วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2565

เพียงคำ ประดับความ กวีเพื่อชีวิต : อาลัย “วัฒน์ วรรลยางกูร”

 


งานไว้อาลัย #วัฒน์วรรลยางกูร


เพียงคำ ประดับความ กวีเพื่อชีวิต : อาลัย “วัฒน์ วรรลยางกูร”


ก่อนจะอ่านบทกวี อยากจะกล่าวอะไรถึงพี่วัฒน์สักนิดหนึ่งนะคะ ในฐานะของคนที่อ่านหนังสือของพี่วัฒน์ตั้งแต่เรียนมัธยมปลาย แล้วก็มารู้สึกว่ามันมีผลต่อความคิดของเรามาก ๆ ก็ช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัย พี่วัฒน์ถือเป็นนักเขียนที่อยู่ในใจเรามากที่สุด และมีอิทธิพลต่อความคิดของเรา พอมาปี 2552 เราก็ได้มีโอกาสเจอกัน เราก็เป็นมวลชนคนหนึ่งไปที่ชุมนุมในตอนนั้น วันหนึ่งนักเขียนที่เราศรัทธามาตลอดก็เดินขึ้นเวทีประกาศตัวว่ามีจุดยืนที่ชัดเจน ตอนนั้นเราก็รู้สึกว่าตัวหนังสือทุกตัวที่เราอ่านเขามานี้เราไม่เคยผิดหวังเลย


ได้มีโอกาสมาทำงานเคลื่อนไหวร่วมกับพี่วัฒน์จริง ๆ ในปี 2553 หลังการล้อมปราบเดือนเมษาพฤษภา53 ตัวดิฉันกับกลุ่มเพื่อน ๆ ได้รวมกลุ่มกันขึ้นมาและมีการจัดประกวดบทกวีในหมู่พี่น้องประชาชนเพื่อแสดงออกถึงความรู้สึกของเราในช่วงนั้นที่มีคนตายมากมาย ในบรรดาพวกเราทั้งหมดไม่มีใครมีชื่อเสียง เราก็คุยกันว่าเราจะหาใครมาช่วยทำให้เสียงของพวกเราดังขึ้น คนแรกที่เรานึกถึงก็คือพี่วัฒน์ เราติดต่อไป ตอนนั้นบทกวีที่จัดประกวดเราใช้ชื่อ ฟรีไรซ์อวอร์ด


พี่วัฒน์เป็นนักเขียนที่เข้ารอบการประกวดซีไรซ์เยอะมากแต่ว่าไม่เคยชนะรางวัล จนแกได้ฉายาว่าเป็นนักเขียนซีรอง ทีนี้เราก็บอกแกว่าเราอยากจัดประกวดบทกวีนี้เราจะใช้ชื่อรางวัลซีรอง แกบอกว่าไม่ต้อง ใช้ซีรองทำไม เท่ากับเราเป็นรองเขา เราก็เอาใช้ชื่อที่พี่วัฒน์ให้มาคือ บทกวีฟรีไรซ์อวอร์ด โดยพี่วัฒน์เป็นหัวหอกในการจัดวันนั้น

หลังจากนั้นเราก็ได้เคลื่อนไหวร่วมกันในนามกลุ่มนวไพร่ เดินทางไปร่วมเคลื่อนไหวตามต่างจังหวัด ขับเคลื่อนในแนวรบศิลปวัฒนธรรม


ตลอดเวลาที่ดิฉันคิดถึงพี่วัฒน์ ก็คือทุกครั้งที่โทรไป พี่วัฒน์ไม่เคยถามเลยว่ามีใครบ้างที่มาร่วมเคลื่อนไหวด้วย ในขณะที่ถ้าใครที่อยู่ในวงการเคลื่อนไหวจะทราบว่าเวลาที่ไปตรวจสอบคนมีชื่อเสียงต่าง ๆ เขามักจะถามว่ามีใครบ้าง ชื่อชั้นอยู่ไหน สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือพี่วัฒน์ไม่เคยถามเลย พี่วัฒน์เป็นนักเขียนที่ดิฉันไม่เคยต้องใช้กระไดปืนไปคุยกับเขา ทำให้เรารู้สึกว่าเราเท่ากัน


ในวันนี้คือดิฉันไม่ได้มางานเคลื่อนไหวนานมากแล้ว หลายปีแล้ว แต่วันนี้เป็นงานของพี่วัฒน์ อยากจะบอกว่าครั้งสุดท้ายที่เราเจอกันน่าจะเป็นที่โรงแรมแถว ๆ ประดิพัทธ์ เราจัดงานรำลึกให้กับกวีที่ถูกยิงเสียชีวิตในปีนั้น นั้นก็คือคุณไม้หนึ่ง ก.กุนที นั่นก็คือครั้งสุดท้ายที่ได้เจอกัน ก่อนหน้านั้นพี่วัฒน์ก็ได้เคยพูดเล่น ๆ ว่าถ้าเกิดรัฐประหารขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ตัวใครตัวมันนะเว้ย! แต่ตอนนั้นเราไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นจริง ๆ คิดว่ารัฐประหาร 19กันยา2549 เป็นครั้งสุดท้ายของประเทศไทยแล้ว แต่มันก็มี 22พฤษภา2557 จากนั้นเราก็ไม่ได้เจอกันเลย จนมาเมื่อเราได้ทราบข่าว วันนี้อยากอ่านบทกวีที่รำลึกถึง คือมันไม่มีคำพูดไหนที่จะพูดแทนความรู้สึกของดิฉันได้นะคะ


ชื่อบทกวี “จากตำบลช่อมะกอกถึงปารีส”


อีกตำนานปากกาประชาชน

คือหนึ่งคนเขียนหนังสือสร้างไฟฝัน

คือรักและหวังว่าจะพบกัน

ด้วยรักและอุดมการณ์จึงลาไกล


จากตำบลช่อมะกอกถึงปารีส

เสียงจิ้งหรีดกับดวงดาวได้ยินไหม

ฉากและชีวิตปิดลงตรงที่ใด

บนเส้นลวดขึ้นปีนป่ายหมายพลิกฟ้า

ฉากและชีวิตปิดลงตรงที่ใด

บนเส้นลวดขึ้นปีนป่ายหมายพลิกฟ้า


ฝันให้ไกลไปให้ถึงจึงพรากจาก

กี่ทุกข์ยากถาโถมใส่ไม่ห่วงหา

สิงห์สาโทยังยืนเด่นอหังกา

ทระนงทายท้าเผด็จการ

สิงห์สาโทยังยืนเด่นอหังกา

ทระนงทายท้าชะตากรรม


ขึ้นรถไฟสังกะสีสู่กระท่อมเสรีภาพ

พรุ่งนี้ฝูงพิราบจะกลับมาเมื่อฟ้าค่ำ

มนต์รักทรานซิสเตอร์ยังสดใสและร่ายรำ

ทุกถ้อยเพียงคำกระจ่ายชัด “วัฒน์ วรรลยางกูร”

มนต์รักทรานซิสเตอร์ยังสดใสและร่ายรำ

ทุกถ้อยเพียงคำกระจ่ายชัดถึง “วัฒน์ วรรลยางกูร”


ขอบคุณค่ะ


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์