ ทั้งที่เรารู้จักและไม่รู้จัก ขอบคุณคนไทยทุกคนที่เป็นกำลังใจให้เรามาโดยตลอด
ถ้าไม่มีทุกคน เราไม่มีทางเข้มแข็งได้ถึงขนาดนี้
ขอบคุณทุกคนที่ทั้งรู้จักและไม่รู้จักที่แวะเวียนกันมาหา เอาขนมมาฝาก
มานั่งคุยเล่นกันในแต่ละครั้งที่เราไปยื่นคำร้องและนั่งรอฟังคำสั่ง
ไม่เคยปล่อยให้เราโดดเดี่ยว
เคยมีคนถามว่าทำไมเราไม่เคยคิดหนี
แรก
ๆ เราก็ตอบไปว่าเพราะครอบครัวเราอยู่ที่นี่ เราทำใจไม่ได้หรอกถ้าอยู่ดี ๆ จะไม่มีโอกาสได้เจอคน
(และหมา )เหล่านี้อีกจนวาระสุดท้าย
แต่วันนี้เหตุผลที่ทำให้เราอยากกลับมามันยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อย
ๆ เรามีคนที่รักและช่วยเหลือเราด้วยความจริงใจมากมายยังรอเราอยู่ที่บ้าน
เรารักคนเหล่านั้นและอยากกลับมาตอบแทนทุกวินาทีที่มีค่าที่เค้าสละมาเพื่อให้เราได้ไปเรียน
อนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร
เราไม่มีทางบอกได้ แต่ความฝันในครั้งนี้ของเราเป็นจริงได้เพราะทุกคน
ขอบคุณที่ช่วยเตือนใจเราอยู่เสมอว่านี่มันไม่ใช่การต่อสู้ของเราคนเดียว
แต่มันคือการต่อสู้ของทุกคน และวันนี้ แม้จะเป็นเพียงก้าวที่เล็กน้อยนิด
"แต่วันนี้เราก็ชนะแล้ว"
รักทุกคนค่ะ
เจอกันนัดสืบพยานปีหน้านะคะ
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์